ตอนที่ 48 : The Keyz (2) 48 คนสำคัญ
[48]
โถงใหญ่ในตัวอาคารสภาความมั่นคงแห่งเมืองโทเปส เมืองหน้าด่านถัดจากป่าซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคปริคอร์นและโทรปิคอร์น ถูกใช้เป็นห้องประชุมรวมผู้ใช้เวทย์แคปริคอร์น ทั้งผู้พิทักษ์ และบุคคลสำคัญทุกท่านถูกเชิญมารวมกลุ่มกันอย่างกระทันหันเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ
เสียงพูดคุยค่อยๆหยุดลงเมื่อคณะท่านหญิงอะความารีน ฮีลเลอร์มาถึง
สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังดวงหน้าของหญิงสาว ในชุดเดรสยาวสีขาว ตัดกับนัยน์ตาสีแดงเพลิง และผมสีน้ำตาลอ่อน นั่นยิ่งขับเน้นองค์ประกอบโดยรวมให้ดูสง่างามและอ่อนหวานสมวัย
นัยน์ตากลมโตนั้นกวาดไปรอบๆ ก่อนจะไปสะดุดกับบุรุษร่างหนาเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม ทรอนซ์นั่งประจำกลุ่มรวมกับเหล่านักเรียนแคปริคอร์นมากมาย แต่ในความรู้สึกของอะความารีนกลับเห็นเขาโดดเด่น อยู่เพียงผู้เดียว
“เดินต่อสิ ฉันเหยียบกระโปรงแกรึไง”เพื่อนผู้พิทักษ์สะกิดเรียกเผื่อว่าใครบางคนจะมัวแต่อยู่ในห้วงภวังค์จนลืมปฏิบัติหน้าที่
“มารีน่า”ก่อนที่จะหันไปต่อปากต่อคำกับโพรเทกเตอร์เพื่อนรักแต่ปากมีปัญหา แพทริกซ์ก็สาวเท้าเข้ามาคว้าข้อมือเล็กๆไว้ข้างกาย ดึงเบาๆให้หญิงสาวเดินตามไปยืนประจำตำแหน่งที่มุมนึงของห้อง เป็นที่ที่ทุกคนในห้องสามารถยลโฉมได้อย่างทั่วถึง
“ทำไมมีการประชุมด่วนขนาดนี้คะ”อะความารีนกระซิบเบาข้างหู สายตายังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขา ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะหันมามองเธอบ้างเลย
นัยน์ตาคู่นั้นไม่ยอมสบ ไม่ใส่ใจ ไร้อารมณ์ และดูยากจะเข้าถึง
“ไม่มีใครรู้…สภาเรียกผู้ใช้เวทย์ทุกคนมาพร้อมกันโดยไม่ได้แจ้งว่าทำไม”แพทริกซ์ขมวดคิ้วครุ่นคิด สีหน้าดูเป็นกังวลเล็กน้อย “ท่านพ่อกับท่านแม่ของเธอก็อยู่ที่นี่ด้วย”
อะความารีนละสายตาจากใครบางคน ก่อนจะกวาดมองหาพลังเวทย์ธาตุไฟบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ นอกจากแพทริกซ์ที่อยู่ข้างๆ ธาตุไฟของเขาช่างเข้มข้นนัก แม้จะอยู่ในที่ที่มีผู้ใช้เวทย์หลากหลายปะปนกันไป
หญิงสาวสะดุดกับดวงหน้าหวานของเนเฟิลไนล์ ฮีลเลอร์ ผู้กำลังส่งยิ้มเล็กๆมาให้ ข้างๆนั้นมีชายผู้ซึ่งฉายรอยยิ้มอบอุ่น ออกัส ฮีลเลอร์ เขากำลังโอบไหล่ภรรยาไว้หลวมๆ
“เอาล่ะ ฉัน ในฐานะตัวแทนสภาความมั่นคงแห่งแคปริคอร์น ต้องขอโทษที่เรียกทุกท่านมารวมกัน ณ ที่นี้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้…”เบื้องหลังแว่นตากรอบสีทองเผยให้เห็นนัยน์ตาคมกริบ มีพลังกวาดมองรอบห้อง อะความารีนเชื่อว่าเกือบทุกคนต้องกลั้นหายใจตามกัน “แน่นอนว่าฉันไม่ได้แค่เรียกมาประชุม แต่มาเพื่อประกาศมติจากสภา ซึ่งเป็นเอกฉันท์”
ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงหวานทรงพลังจากนิมฟอริด้า ไทรีนอล หล่อนเว้นช่วงนานพอสมควรก่อนจะพูดประโยคถัดไป
“เราชาวแคปริคอร์นเพิกเฉยต่อการโจมตีของโทรปิคอร์นมามากพอ สูญเสียชีวิตอันมีค่าอย่างไร้เหตุผล…”
สงคราม…
วูบหนึ่งที่อะความารีนรู้สึกชาวาบในใจ
อดไม่ได้ที่จะนึกถึงช่วงเวลาที่หล่อนเข้าไปสัมผัสตัวตนของโทรปิคอร์นจริงๆ พวกเขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น รักพวกพ้องและครอบครัวไม่ต่างจากมนุษย์ ต่างเพียงแค่มีชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงต้นกำเนิดของพวกเขา
“หนึ่งร้อยปีอันสงบ พันธไมตรีระหว่างแคปริคอร์นและโทรปิคอร์น…ถึงคราวหักสะบั้น”
“เฮ!!!!!!!!!!!”เสียงกองทหารดังจากกลุ่มผู้พิทักษ์ตระกูลครอส พวกเขาโห่ร้องตะโกนก้อง สีหน้าราวกระหายเวลานี้มานานแสนนาน…
เวลาที่จะทวงคืนให้พวกพ้องที่ต้องสังเวยชีวิตกับการต่อสู้อันมีมาอย่างยาวนาน
“หมายความว่าเราจะทำสงครามงั้นรึ”เสียงทุ้มต่ำเปรยแทรก เหล่าทหารเงียบเสียงลงราวกับรีโมตสวีทช์ปิดเสียง อะความารีนเพิ่งรู้ว่าประมุขแห่งป้อมปราการครอสก็เข้าร่วมงานนี้เช่นกัน
“ใช่แล้ว วารัน ครอส…ฉันคิดว่าเราจำเป็นต้องพึ่งโพรเทกเตอร์ฝีมือดีเพื่อชัยชนะครั้งนี้”นิมฟอริด้าค้อมหัวเล็กน้อย ผู้ถูกเอ่ยนามเต็มกระดกยิ้มเย็น
“ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายของเราคืออะไร…อะไรจะเป็นตัวตัดสินชัยชนะครั้งนี้ครับ?”ชายผมสีทองผู้นั่งแถวหน้าเหล่านักเรียนแคปริคอร์นยกมือพร้อมคำถาม อะความารีนจำได้ทันทีว่านั่นคืออาจารย์ ทิม สตรองค์ และเพิ่งสังเกตว่าอาจารย์จากโรงเรียนแคปริคอร์นเกือบทุกคนอยู่ที่นี่
“ราชวงศ์มังกรต้องล่มสลาย”คำตอบนั้นไม่ได้มาจากสตรีแห่งสภา หากแต่เป็นประมุขแห่งครอส ร่างหนาบึกบึนยันกายขึ้น ประกาศกร้าวราวปลุกฮือเลือดเหล่าผู้ใช้เวทย์ให้สูบฉีด ราวกับพร้อมลงสู่สนามรบในทันที “ไร้ซึ่งผู้นำ โทรปิคอร์นจะไม่มีที่พึ่ง ไม่มีราชวงศ์มังกร โทรปิคอร์นก็จะแตกโดยง่าย!!”
อะความารีนรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืน ตาลาย หูอื้ออึง เพราะเสียงโห่ร้องไม่หยุดดังลั่นไปทั่ว แพทริกซ์ยกมือขึ้นบีบไหล่เธอเบาๆ
“จริงอยู่ที่ราชวงศ์เป็นศูนย์รวมของเหล่าอมนุษย์…แต่แคปริคอร์นเป็นดวงดาวแห่งมังกร เราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อทำร้ายพวกเขา เพราะเราใช้อำนาจของพวกเขาในการร่ายพลังเวทย์”นิมฟอริด้าพูดแทรกขึ้นมาแทบจะทันที เห็นได้ชัดว่าหล่อนพยายามใจเย็นเพียงใด
“มันเป็นแค่ทฤษฎี นิมฟอริด้า…เจ้ายังไม่เลิกคิดเรื่องนั้นอีกเรอะ!“เสียงเล็กขัดกับดวงหน้าเด็กน้อยวัยไม่เกินสิบขวบ เรียกทุกสายตาไปยังหล่อน อาจารย์เฟียซ ดีน หนึ่งในฮีลเลอร์ชั้นนำของแคปริคอร์น หล่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสตรีผู้นำซึ่งยืนอยู่ด้านหน้า “เธอแค่ทำวิทยานิพนธ์เรื่องนี้ไม่ได้แปลว่ามันมีงานวิจัยออกมาสนับสนุนมากพอนะยะ”
“ขอบใจเฟียซ…แต่ฉันเพิ่งได้รับการยืนยัน ในข้อสมมติฐานของฉันแล้ว”ดวงหน้าอาจารย์ใหญ่พยักเพยิดมายังอะความารีน ซึ่งเผลอยกนิ้วชี้หน้าตัวเองอย่างไม่แน่ใจ เมื่อได้รับอนุญาตโดยการพยักหน้า หล่อนจึงกระแอมครั้งสองครั้งก่อนพูด
“ใช่ค่ะ…ฉันยืนยันได้ว่าพลังเวทย์ ใช้กับเดร…เอ๊ย…เจ้าชายแห่งราชวงศ์มังกรไม่ได้“หล่อนแอบเห็นราล์ฟยกมือขึ้นกุมขมับ ก็คนมันตื่นเต้นนี่! หล่อนรู้สึกถึงความประหม่าเมื่อถูกหลายคนจ้อง
“ผมเองก็ยืนยันได้ ครั้งนั้นในงานเลี้ยง…ที่โทรปิคอร์น ผมร่ายเวทย์ป้องกันแต่ไม่เป็นผล”แพทริกซ์แตะหลังหญิงสาวเบาๆเป็นการปลอบขวัญ และเธอดูหายใจสบายขึ้นเยอะ
“งั้นก็ฆ่าโดยไม่ใช้เวทย์”บุรุษผู้กุมอำนาจทหารเปรยเสียงเย็น และคราวนี้ดูเหมือนทุกคนตกอยู่ในความคิดตนเอง
อะความารีนเห็นท่าไม่ดี รีบยกมือพรวด! “ไม่ได้ค่ะ!!!”
สาบานได้ว่าหล่อนไม่ชอบเลยที่ตกเป็นเป้าสายตา
“อะความารีน ฮีลเลอร์…เรื่องศึกสงคราม เธอไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนี้”เวรัน พูดเสียงดุ ราวกับพ่อที่กำลังสั่งสอนบทเรียนกับลูก
โชคดีที่ฝึกฝนรับสายตาแบบนั้นมาหลายครั้ง อะความารีนจึงไม่รู้สึกสะท้านเท่าไหร่
“เดรโกไม่ใช่คนเลวร้าย…เขามีหัวใจ เหมือนพวกเรา รวมถึงโทรปิคอร์นส่วนมากที่ฉันรู้จัก พวกเขาใจดี”ภาพในหัวมีป้าแม่บ้าน อาเธอร์ เธียร์น่า โรเจอร์ และทหารคนอื่นที่เธอมีโอกาสใกล้ชิดด้วย “ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทุกคน แบบที่พวกคุณคิด”
เงียบ…
เสียงพึมพำแทรกด้วยเสียงหัวเราะดังกึกก้องทั่วห้อง หญิงสาวเหลือบมองดวงหน้าสตรีผู้กุมอำนาจสูงสุด หล่อนส่งสายตาให้กำลังใจ แต่คนอื่นๆ คณาจารย์ เหล่านักเรียนแคปริคอร์นส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวรัน ครอส และเหล่าโพรเทกเตอร์ ดูไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดออกไป
“ตกลงว่าพวกเขาทำอะไรกับเธอรึ…แม่หนู?”ดวงหน้าคร้ามแดดจ้องเขม็งมา อะความารีนรู้สึกราวกับอาวุธได้พุ่งเข้าใส่ตัวเธอทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรนอกจากมองมา “เธอถูกเปลี่ยนแปลงความทรงจำว่าโทรปิคอร์น ไม่เลวร้าย หรือว่าหัวใจดวงน้อยๆอันบริสุทธิ์นั้น จะตกหลุมรักให้แก่เจ้าชายรูปงามจากแดนมังกร”
คำพูดเสียดสีทำให้ดวงหน้าหวานขึ้นสีแดงจัด อะความารีนไม่เคยรู้สึกทั้งโกรธและอับอายที่สุดในชีวิตอย่างวันนี้
ถ้าไม่ติดว่าบุรุษคนนั้นเป็นพ่อ ของเพื่อนรักแล้วละก็…เธออาจจะก้าวร้าวกว่านี้แต่นี่เธอยังให้เกียรติ
“ท่านเวรัน”เสียงเปรยเย็นเยียบมาจากบุรุษข้างกาย แพทริกซ์ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “หากท่านกระหายในสงครามขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมากขนาดนี้”
“ท่านพี่”อะความารีนเอ่ยปรามเบาๆ มือเล็กสอดเข้าไปในมือหนาที่สั่นน้อยๆ แม้แพทริกซ์ไม่ได้แสดงกริยาเกรี้ยวกราดเพราะถูกฝึกมาอย่างดี แต่เธอรู้ว่าเขาโกรธ…โกรธแทนเธอที่ถูกต่อว่า
“แพทริกซ์…อย่าเสียมารยาท”ชายร่างสูง หนึ่งในผู้ที่นั่งในตำแหน่งเก้าอี้สภาความมั่นคงแห่งแคปริคอร์นเอ่ยขึ้น เขามีนัยน์ตาคมกริบสีแดงฉาน แม้อยู่ในที่ไกล อะความารีนกลับรู้สึกได้ถึงพลังธาตุไฟรุนแรง และภาพความทรงจำก็ฉายชัดว่านั่นคือ วิลเลี่ยม ฮันท์ พ่อแท้ๆของแพทริกซ์นั่นเอง “ขออภัยท่านเวรันสิ”
“…ขออภัยครับ”ร่างหนาค้อมกายลง หากแต่สายตายังจ้องไปยังร่างนั้นเขม็ง
“ฉันขอโทษค่ะ เป็นความผิดของฉันเอง…แต่ขอให้ฉันได้อธิบายก่อน…ได้ไหมคะ”อะความารีนค้อมกายคำนับครั้งหนึ่ง ก่อนที่นิมฟอริด้าจะพยักหน้าอนุญาติ หล่อนสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนเรียกกำลังใจให้ตัวเอง พลางกวาดตามองดวงหน้าหลายคนซึ่งกำลังมองมา “ระหว่างที่ฉันอยู่ในปราสาทโทรปิคอร์น บังเอิญได้รู้เกี่ยวกับเรื่องภายใน เกี่ยวกับระบบการปกครอง…และรู้ว่าความจริงราชวงศ์มังกรเป็นเพียงผู้ถูกชักใย จากสภามืด อำนาจส่วนใหญ่อยู่ที่พวกเขา แม้ว่าภายนอกจะเคารพเทิดทูนราชวงศ์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่พวกเขาทำอย่างนั้น แต่เดรโก…ไม่เคยต้องการสงคราม เขาไม่มีความผิด ฉันอยากขอร้องให้สภาความมั่นคงแห่งแคปริคอร์นรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาด้วยค่ะ”
“เพราะฐานะเจ้าชาย ไม่เหมือนกับพระราชา”อาจารย์ทิมกล่าวสนับสนุน ทำให้อะความารีนรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง “ไม่แปลก เจ้าชายนั่นยังเด็กมาก…สำหรับเหล่าสภามืดที่สร้างมาเกือบร้อยปี เล่ห์เหลี่ยมของแวมไพร์”ประโยคสุดท้ายเหมือนเขาพึมพำกับตนเองอย่างครุ่นคิด
“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นโทรปิคอร์น”เสียงแหลมเล็กดังขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ในร่างเด็กนั่งไกวห้างกอดอกอย่างวางมาด “ทำไมเธอถึงช่วยพูดแทนเขาล่ะ ทำไมต้องปกป้องเขาด้วย”
หญิงสาวรู้สึกหน้าชา ตัวร้อนซู่ มือเล็กกำแน่นข้างลำตัว
“เพราะเขา…พยายามปกป้องฉันเช่นกันค่ะ”
“หืม…มีแบบนี้ด้วยหรือ เพื่อเธอที่เป็นแค่แคปริคอร์นคนหนึ่งเนี่ยนะ!?”เสียงแหลมเล็กดังชวนแสบแก้วหู
“งานแต่งงาน ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ฉันอยู่ในสถานะ…ที่สภามืดทำอะไรฉันไม่ได้ค่ะ”อะความารีนพยายามคิดหาคำอธิบาย อย่างช้าๆ เธอรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็ว
“จะมีเหตุผลอะไรนอกเสียจาก…”อาจารย์เฟียซหรี่ตาลงครุ่นคิด ก่อนจะดีดนิ้วเปราะ ดังลั่นพอๆกับช่วงจังหวะที่อะความารีนนึกอย่างแทรกดินหนีไปจากที่นี่ซะเดี๋ยวนี้ “พระเจ้า! เจ้าชายมังกรตกหลุมรักเธอหรือนี่!”
เพียงเท่านั้นเสียงอึกทักคึกโครมวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ประเด็นสงครามเสมือนถูกมองข้ามไปเสียอย่างนั้น อะความารีนคิดอย่างละเหี่ยใจ ว่าไม่ว่าผู้ใช้เวทย์หรือมนุษย์ธรรมดาต่างก็ชอบเรื่องรักๆใคร่ๆของชาวบ้าน มากกว่าข่าวการเมือง
“อะแฮ่ม”เสียงใครบางคนที่อยู่เงียบมานานดังแทรกขึ้น อะความารีนรู้สึกทั้งอยากขอบคุณและกลัวแทนเจ้าโพรเทกเตอร์เพื่อนรัก “ผมว่าเรามาเข้าเรื่องสงครามก่อนดีไหมครับ ข่าวนั้นมันไม่ได้สำคัญไปกว่าgossipดาราเดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิกแล้วมาบอกว่าเป็นเพื่อนกันดีกว่าอะไรเทือกนั้น”
อะความารีนเหลือบไปเห็นการ์มียกนิ้วโป้งให้กับความกล้าหาญของราล์ฟ
“เอาล่ะ ฉันจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม…แล้วจะประกาศให้ทุกคนทราบภายหลังอย่างทั่วถึง”นิมฟอริด้ากล่าวสรุปเมื่อหล่อนหันไปพูดคุยกับคณะสภาสักพักใหญ่ “ขอให้ทุกคนแยกย้ายได้”
…
ฉันเหลือบเห็นสายตาที่เวรัน ครอส พ่อของราล์ฟมองมา แล้วรู้สึกอีกครั้งว่าถูกอาวุธคมกริบพุ่งแทงใส่ จนอดยกมือลูบอกปลอบตัวเองไม่ได้
“เป็นอะไรไหม มารีน่า”แพทริกซ์เองก็มองไปยังเขา ที่ถูกกองกำลังทหารคุ้มกันจนลับสายตาไป
“ไม่ค่ะ…ฉันรู้สึกว่าพ่อราล์ฟคงไม่ชอบฉันเท่าไหร่”
“เขาคงไม่ชอบฉันด้วยสินะ…”
ฉันกวาดตามองหาราล์ฟ เขาเคยนั่งอยู่ในกลุ่มเด็กตระกูลครอส แต่หายไปแล้ว?
“เดี๋ยวฉันมานะ”จึงออกตามหามันในกลุ่มคนมากมาย แต่มองไปทางไหนก็ไม่เห็น
“มารีน่า”หญิงสาวโผเข้ามากอดทันทีที่ฉันพลิกตัว และกอดรับในทันที
“ท่านแม่”
ชายวัยกลางคนเดินตามมาติดๆ ฉันเห็นรอยยิ้มอบอุ่นปลอบใจในดวงหน้าอิดโรยนั้น
“ท่านพ่อคะ มารีน่าคิดว่าแคปริคอร์นควรจะให้พักร้อนนานกว่านี้ ไม่สิ ตั้งแต่วันนี้เลยดีไหมคะ รู้สึกว่าพวกเขาจะใช้งานท่านพ่อหนักไปแล้ว”ฉันผละจากอ้อมกอดแม่ แล้วหันไปกอดพ่อบ้าง
“พ่อคิดว่าสิ่งที่ลูกทำวันนี้ ทำให้พ่อหายเหนื่อยแล้วล่ะมารีน่า”พ่อลูบผมฉันเบาๆอย่างรักใคร่
“แต่พวกเขาไม่เห็นด้วย…”ฉันฝืนกลั้นสะอื้นพลางผละจากอ้อมกอด แล้วจ้องสบไปยังดวงหน้าทั้งสอง
“แค่ลูกแสดงพลังให้พวกเขาเห็น แม่กับพ่อก็ภูมิใจแล้วจ้ะ”ท่านแม่ยิ้มพลางแตะไหล่ฉันเบาๆ ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“พลังอะไรคะ”
“รักและเมตตา…อะความารีน ในตัวลูกมีความรักและเมตตาจ้ะ”
หลังจากนั้นการสนทนาเล็กๆก็ถูกคั่นจังหวะ เพราะมีฮีลเลอร์ผู้สวมชุดสีขาวลายดอกกุหลาบกลุ่มหนึ่งเข้ามาตามตัวท่านพ่อและท่านแม่ไป ฉันจึงกอดพวกท่านเบาๆอีกครั้ง แล้วบอกลา
“กรุณารักษาสุขภาพด้วยค่ะ แล้วเจอกันนะคะท่านพ่อ ท่านแม่”ฉันพูดตามหลัง แผ่นหลังคนทั้งสองซึ่งก้าวเร็วๆจากไป ได้ยินแว่วๆว่ามีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส คงเป็นช่วงสงครามที่แคปริคอร์นสูญเสียที่สุด เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ขณะเดียวกันสายตาก็หันไปเห็นแผ่นหลังกว้าง…เขากำลังเดินไปอีกทาง
“ทรอนซ์!”ฉันพุ่งตามไปโดยไม่ต้องคิด
ให้ตายสิ ทำไมฉันขาไม่ยาวเท่าเขานะ!
เออลืมไป ว่าใช้เวทย์มนต์ได้!
ฉันรีดพลังลมไอน้ำมากพอที่จะตามเขาจนทัน
“ทรอนซ์”แล้วเอ่ยเรียก
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมาสบแว๊บนึง ก่อนจะหันกลับทำเหมือนไม่สนใจ…
“รอก่อนสิ…ทรอนซ์ คุยกับฉันก่อน”ฉันร้องเรียกแต่เขาก็เอาแต่ใส่พลังไอน้ำ และความเร็วของฉันก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเลย “หยุดดดด”
แล้วร่างหนานั้นก็หยุดกึกกระทันหัน ส่งผลให้ฉันซึ่งตามเข้าไปแบบประชิดก็เบรคไม่อยู่ หน้าสวยๆจึงกระแทกแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อนั้นค่ะ -;:-
“โอย เจ็บ”ฉันยกมือขึ้นกุมจมูกและเช็คว่ามันยังอยู่ดี “ตกลงว่านายจะคุยกับฉันดีดีแล้วใช่ม…”
ฉันเบรคคำพูดไว้แค่นั้นเพราะเบื้องหน้าคือกองทหารแคปริคอร์น ผู้สวมชุดคลุมเป็นรูปไม้กางแขนคว่ำ…โพรเทกเตอร์ ตระกูลครอส…เพราะผู้นำของเขายืนโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ดวงหน้าคมจ้องเขม็ง
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย…อะความารีน ฮีลเลอร์”พ่อของราล์ฟนี่กัดไม่ปล่อยจริงๆ ดูจากสายตาที่เขาใช้มอง เออ เรียกว่าจิกเถอะนะ ถ้ามันเป็นอาวุธได้ฉันคงโดนกรีดเป็นชิ้นๆแล้ว
“คุณ…มีอะไรหรือคะ”ฉันเหลือบเห็นคราบเลือดที่ติดในมือตัวเอง คงเป็นเมื่อกี้ที่พุ่งชนหลังใครบางคนที่ยืนนิ่งสงบอยู่ข้างๆ จนเลือดกำเดาไหลนั่นเอง และนั่นทำให้ฉันเหลือบเห็น…ในมือของเวรัน ครอส…ก็มีคราบเลือดติดอยู่เช่นกัน
“ฉันต้องการคุย…ตามลำพัง”เสียงเข้มย้ำหนักแน่น ดวงตาเพ่งไปยังร่างหนาของทรอนซีรา ซึ่งยืนนิ่งไม่ขยับ
“ทรอนซ์…นายออกไปก่อนเถอะ”ฉันกระซิบเบาๆ กำลังจะยกมือขึ้นแตะแขนเขา แต่ก่อนที่มือจะได้สัมผัสตัว เขากลับพลิกตัวเดินหนีไปซะเฉยๆ!
เฮ้ย! นี่นายกล้าทิ้งฉันไว้คนเดียวหรอนี่ทรอนซีรา!!O[]O
ฉันมองแผ่นหลังของใครบางคนที่หายไปหลังจากที่เขาเลี้ยวไปยังทางเดินอีกทาง แล้วหันกลับมาเผชิญสถานการณ์ตรงหน้า
“คุณมีอะไรจะพูดกับฉันหรือคะ”
“แม่หนู…มีใครเคยบอกไหมว่าเธอช่างดื้อรั้น ไม่ยอมเอนอ่อนตามกระแส”เขาเปรยเสียงเย็น ฉันแทบลืมหายใจ
“ก็…ไม่มีนะคะ…เอ่อ หรือว่ามี”
“นี่เป็นบทลงโทษสำหรับเรื่องนั้น”ร่างหนาของเขาก้าวเข้ามาใกล้ ทำให้รู้สึกถึงความสูงอันแตกต่าง “หวังว่าราล์ฟเฟ จะบอกเธอได้ว่าเธอควรทำตัวยังไง ต่อหน้าฉัน”
เขากระซิบเย็นพร้อมยิ้มเหยียด ขณะที่ฉันเบิกตากว้าง
ลางสังหรณ์บอกว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับคราบเลือดในมือหนานั่น
ย้อนกลับไป เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ราล์ฟหายไปจากกลุ่มโพรเทกเตอร์…กลุ่มฮีลเลอร์เรียกท่านพ่อและท่านแม่ไปปฏิบัติงานด่วน แว่วๆว่ามีผู้ใช้เวทย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส…จนมาถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน เขา…เวรัน ครอส…ยืนยิ้มเหยียดขณะเรียกชื่อลูกตัวเอง…
“คุณทำอะไรราล์ฟ”ฉันกัดฟันกรอด…มือกำหมัดแน่น หวังว่าสิ่งที่ฉันคิดจะไม่ใช่เรื่องจริง
“ฉันแค่เตือนให้ลูกคบคนที่ไม่ดื้อ…มันผิดเหรอ ก็ฉันเป็นพ่อเขา”น้ำเสียงราบเรียบที่เขาใช้นั่นมันแสดงถึงความไม่ใส่ใจ และไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด
“คุณทำอย่างนี้ ยังเรียกว่าเป็นพ่อเขาได้อีกหรอคะ!! เวรัน ครอส”ฉันโพล่งออกไปอย่างเดือดดาล ขณะที่เหล่ากองกำลังรอบๆเริ่มขยับอาวุธ คงเป็นเพราะไอเวทย์ทั้งสี่ที่หลุดรอดออกจากร่างฉัน มันปะทุออกมาเมื่อฉันควบคุมอารมณ์ไม่ได้
“ให้ฉันแนะนำไหม…เธอควรหยุดป่วนสภาความมั่นคงได้แล้ว มันไม่ใช่เวทีที่เด็กอย่างเธอจะเข้ามาร่วมตัดสินใจ”
“ราชวงศ์มังกรไม่ผิด คนบริสุทธิ์จะต้องไม่ถูกลงโทษ คุณกำลังพุ่งเป้าหมายไปผิดคน!”
“แล้วเธอจะได้รู้…ว่าใครที่พุ่งเป้าหมายผิดคน…”เวรัน ครอสบัดนี้ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป ดวงหน้าคร้ามแดดกระตุกเล็กน้อย เดาว่าเขาคงข่มอารมณ์ที่อยากจะฆ่าฉันทิ้งเสียตรงนี้ “เด็กแพทริกซ์นั่นก็เช่นกัน ฉันฝากเธอไปเตือน ให้ระวังความปลอดภัยของเขาไว้หน่อยนะ…ถึงพ่อของเขาจะขอฉันไว้ก็เถอะ”
ฉันพยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ฝืนมองจ้องนัยน์ตาเย็นเยียบคู่นั้น ก่อนที่เขาจะเดินจากไปพร้อมกับกองกำลังของเขา
“ราล์ฟ”ฉันพึมพำเบาๆก่อนจะรีบวิ่งไปยังอาคารฮีลเลอร์ สเตชั่น อย่างเร็วที่สุด
…
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสะท้อนวูบ เหลือบมองเหตุการณ์ตรงหน้าจากมุมบน ต้นไม้สูงใหญ่ต้นนึงไม่ห่างจากระเบียงทางเดินมากนัก แต่ห่างพอที่จะกลบกลิ่นไอเวทย์ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ตรงนั้น และเฝ้าดูอยู่ตลอด
ร่างเล็กวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อไปยังอาคารผู้รักษา
เขาหลุบตาต่ำ นึกถึงความปวดร้าวในนัยน์ตาสีแดงนั้น
ทรอนซ์ขยับตัว ก่อนจะก้าวตามไปยังทางที่ขบวนทหารตระกูลครอสเพิ่งเดินผ่านไป
…
[50%]
ร่างเล็กเบียดแทรกเข้าไปยังกลุ่มคนที่แออัดอยู่บริเวณด้านหน้าอาคารผู้รักษา มีทั้งผู้ใช้เวทย์วัยเด็กจนถึงวัยชรายืนอยู่เป็นกลุ่มๆ อะความารีนปาดเหงื่อพร้อมรู้สึกเหมือนอากาศถ่ายเทไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก หูได้ยินเสียงแว่วว่าพวกเขาเป็นครอบครัวของผู้ป่วยในอาคาร
“โทรปิคอร์นจะต้องชดใช้”เสียงเกรี้ยวกราดดังพอที่หลายคนที่อยู่ถัดไปไปไกลนักจะได้ยิน รวมถึงตัวหญิงสาวที่ชะงักเท้าหันไปมอง ดวงหน้าชายวัยฉกรรจ์ยืนกำหมัดแน่น ดวงหน้าคล้ำเขียวคล้ายกำลังขาดอากาศหายใจ เขาโกรธจัด จนแผ่พลังเวทย์ออกมาจนผู้ใช้เวทย์หันมาให้ความสนใจ
ธาตุลม…บริสุทธิ์?
อะความารีนเอียงคอจ้องตรงไปยังบุรุษผมแดง ตาสีเทาประหลาด ราวกับว่าเขารู้ว่าถูกมอง เขาจึงเบือนสายตามาสบ
“อะความารีน ฮีลเลอร์ใช่ไหม”น้ำเสียงเจือความตื่นเต้นปนตกใจ ก่อนที่ร่างหนาเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเดินตรงเข้ามาใกล้
“ใช่ค่ะ...คุณรู้จักฉันหรอคะ”
“นาทีนี้คงไม่มีใคร ไม่รู้จัก”
อะความารีนไหวตัวนิดๆ เริ่มรู้สึกว่าสายตาทุกคู่ใช่ว่าจะมองไปยังชายผู้นั้น แต่คนที่ถูกให้ความสนใจคือหล่อนเองต่างหาก
ฐานะอาวุธคนสำคัญของแคปริคอร์นถูกเปิดเผยมาสักพัก ไม่มีใครคนไหน หรืออมนุษย์ตนใดไม่รู้จัก เกรงว่าหล่อนจะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งในโลกโทรปิคอร์นและแคปริคอร์น
“ฉันจะร่วมสู้กับเธอ”ชายผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ห…ห๊ะ!”หญิงสาวไม่ค่อยเข้าใจในความหมายนัก
“ทันทีที่แคปริคอร์นทำสงคราม ฉัน ในฐานะผู้นำผู้ใช้เวทย์ธาตุลมจะลงสนามสู้ พร้อมกับเธอ”
“...!”ท่านหญิงขยับตัวเล็กน้อยเพราะรับรู้ถึงพลังเวทย์ที่แผ่กระจายมาจากทุกคน สายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ที่ฝากไว้กับเธอ...
“อะความารีน”หญิงร่างสมส่วนเดินก้าวยาวเข้ามา ตาสีชาอ่อนจ้องเครียดๆ “อยู่นี่เอง เธอไปเยี่ยมราล์ฟรึยัง”
“ไม่…”อะความารีนรู้สึกขอบคุณที่มารีอามาขัดจังหวะได้ทันเวลา ก่อนที่เธอจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มคนนั้นก้าวถอยไปแล้วกลืนหายไปในฝูงชน “เขาเป็นยังไงบ้าง”
“สมองบวม”มารีอาเผยสีหน้าเจ็บปวด ตาเลื่อนลอยไปวูบหนึ่งเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้วกลับเข้ามาที่เดิม “แต่พ่อของเธอรักษาแล้ว อาการดีขึ้น แต่ห้ามขยับไปไหนในสองเดือนนี้”
“นั่นมัน…ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรอ”ภาพวารัน ครอสแสยะยิ้มเหี้ยมฉายชัดในหัว หญิงสาวเผลอกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว “เขาที่เป็นพ่อแท้ๆเนี่ยนะ ฉันไม่อยากจะเชื่อ”
“เหมือนกัน…แต่มันเป็นวิถีการเลี้ยงดูแบบตระกูลครอส เธอคงไม่อยากได้ยินหรอก มันเป็นความลับของตระกูล ไม่แปลกที่เด็กจากบ้านครอสจะไม่บ้าก็เลือดเย็น”
อะความารีนพยักหน้าเห็นด้วยโดยระบุในใจแล้วว่าราล์ฟเฟคงเป็นอย่างแรก
“ฉันอยากไปดูเขาหน่อย”
“นั่นล่ะ...เฮ้อ...ฉันจะมาขอร้อง ให้เธออยู่เป็นเพื่อนเขาบ่อยๆหน่อยนะช่วงนี้”ดวงหน้างามหมองลงทันที เหมือนหล่อนต้องการจะพูดประโยคถัดไปแต่ก็กลืนหายไปในลำคอ
“ฉันต้องดูแลราล์ฟเต็มที่อยู่แล้ว มารีอา ไม่ต้องกังวลหรอกนะ”เธอเอื้อมมือสัมผัสไหล่เล็กเบาๆเป็นเชิงปลอบ ด้วยความที่ได้รู้จัก ได้สัมผัสจึงเข้าใจในเหตุผลของผู้หญิงคนนี้ว่าทำไม หล่อนจึงไม่รับรักราล์ฟเฟซักที
ทั้งที่หัวใจก็ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้น
แต่ภาระหน้าที่เป็นสิ่งที่มารีอายึดถือมาตลอด แม้ว่ามันจะหมายถึงการฝืนหัวใจตัวเอง
“แล้ว...เธอกับทรอนซ์เป็นยังไงบ้าง”มารีอาลดเสียงลง แต่ดังพอที่ทำให้อะความารีนได้ยินและรู้สึกสะท้านวาบ
“ก็...ไม่ค่อยจะดี...ฉันหมายถึง ทรอนซ์ไม่ยอมให้ฉันเข้าใกล้เขาเลย”
“ไม่แปลก เมื่อสองปีก่อนเขาก็เป็นแบบนี้”มารีอายักไหล่ ก่อนจะยิ้มให้จางๆ “แต่เธอรู้นี่ อย่างน้อยหัวใจเธอน่าจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอจริงๆ”
“เรื่องนั้น...ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก”
“เฮ้อ เอาน่า เธออย่าเพิ่งยอมแพ้สิ สาวน้อยอะเมทิสต์คนนั้นยังเคยทลายกำแพงน้ำแข็งมาได้แล้ว ทำไมอะความารีน ฮีลเลอร์จะทำไม่ได้ จริงไหม?”
อะความารีนรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนซู่ขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นถี่รัวขึ้นด้วยความหวังใหม่
มารีอาสวมกอดเบาๆครั้งหนึ่งก่อนจะขอตัวกลับไปช่วยจัดการงานเอกสารต่างๆของสภาความมั่นคงแห่งแคปริคอร์นซึ่งหล่อนได้รับมอบหมายโดยอาจารย์นิมฟอริด้า
ภาพความวุ่นวายในอาคารฮีลเลอร์ สเตชันชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออะความารีนเดินข้ามประตูเข้าไป ห้องฉุกเฉินที่อยู่ด้านซ้ายมือมีเตียงนับร้อยรายเรียงกันเป็นแถว และแทบไม่มีเตียงไหนว่าง คนเจ็บถูกหามเข้าหามออก ฮีลเลอร์ต่างก้มหน้าก้มตามีสมาธิอยู่กับตรงหน้า
อะความารีนเห็นร่างคุ้นตาของหญิงสาวผู้หนึ่ง หล่อนเดินปราดผ่านจากเตียงหนึ่งไปยังอีกเตียง ในตอนแรกผมสีน้ำตาลสยายปิดดวงหน้าทำให้เธอมองไม่ชัดนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางการเดิน แม้จากที่ไกลๆ เธอก็จำได้ทันที
“ท่านแม่”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้น ดวงหน้าของเนเฟิลไนล์ ฮีลเลอร์ดูปกปิดความเหนื่อยล้าไม่มิด
“อ้าว มารีน่า ลูกมาหาราล์ฟหรอจ๊ะ”ท่านแม่ของเธอยังทาบมือลงบนอกผู้ป่วย แสงสีขาวสว่างวาบแว๊บนึง ก่อนที่จะเลื่อนมือไปยังอีกตำแหน่งใกล้เคียง
“ค่ะ...เขาอยู่ที่ไหนคะ”อะความารีนเหลือบเห็นสีหน้าของคนป่วยเริ่มมีเลือดฝาดชัดเจน จากที่ขาวซีดเหมือนไก่ต้ม
“ชั้นสอง ริมสุด อยู่ด้านซ้ายมือ แม่เพิ่งย้ายเขาไปห้องพิเศษ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงมารีน่า พวกเรารักษาร่างกายให้เขาแล้ว แต่หน้าที่ของลูก…”เนเฟิลไนล์ลุกขึ้นสบตากับลูกรัก แล้วยิ้มอบอุ่นให้ “รักษาเขาที่ตรงนี้”นิ้วเรียวทาบลงบนกลางอก
“ท่านแม่ มีอะไรให้มารีน่าช่วยไหมคะ”หล่อนรู้สึกเป็นห่วงแม่ที่ดูเหมือนอดหลับอดนอน ดวงหน้าซีดกว่าคนป่วยเสียอีก
“ยัง ตอนนี้ยัง...แต่ถ้าคนของเราไม่พอ แน่นอนว่าแม่จะขอให้ลูกช่วยจ้ะ”เนเฟิลไนล์ก้มไปจับชีพจร ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ “เตรียมจัดห้องผ่าตัด กล่องเวทย์เขาฉีกขาด มีบางส่วนหลุดไปอุดที่ปอด เราต้องเอาออกให้เร็วที่สุด”หล่อนหันไปบอกเจ้าหน้าที่ สวมชุดสีขาวลายกุหลาบปัก ที่พยักหน้ารับแล้วเดินพรวดออกไปอย่างเร็ว
อะความารีนรู้สึกอึดอัด กดดันประหลาด...คนพวกนี้คือผู้ใช้เวทย์ที่บาดเจ็บจากสงคราม ตั้งแต่ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ
จะต้องมีการสูญเสียมากไปกว่านี้อีกหรือ
หญิงสาวลำคอแห้งผาก ในหัวคิดวนไปวนมาแต่เรื่องความแค้นระหว่างโทรปิคอร์นกับแคปริคอร์น ก่อนนึกขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่มาที่นี่คืออะไร...สองเท้าจึงเดินจ้ำหาบันไดไปยังชั้นสอง ระหว่างทางที่เดิน หลายคนหันมามองหล่อน บ้างทักทาย บ้างก็แค่มองด้วยสายตาเดียวกัน...เหมือนว่าพวกเขามีความหวัง
ร่างเล็กหยุดยืนอยู่หน้าประตู ป้ายชื่อ ‘ราล์ฟเฟ ครอส’เด่นหราอยู่หน้าบานประตูนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เคาะประตูพอเป็นพิธี ร่างบางก็พรวดเข้าไป ใจเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่อยู่
“ราล์ฟเฟ”
“ไง”นัยน์ตาสีฟ้าเทามองมาก่อนตั้งแต่แรก เขานอนอยู่บนเตียง หนุนหมอนสูง ทำหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“แกรู้สึกยังไงบ้าง”อะความารีนพยายามกลั้นน้ำตา ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ข้างๆเตียงคนป่วย
“แค่นี้สบายมาก”เสียงทุ้มเอ่ยตอบเนือยๆ เหมือนเขายังมึนงงไม่ปกติดีนัก
“พ่อแก...ทำอะไรกับแกฮึ”ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจ อะความารีนรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนรักต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้...ชายผู้นั้นข่มขู่ไม่ให้เธอเข้าไปยุ่งเรื่องการตัดสินใจของสภา
“อ๋อ ก็ไม่มีอะไรรุนแรงหรอก เขาแค่จับหัวฉัน”
“จับหัวแก?”
“แล้วช๊อต”
“แต่แกก็เป็นเวทย์ไฟฟ้า ทำไม..”
“ความเข้มข้นของเลือดไง...แม่ฉันไม่ได้แข็งแรง พ่อฉันก็เรียกได้ว่าธาตุไฟฟ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่แปลกหรอก อีกอย่างฉันก็ชินแล้ว”ราล์ฟยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจ “พวกฉันถูกฝึกมาเป็นทหาร เป็นผู้พิทักษ์ บทลงโทษบางทีก็โหดกว่านี้”
อะความารีนเผลอกัดปากตัวเอง หล่อนรู้ว่าเบื้องหลังเขาคนนี้เจ็บปวดมากขนาดไหน แม้จะแสดงออกไปคนละทาง
“ฉันขอโทษ”หญิงสาวไม่สามารถบังคับเสียงไม่ให้สั่น มือเล็กเอื้อมไปแตะแขนคนที่นอนอยู่บนเตียงเบาๆ “เพราะฉันเอง แกถึงได้เจ็บตัว”
“ยัยบ้า”ราล์ฟเลิกคิ้ว ทำหน้าแบบที่อะความารีนสาบานได้ว่าถ้ามันหายดีก็อยากจะถีบซักครั้ง “อย่าบอกนะว่าแค่นี้แกก็กลัวจนหางหดแล้ว เขาแค่ขู่แกเล็กๆน้อยๆแค่นั้น”
“ก็ฉันดันซวยมาเป็นเพื่อนแก แล้วแกก็ดันเป็นเพื่อนที่ฉันรักที่สุด มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับฉันนี่”พูดจบหญิงสาวอยากจะลบความจำคนตรงหน้า เพราะมันทำหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนอยากจะอาเจียน แต่กลั้นไว้
“หยิบ...กระโถนหน่อย...ฉันจะอ้วก”
“ไม่ต้องแอ็คติ้งดีขนาดนี้ก็ได้นะ- -”
“ไม่ใช่...โอ้ย ฉันจะอ้วกจริงๆ”
“อ่ะนี่”
ทันทีที่ยื่นกระโถนให้ ราล์ฟก็อาเจียนออกมาจริงๆ และหล่อนชำเลืองเห็นเลือดสดที่ปนออกมาชัดเจน
“พ่อฉันอยากล้มล้างราชวงศ์มังกร มาตั้งนานแล้ว”หลังทำความสะอาดเสร็จ ราล์ฟก็เปรยขึ้นมา อะความารีนยื่นแก้วน้ำไปให้ “ครั้งนี้คงเป็นโอกาสเหมาะ”
“แล้วฉันก็ดันแสดงตัวปกป้องเดรโก เฮ้อ”
“แกคงเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งไปแล้วล่ะ เขาจะต้องจับตามองแกทุกฝีเก้า ยังไงก็ระวังไว้หน่อยก็แล้วกัน”
...
ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น ตอนแรกภาพในห้องสีขาวยังคงเลือนราง หลังจากกระดิกนิ้วทั้งห้าสำเร็จ ก็ค่อยๆดันหัวขึ้นมา แล้วเบือนสายตาไปมองร่างหนาที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง
นี่ฉันเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงเหลืองนวลของพระจันทร์แทรกผ่านผ้าม่านโปร่งเข้ามา ลมพัดเอื่อยๆทำให้อากาศในห้องไม่ร้อนจนเกินไป
วูบ
เมื่อกี้มันอะไร! มีเงาดำเคลื่อนผ่านกระจกหน้าต่าง!
ฉันค่อยๆลุกจากเก้าอี้ ก้าวช้าๆแล้วเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง...รอบๆนอกไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้ใหญ่ และด้านล่างก็มีไฟสลัวกับโพรเทกเตอร์ที่กำลังเดินตรวจตรารอบๆ
“พระชายา!”เสียงเล็กดังจากด้านบนขึ้นไป ฉันเลื่อนสายตาไปมอง
ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยสิบขวบนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้หน้าต่างมากที่สุด ตาสีชมพูเป็นประกายในความมืด
“O_O เธียร์น่า หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”ฉันอ้าปากค้าง พยายามลดเสียงไม่ให้ดังจนโพรเทกเตอร์ด้านล่างจะรู้ตัว
เพราะถ้าหากถูกเจอเข้า เธียร์น่าอาจถูกจับ ไปรวมกลุ่มอยู่กับโทรปิคอร์นและฉันไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
“เจ้าชายเดรโกแย่แล้วค่ะ พระชายา ช่วยเจ้าชายด้วยนะคะ”เสียงเล็กกลั้นสะอื้น หยดน้ำตารินไหลผ่านแก้ม
“เข้ามาก่อน เดี๋ยวมีคนเห็น”ฉันกระซิบอย่างร้อนรน พอจับใจความได้ว่าเดรโกกำลังมีปัญหา
“เข้าไม่ได้ค่ะ รอบๆมีเกราะเวทย์ของผู้พิทักษ์”เด็กน้อยส่ายหน้า พร้อมพูดวิงวอน”พระชายาช่วยพวกเราด้วยนะคะ สภามืดขืนคำสั่งเจ้าชาย อ้างว่าเจ้าชายทำความผิดให้เกิดเรื่องวุ่นวายในปราสาทโทรปิคอร์น พ่อหนู...ฮึก...ก็ถูกสอบปากคำ ทุกคนถูกขังในคุกมืดใต้ดินในตัวปราสาท”
“ห๊ะ!”นี่หรือว่าเป็นเพราะแคปริคอร์นบุกเข้าไปช่วยฉันออกมา จะเป็นเรื่องวุ่นวายที่ว่า
ฉันเป็นต้นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อนอีกแล้ว
“หนูหนีออกมาบอกพระชายาค่ะ ช่วยพวกเราด้วยนะคะ โอ๊ย!”เสียงเล็กขาดหายไปพร้อมกับร่างที่หล่นจากต้นไม้ ใจฉันกระตุกวูบ
ด้านล่างมีโพรเทกเตอร์สองคน และหนึ่งในนั้นเป็นคนโยนเชือกขึ้นมาพันรอบข้อเท้าของเธียร์น่า!
“แย่แล้ว!”ไม่ต้องคิดนาน ฉันกระโดดลงจากหน้าต่างชั้นสอง รีดพลังลมประคองตัวให้ลงพื้นอย่างนุ่มนวล จึงทันได้ยินบทสนทนาแรก
“โทรปิคอร์น เจ้าบุกเข้ามาได้ยังไง!”
“มีใครตามเจ้ามาอีกไหม!”
ชายสองคนตะคอกใส่ ร่างเล็กที่ร้องไห้จ้าเพราะความเจ็บ
“หยุดนะ! ปล่อยเด็กซะ!”ฉันตะโกนเสียงดังไม่แพ้กัน วิ่งเข้าไปฟันเชือกขาดเป็นสองท่อนด้วยพลังลม
และเมื่อเห็นฉัน สองคนนั้นก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าแปลกๆ
“อะความารีน ฮีลเลอร์ พวกเราต้องพาเด็กนี่ไปสอบปากคำ บางทีนี่อาจเป็นแผนของโทรปิคอร์น”
“ฉันไม่ยอมให้นายทำอะไรเธียร์น่าเด็ดขาด”ฉันย้ำคำ กดร่างเล็กที่สั่นน้อยๆเพราะความกลัวไว้ในอ้อมกอด แอบเห็นแผลที่ข้อเท้าเหมือนรอยไหม้ นั่นแปลว่าอาวุธนั้นถูกออกแบบมาสำหรับจัดการกับอมนุษย์สินะ
บางที มนุษย์นี่แหละ ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก
“งั้นคงต้องใช้กำลังบังคับ”ผู้ชายหนึ่งในนั้นพูดเสียงเย็น ซึ่งฉันไม่ต้องรอเขาพูดประโยคถัดไป ก็ต้องใส่เกียร์เผ่น โดยอุ้มเธียร์น่าไว้บนหลัง
ฟู่
เสียงดังแปลกๆดังไล่ตามหลังมา ซึ่งไม่มีเวลาพอที่จะหันกลับไปมอง พลังของพวกเวทย์ไฟฟ้าคือความเร็ว และไฟฟ้า ฉันรู้ดีจึงพยายามอัดแรงลมที่ฝ่าเท้าเต็มที่ แต่ร่างเล็กบนหลังเหมือนเพิ่มน้ำหนักให้เคลื่อนไหวไม่ได้เร็วอย่างที่ควร
สวบ
“อ๊ะ!!”ฉันรู้สึกเหมือนมีเชือกมาพันรอบขาไว้ในเสี้ยววิ แล้วอีกจังหวะถัดมาเชือกนั้นก็กระตุกวูบ
“กริ๊ดดดดดดดดดดด”
ร่างฉันกับเธียร์น่าจึงกลิ้งหลุนๆไปกับดิน ฉันพยายามกอดร่างเล็กๆไว้ไม่ให้ถูกแรงกระแทก
“พระชายา...หนูกลัว”เสียงเล็กสั่นระริกเมื่อการเคลื่อนไหวหยุดลง ฉันรู้สึกแสบตามรอยแผลที่แขน และขา
“ฟังนะ...พี่จะพยายามส่งหนูไปที่กำแพง พ้นเขตกำแพงหนูก็จะปลอดภัย พี่จะถ่วงเวลาไว้ เข้าใจไหม”ฉันกระซิบรัวเร็ว ฝืนข่มความเจ็บ ร่างในอ้อมกอดพยักหน้าช้าๆทั้งน้ำตา
“ถึงเธอจะเป็นคนสำคัญของแคปริคอร์น แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งทางทหารได้ อย่าทะนงตัวนัก อะความารีน”เสียงชายคนที่ถือเชือกเย้ยขึ้นมา ขณะที่อีกคนก้าวเข้ามาหาอย่างเร็วด้วยธาตุพิเศษไฟฟ้า
ฉุดแขนเล็กๆของเด็กน้อยขึ้นโดยไม่ปราณี
“อย่า...อย่าทำร้ายเด็กนะ”ให้ตายสิ! ทำไมจิตใจถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้...ฉันรู้สึกเย็นวาบในใจ
ถ้าหากต้องปะทะกับผู้ใช้เวทย์ ฉันที่มีดีแค่เวทย์รักษา จะสามารถเอาชนะโพรเทกเตอร์ที่ถูกฝึกมาเพื่อการต่อสู้รึเปล่า...
“ถ้านายไม่ปล่อย...ฉันก็ต้องเอาจริงบ้าง”ฉันจ้องเขม็งไปยังร่างชายสองคนนั้น ทั้งที่ขาทั้งสองข้างยังถูกผูกไว้กับเชือก
“พวกนายทำอะไรกัน”เสียงเย็นเยียบดังขึ้น ใจที่เคยเย็นชื้นกลับอุ่นขึ้นประหลาด...ฉันจำกลิ่นธาตุน้ำบริสุทธิ์นั่นได้...จำน้ำเสียงนั่นได้...และร่างหนาที่เดินผ่านเงามืดมาหยุดอยู่ระหว่างฉันและนายทหารสองคนนั้น
“พวกเราจับโทรปิคอร์นได้...แต่หล่อนไม่ให้เราเอาตัวเด็กนั่นไปสอบปากคำ”หนึ่งในนั้นพูดอย่างเซ็งๆ
ทรอนซ์ปรายตามองเชือกที่พันขาฉันไว้ ไล่ไปยังชายผู้ถือเชือก
“ปล่อย...ฉันจัดการเอง”
ชายผู้ถือเชือกทำหน้าลำบากใจ สุดท้ายก็ยักไหล่ ปล่อยปลายเชือก แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใจดีเดินมาแก้เชือกให้...ฉันรู้สึกตงิดในใจว่าทำไมพวกเขาเหมือนรู้จักกันและจำไม่ได้ว่าทรอนซ์ไปสนิทสนมกับพวกโพรเทกเตอร์ตระกูลนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็น...ฉันต้องช่วยเธียร์น่าให้ได้ก่อน!
“เราต้องรายงานกับท่านเวรัน”ชายอีกคนย้ำ ขณะที่มือยังจับแขนเล็กนั่นไว้แน่นเหมือนว่ากลัวจะหลุดมือ
“ทรอนซ์...นายอย่าให้พวกเขาเอาตัวเธียร์น่าไปนะ!”ฉันส่งสายตาเว้าวอน ทรอนซ์เพียงแค่มองผ่านแล้วหยุดสายตาที่เด็กหญิง
“ปล่อยเด็กนั่นด้วย”
“ไม่ได้ นี่อาจเป็นข้อผิดพลาดร้ายแรงก็ได้”
“บอกท่านเวรัน ว่าฉันรับผิดชอบในเรื่องนี้เอง”
“…”
ฉันไม่เข้าใจ...หลังจากคำพูดไม่กี่คำ ชายคนนั้นก็ยอมคลายมือเธียร์น่า เด็กทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ทำไมทรอนซ์ถึงมีอิทธิพลกับพวกเขามากขนาดนี้?
“พวกนายไปได้แล้ว”นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองตามสองร่างที่หายวับไปพร้อมกับประกายไฟฟ้า ก่อนจะเลื่อนมาสบตากับฉันตรงๆ
นานมากแล้วที่เขาไม่มองฉันตรงๆแบบนี้
“ทำไมนาย...ถึงรู้จักพวกเขา”ฉันเอ่ยถาม ขณะที่ทรอนซ์ชักกริชเงินออกมา แล้วก้มตัวลงแก้มัดเชือกให้...ดวงหน้าคมคายอยู่ใกล้แค่นี้เอง
“...”
“พูดกับฉันสิทรอนซ์”
“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเธอ อะความารีน ฮีลเลอร์”
เขายังคงเย็นชาใส่เหมือนเดิม...
ทันทีที่เชือกคลายออก ฉันก็ค่อยๆดันตัวเองให้ยืนขึ้น
“เด็กนั่นมาทำอะไรที่นี่”เหอะ...เขาไม่ตอบคำถามฉันสักคำ แต่กลับถามกลับงั้นหรอ?
“เธียร์น่ามาบอกฉันว่า สภามืดยึดอำนาจแล้ว...เดรโกและทหารของเขาถูกขังในคุกมืด”ตอนแรกฉันคิดจะพูดว่า ‘แล้วทำไมฉันต้องตอบคำถามของนาย’ แต่เรื่องนี้มันสำคัญ เรื่องประชดเลยเอาไว้ทีหลัง- -
“เด็กนั่นต้องมากับฉัน”เงียบไปพักใหญ่ ทรอนซ์ก้าวไปหาเธียร์น่า ก่อนจะก้มตัวลงร่างเล็กที่สั่นแรงๆเพราะความกลัว
“ท..ทรอนซ์ เราปล่อยเธียร์น่ากลับไปไม่ได้หรอ”ฉันรีบวิ่งไปหาพวกเขา ชะงักเท้าเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าทรอนซ์กำลังรักษาแผลที่ขา และแขนที่ถลอกให้เธียร์น่า...และหล่อนหยุดร้องไห้
“ไม่ได้...เธอกับฉันจะโดนข้อหากบฎ”นัยน์ตาสีเข้มไม่สะท้อนอารมณ์อื่น นอกจากเย็นชา แต่บางสิ่งที่ฉันสัมผัสได้จากเขา คือความอ่อนโยน
ฉันรู้ว่านั่นเป็นสิ่งสำคัญรองจากสมาธิ ในการรักษาด้วยเวทย์มนต์
เมื่อเธียร์น่าหยุดร้องไห้ บรรยากาศก็ตกอยู่ในความเงียบ เขาเงียบ ฉันเงียบ ฉันจึงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองชัดขึ้น
“พวกนั้นจะทำร้ายเธียร์น่ารึเปล่า...ฉันหมายถึง ทหารพวกนั้น”
“ไม่...เธอจะปลอดภัยกว่าถ้าอยู่ที่นี่ ถ้าสภามืดรู้ว่าเธอแอบหนีออกมาคงไม่ปล่อยไว้”
“ทรอนซ์...ฉันขอคุยด้วยหน่อย...นะ?”
ฉันรู้สึกบ้าที่ถามอย่างนั้นออกไป ก็ที่พูดกันอยู่ยังไม่เรียกว่าคุยรึไง...แต่ความหมายของฉันคือ เปิดใจคุยกันว่าปัญหามันคืออะไร...และทำไมเขาต้องหลบหน้าฉัน
“...”
“ทรอนซ์”
“ฉันไม่มีเรื่องจะพูดกับเธอ”
“นายจงใจหลบฉัน”ฉันพยายามสูดลมหายใจลึก ไม่ให้แสดงอารมณ์มากไป เพราะอยากคุยกับเขาให้รู้เรื่อง...เรื่องที่ฉันอยากอธิบาย... “ตอนนั้นฉันรู้ว่านายอยู่ที่นั่น...นายกลับไปหาฉันที่ห้อง...แต่ฉันกลับอยู่กับแพทริกซ์”
ดวงหน้าคมคายกระตุกแว๊บนึง ฉันสังเกตุเห็น รวมถึงมือหนาที่กำแน่นขึ้นด้วย
“เราไม่ได้มีอะไรกัน ฉัน...แค่กำลังเสียใจ...เรื่องนาย...แล้วฉันก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันขอโทษ”
“ไม่จำเป็น”ทรอนซ์หลุบตาลงต่ำ เมื่อเขายืนเต็มความสูงแล้ว ฉันจึงต้องเงยหน้าขึ้น “เรื่องเธอไม่ได้สำคัญกับฉันอีกแล้ว”
นายบอกว่าฉันไม่สำคัญกับนาย...
ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่เดิมที่เคยรู้จัก...เหมือนมีม่านน้ำแข็งบางๆกั้นไว้ ฉันพยายามค้นหา ค้นลึกเข้าไปในใจ แต่กลับไม่เจอ...และไม่รู้ว่าฉันจะได้เห็นสายตาคู่นั้นอีกไหม...ที่บอกว่ารักโดยไม่ต้องเอ่ยคำ...และการกระทำที่บ่งบอกว่าเขาแคร์ฉัน
“ทรอนซ์...นายสำคัญสำหรับฉันเสมอ...ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ จากนี้ หรือตลอดไป”ฉันพูดช้าๆ สายตาเหมือนถูกตรึงไว้กับตาคู่นั้น ทะเลลึกที่ฉันกำลังจะจมลงไป และรู้ตัวอีกทีก็ไม่สามารถผุดขึ้นพ้นน้ำได้อีก “ถึงนายจะหลบฉัน เกลียดฉัน ฉันก็ยังจะรักนาย...”
การที่ได้ซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเอง มันทำให้ความอึดอัดลดลงมหาศาล...ฉันอาจพูดไปเพื่อตัวเอง เพื่อให้ฉันได้มีพื้นที่ มีจุดยืน แม้เขาจะไม่ตอบสนองใดใดเลยก็ตาม
ทรอนซ์เม้มปากเน้น เขาเหมือนคนกำลังใช้ความคิด มือหนายื่นออกไปด้านข้าง ไปยังร่างเด็กหญิงที่นั่งอยู่กับพื้น เกราะเวทย์สีฟ้าถูกเสกขึ้นมา ฉันไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นทำไม และขณะที่กำลังจะอ้าปากถาม...
หมับ
ฉันถูกมือหนานั้นกระตุกเข้าสู่อ้อมกอด วินาทีต่อมา ริมฝีปากเรียวก็บดเบียดเข้ามา ฉันเบิกตาตื่นๆเพราะนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มอยู่ใกล้มาก จนฉันเห็นเงาตาของตัวเองซ้อนกัน ไออุ่นจากเขา...สัมผัสของเขา...ทำให้ฉันลืมเรื่องกังวลทุกสิ่งบนโลก
ฉันรู้ในวินาทีถัดมา ว่าเกราะเวทย์นั้น เขาเสกมาเพื่อไม่ให้เธียร์น่ามองผ่านทะลุเข้ามาได้
“ทรอนซ์...”ฉันกระซิบชื่อเขา เสียงแหบพร่า มือสองข้างยึดรอบคอเข้าเอาไว้ และอยากจะยึดเอาไว้แบบนี้ตลอดไป
“ไม่ต้องพูด...”ริมฝีปากเขาพรมจูบที่หน้าผาก ไล้ลงมาที่จมูก มือหนาประคองแก้มฉันไว้เบาๆ “แล้วลืมเรื่องวันนี้ซะ ทั้งเรื่องโทรปิคอร์น และเรื่องฉัน”
“ฉันไม่อยากลืม”ฉันส่ายหน้าเบาๆ รู้สึกน้ำตารื้นนิดๆ “ฉันจะจำไว้ว่านายทำอะไรกับฉันบ้าง”
“แน่นอน...เธอจะต้องลืม”ทรอนซ์จู่โจมอีกครั้ง อย่างร้อนแรงกว่าเดิม ริมฝีปากของเขาร้อนผะผ่าว ฉันรู้สึกถึงของเหลวที่แทรกเข้ามาผ่านมายังปากของฉัน...และเขาบังคับให้ฉันกลืนมันลงไป
“ทรอนซ์....นาย....!?!”ฉันเบิกตากว้าง...ร่างทั้งร่างชาไปทั่ว...มันไร้ความรู้สึก สติพลันเลือนรางและใกล้จะดับวูบ ภาพดวงหน้าคมคายตรงหน้าฉายรอยเจ็บปวดลึก “ทำ...อะไร...”
ฟึ่บ
ร่างบางทิ้งน้ำหนักลงยังร่างหนาที่พร้อมรับไว้อยู่แล้ว
ทรอนซ์ตวัดมองใบหน้ายามหลับใหลของหญิงสาว
เมื่อลืมตาอีกครั้ง เธอก็จะลืมเหตุการณ์ทั้งหมดในคืนนี้
แต่เขาจะจำได้ทุกเหตุการณ์..ทุกอย่าง
มือหนาสัมผัสปลายเส้นผมสีน้ำตาลเบาๆ ค่อยๆไล้ลงอย่างทะนุถนอม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสั่นระริกดวงหน้าแข็งกร้าวแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและเจ็บปวดในขณะเดียวกัน
ทรอนซ์อุ้มร่างบางไม่ได้สติขึ้นมาในอ้อมกอด ก่อนจะมุ่งตรงไปยังอาคารฮีลเลอร์สเตชั่น พร้อมกับเกราะเวทย์ที่มีร่างมังกรน้อยอยู่ภายในนั้น
...
Writer: กริ๊ดดดดดดดดดด วินาทีนี้กริ๊ดอย่างเดียว...ไรเตอร์มานำกริ๊ดค่ะ เอ้าทุกคน กริ๊ดดดดดดดดดดดด >< ///// โอ๊ย ไม่ไหว หัวใจจะวาย เจอกันตอนหน้านะคะ// สถานะกำลังปั่น //อ้อ ขอเม้นหน่อยสินะๆ คนละเม้น จุ้บๆ รักรีดเดอร์ <3<3<3
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะร้องไห้TTT_TTT
ป.ล.รักทรอนซ์&ราล์ฟมากมายยยยยย
ป.ล. รักทรอนซ์ เป็นกำลังใจให้ทั้งราลฟ์และไรเตอร์
สนุกมากค่ะ รักทรอนซ์มากมาย
Fc แพทริกซ์หายไปไหนน้อ555
อัพบ่อยนะคร้าาาา....
#Fc.ทรอนซ์ ราล์ฟ
ปล.รักทรอนซ์&ราล์ฟ
จะว่าไปเจ้าราล์ฟนี่น่าสงสารเหมือนกันนะ ครอบครัวก็โหด ชีวิตรักก็ไม่สมหวัง TT