คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #42 : Rule 35 : (Special Min x Jiin) ผมเกลียดเด็กคนนี้
อ่า อุ่นจังเลยนะ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกอุ่นขนาดนี้ ผิวกายของคนนี่มันดีจริงๆ
ผิวกาย...ผิวกาย? ผิวกาย!?! เฮ้ย!! ผิวกายใครฟระ!!!
เฮือก!!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ที่น่าจะสดใสสำหรับผมเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังนอนอิงแอบแนบชิดอยู่กับใครบางคนที่ไม่น่าพึงประสงค์สักเท่าไหร่ เมื่อคืนผมนอนหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น น้ำก็ไม่ได้อาบ เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน ตอนนี้ผมจึงตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังใส่เดรสของไอ้ขิมอยู่เลย
“อือ ตื่นเบาๆ ไม่เป็นหรือไง” ไอ้เด็กมินทร์งัวเงียขยี้ตาพลางถีบผ้าห่มออก โอยๆ หัวใจจะวาย เห็นสภาพที่ตัวเองนอนเมื่อกี้ผมแทบว้าก เพราะเมื่อคืนถูกไอ้เด็กบ้านี่แย่งหมอนผมจึงได้แต่นอนราบเฉยๆ แต่สงสัยเพราะนอนไม่สบายผมจึงขยับตัวไปหนุนแขนไอ้หมอนั่นแทน พอตื่นเช้าขึ้นมาผมจึงพบว่าผมอยู่ในสภาพที่นอนซุกอกไอ้เด็กบ้านั่น จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ไหมครับ!?!
“นี่นาย! ตื่นแล้วก็รีบไสหัวออกไปเลย!” ผมไล่พลางเอาเท้าเขี่ยขาหมอนั่น
“เฮอะ! พวกเกย์นี่ชอบโชว์กันซะจริงๆ” ไอ้เด็กนั่นส่ายหน้าก่อนจะโยนหมอนมาวางไว้ที่หน้าขาผมอย่างพอดิบพอดี นั่น...ลืมอีกแล้วว่าตัวเองใส่แค่เสื้อตัวเดียว
“อย่าพูดมากได้ไหม? แล้วสายขนาดนี้ทำไมไม่ไปซ้อมกับคนอื่นเขา!?!” ผมถามเมื่อมองนาฬิกาบนผนังห้อง นี่ก็เจ็ดโมงแล้ว ปกติพวกนักกีฬาออกไปซ้อมกันตั้งแต่ตีห้าแน่ะ ใจจริงๆ ของผมอยากจะปั้นไอ้เด็กนี่ให้เป็นนักกีฬาอยู่เหมือนกันเพราะหมอนี่หุ่นดีมากอีกทั้งยังมีทักษะสูงพอสมควร ขัดๆ เกลาๆ อีกนิดคงขึ้นไปเทียบชั้นกับไอ้คิทไอ้บอลได้ แต่เพราะทิฐิผมจึงไม่อยากบอกมันไปตรงๆ ว่าอยากให้เป็นนักกีฬา
“ไม่ได้เป็นนักกีฬาจะไปทำไม?” ไอ้เด็กมินทร์ยักไหล่ก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็นของผมอย่างถือวิสาสะ
“อยากเป็นไหมล่ะ?” ผมถามลองเชิง
“ถ้าให้มีอะไรกับคุณแล้วได้เป็นผมไม่เอาด้วยหรอก” พูดจบก็เปิดกระป๋องโค้กพลางกรอกปาก ไม่มีมารยาทเอาซะเลย
“โอย ทำอย่างกับฉันอยากจะมีอะไรกับนายนักแหละ อ้อ แล้วที่ฉันถามว่าอยากเป็นไหมก็เพราะพวกรุ่นพี่ม.หกที่เป็นนักกีฬาเขาจะลาออกจากชมรมเพราะเรื่องเตรียมสอบเข้ามหาลัยต่างหาก ไม่ได้พิศวาสนายเลยสักนิด” ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ
“แล้วไง?” หมอนั่นหรี่ตามองผม ถ้าไม่ติดว่าไอ้เด็กนี่นิสัยเสียผมจะจับมันกดลงเตียงเพราะหมอนี่มันดูดีเป็นบ้า
“ก็ถ้าอยากจะเป็นก็ต้องมีฝีมือหน่อยล่ะ” ผมพูด
“โทษทีพอดีผมไม่มีหรอกไอ้ฝีมืออะไรนั่น อ้อ...ขอบคุณที่เลี้ยงโค้กนะครับ” ไอ้เด็กมินทร์โยนกระป๋องโค้กลงถังขยะก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผมแล้วเดินออกจากห้องไป
ชิ!! ไอ้เด็กกวนตีนพรรค์นั้นไม่น่ามีหน้าตาตรงสเป็กผมเลยว่ะ เซ็งจริงๆ
ผมออกไปอยู่ที่ห้องชมรมเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของนักกีฬาตั่งแต่เช้า เพียงเวลาไม่นานหลังจากที่ผมเข้ามาในห้องชมรมพวกนักกีฬากับสมาชิกในชมรมก็เข้ามาฝึกซ้อม ผมแอบดีใจเล็กๆ ที่ผมฝึกเจ้าพวกทะโมนในชมรมบาสแสนขี้เกียจให้กลายเป็นคนขยันได้ ตอนแรกๆ ที่พวกนี้เข้าชมรมมาพวกมันแทบไม่เคยฝึกซ้อมเลยสักครั้งแต่เป็นเพราะผมปลูกฝังความชอบซ้อมให้พวกมันจนกลายเป็นนิสัยไปโดยปริยาย
ผมออกมายืนดูสมาชิกในชมรมซ้อมก่อนจะแปลกใจเมื่อหันไปเห็นไอ้เด็กมินทร์เข้ามาซ้อมพร้อมกับน้องคิท น่าแปลกใจนิดๆ นะครับที่มันมาซ้อมเพราะท่าทางของมันเหมือนไม่อยากจะเล่นบาสเสียเต็มประดา
แวบหนึ่ง...ไอ้เด็กมินทร์มันเงยหน้าขึ้นมามองผมที่อยู่บนชั้นสอง ผมรู้สึกแปลกๆ กับสายตาจริงจังของมันเมื่อครู่ผมจึงรีบหลบตาและทำเป็นเอาโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ไงจิ้น เรื่องเมื่อคืนมึงโอเคนะ” ผมสะดุ้งจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือเมื่อไอ้ขิมทักขึ้น ฮู่ว มันมาตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย
“โอเค ชิลล์ๆ น่า” ผมยิ้มพลางโบกมือไปมา ขณะที่พูดผมก็แอบเหลือบตาไปมองมินทร์ซึ่งมันก็จ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเมื่อเห็นผมคุยกับไอ้ขิม หึงแทนเพื่อนเชียวนะไอ้เด็กเวร หมั่นไส้จริง
“แล้วเมื่อคืนไอ้เด็กนั่นไปนอนที่ห้องมึงใช่ไหม?” ไอ้ขิมพูดพลางพยักพเยิดไปที่ไอ้เด็กมินทร์ที่กำลังเล่นบาสอย่างหัวเสีย
“เออสิ พูดอย่างนี้แสดงว่ามึงนอนกกที่รักมึงทั้งคืนเลยล่ะสิ แหม...หวานกันจังเลยนะ” ผมพูดอย่างหมั่นไส้ ท่าทางที่แสดงออกไปก็เหมือนจะเล่นๆ นะครับแต่ที่จริงผมหมั่นไส้จริงๆ ก็ใช่สิ ผมไม่ได้ตัวเล็กน่ารักบอบบางเหมือนสุดที่รักของมันนี่ เชอะ!
“อิจฉาเหรอ? โอ๋ๆ ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลนะ” ไอ้ขิมมันขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะขยี้ผมของผมอย่างหมั่นเขี้ยว ผมหัวเราะขำๆ กับหน้าเจื่อนๆ ของไอ้ขิม ดูเหมือนมันจะรู้สึกผิดมากที่ทิ้งผมไว้ระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกแย่
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่เมื่อคืนมึงงาบที่รักของมึงไปหรือยังล่ะ?” ผมถาม ถามเองเจ็บเองวุ้ย
“ถ้าได้ก็ดีสิวะ มันงอนกูไม่ยอมให้ไปนอนด้วยเลยจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หายงอนกูเลยเนี่ย” ไอ้ขิมหน้าบูดก่อนจะบ่นอย่างหัวเสีย
“ให้กูไปคุยให้ไหมล่ะก็ที่ทะเลาะกันก็เพราะกูนี่” ผมพูด ถึงผมจะชอบไอ้ขิมแต่พอเห็นมันทะเลาะกับแฟนแบบนี้แล้วผมก็ใจคอไม่ดี ถึงมันจะเลิกกันแต่ก็ใช่ว่าไอ้ขิมจะหันมาสนใจผมนี่เพราะฉะนั้นช่วยให้พวกมันคืนดีกันจะดีกว่า อีกอย่างไอ้เด็กพีทนั่นก็เป็นเพื่อนน้องคิทและเด็กพวกนี้ก็เป็นคนนิสัยดีกัน เอ่อ...ยกเว้นไอ้มินทร์ไว้คนหนึ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก รอให้มันใจเย็นก่อนแล้วค่อยไปพูดก็ได้ เด็กนั่นไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากหรอก” ไอ้ขิมพูดปลอบใจตัวเอง
“ท่าทางมึงจะรักน้องเขามากนะ” ผมก้มหน้าก่อนจะถามเสียงแผ่ว
“มากว่ะ กูไม่เคยจริงจังกับใครเท่านี้มาก่อนเลย ไม่อยากเสียไปจริงๆ” ไอ้ขิมยิ้มอย่างจริงใจ ได้ยินอย่างนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจแฮะ ผมรักไอ้ขิมมาตั้งนานและที่ไม่กล้าสารภาพออกไปก็เพราะมันไม่ใช่เกย์แต่สุดท้ายคนที่มันรักอย่างสุดหัวใจกลับเป็นผู้ชายด้วยกัน
ผมรู้สึกร้อนที่ขอบตาก่อนจะรีบขอตัวไปไกลๆ จากไอ้ขิมเพราะขืนอยู่ด้วยกันแบบนี้มีหวังผมร้องไห้แน่ๆ
ผมเดินออกจากโรงยิมมาสงบสติอารมณ์ที่สวนหย่อมข้างๆ โรงยิม มันเจ็บแฮะที่ได้ยินว่าไอ้ขิมมันรักแฟนมันมาก ถึงจะไม่อยากให้เลิกกันแต่ผมก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี มันทำใจกันไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะครับที่เห็นคนที่ตัวเองรักไปรักคนอื่น
“ทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ ไปฟังเขาพร่ำพรรณนาความรักของตัวเองให้ฟังหรือไง?” เสียงคุ้นๆ ดังขึ้นผมจึงรีบหันไปมองอย่างเคืองๆ
“อะไรของนาย?” ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่ชอบใจ
“ก็คุณไงครับ คุยกับไอ้พี่บ้านั่นเสร็จก็เดินทำหน้าเหมือนคนอยากตายออกมาแบบนี้แสดงว่าไปได้ยินเรื่องแสลงใจมาล่ะสิ” ไอ้เด็กมินทร์ยิ้มเยาะ
“แหม...รู้ใจดีเหลือเกินนะ” ผมแสยะยิ้มบ้างก่อนจะเดินเข้าไปประชิดตัวไอ้เด็กมินทร์แล้วใช้นิ้วชี้ลากจากลำคอลงมาถึงขอบคอเสื้อ ไอ้เด็กมินทร์รีบปัดมือออกและผลักผมออกด้วยสีหน้าขยะแขยง ผมเบือนหน้าหนี แค่ได้ยินว่าไอ้ขิมรักใครผมก็เจ็บจะแย่ยิ่งมาถูกรังเกียจแบบนี้ผมยิ่งเจ็บ ถึงอย่างไรก็ตามผมไม่อยากทำตัวเองให้ดูน่าสมเพชต่อหน้าไอ้เด็กจองหองนี่เลย
“นายกลับไปซ้อมต่อเถอะ ฉันไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนอย่างนาย” ผมหันหลังให้ไอ้เด็กนั่นก่อนจะกอดอก ก็เพราะผมเป็นซะอย่างนี้ก็เลยถูกเด็กมันเกลียดเอาล่ะมั้ง ชอบแกล้งแหย่เพื่อปิดบังความอ่อนแอของตัวเองจนเขาขยะแขยง
นานกว่าเสียงฝีเท้าของไอ้เด็กมินทร์จะดังขึ้นและค่อยๆ เบาลงเมื่อหมอนั่นเดินห่างออกไป เฮ้อ หาคนในสเป็กใหม่ดีกว่าเรา คนปากร้ายแบบนี้ผมไม่มีปัญญารับมือหรอก ต่อไปนี้ผมจะไม่ไปยุ่งกับหมอนี่แล้วล่ะครับ เหนื่อยใจจริงๆ
หลังจากอารมณ์เย็นลงแล้วผมก็กลับเข้าไปเก็บของในห้องชมรม แต่พอจะเดินออกจากโรงยิมผมก็ถูกรั้งไว้โดยไอ้เด็กมินทร์
“นายมีอะไรกับฉันนักหนาเนี่ย?” ผมถามอย่างอารมณ์เสีย
“เปล่า อยากคุยเรื่องเมื่อกี้” หมอนั่นพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ
“นี่นาย...ถ้าจะมาตอกย้ำฉันล่ะก็พอเลยดีกว่า ฉันไม่ไปแย่งคนรักของเพื่อนนายหรอกและที่สำคัญฉันจะไม่ยุ่งกับนายด้วย พอใจยัง?” ผมขมวดคิ้วก่อนจะรีบเดินหนี ยิ่งเห็นหน้าไอ้เด็กนี่ผมยิ่งหงุดหงิด มันจะมาตอกย้ำเรื่องไอ้ขิมทำไมในเมื่อมันก็ดูออกมาว่าผมชอบไอ้ขิม เฮ้อ! ผมเบื่อที่จะเจ็บปวดแล้ว ไปเหล่หนุ่มหล่อๆ ให้อารมณ์ดีดีกว่า
หลังจากนั้นสองวันผมก็ตกลงปลงใจคบกับรุ่นน้องที่อยู่หอเดียวกันและดูเหมือนแฟนผมคนนี้จะเป็นเพื่อนในห้องไอ้เด็กมินทร์ซะด้วย ก็ดี...มันจะได้สบายใจว่าผมไม่คิดจะจีบมันอีก
“วันนี้มารับถึงห้องเลยเหรอครับพี่จิ้น?” ไอ้เด็กฟิล์มที่เป็นแฟนผมเดินออกจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่ออาจารย์ออกจากห้องเรียนแล้ว
“อืม...จะชวนไปหาอะไรกินที่ตลาดหลังโรงเรียนน่ะ” ผมยิ้มบางๆ
“แล้วพี่จิ้นไม่เข้าชมรมเหรอ?” ไอ้ฟิล์มถาม
“ไม่อ่ะ ช่วงนี้เบื่อชมรม ไปเที่ยวกับฟิล์มน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ” ผมกอดแขนไอ้เด็กฟิล์มอ้อนๆ ซึ่งไอ้เด็กนั่นก็เขินหน้าแดง มันต้องอย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นผู้ชาย ไม่เหมือนไอ้มินทร์ที่เอาแต่ปากหมาใส่ผมไปวันๆ
“เจริญละชมรมบาส ผู้จัดการชมรมโดดไปเที่ยวกับผู้ชาย เจริญจริงโว้ย!!” ผมถลึงตามองไอ้เด็กมินทร์ที่เดินลอยหน้าลอยตาผ่านผมไป
“เอ่อ...มินทร์มึงว่าแฟนกูหรือเปล่าวะ?” ไอ้เด็กฟิล์มถามขึ้นอย่างไม่พอใจที่เพื่อนร่วมห้องมาว่าผมแบบนั้น แหม...มีปกป้องกันด้วย น่ารักจริงๆ
“ไม่มั้ง” ไอ้เด็กมินทร์หันมามองพวกเราก่อนจะแสยะยิ้ม
“มินทร์มึงอย่าหาเรื่องนะเว้ย!” ไอ้เด็กฟิล์มโกรธที่ไอ้มินทร์มันพูดเหมือนต่อว่าผม
“กูหาเรื่องอะไรวะ?” ไอ้มินทร์ทำหน้ากวนตีน ผมถอนหายใจนิดๆ อย่างระอากับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของไอ้สองคนนี้
“ฟิล์ม ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก ก็แค่เด็กปากเสียที่ไม่น่าสนใจคนหนึ่ง ฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย” ผมดึงแขนไอ้เด็กฟิล์มที่ทำท่าจะเข้าไปมีเรื่องกับไอ้มินทร์เอาไว้ ถ้ามีเรื่องกันผมกลัวว่าไอ้เด็กมินทร์จะเล่นบาสไม่ได้น่ะสิก็เพราะไอ้ฟิล์มน่ะอยู่ชมรมมวย เกิดถูกต่อยหน้าแหกกระดูกหักขึ้นมาเดี๋ยวก็อดเป็นนักกีฬากันพอดี
“ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกละกัน ขยะแขยง” ไอ้เด็กมินทร์ทำท่ารังเกียจก่อนจะเดินจากไป ผมก้มหน้ากัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ
“พี่จิ้น โอเคนะ?” ไอ้ฟิล์มโอบไหล่ผมไว้เบาๆ
“อืม...โอเค ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ผมยิ้มฝืนๆ ก่อนจะจูงมือไอ้ฟิล์มเดินลงจากอาคาร
หลังจากที่ถูกไอ้มินร์ดูถูกในวันนั้นผมก็ไม่ไปให้มันเห็นหน้าอีกเลย ตอนเข้าชมรมผมก็เอาแต่ทำงานเอกสารอยู่ในห้องชมรมไม่ยอมออกไปเจอหน้าใคร ผมรีบมาที่ชมรมก่อนใครเพื่อนและออกจากชมรมคนสุดท้ายเพื่อหลบเลี่ยงไอ้มินทร์ ทำไมเวลาผมเห็นหน้ามันผมถึงเจ็บขนาดนี้ก็ไม่รู้
ขณะที่ผมกำลังจะกลับไปที่หอเพราะเห็นคนหมดชมรมแล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ไอ้มินทร์ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในชมรม ผมถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงไอ้มินทร์ไปที่ประตูโรงยิม
ไอ้มินทร์เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่ลืมเอาไว้ก่อนจะเดินผ่านผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ผมก้าวขาไม่ออกเหมือนถูกตรึงเอาไว้แต่พอไอ้มินทร์เดินผ่านไปแล้วผมก็รู้สึกหายใจสะดวกขึ้นต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ
“เฮ้อ” ผมแข้งขาอ่อนทรุดลงนั่งตรงประตูอย่างเพลียๆ เหนื่อยใจทุกครั้งที่ได้เจอหน้าไอ้เด็กนี่จริงๆ เมื่อก่อนผมแกล้งเด็กนี่ออกจะบ่อยแต่พอถูกบอกว่ารังเกียจอย่างนั้นรังเกียจอย่างนี้ผมก็พลอยท้อแท้ไปด้วย
“จะกลับไหมหอ?” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆไอ้เด็กมินทร์ก็เดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าผม
“ทำไม? จะกลับเป็นเพื่อนเหรอ?” ผมพูดยั่วโมโหแต่คราวนี้ผมไม่เข้าไปประชิดตัวแต่กลับถอยออกห่างหลายก้าว
“มันมืดแล้ว มีเพื่อนกลับไม่ดีหรือไง?”
“มันก็ดี แต่เพื่อนร่วมทางคนนั้นต้องไม่ใช่นาย” ผมแสยะปากนิดๆ อย่างไม่พอใจกับสีหน้าเหมือนคนอยู่เหนือกว่าของไอ้มินทร์
“คุณเป็นอะไร!?! นึกอยากมาอยู่ใกล้ก็มานึกอยากจะถอยห่างก็ไป คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้เที่ยวมาปั่นหัวคนอื่นแบบนี้!?!” ไอ้เด็กมินทร์ตะคอกก่อนจะก้าวเข้ามาหาผม ผมถอยออกห่างอย่างตกใจ
“ฉันก็แค่นึกสนุกพอเบื่อก็ไป เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันเบื่อที่จะต้องแกล้งนายแล้ว นายเองก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรือไงเห็นทำท่าขยะแขยงเสียเต็มประดา” ผมกอดอกแสยะยิ้มอย่างอวดดีแม้ในใจจะกำลังกลัวก็ตาม ผมกลัวใจไอ้เด็กคนนี้จริงๆ
“มันก็ต้องขยะแขยงสิเพราะผมไม่ใช่เกย์เหมือนคุณนี่!!” ไอ้มินทร์ปรี่เข้ามากระชากไหล่ผมเข้าไปบีบไว้อย่างหัวเสีย
“ก็เพราะไม่ใช่ไงฉันถึงเบื่อที่จะเล่นกับนาย!! ทำท่าขยะแขยงเหมือนฉันเป็นตัวน่ารังเกียจแบบนั้นฉันจะกล้าอยู่ใกล้นายต่อไปได้ยังไง ถึงฉันจะหน้าด้านแต่มันก็มีขอบเขตเหมือนกันนะ!!” ผมผลักไอ้มินทร์ออกก่อนจะตะคอกกลับ จู่ๆ ก็เข้ามาโมโหใส่ คนอะไรนิสัยเสียแถมอารมณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ คนแบบนี้ผมไม่อยากคุยด้วยแล้ว
ผมยืนหอบในขณะที่ไอ้มินทร์นิ่งเงียบ ผมก้มลงเก็บสมุดโน้ตที่หล่นลงพื้นตอนที่ไอ้มินทร์มันบีบไหล่ผมขึ้นมาถือก่อนจะรีบเดินออกไป
“เดี๋ยว!!” ไอ้เด็กมินทร์ตะโกนก่อนจะรีบวิ่งมาดึงผมที่ยังเดินไม่พ้นประตูโรงยิมเอาไว้
หลังผมกระแทกกำแพงเพราะถูกผลักก่อนจะต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ไอ้เด็กมินทร์ก็ก้มลงมาจูบผมอย่างรุนแรงปราศจากความนุ่มนวลและอ่อนหวานโดยสิ้นเชิง ไอ้เด็กมินทร์ขบเม้มริมฝีปากผมแน่นจนผมรู้สึกแสบระบมอีกทั้งยังกวาดลิ้นเข้ามาในโพรงปากจนผมแทบกระอัก
ผมผลักอกไอ้มินทร์ออกก่อนจะตบหน้าฉาดใหญ่จนหน้ามันหันไปตามทิศทางของแรง
“ฉันไม่รู้ว่านายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรแต่ขอบอกไว้อย่างนะ ถึงฉันจะเป็นเกย์แต่ฉันก็ไม่ได้ร่านขนาดขอให้คนที่ขยะแขยงตัวเองมากอดมาจูบหรอกนะ!!” ผมตะคอกใส่อย่างเดือดดาล รู้สึกขอบตาร้อนๆ เหมือนน้ำตาจะไหลแฮะ
“จะไปรู้เหรอ เห็นชอบอ่อยเหลือเกินผู้ชายเนี่ย!” ไอ้มินทร์ยิ้มเยาะเหมือนดูถูก
“คนอย่างฉันก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง ถึงมันจะน่ารังเกียจแค่ไหนฉันก็ไม่อยากให้ใครมาดูถูก!! คนที่ไม่รู้จักฉันดีอย่างนายไม่ต้องเข้ามายุ่ง ต่อไปนี้ไม่ต้องมาคุยถ้าเห็นหน้ากันก็เมินๆ ไปซะ เด็กนิสัยเสียแบบนายฉันไม่อยากจะยุ่งด้วยที่สุด!!” ผมพูดอย่างโกรธเคือง วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมระเบิดอารมณ์โกรธขนาดนี้ ไอ้มินทร์เป็นคนแรกที่ทำให้ผมโกรธจนตะคอกจนเสียงแหบเสียงแห้งแถมยังตายังร้อนผ่าวๆ เหมือนจะร้องไห้ ถึงจะอยากร้องไห้แค่ไหนแต่ผมจะไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าไอ้เด็กนี่อย่างเด็ดขาด
“เดี๋ยว!” ผมรีบจ้ำอ้าวออกจากโรงยิมแม้จะได้ยินเสียงรั้งของไอ้เด็กมินทร์ก็ตาม
วันนี้เป็นวันคัดเลือกตัวนักกีฬาที่จะเข้ามาเล่นแทนพี่ม.6ที่ต้องเตรียมตัวไปสอบ ไอ้เด็กมินทร์เองก็เข้ามาคัดและทำได้ดีพอสมควร แต่ถึงมันจะทำได้ดีแค่ไหนผมก็ไม่มองมันให้เสียสายตาเสียความรู้สึกหรอกนะ มันเซ็งครับ
“นักกีฬาใหม่มารับตารางฝึกกับกรอกไซส์เสื้อตรงนี้ด้วยนะครับ” ผมพูดเสียงยานคางพลางก้มหน้าก้มตาเขียนเอกสาร
“กรอกตรงไหนเหรอครับ?” เสียงที่กำลังพูดอยู่เรียกสายตาของผมให้เงยขึ้นมองคนพูด เมื่อเห็นคนพูดผมถึงกับวางปากกาแล้วลุกออกจากเก้าอี้ที่ประจำทันที
“คิท กูเบลอๆ ว่ะมึงมาทำหน้าที่นี้แทนกูหน่อยก็แล้วกัน” ผมเดินไปบอกไอ้โหดประจำชมรมที่นานๆ ทีจะเข้ามาที่ชมรม
“อะไรของมึงวะ คิดจะอู้หรือไง” ไอ้คิทบ่นแต่ก็ยอมมานั่งแทนที่ผม
“ไม่ได้อู้แต่วันนี้กูขอกลับก่อนละกัน” ผมพูดพลางเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางทิ้งไว้ตรงบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง
“อะไรของมึงวะจิ้น วันนี้ยิ่งยุ่งๆ อยู่ด้วยถ้าไม่มีมึงแล้วใครจะช่วยจัดการเรื่องงบประมาณสั่งซื้อเสื้อวะ?” ไอ้คิทหันมามองผมอย่างไม่ชอบใจ เรื่องเงินๆ ทองๆ ไอ้หมอนี่ไม่ชอบยุ่งนักหรอกเพราะมันเป็นคนไม่ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้และมักจะทำเงินของส่วนรวมหายบ่อยๆ มันก็เลยไม่อยากรับผิดชอบในส่วนนี้สักเท่าไหร่
“เออน่า เป็นถึงลูก ผอ. แค่เงินนิดๆ หน่อยๆ มึงจัดการได้อยู่แล้วน่า ไปล่ะ” ผมตัดบทก่อนจะรีบเดินออกจากชมรม
ผมเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องก่อนจะถือลูกบาสออกไปที่คอร์ทกลางแจ้งที่เป็นที่ประจำของไอ้คิท หลายคนรู้ดีอยู่แล้วว่าผมเป็นผู้จัดการที่ดีแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าผมเองก็เป็นผู้เล่นที่ดีด้วยเช่นกัน ตอนม.1 ผมได้เป็นนักกีฬาตัวจริงทันทีที่เข้าชมรมแต่เพราะผมอวดดีเกินไปรุ่นพี่ก็เลยหมั่นไส้กลั่นแกล้งจนผมบาดเจ็บที่หัวเข่า อาการบาดเจ็บของผมในตอนนั้นมันแค่เล็กๆ น้อยๆ ผมจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากมายแต่เพราะผมไม่ได้ดูแลตัวเองเข่าของผมจึงบาดเจ็บสะสมมาเป็นเวลานานและเจ็บจนถูกห้ามเล่นกีฬาหนักๆ อีก
ระหว่างที่ผมกำลังเศร้ากับการที่ไม่สามารถเล่นกีฬาที่ตัวเองชอบได้อีกต่อไปผมก็ไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวโตมาก สูงหุ่นดีไม่เหมือนเด็กม.ต้น ผมถูกใจเจ้านั่นมากจึงลองชวนมาเล่นบาสด้วยกันแต่เจ้าหมอนั่นกลับเล่นกีฬาได้ห่วยแตกซะไม่มี ตัวก็ใหญ่ดูดีแต่ที่จริงอ่อนแอจนน่าหมั่นไส้ ผมโกรธไอ้หมอนี่จริงๆ ที่ดันมีรูปร่างที่แสนดูดีแต่กลับไร้ประโยชน์ ที่จริงผมอิจฉามันต่างหากที่มีรูปร่างสมเป็นนักกีฬาที่ผมไม่สามารถมีอย่างมันได้ เพราะความหมั่นไส้ผมจึงเคี่ยวเข็ญและฝึกจนมันเป็นนักกีฬาที่เก่ง
ผมเริ่มทำใจกับความจริงที่ว่าผมเล่นบาสไม่ได้อีกแล้วและหันมาเป็นเทรนเนอร์ฝึกคนในชมรมให้เป็นนักกีฬาที่เก่งแทน แต่คนที่ผมภูมิใจเห็นจะเป็นไอ้คิทที่เคยอ่อนแอนี่แหละ ไอ้หมอนี่รูปร่างดีอยู่แล้วพอมีกล้ามเนื้อยิ่งดูดีกว่าเดิม และไอ้คิทนี่แหละที่ทำให้ผมเริ่มสนใจผู้ชายด้วยกันแต่ว่าผมไม่ได้รักมันหรอกนะแค่มันทำให้ผมเริ่มหลงใหลหุ่นสวยๆ ของผู้ชายด้วยกันเท่านั้น คนห่ามๆ นิสัยเสียสุดตีนแบบนั้นผมชอบไม่ลงครับ
“เฮ้อ อยากเล่นบาสกับพวกนั้นจังเลยน้า” ผมเปรยก่อนจะชู้ตบาสลงห่วงได้อย่างแม่นยำ ผมทำได้แค่เพียงยืนชู้ตนิ่งๆ ไม่สามารถกระโดดชู้ตหรือเลย์อัพเหมือนคนอื่นๆ เพราะนั่นจะทำให้ผมเจ็บเข่าขึ้นมาดื้อๆ
“หนีงานมาที่นี่เองเหรอเนี่ย” เสียงไอ้คิทดังขึ้นผมจึงหันไปยิ้มให้มันบางๆ
“มึงออกมาแบบนี้แล้วใครจะช่วยไอ้บอลทำงานล่ะ?” ผมถาม
“มีคนช่วยเยอะอยู่แล้วน่า กูเห็นสีหน้ามึงไม่ดีก็เลยออกมาดู” ไอ้คิทพูดก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งข้างคอร์ท
“ช่วงนี้กูเครียดนิดหน่อยน่ะ อย่าคิดมากเลย” ผมยิ้มฝืนๆ
“มึง...อยากกลับมาเล่นบาสหรือเปล่า?” ไอ้คิทถาม
“จนถึงตอนนี้กูก็ยังตัดใจจากบาสไม่ได้แต่จะให้กลับไปเล่นก็คงไม่ไหว สภาพกูตอนนี้แค่วิ่งเร็วๆ ยังทำไม่ได้เลย” ผมพูดก่อนจะชู้ตบาสอีกครั้ง เวลาเรียนพละผมก็ทำได้แค่วอร์มร่างกายเบาๆ อยู่ข้างสนามในขณะที่คนอื่นๆ เขาเล่นกีฬากันอย่างเมามัน แต่นี่ก็ผ่านมาหลายปีผมทำใจได้แล้วล่ะครับ
“กูรู้จักหมอผ่าตัดคนหนึ่ง เขาเป็นศัลยแพทย์ที่เคยทำงานอยู่อเมริกาแต่ตอนนี้กลับมาทำที่ไทย ถ้ามึงสนใจกูจะพาไปหา” ไอ้คิทพูด
“กูหามาหลายหมอแล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” ผมถอนหายใจปลงๆ
“ไม่แน่นะมึง มึงอดใจไม่ออกกำลังกายหนักๆ มาตั้งหลายปีแล้วไม่แน่นะมึงอาจจะหายแล้วก็ได้ ลองกระโดดดูสิ” ไอ้คิทยกขาไขว่ห้าง ไอ้บ้านี่หล่อโคตรพ่อโคตรแม่เลยแต่เพราะผมมีอคติเรื่องที่ผมเคยอิจฉามันผมก็เลยชอบมันไม่ลงน่ะสิ
“ฮึบ!!(กระโดด) อ๊ะ...โอ๊ย!!” ผมรวบรวมพลังกระโดดก่อนจะร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อความเจ็บแล่นปรี๊ดสู่ต่อมรับความรู้สึก ทันทีที่เท้าผมสัมผัสพื้นหัวเข่าของผมก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างรุนแรง
“เฮ้ยจิ้น!!” ไอ้คิทตกใจที่เห็นผมทรุดไปก่อนจะรีบวิ่งมาอุ้มผมกลับไปที่ชมรมอย่างรีบร้อน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มินทร์ แกทำร้ายว่าที่ภรรเมียแกมากอ่ะ
สงสารพี่จิ้นจุง
ความคิดเห็น