ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #53 : Rule 44 : ความรัก

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 11.85K
      17
      8 พ.ย. 56

    บอกตัวโตๆ ค่า  ไรเตอร์รีไปครบทุกตอนแล้วนะ  
    ตอนที่รีน่ะมีถึงแค่ตอน 
    Rule 42 : การจากลาเงียบๆ นะคะ
    ส่วนตอนที่เหลือนี่แต่งเพิ่มแล้วนะ  อีกครั้งน้า  รีครบแล้วน้า ไม่ต้องโพสต์ขอแล้วนะตะเพราะลงให้ไปหมดทุกตอนแล้วจริง


    Rule 44 : ความรัก
     

    หลังจากที่ผมตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศผมก็ลงเรียนที่สหรัฐอเมริกาเพราะผมอยากจะไปอยู่กับคนที่ผมเฝ้ารอมาสองปี  ผมถามพ่อเรื่องของไอ้คีตะและถามพวกพี่บอลอยู่ตลอดว่ามันเป็นยังไงบ้าง  พอรู้ว่ามันเรียนที่ไหนผมก็เลือกมหาลัยที่จะเรียนใกล้ๆ มันพอดี  ผมเลือกเรียนวิศวกรรมศาสตร์สาขาเครื่องกล  ตอนแรกก็อยากจะเรียนแพทย์เหมือนพ่อนั่นแหละครับแต่ในทุนมันไม่มีให้ลงอีกอย่างผมก็ไม่ได้เก่งเหมือนพ่อหรือไอ้คีตะด้วยที่สำคัญผมไม่ชอบโรงพยาบาล
     

    ก่อนที่จะเรียนจบผมได้เป็นกรรมการนักเรียนร่วมกับไอ้วา ไอ้มินทร์และไอ้ลิซด้วยครับ  ส่วนน้องพีทที่น่ารักของพวกเราก็อยู่ในกลุ่มกรรมการนักเรียนด้วยเหมือนกันโดยที่พวกเราทำงานร่วมกับพวกพี่ๆ เซตเดิมในช่วงแรกจนเป็นงานพวกพี่ๆ จึงปล่อยให้เราจัดการกันเอง  ผมเป็นประธานหอเดิมและทำหน้าที่แทนไอ้คีตะทั้งหมด  ผมเพิ่งรู้ว่ามันเหนื่อยมากแค่ไหนที่ต้องทำงานนี้ไปด้วยเรียนไปด้วยแถมยังต้องซ้อมบาสหนักทุกวัน  ผมนับถือแรงกำลังของไอ้คีตะจริงๆ  แม้แต่ผมเองยังต้องให้คนอื่นมาช่วยทำงานตั้งเยอะแน่ะ
     

    เรื่องการเล่นบาสผมก็ยังเล่นเรื่อยๆ ครับ  พออยู่ม.5 พี่บอลก็มอบตำแหน่งกัปตันให้ผมแต่พวกพี่ๆ ก็ยังเล่นกันต่อไป  พี่จิ้นที่ผมไม่เคยเห็นเล่นบาสมาก่อนก็ร่วมลงเป็นนักกีฬากับพวกเราด้วย  ตอนแรกๆ ก็ยังดูไม่ชินหรอกครับแต่พอฝึกไปแค่หนึ่งเดือนพี่จิ้นก็เล่นเก่งขึ้นมาเหมือนคนละคน  เห็นไอ้มินทร์บอกว่าพี่จิ้นเคยเป็นนักกีฬามาก่อนแต่มีเหตุให้บาดเจ็บและพี่มันก็เพิ่งไปผ่าตัดมาโดยหมอที่ผ่าให้นั่นก็...พ่อของผมเอง
     

    ทีมบาสที่ไม่มีไอ้คีตะนั้นลำบากมากครับ  ตอนแข่งระดับภาคตอนที่ผมอยู่ม.4 พวกเราทำได้แค่เข้ารอบสิบหกทีมสุดท้าย  ยิ่งตอนที่ผมอยู่ม.5 พวกเราก็ยังทำได้แค่เข้ารอบสิบหกทีมของระดับภาคแต่มันแย่ตรงที่ระดับจังหวัดพวกเราเคยได้ที่หนึ่งแต่ครั้งนี้ได้ที่3  ไอ้คีตะมันทำให้ผมรู้จริงๆ ว่าถ้าไม่มีมันอะไรๆ ก็ไม่ง่ายอย่างที่ใจคิด  และการที่โหมเล่นบาสขนาดนั้นทำให้ความสูงของผมเพิ่มขึ้นถึง 173 เซนติเมตรแล้วล่ะครับ

     



     

    หลังจากที่ผมได้ทุนเรียบร้อยผมก็ต้องไปเข้าค่ายเตรียมความพร้อม  เสร็จจากเข้าค่ายผมก็ตัดสินใจที่จะเดินทางไปอเมริกาก่อนกำหนดเพราะพ่อของผมจะต้องไปดูงานที่นั่นด้วย  ผมตื่นเต้นจนขอพ่อไปก่อนกำหนด  การเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวมันก็เป็นประสบการณ์ที่น่าค้นหาดีนะครับ  อีกอย่าง...ผมไม่อยากจะอดทนรออีกต่อไปแล้ว  แค่สองปีก็เกินพอ  ผมอยากเห็นหน้าของมันจริงๆ ว่ามันจะหน้ายังไง  แต่ถ้ามันมีผู้หญิงคนอื่นผมคงจะร้องไห้แล้วปฏิเสธไม่รับทุนการศึกษาแน่ๆ  ลุ้นอยู่เหมือนกันแฮะ
     

    พอมาถึงสนามบินลอสแองเจอลิสผมก็เปิดดูที่อยู่บ้านที่พ่อของไอ้คีตะเอามาให้ก่อนจะขึ้นแท็กซี่แล้วยื่นที่อยู่นี้ให้ดูเขาจึงพาผมไปส่งที่บ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่พอตัว  แต่ไม่ว่าผมจะกดกริ่งนานแค่ไหนก็ไม่มีใครมาเปิดผมจึงไปถามบ้านข้างๆ ที่กำลังจะเข้าบ้านพอดีจึงพบว่าปกติแล้วสองพี่น้องไม่ค่อยจะอยู่บ้านเพราะคนพี่ทานเป็นนายแบบส่วนคนน้องก็เรียนหนักมาก  ตั้งแต่ที่ไอ้คีตะมันมาที่นี่ผมก็ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษเพื่อที่จะตามมันมาให้ได้และผมก็เก่งขึ้นมากกว่าเดิมแล้วล่ะครับ
     

    ผมโยนกระเป๋าของตัวเองข้ามรั้วบ้านไปก่อนจะออกไปเดินเล่นรอบๆ หมู่บ้านที่เงียบสงัดจนกระทั่งเดินไปเจอคอร์ทบาสกลางแจ้ง  ผมตื่นเต้นดีใจอยากจะเล่นบาสที่นี่สักครั้งเพราะเห็นว่านักบาสของที่นี่มีแต่เก่งๆ ทั้งนั้น  แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้คอร์ทผมยิ่งรู้สึกว่ามันแปลกเพราะพวกนั้นไม่ได้เล่นบาสแต่กำลังมีเรื่องกัน  ผมดึงเด็กคนหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้ความว่ามีพวกนักเลงมาหาเรื่อง  พวกนักบาสรุ่นพี่ที่เล่นอยู่ที่นี่ประจำจึงออกมาเคลียร์จนกลายเป็นเรื่อง
     

    ผมรู้สึกรับไม่ได้ที่มีพวกอันธพาลมาหาเรื่องต่อยตีกันในสนามบาสที่ศักดิ์สิทธิ์ผมจึงวิ่งไปหวังจะช่วยพวกนักบาสจัดการกับพวกนักเลงนั่น  การต่อสู้เพื่อปกป้องสถานที่สำคัญถึงเราจะต้องลงมือก็ยังดีกว่าให้พวกที่ไม่รู้ถึงความสนุกของบาสมาทำให้แปดเปื้อนเพราะฉะนั้นเราทำให้มันแปดเปื้อนด้วยมือของเราเองยังจะดีซะกว่าอีก
     

    ทันทีที่ผมวิ่งไปถึงผมก็เห็นนักบาสคนหนึ่งที่พลาดท่าจนเกือบจะถูกท่อนเหล็กฟาด  ผมรีบวิ่งไปกันโดยจับท่อนเหล็กที่ฟาดลงมาเอาไว้ก่อนจะถีบไอ้คนที่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่มาหาเรื่องซะกระเด็นทำให้คนที่ผมวิ่งไปบังไว้ไม่บาดเจ็บอะไร
     

    ผมกำลังจะวิ่งเข้าไปลุยเพราะเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังถูกรุมกระทืบแต่จู่ๆ ข้อมือของผมก็ถูกรั้งเอาไว้จากคนที่ทรุดอยู่ข้างหลัง  ความอุ่นซ่านเข้าเกาะกุมที่หัวใจจนผมชะงักนิ่งไม่กล้าหันกลับไปมอง  ผมรู้สึกคุ้นเคยกับอุ้งมือหนาที่กำลังจับที่ข้อมือ  มันคุ้นเคยจนน้ำตาจะไหลเลยทีเดียว
     

    “คีตะ...” ผมหันกลับไปมองด้านหลังก่อนจะอึ้งจนตัวชาเมื่อเห็นใบหน้าคุ้นเคยกับผมดำแซมทองนิดๆ ที่ถูกตัดจนสั้นระต้นคอ  ถึงทรงผมจะเปลี่ยนไปแต่ใบหน้าของหมอนี่ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลย  คิดถึงจัง...
     

    “ชนินทร์...” คนตรงหน้าผมเอ่ยเรียกชื่อของผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและแผ่วเบา
     

    “คีตะ...” น้ำอุ่นร้อนไหลร่วงออกจากดวงตาของผมอย่างตื้นตันที่ได้เจอกับคนที่ผมเฝ้ารออย่างไม่คาดหมาย  หมอนั่นดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
     

    “นี่นายจริงๆ ใช่ไหม?  ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมชนินทร์?” ไอ้คีตะถามเสียงเบาพลางกระชับอ้อมแขนซึ่งผมก็รีบกอดตอบอย่างโหยหาทันที
     

    “ฉันไม่รู้ว่าใช่ความฝันของนายหรือเปล่า  แต่ถ้านี่เป็นความฝัน...เราคงจะฝันเหมือนกันสินะ” ผมพูดเสียงแผ่วเบาที่ข้างหูของไอ้คีตะ  อ้อมกอดของมันทำให้ผมรู้สึกอุ่นไปถึงข้างใน  ความเหงาตลอดสองปีเหมือนถูกเติมจนเต็ม
     

    “ฉันคิดถึงนายมาตลอดเลยนะ  คิดถึงมากจนแทบขาดใจ” ไอ้คีตะดึงผมออกจากอ้อมแขนพลางพูด  หมอนั่นจ้องเข้ามาในดวงตาของผม  ผมน่ะมองแทบไม่เห็นเพราะน้ำตามันไหลออกมาจนภาพข้างหน้ามันพร่ามัวไปหมด

    “แล้วทำไมถึงไม่กลับไปหา  ปล่อยให้รอได้ไงตั้งสองปี!” ผมตีอกไอ้หมอนั่นอย่างเจ็บใจที่มันไม่ยอมมาหาผมตลอดสองปี
     

    “อยากกลับไปจะตายแต่กลัวว่าถ้ากลับไปแล้วจะเห็นสายตาเย็นชาของนายฉันก็เลยไม่กล้ากลับไป” หมอนั่นพูดพลางรั้งเอวผมเข้าไปชิด
     

    “ไม่แล้ว  ไม่มองแบบนั้นแล้ว  ทีหลังอย่าจากมาแบบนี้อีกนะ” ผมส่ายหน้าไปมา  รู้สึกผิดแฮะที่ผมไม่เข้าใจหมอนั่นจนทำให้ทั้งผมทั้งมันเจ็บปวด  ถ้าผมไม่ถือทิฐิที่ว่าผมเกลียดเกย์แล้วล่ะก็คงไม่มีใครเจ็บปวด  แต่อุปสรรคก็ทำให้เรารู้ว่าความรักมันมีค่ามากแค่ไหน
     

    “นายหายโกรธฉันแล้วหรือ?” ไอ้คีตะถาม
     

    “อื้ม  ได้ยินจากไอ้มินทร์แล้วล่ะว่านายต้องเจ็บปวดแค่ไหน  ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องอดทนแบกเรื่องเลวร้ายมาตั้งนาน ขอโทษจริงๆ ” ผมวางมือทั้งสองข้างไว้บนแก้มของหมอนั่นก่อนจะพยักหน้าพลางพูดเสียงอ้อมแอ้ม
     

    “ไม่เป็นไร  แค่นั้นฉันทนได้” ไอ้คีตะคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะดึงตัวผมเข้าไปใกล้อีกนิด 
     

    เราจ้องหน้ากันก่อนที่ต่างคนต่างก็เลื่อนหน้าเข้าหากัน  ผมเผยอปากขึ้นก่อนจะจูบที่ริมฝีปากของหมอนั่นเบาๆ  เมื่อเห็นว่าผมยอมจูบด้วยไอ้บ้าคีตะก็เอาใหญ่เลยล่ะครับ  จูบซะนานไม่ยอมผละออกไปไหน
     

    “ต่อไปนี้อย่าหนีมาแบบนี้อีกนะ  ถ้ามีปัญหาอะไรให้ปรึกษาฉันสิอย่าตัดสินใจเอาเอง  ก็จริงอยู่ที่ฉันอายที่จะต้องเปิดเผยว่าทำอะไรกับใครแต่ถ้าต้องเจ็บปวดขนาดนี้ฉันยอมอายดีกว่า  เพราะอะไรนายรู้ไหม?” ผมพูดชิดกลีบปากของหมอนั่นซึ่งมันก็ยิ้มรับ

    “เพราะนายรักฉัน” หมอนั่นตอบ
     

    “ใช่ที่ไหน? เพราะนายรักฉันต่างหาก” ผมรีบพูด  เขินครับ ไม่กล้าบอกว่าผมรักมันเลยแฮะ
     

    “อ้าว? แล้วไม่รักฉันเหรอ?” หมอนั่นทำปากยื่นพลางขมวดคิ้ว
     

    “ตามมาขนาดนี้เพราะฉันเกลียดนายต่างหากเล่า” ผมเอียงหน้าหลบสายตาก่อนจะพูดออกไปอย่างเขินๆ
     

    “จริงเหรอครับ?” หมอนั่นมองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
     

    “จริงสิ” ผมรีบตอบกลบอาการเขิน
     

    “ครับ  เกลียดก็เกลียด” ไอ้คีตะขำนิดๆ ก่อนจะยอมรับ  มันก็คงจะรู้ว่าผมไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆ
     

    “แค่กๆๆ อ่ะแฮ่ม! เอ่อ...ขอโทษนะ  พอดีว่าพวกกุ๊ยพวกนั้นหนีไปหมดแล้ว  ไม่ทราบว่าพวกเธอจะหยุดสวีทกับสักครู่ได้ไหม  คือแบบ...พวกเราต้องไปโรงพยาบาลกันน่ะ” ผู้ชายผมทองคนหนึ่งเดินมาสะกิดไหล่ไอ้คีตะ  ผมตกใจก่อนจะรีบผละออกจากมัน  ไอ้ห่า...เมื่อกี้ดันลืมตัวว่าตัวเองอยู่ในสมรภูมิรบอยู่
     

    “อ่า...โอเค  เอ่อนี่...เขาเป็น...เพื่อนที่มาจากเมืองไทยน่ะชื่อคิท” ไอ้คีตะทำท่าเหนียมอายก่อนจะตอบ
     

    “อ้อ ยินดีที่ได้รู้จัก  ฉันชื่อแม็คนะส่วนเจ้าผมสั้นสีทองนั่นชื่อจอห์นและเจ้าแว่นนั่นชื่อคริส” แม็คที่เพิ่งแนะนำตัวพูดพลางชี้ไปที่เพื่อนที่กำลังนอนกลิ้งอยุ่บนพื้น
     

    “ยินดีที่ได้รู้จัก” ผมพูด
     

    “เฮ้ย! ผู้ชายเหรอวะ” แม็คทำหน้าตกใจรีบกระซิบถามไอ้คีตะ  กระซิบดั๊งดัง
     

    “ฮะๆ ใช่” ไอ้คีตะพยักหน้าตอบ
     

    “แล้วไม่ใช่แฟนนายเหรอ  เห็นจูบกัน” แม็คถาม
     

    “ก็...ยังไม่ใช่  แต่ถ้าเป็นนายจะรับได้ไหมล่ะ?” ไอ้คีตะเลิกคิ้วถามกลับ 
     

    “ชิลล์ๆ น่า  ขนาดไอ้จอห์นยังเคยควงผู้ชายเลย” แม็คมองหน้าผมนิดๆ ก่อนจะยิ้มแล้วยักไหล่
     

    “เอาเถอะ  รีบไปโรงพยาบาลกันดีกว่า  ดูเหมือนไอ้คริสจะกระดูกหักด้วยนะ” ไอ้คีตะเดินไปดูเพื่อนพลางเช็คอาการเบื้องต้นก่อนจะรีบพาเพื่อนที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นไปส่งโรงพยาบาล

     



     

    หลังจากจัดการเรื่องเพื่อนกับโรงพยาบาลแล้วไอ้คีตะก็พาผมกลับมาที่บ้านของตัวเองครับ  ตอนที่ผมบอกไปว่าผมจะมาเรียนที่รัฐใกล้ๆ ไอ้คีตะมันดีใจมากครับ  ผมก็ดีใจที่จะได้อยู่กับมัน  แต่คิดๆ ไปแล้วก็ใจหายที่ไม่มีเพื่อนกลุ่มเดิมอีกแล้ว  ทั้งไอ้วา ไอ้ลิซ ไอ้มินทร์และไอ้พีท  ไหนจะพวกพี่บอลกับพี่ๆ นักบาสอีก  เมื่อก่อนอยู่ที่ประเทศไทยยังพอไปมาหาสู่กันได้แต่อยู่ที่นี่ทำได้แค่ติดต่อกับผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กเท่านั้น  คิดถึงจังแฮะ
     

    “คิดอะไรอยู่ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?” ไอ้คีตะถามพลางยื่นนมอุ่นๆ มาให้ผม
     

    “นี่ นายมาอยู่ที่นี่ไม่คิดถึงพวกเพื่อนๆ บ้างเหรอ?” ผมถามออกไป  ผมเพิ่งมาได้แค่วันเดียวผมยังคิดถึงขนาดนี้แล้วหมอนี่ที่อยู่ที่นี่ตั้งสองปีจะคิดถึงขนาดไหนนะ
     

    “คิดถึงสิ  แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ  มีแต่ต้องทำใจเท่านั้นแหละ  เดี๋ยวก็ชิน” ไอ้คีตะพูดพลางยืดตัวนั่งบนเคาน์เตอร์ในห้องรับแขกส่วนผมนั่งอยู่บนโซฟา
     

    “อื้อ ฉันชักอยากจะกลับบ้านซะแล้วสิ” ผมยกเข่าขึ้นมาชันไว้ก่อนจะกอดหลวมๆ
     

    “เอางี้ไหม? เดี๋ยวช่วงปิดเทอมหน้าร้อนเรากลับไทยกัน  รออีกครึ่งเดือนฉันก็จะได้หยุดแล้ว” ไอ้คีตะบอก  ผมยิ้มกว้างออกมาอย่างดีใจ
     

    “จริงนะ!?” ผมถามเพื่อความมั่นใจ
     

    “จริงสิ  งั้นก่อนจะกลับไปขออะไรอย่างสิ” ไอ้คีตะพูดพลางยกมุมปากขึ้นนิดๆ
     

    “อะไร?” ผมเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของไอ้คีตะคนเดิม
     

    “นี่น่ะ ไม่ได้ปลดปล่อยมานานแล้วนะ” ไอ้คีตะบิดขี้เกียจนิดหน่อยก่อนจะชี้ไปที่เป้ากางเกงของตัวเอง  ผมมองตามก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีทั้งๆ ที่หน้าร้อนฉ่าไปทั้งแถบ  ว่าแล้วเชียว  อย่างหมอนี่มันไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้หรอก
     

    “ไอ้บ้า!” ผมส่ายหน้าไปมา
     

    “น่านะ  รู้ไหมว่านอกจากนายแล้วฉันไม่กล้าไปทำอะไรใครที่ไหนเลยนะ  ให้รางวัลหน่อย” ไอ้คีตะพูดพลางเนรเทศตัวเองมานั่งเบียดผม
     

    “ไม่เชื่อ” ผมเล่นตัว  จะบ้าเหรอครับ ผมไม่กล้าตอบรับไอ้บ้านี่หรอก  ผมอาย  อีกอย่าง...มันเสียฟอร์ม
     

    “เชื่อเถอะ ไม่งั้นลองพิสูจน์ได้เลย” ไอ้คีตะพูดพลางพยายามจับมือผมไปวางที่เป้ากางเกงของตัวเองแต่ผมก็รีบยื้อมือของตัวเอาไว้  พวกเรายื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่อย่างนั้นก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข  ไอ้คีตะมองหน้าผมก่อนจะจูบเบาๆ ที่หน้าผากจากนั้นมันก็กอดผมเอาไว้  ผมเองก็เอียงตัวซบอกมันเต็มที่
     

    ปิ๊ง ป่อง!
     

    ผมกับไอ้คีตะผละออกจากกันเมื่อเสียงกดกริ่งดังขึ้น  เรามองหน้ากันก่อนจะขมวดคิ้วงงๆ มาใครมาหาเอาป่านนี้  นี่ก็ค่อนข้างจะดึกมากแล้วด้วย  พอดึก หมู่บ้านแถวนี้ก็เงียบสงัดเหมือนหมู่บ้านร้างเลยล่ะครับ
     

    “พี่เคย์หรือเปล่า?” ผมถามอย่างสงสัย
     

    “ไม่ใช่  ถ้าเป็นไอ้เคย์มันจะไขกุญแจเข้ามาเลย” ไอ้คีตะบอกก่อนจะลุกออกไปเปิดประตู  ผมเดินตามพลางมองแผ่นหลังของมันที่กำลังเดินไปที่รั้วบ้าน  ผมชะเง้อคอมองข้ามไหล่มันไปก่อนจะพบเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว  และพอไอ้คีตะมันเปิดประตูรั้วไอ้เด็กนั่นก็กระโดดกอดไอ้คีตะแน่นจนผมอึ้งเลยล่ะครับ  ไอ้คีตะหันกลับมามองผมก่อนจะส่ายหน้าไปมาเพื่อไม่ให้ผมคิดมาก  ไม่คิดมากได้ไง  ไม่เจอกันสองปี จู่ๆ ก็มีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มากอดแบบนั้นใครไม่คิดมากบ้างล่ะครับ
     

    “คีตะ ฮึก พ่อดุ ฮือ  ผมก็เลยออกมาจากบ้าน” ไอ้เด็กคนนั้นงอแง  ไอ้คีตะจึงหอบมันเข้ามาในบ้าน  ใช้คำว่าหอบได้เลยครับเพราะไอ้คีตะมันกอดเอวไอ้เด็กนั่นไว้ก่อนจะหอบเข้ามาในบ้าน  ไอ้ผมก็เคืองไม่หยอกเพราะไอ้เด็กนั่นมันไม่สนใจผมที่ยืนหัวโด่อยู่หน้าประตูเอาแต่ซบอกไอ้คีตะอยู่ได้
     

    “นิก ใจเย็นๆ นะ  มีเรื่องอะไรเล่าให้ฟังสิ” ไอ้คีตะพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน  หนอย! ไหนเมื่อกี้มึงบอกมึงไม่เคยไปมีอะไรกับใครที่ไหนไงฟะ? ทำไมถึงพูดอย่างนั้นกับไอ้เด็กนิกนี่ด้วย?
     

    “พ่อ ฮึก หาว่าผมไปมีเรื่อง กะ...ก็เลยดุ...แล้วก็ด่าแรงมากเลย ฮือ ผะ...ผมน้อยใจก็...ก็เลยหนีออกมาหาคีตะ” ไอ้เด็กนิกสะอึกสะอื้นร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด “อะ...เอ่อ...คีตะ คะ...ใครอ่ะ?” ในที่สุดมึงก็เห็นหัวกูสินะ  ทำไมมึงไม่สังเกตตอนที่จะนอนล่ะครับ  กูยืนอยู่หน้าประตูตั้งนานแต่มึงเพิ่งจะมาเห็นกูตอนที่เข้ามานั่งบนโซฟาในห้องรับแขกเนี่ยนะ  ตามึงทำด้วยถั่วรึไง!?
     

    “นี่ชื่อคิทน่ะ  เป็น...เพื่อนมาจากประเทศไทย” ไอ้คีตะมองหน้าผมก่อนจะชะงักไปเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของเรา  ใช่สิ  ตอนนี้เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่
     

    “สวัสดีครับ” ไอ้เด็กนิกขยับเข้าไปกอดเอวไอ้คีตะที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะหันมาทักทายผมด้วยสีหน้าที่น่าถีบมาก  ไอ้ห่า เมื่อกี้มึงยังร้องไห้จะเป็นจะตายแต่พอมองหน้ากูหน่อยนี่ทำหน้าอย่างกับซาตาน  อะ...ไอ้เด็กสองหน้า!! อย่างมึงแถวบ้านกูเขาเรียกแอ๊บว่ะไอ้หนู!
     

    “ชนินทร์ นี่นิก  เป็นรุ่นน้องที่เล่นบาสด้วยกันน่ะ  เป็นรุ่นน้องนายสองปีนะ” ไอ้คีตะบอก  ผมพยักเข้าใจก่อนจะข่มตาดุมองไอ้นิกที่กำลังแสยะปากเหมือนคนกำลังสะใจอะไรบางอย่าง  มันคงจะเย้ยผมที่มันได้อิงแอบแนบชิดกับไอ้คีตะสินะ  สงสัยว่ามันจะมีเซ้นส์แน่ๆ มันถึงมีท่าทางอย่างนั้น  คงจะรู้ล่ะสิว่าผมเป็นศัตรูหัวใจตัวฉกาจของมัน  ผมเองก็มีเซ้นส์เหมือนกัน  เพราะแค่เห็นหน้ามันครั้งแรกผมก็รู้สึกหมั่นไส้ตะหงิดๆ
     

    “...” ผมไม่พูดอะไรพลางทำหน้าเหมือนไม่อยากจะรู้จักกับไอ้นิกไอ้คีตะจึงทำหน้าอ่อนใจพลางส่ายหน้าไปมา
     

    “ชนินทร์” ไอ้คีตะทำหน้าดุ
     

    “ฉันจะพักห้องไหนได้เหรอ?” ผมเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามถึงเรื่องห้องที่มันจะให้ผมพัก
     

    “นายก็ต้องนอนห้องกับฉันสิ” หมอนั่นว่า
     

    “คีตะ วันนี้ผมขอนอนกับคีตะได้ไหม? ผมเศร้า  คีตะปลอบผมหน่อยได้ไหม?” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบไอ้เด็กนิกนั่นก็พูดออดอ้อนไอ้คีตะทำให้ผมทำหน้าบึ้งตึงด้วยอารมณ์โมโห  ไอ้คีตะทำหน้าลำบากใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
     

    “แล้วแต่นะ  ฉันนอนห้องไหนก็ได้เพราะฉันไม่ได้เศร้า” ผมจ้องหน้าไอ้คีตะนิ่ง
     

    “ชนินทร์  อย่าประชดน่า” หมอนั่นทำหน้าลำบากใจสุดๆ  ส่วนไอ้นิกก็เอาแต่กอดออดอ้อนจนผมอารมณ์เสีย
     

    “แล้วนายจะทำยังไงล่ะ? ถ้าไม่รู้จะทำยังไงก็เอาตามนั้นแล้วกัน  ฉันไปนอนห้องอื่นส่วนนายก็เชิญปลอบเด็กของนายไปเถอะ” ผมพูดพลางกอดอกหันหลังพิงเคาน์เตอร์  แน่นอนว่าต้องหันหลังให้สองคนนั้นด้วย  ถ้าไอ้คีตะจะเอาแบบนั้นจริงๆ ผมจะโกรธและน้อยใจมากเลยล่ะครับ  ก็ผมเพิ่งมาถึงแถมมาคนเดียวผมก็ต้องอยากจะมีเพื่อนนอนอยู่ด้วยอยู่แล้วล่ะ
     

    ไอ้คีตะกับไอ้นิกนั่นเงียบไปสักพักจากนั้นไอ้คีตะก็พูดออกมา “นิก ขอโทษทีนะแต่วันนี้ฉันคงให้นายนอนที่ห้องฉันไม่ได้” ไอ้คีตะปฏิเสธไอ้เด็กนิกเสียงนุ่ม
     

    “ทำไมล่ะคีตะ? เพื่อนของคุณก็ไม่ได้ว่าอะไรไม่ใช่เหรอ?” ไอ้เด็กนิคกระเง้ากระงอด
     

    “ที่จริงเขาไม่ใช่แค่เพื่อนหรอกนะนิก  แต่เขาเป็นคนที่ฉันรัก...รักมากเพราะฉะนั้นฉันคงปล่อยเขาไว้คนเดียวไม่ได้” ไอ้คีตะพูดพลางลุกเดินมาดึงผมเข้าไปโอบไหล่เอาไว้  ผมทำหน้าเซ็งก่อนจะปัดมือมันออกเหมือนรำคาญแต่มันก็ยังดื้อที่จะโอบผมเอาไว้อีกครั้ง  ที่ทำหน้าเซ็งก็กลบเกลื่อนความเขินนั่นแหละครับ
     

    “คีตะ...” ไอ้นิกดูท่าทางอึ้งๆ เมื่อไอ้คีตะบอกว่ารักผม “แต่ดูท่าทางเขาไม่ได้ชอบคีตะเลยนะ” หมอนั่นพูดเสียงสั่นๆ
     

    “ชนินทร์ ทำให้เขาเข้าใจหน่อยสินายจะได้ไม่ต้องงอนฉันแบบนี้” ไอ้คีตะพูดเบาๆ กับผม
     

    “ฉัน...เกลียดหมอนี่มากเลยล่ะ” ผมหันไปมองไอ้นิกพลางยกมือขึ้นกอดเอวไอ้คีตะเอาไว้แล้วพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ  ไอ้เด็กนิกนิ่งไปด้วยสีหน้าที่เสียใจสุดๆ ก่อนเจ้าตัวจะบีบน้ำตาร้องไห้แต่ไอ้คีตะก็ไม่ได้เข้าไปปลอบเพราะผมดึงชายเสื้อมันเอาไว้  ถ้าขืนมันไปปลอบไอ้เด็กนั่นก็จะยิ่งตัดใจไม่ได้
     

    “เขาไม่เห็นจะเหมาะกับคีตะเลย  ยังไงผมก็ไม่ยอมรับเรื่องนี้แน่” ไอ้นิกนั่นทำหน้าบึ้งใส่ผมก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกระทืบเท้าออกจากบ้านไป  อ้าวไอ้นี่  ไหนเมื่อกี้บอกว่าทะเลาะกับพ่อไงวะ  หรือว่านั่นจะเป็นข้ออ้างเพื่อมาอ้อนไอ้คีตะ  หนอยแน่ะมึง!
     

    “อะไรกันหมอนั่น?” ผมผละออกจากไอ้คีตะก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาแล้วกอดอกถาม
     

    “ก็อย่างที่เห็น  ท่าทางนิกจะชอบฉันแต่ว่าฉันไม่ได้คิดอะไรนะ” ไอ้คีตะบอก
     

    “ลองคิดดูสิ” ผมทำหน้าดุขู่
     

    “นี่ชนินทร์...” ไอ้คีตะเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าผมก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือทั้งสองข้างของผมที่วางไว้ตรงหน้าขา “มันอาจจะช้าไปซักหน่อยแต่ฉันก็อยากจะยืนยันความสัมพันธ์ของเราให้มันชัดเจนกว่านี้  นาย...จะคบกับฉันได้ไหม?” หน้าผมร้อนฉ่าเมื่อไอ้คีตะพูดออกมาอย่างนั้น  เราผ่านอะไรหลายๆ อย่างมาด้วยกันก็จริงแต่พอถูกขอคบแบบนี้แล้วมันรู้สึกตื่นเต้นพิกล
     

    “มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องคบกับนาย?” ผมก้มหน้าถาม
     

    “เพราะฉันรักนายไง” ไม่ว่ามันจะบอกรักผมกี่ครั้งต่อกี่ครั้งผมก็รู้สึกตื่นเต้นได้ทุกครั้ง  ผมดีใจที่มันยังรักผมและไม่เปลี่ยนใจไปจากผมแม้ว่าเราจะอยู่ห่างกันตั้งสองปี  คุ้มจริงๆ กับการรอคอย
     

    “แต่ฉันเกลียดนายนะ” ผมพูดพลางยิ้มตื้นตัน
     

    “ซักวันนายจะต้องบอกว่ารักฉัน  ขอแค่ให้โอกาสให้ฉันได้ทำให้นายพูดคำนั้น  ได้ไหม?” ไอ้คีตะกุมมือผมพลางเงยหน้ามองผมด้วยสายตามีความหวัง  ผมตัดความหวังของหมอนี่มาหลายต่อหลายครั้งแล้วเพราะฉะนั้นครั้งนี้ผมจะมอบความหวังให้มัน
     

    “อือ” ผมพยักหน้านิดๆ
     

    “ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ  ห้ามนอกใจนะ” ไอ้คีตะว่า
     

    “บอกตัวเองก่อนดีไหม?” ผมถามกลับ  ก็ไอ้บ้านี่มันเคยเจ้าชู้มาก่อนนี่นาถึงมันจะไม่ใช่คนที่ชอบเข้าหาใครก่อนก็เถอะ
     

    “รู้หรือเปล่าว่าฉันรอเวลานี้มานานแค่ไหน  ฉันรอวันที่นายจะยอมเปิดใจให้กับฉันเพราะฉะนั้นฉันไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดไปแน่  ฉันรักนายมากนะชนินทร์” ไอ้คีตะพูดก่อนจะยกมือขวาของผมไปจูบเบาๆ จากนั้นมันก็ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ แล้วดึงตัวเองเข้าไปกอดเอาไว้  ผมซุกหัวลงไปซบที่ไหล่มันโดยไม่พูดอะไร
     

    สักพักพวกเราก็ขึ้นไปนอนด้วยกันในห้องของไอ้คีตะ  แน่นอนว่าเราไม่ได้ทำอะไรเพียงแค่กอดกันเท่านั้น  จะมีบ้างที่ไอ้คีตะแอบขโมยจูบตามใบหน้าของผม  ท่าทางมันจะคิดถึงผมมากเลยแฮะ  ผมเองก็ดีใจมากที่ได้เจอกันมัน  เป็นเหมือนฝันเลยแฮะ  หวังว่าพรุ่งนี้เช้าผมตื่นขึ้นมาทุกอย่างคงจะเป็นอย่างนี้  มันคงจะไม่ใช่แค่ฝันสินะ

     



     

    “จุ๊บ อรุณสวัสดิ์  ตื่นได้แล้วครับคนดี” เสียงทักนุ่มๆ ลื่นหูดังขึ้นใกล้ๆ หลังจากสัมผัสนิ่มๆ อุ่มๆ แตะลงที่แก้มของผม
     

    “อือ ฮะๆ คนดีอะไรเล่า  เลี่ยนเป็นบ้า” ผมกะพริบตาก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นว่าคนที่พูดประโยคเลี่ยนๆ นั่นเป็นไอ้คีตะ
     

    “อ้าว ก็อยากหวานบ้างอะไรบ้าง” ไอ้หมอนั่นยืดตัวตรงก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา
     

    “แล้วนี่...อาบน้ำแล้วเหรอ?” ผมถามเมื่อเห็นไอ้คีตะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวกางเกงสแล็คเรียบร้อย  หล่อจังแฮะ น่าอิจฉาเป็นบ้าเลย  หมอนี่แต่งอะไรก็ขึ้น  ขนาดแต่งตัวเป็นกุ๊ยยังหล่อเลย
     

    “ใช่ อีกสักหน่อยฉันต้องไปเรียนแล้ว  นายอยู่แต่ในบ้านนะอย่าออกไปไหนล่ะ  ข้าวฉันเตรียมไว้ในตู้เย็นแล้วเอาไปอุ่นได้เลย  เดี๋ยวบ่ายๆ ไอ้เคย์จะกลับมานะ  แต่ฉันบอกมันไว้แล้วล่ะว่านายมา” ไอ้คีตะบอกพลางเดินไปหยิบเอกสารปึกใหญ่ใส่กระเป๋าสะพายข้าง
     

    “แล้วนายจะกลับมาตอนไหนอ่ะ?” ผมทำหน้าหงอยๆ  ผมยังไม่สนิทกับพี่เคย์มากนักก็เลยไม่กล้าสู้หน้าสักเท่าไหร่
     

    “เย็นๆ น่ะ  ไม่ต้องห่วงน่าไอ้เคย์มันไม่ทำอะไรนายหรอก  เดี๋ยวมันจะมากับแฟนมัน  คนนี้มันรักมากเพราะฉะนั้นมันไม่นอกใจมาหานายหรอกฉันรับประกัน  หรือถ้ามันคิดอะไรกับนายฉันนี่แหละที่จะจัดการกับมันเอง” ไอ้คีตะเดินมาลูบหัวผมเหมือนกับลูบหัวหมายังไงยังงั้น
     

    “ไม่ได้กังวลเรื่องนั้นสักหน่อย  แค่ฉันยังไม่สนิทกับพี่เคย์ก็เลยไม่กล้าอยู่รับหน้าแค่นั้นเอง” ผมย่นจมูกนิดๆ
     

    “งั้นเดี๋ยวช่วงพักฉันจะแว้บออกมาหาละกัน” หมอนั่นบอกยิ้มๆ
     

    “ไม่เอาๆ นายเรียนหนักจะตายเพราะฉะนั้นไม่ต้องมาเลยนะ  ถ้านายมาล่ะก็เราเห็นดีกันแน่” ผมชี้หน้าขู่มัน  เดิมทีมันก็เรียนจนไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว ผมไม่อยากให้มันคิดมากเรื่องของผมจนไม่เป็นอันเรียน  เมื่อคืนตอนที่ผมหลับยังไม่สนิทดีเท่าไหร่ผมจำได้ว่าผมแบเห็นมันอ่านหนังสือหน้าเครียดเชียวล่ะครับ
     

    “ไม่เป็นไรหรอก  นั่งรถแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว” มันว่า
     

    “คีตะ ตั้งใจเรียนดีกว่าไม่ต้องห่วงหรอกน่า  ถ้าไม่สบายใจก็โทรเข้าบ้านสิ” ผมบอกอย่างจริงจัง
     

    “ก็ได้ๆ ดุจัง” หมอนั่นยิ้มกว้างพลางขยี้ผมของผมจนยุ่งเหยิง “งั้นฉันเขียนเบอร์ฉันไว้ตรงนี้นะ  มีอะไรก็โทรมาหรือถ้าคิดถึงก็โทรมาได้ตลอดล่ะ”
     

    “ครับๆ เข้าใจแล้ว” ผมว่าพลางจัดผมให้เข้าทรง
     

    “ฉันไปล่ะนะ  อย่าลืมล่ะ  ถ้ามีอะไรก็โทรมา” ไอ้คีตะเดินไปหยิบเสื้อโค้ทมาใส่ก่อนจะเดินไปเปิดประตู  ผมลุกออกจากเตียงเพื่อเดินไปส่งมันที่หน้าบ้าน
     

    “คีตะๆ” ก่อนที่หมอนั่นจะเปิดประตูเพื่อเดินออกไปนอกบ้านผมก็ดึงแขนเสื้อของมันไว้แล้วรีบเขย่งเท้าขึ้นจุ๊บแก้มมันเบาๆ หนึ่งที  หมอนั่นหน้าเหวอไปก่อนกลุ่มสีแดงอ่อนๆ จะกระจายไปทั่วใบหน้า  มันหันมามองผมด้วยสายตาอึ้งๆ และหน้าที่ยังแดงก่ำ
     

    “ไม่อยากไปเรียนแล้ว” มันพูด
     

    “ฮ่าๆ รีบๆ ไปเรียนเลยไป” ผมหัวเราะเขินๆ ก่อนจะเปิดประตูแล้วรุนหลังหมอนั่นให้ออกไปจากบ้านก่อนจะปิดประตู  อ่า...ที่ทำไปเมื่อกี้ไม่ใช่ไม่เขินนะครับ  เขินสุดๆ เลยล่ะแต่อยากลองทำบ้าง  อีกอย่าง...หมอนั่นหน้าแดงแล้วน่ารักดีเหมือนกันแฮะ

     



    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    หายไปนานนนนนนน  นานมากจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ

    อ้อ สำหรับคนที่อยากจะได้หนังสือเรื่องนี้น้า  เค้าจะเปิดจองเดือนกุมภา ปี 57 นะ  ถ้าใครอยากถามอะไรยังไงสามารถติดต่อเค้าได้ที่เพจน้า


    https://www.facebook.com/DprTheTrickyFox

    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×