ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #42 : Rule 35 : (Special Min x Jiin) ผมเกลียดเด็กคนนี้

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.62K
      19
      4 เม.ย. 56

    Rule 35 : (Special Min x Jiin) ผมเกลียดเด็กคนนี้



                    อ่า อุ่นจังเลยนะ  นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้รู้สึกอุ่นขนาดนี้  ผิวกายของคนนี่มันดีจริงๆ
     

                    ผิวกาย...ผิวกาย? ผิวกาย!?! เฮ้ย!! ผิวกายใครฟระ!!!
     

                    เฮือก!!
     

                    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ที่น่าจะสดใสสำหรับผมเมื่อรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังนอนอิงแอบแนบชิดอยู่กับใครบางคนที่ไม่น่าพึงประสงค์สักเท่าไหร่  เมื่อคืนผมนอนหลับไปทั้งๆ อย่างนั้น  น้ำก็ไม่ได้อาบ  เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน  ตอนนี้ผมจึงตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังใส่เดรสของไอ้ขิมอยู่เลย
     

                    “อือ  ตื่นเบาๆ ไม่เป็นหรือไง” ไอ้เด็กมินทร์งัวเงียขยี้ตาพลางถีบผ้าห่มออก  โอยๆ  หัวใจจะวาย  เห็นสภาพที่ตัวเองนอนเมื่อกี้ผมแทบว้าก  เพราะเมื่อคืนถูกไอ้เด็กบ้านี่แย่งหมอนผมจึงได้แต่นอนราบเฉยๆ แต่สงสัยเพราะนอนไม่สบายผมจึงขยับตัวไปหนุนแขนไอ้หมอนั่นแทน  พอตื่นเช้าขึ้นมาผมจึงพบว่าผมอยู่ในสภาพที่นอนซุกอกไอ้เด็กบ้านั่น  จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ไหมครับ!?!
     

                    “นี่นาย! ตื่นแล้วก็รีบไสหัวออกไปเลย!” ผมไล่พลางเอาเท้าเขี่ยขาหมอนั่น
     

                    “เฮอะ! พวกเกย์นี่ชอบโชว์กันซะจริงๆ” ไอ้เด็กนั่นส่ายหน้าก่อนจะโยนหมอนมาวางไว้ที่หน้าขาผมอย่างพอดิบพอดี  นั่น...ลืมอีกแล้วว่าตัวเองใส่แค่เสื้อตัวเดียว
     

                    “อย่าพูดมากได้ไหม? แล้วสายขนาดนี้ทำไมไม่ไปซ้อมกับคนอื่นเขา!?!” ผมถามเมื่อมองนาฬิกาบนผนังห้อง  นี่ก็เจ็ดโมงแล้ว  ปกติพวกนักกีฬาออกไปซ้อมกันตั้งแต่ตีห้าแน่ะ  ใจจริงๆ ของผมอยากจะปั้นไอ้เด็กนี่ให้เป็นนักกีฬาอยู่เหมือนกันเพราะหมอนี่หุ่นดีมากอีกทั้งยังมีทักษะสูงพอสมควร  ขัดๆ เกลาๆ อีกนิดคงขึ้นไปเทียบชั้นกับไอ้คิทไอ้บอลได้  แต่เพราะทิฐิผมจึงไม่อยากบอกมันไปตรงๆ ว่าอยากให้เป็นนักกีฬา
     

                    “ไม่ได้เป็นนักกีฬาจะไปทำไม?” ไอ้เด็กมินทร์ยักไหล่ก่อนจะลุกเดินไปเปิดตู้เย็นของผมอย่างถือวิสาสะ
     

                    “อยากเป็นไหมล่ะ?” ผมถามลองเชิง
     

                    “ถ้าให้มีอะไรกับคุณแล้วได้เป็นผมไม่เอาด้วยหรอก” พูดจบก็เปิดกระป๋องโค้กพลางกรอกปาก  ไม่มีมารยาทเอาซะเลย

                    “โอย ทำอย่างกับฉันอยากจะมีอะไรกับนายนักแหละ  อ้อ แล้วที่ฉันถามว่าอยากเป็นไหมก็เพราะพวกรุ่นพี่ม.หกที่เป็นนักกีฬาเขาจะลาออกจากชมรมเพราะเรื่องเตรียมสอบเข้ามหาลัยต่างหาก ไม่ได้พิศวาสนายเลยสักนิด” ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ
     

                    “แล้วไง?” หมอนั่นหรี่ตามองผม  ถ้าไม่ติดว่าไอ้เด็กนี่นิสัยเสียผมจะจับมันกดลงเตียงเพราะหมอนี่มันดูดีเป็นบ้า
     

                    “ก็ถ้าอยากจะเป็นก็ต้องมีฝีมือหน่อยล่ะ” ผมพูด
     

                    “โทษทีพอดีผมไม่มีหรอกไอ้ฝีมืออะไรนั่น  อ้อ...ขอบคุณที่เลี้ยงโค้กนะครับ” ไอ้เด็กมินทร์โยนกระป๋องโค้กลงถังขยะก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผมแล้วเดินออกจากห้องไป
     

                    ชิ!! ไอ้เด็กกวนตีนพรรค์นั้นไม่น่ามีหน้าตาตรงสเป็กผมเลยว่ะ  เซ็งจริงๆ

     



     

                    ผมออกไปอยู่ที่ห้องชมรมเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของนักกีฬาตั่งแต่เช้า  เพียงเวลาไม่นานหลังจากที่ผมเข้ามาในห้องชมรมพวกนักกีฬากับสมาชิกในชมรมก็เข้ามาฝึกซ้อม  ผมแอบดีใจเล็กๆ ที่ผมฝึกเจ้าพวกทะโมนในชมรมบาสแสนขี้เกียจให้กลายเป็นคนขยันได้  ตอนแรกๆ ที่พวกนี้เข้าชมรมมาพวกมันแทบไม่เคยฝึกซ้อมเลยสักครั้งแต่เป็นเพราะผมปลูกฝังความชอบซ้อมให้พวกมันจนกลายเป็นนิสัยไปโดยปริยาย
     

                    ผมออกมายืนดูสมาชิกในชมรมซ้อมก่อนจะแปลกใจเมื่อหันไปเห็นไอ้เด็กมินทร์เข้ามาซ้อมพร้อมกับน้องคิท  น่าแปลกใจนิดๆ นะครับที่มันมาซ้อมเพราะท่าทางของมันเหมือนไม่อยากจะเล่นบาสเสียเต็มประดา
     

                    แวบหนึ่ง...ไอ้เด็กมินทร์มันเงยหน้าขึ้นมามองผมที่อยู่บนชั้นสอง  ผมรู้สึกแปลกๆ กับสายตาจริงจังของมันเมื่อครู่ผมจึงรีบหลบตาและทำเป็นเอาโทรศัพท์ขึ้นมากด
     

                    “ไงจิ้น เรื่องเมื่อคืนมึงโอเคนะ” ผมสะดุ้งจนเกือบทำโทรศัพท์หลุดมือเมื่อไอ้ขิมทักขึ้น  ฮู่ว  มันมาตั้งแต่ตอนไหนวะเนี่ย
     

                    “โอเค ชิลล์ๆ น่า” ผมยิ้มพลางโบกมือไปมา  ขณะที่พูดผมก็แอบเหลือบตาไปมองมินทร์ซึ่งมันก็จ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเมื่อเห็นผมคุยกับไอ้ขิม  หึงแทนเพื่อนเชียวนะไอ้เด็กเวร  หมั่นไส้จริง
     

                    “แล้วเมื่อคืนไอ้เด็กนั่นไปนอนที่ห้องมึงใช่ไหม?” ไอ้ขิมพูดพลางพยักพเยิดไปที่ไอ้เด็กมินทร์ที่กำลังเล่นบาสอย่างหัวเสีย
     

                    “เออสิ  พูดอย่างนี้แสดงว่ามึงนอนกกที่รักมึงทั้งคืนเลยล่ะสิ  แหม...หวานกันจังเลยนะ” ผมพูดอย่างหมั่นไส้  ท่าทางที่แสดงออกไปก็เหมือนจะเล่นๆ นะครับแต่ที่จริงผมหมั่นไส้จริงๆ  ก็ใช่สิ ผมไม่ได้ตัวเล็กน่ารักบอบบางเหมือนสุดที่รักของมันนี่  เชอะ!
     

                    “อิจฉาเหรอ? โอ๋ๆ ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลนะ” ไอ้ขิมมันขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนจะขยี้ผมของผมอย่างหมั่นเขี้ยว  ผมหัวเราะขำๆ กับหน้าเจื่อนๆ ของไอ้ขิม  ดูเหมือนมันจะรู้สึกผิดมากที่ทิ้งผมไว้ระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกแย่
     

                    “ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ  ว่าแต่เมื่อคืนมึงงาบที่รักของมึงไปหรือยังล่ะ?” ผมถาม  ถามเองเจ็บเองวุ้ย
     

                    “ถ้าได้ก็ดีสิวะ  มันงอนกูไม่ยอมให้ไปนอนด้วยเลยจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่หายงอนกูเลยเนี่ย” ไอ้ขิมหน้าบูดก่อนจะบ่นอย่างหัวเสีย
     

                    “ให้กูไปคุยให้ไหมล่ะก็ที่ทะเลาะกันก็เพราะกูนี่” ผมพูด  ถึงผมจะชอบไอ้ขิมแต่พอเห็นมันทะเลาะกับแฟนแบบนี้แล้วผมก็ใจคอไม่ดี  ถึงมันจะเลิกกันแต่ก็ใช่ว่าไอ้ขิมจะหันมาสนใจผมนี่เพราะฉะนั้นช่วยให้พวกมันคืนดีกันจะดีกว่า  อีกอย่างไอ้เด็กพีทนั่นก็เป็นเพื่อนน้องคิทและเด็กพวกนี้ก็เป็นคนนิสัยดีกัน  เอ่อ...ยกเว้นไอ้มินทร์ไว้คนหนึ่ง
     

                    “ไม่เป็นไรหรอก  รอให้มันใจเย็นก่อนแล้วค่อยไปพูดก็ได้  เด็กนั่นไม่ใช่คนเข้าใจอะไรยากหรอก” ไอ้ขิมพูดปลอบใจตัวเอง
     

                    “ท่าทางมึงจะรักน้องเขามากนะ” ผมก้มหน้าก่อนจะถามเสียงแผ่ว
     

                    “มากว่ะ  กูไม่เคยจริงจังกับใครเท่านี้มาก่อนเลย  ไม่อยากเสียไปจริงๆ” ไอ้ขิมยิ้มอย่างจริงใจ  ได้ยินอย่างนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะเสียใจแฮะ  ผมรักไอ้ขิมมาตั้งนานและที่ไม่กล้าสารภาพออกไปก็เพราะมันไม่ใช่เกย์แต่สุดท้ายคนที่มันรักอย่างสุดหัวใจกลับเป็นผู้ชายด้วยกัน
     

                    ผมรู้สึกร้อนที่ขอบตาก่อนจะรีบขอตัวไปไกลๆ จากไอ้ขิมเพราะขืนอยู่ด้วยกันแบบนี้มีหวังผมร้องไห้แน่ๆ



     

     

                    ผมเดินออกจากโรงยิมมาสงบสติอารมณ์ที่สวนหย่อมข้างๆ โรงยิม  มันเจ็บแฮะที่ได้ยินว่าไอ้ขิมมันรักแฟนมันมาก  ถึงจะไม่อยากให้เลิกกันแต่ผมก็ยังเจ็บปวดอยู่ดี  มันทำใจกันไม่ได้ง่ายๆ หรอกนะครับที่เห็นคนที่ตัวเองรักไปรักคนอื่น
     

                    “ทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้  ไปฟังเขาพร่ำพรรณนาความรักของตัวเองให้ฟังหรือไง?” เสียงคุ้นๆ ดังขึ้นผมจึงรีบหันไปมองอย่างเคืองๆ
     

                    “อะไรของนาย?” ผมขมวดคิ้วมองอย่างไม่ชอบใจ
     

                    “ก็คุณไงครับ  คุยกับไอ้พี่บ้านั่นเสร็จก็เดินทำหน้าเหมือนคนอยากตายออกมาแบบนี้แสดงว่าไปได้ยินเรื่องแสลงใจมาล่ะสิ” ไอ้เด็กมินทร์ยิ้มเยาะ
     

                    “แหม...รู้ใจดีเหลือเกินนะ” ผมแสยะยิ้มบ้างก่อนจะเดินเข้าไปประชิดตัวไอ้เด็กมินทร์แล้วใช้นิ้วชี้ลากจากลำคอลงมาถึงขอบคอเสื้อ  ไอ้เด็กมินทร์รีบปัดมือออกและผลักผมออกด้วยสีหน้าขยะแขยง  ผมเบือนหน้าหนี  แค่ได้ยินว่าไอ้ขิมรักใครผมก็เจ็บจะแย่ยิ่งมาถูกรังเกียจแบบนี้ผมยิ่งเจ็บ  ถึงอย่างไรก็ตามผมไม่อยากทำตัวเองให้ดูน่าสมเพชต่อหน้าไอ้เด็กจองหองนี่เลย
     

                    “นายกลับไปซ้อมต่อเถอะ  ฉันไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนอย่างนาย” ผมหันหลังให้ไอ้เด็กนั่นก่อนจะกอดอก  ก็เพราะผมเป็นซะอย่างนี้ก็เลยถูกเด็กมันเกลียดเอาล่ะมั้ง ชอบแกล้งแหย่เพื่อปิดบังความอ่อนแอของตัวเองจนเขาขยะแขยง
     

                    นานกว่าเสียงฝีเท้าของไอ้เด็กมินทร์จะดังขึ้นและค่อยๆ เบาลงเมื่อหมอนั่นเดินห่างออกไป  เฮ้อ หาคนในสเป็กใหม่ดีกว่าเรา  คนปากร้ายแบบนี้ผมไม่มีปัญญารับมือหรอก  ต่อไปนี้ผมจะไม่ไปยุ่งกับหมอนี่แล้วล่ะครับ  เหนื่อยใจจริงๆ



     

     

                    หลังจากอารมณ์เย็นลงแล้วผมก็กลับเข้าไปเก็บของในห้องชมรม  แต่พอจะเดินออกจากโรงยิมผมก็ถูกรั้งไว้โดยไอ้เด็กมินทร์
     

                    “นายมีอะไรกับฉันนักหนาเนี่ย?” ผมถามอย่างอารมณ์เสีย
     

                    “เปล่า  อยากคุยเรื่องเมื่อกี้” หมอนั่นพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ
     

                    “นี่นาย...ถ้าจะมาตอกย้ำฉันล่ะก็พอเลยดีกว่า  ฉันไม่ไปแย่งคนรักของเพื่อนนายหรอกและที่สำคัญฉันจะไม่ยุ่งกับนายด้วย  พอใจยัง?” ผมขมวดคิ้วก่อนจะรีบเดินหนี  ยิ่งเห็นหน้าไอ้เด็กนี่ผมยิ่งหงุดหงิด  มันจะมาตอกย้ำเรื่องไอ้ขิมทำไมในเมื่อมันก็ดูออกมาว่าผมชอบไอ้ขิม เฮ้อ! ผมเบื่อที่จะเจ็บปวดแล้ว  ไปเหล่หนุ่มหล่อๆ ให้อารมณ์ดีดีกว่า



     

     

                    หลังจากนั้นสองวันผมก็ตกลงปลงใจคบกับรุ่นน้องที่อยู่หอเดียวกันและดูเหมือนแฟนผมคนนี้จะเป็นเพื่อนในห้องไอ้เด็กมินทร์ซะด้วย  ก็ดี...มันจะได้สบายใจว่าผมไม่คิดจะจีบมันอีก
     

                    “วันนี้มารับถึงห้องเลยเหรอครับพี่จิ้น?” ไอ้เด็กฟิล์มที่เป็นแฟนผมเดินออกจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่ออาจารย์ออกจากห้องเรียนแล้ว
     

                    “อืม...จะชวนไปหาอะไรกินที่ตลาดหลังโรงเรียนน่ะ” ผมยิ้มบางๆ
     

                    “แล้วพี่จิ้นไม่เข้าชมรมเหรอ?” ไอ้ฟิล์มถาม
     

                    “ไม่อ่ะ  ช่วงนี้เบื่อชมรม ไปเที่ยวกับฟิล์มน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ” ผมกอดแขนไอ้เด็กฟิล์มอ้อนๆ ซึ่งไอ้เด็กนั่นก็เขินหน้าแดง  มันต้องอย่างนี้สิถึงจะสมกับเป็นผู้ชาย  ไม่เหมือนไอ้มินทร์ที่เอาแต่ปากหมาใส่ผมไปวันๆ
     

                    “เจริญละชมรมบาส  ผู้จัดการชมรมโดดไปเที่ยวกับผู้ชาย เจริญจริงโว้ย!!” ผมถลึงตามองไอ้เด็กมินทร์ที่เดินลอยหน้าลอยตาผ่านผมไป
     

                    “เอ่อ...มินทร์มึงว่าแฟนกูหรือเปล่าวะ?” ไอ้เด็กฟิล์มถามขึ้นอย่างไม่พอใจที่เพื่อนร่วมห้องมาว่าผมแบบนั้น  แหม...มีปกป้องกันด้วย  น่ารักจริงๆ
     

                    “ไม่มั้ง” ไอ้เด็กมินทร์หันมามองพวกเราก่อนจะแสยะยิ้ม
     

                    “มินทร์มึงอย่าหาเรื่องนะเว้ย!” ไอ้เด็กฟิล์มโกรธที่ไอ้มินทร์มันพูดเหมือนต่อว่าผม
     

                    “กูหาเรื่องอะไรวะ?” ไอ้มินทร์ทำหน้ากวนตีน  ผมถอนหายใจนิดๆ อย่างระอากับความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของไอ้สองคนนี้
     

                    “ฟิล์ม ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก  ก็แค่เด็กปากเสียที่ไม่น่าสนใจคนหนึ่ง  ฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย” ผมดึงแขนไอ้เด็กฟิล์มที่ทำท่าจะเข้าไปมีเรื่องกับไอ้มินทร์เอาไว้  ถ้ามีเรื่องกันผมกลัวว่าไอ้เด็กมินทร์จะเล่นบาสไม่ได้น่ะสิก็เพราะไอ้ฟิล์มน่ะอยู่ชมรมมวย  เกิดถูกต่อยหน้าแหกกระดูกหักขึ้นมาเดี๋ยวก็อดเป็นนักกีฬากันพอดี
     

                    “ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกละกัน  ขยะแขยง” ไอ้เด็กมินทร์ทำท่ารังเกียจก่อนจะเดินจากไป  ผมก้มหน้ากัดริมฝีปากอย่างเจ็บใจ
     

                    “พี่จิ้น โอเคนะ?” ไอ้ฟิล์มโอบไหล่ผมไว้เบาๆ
     

                    “อืม...โอเค  ไปหาอะไรกินกันเถอะ” ผมยิ้มฝืนๆ ก่อนจะจูงมือไอ้ฟิล์มเดินลงจากอาคาร



     

     

                    หลังจากที่ถูกไอ้มินร์ดูถูกในวันนั้นผมก็ไม่ไปให้มันเห็นหน้าอีกเลย  ตอนเข้าชมรมผมก็เอาแต่ทำงานเอกสารอยู่ในห้องชมรมไม่ยอมออกไปเจอหน้าใคร  ผมรีบมาที่ชมรมก่อนใครเพื่อนและออกจากชมรมคนสุดท้ายเพื่อหลบเลี่ยงไอ้มินทร์  ทำไมเวลาผมเห็นหน้ามันผมถึงเจ็บขนาดนี้ก็ไม่รู้
     

                    ขณะที่ผมกำลังจะกลับไปที่หอเพราะเห็นคนหมดชมรมแล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ไอ้มินทร์ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในชมรม  ผมถอนหายใจก่อนจะเดินเลี่ยงไอ้มินทร์ไปที่ประตูโรงยิม
     

                    ไอ้มินทร์เดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่ลืมเอาไว้ก่อนจะเดินผ่านผมที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู  ผมก้าวขาไม่ออกเหมือนถูกตรึงเอาไว้แต่พอไอ้มินทร์เดินผ่านไปแล้วผมก็รู้สึกหายใจสะดวกขึ้นต่างจากเมื่อกี้ลิบลับ
     

                    “เฮ้อ” ผมแข้งขาอ่อนทรุดลงนั่งตรงประตูอย่างเพลียๆ  เหนื่อยใจทุกครั้งที่ได้เจอหน้าไอ้เด็กนี่จริงๆ  เมื่อก่อนผมแกล้งเด็กนี่ออกจะบ่อยแต่พอถูกบอกว่ารังเกียจอย่างนั้นรังเกียจอย่างนี้ผมก็พลอยท้อแท้ไปด้วย
     

                    “จะกลับไหมหอ?” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆไอ้เด็กมินทร์ก็เดินกลับมายืนอยู่ตรงหน้าผม
     

                    “ทำไม? จะกลับเป็นเพื่อนเหรอ?” ผมพูดยั่วโมโหแต่คราวนี้ผมไม่เข้าไปประชิดตัวแต่กลับถอยออกห่างหลายก้าว
     

                    “มันมืดแล้ว  มีเพื่อนกลับไม่ดีหรือไง?”
     

                    “มันก็ดี  แต่เพื่อนร่วมทางคนนั้นต้องไม่ใช่นาย” ผมแสยะปากนิดๆ อย่างไม่พอใจกับสีหน้าเหมือนคนอยู่เหนือกว่าของไอ้มินทร์
     

                    “คุณเป็นอะไร!?! นึกอยากมาอยู่ใกล้ก็มานึกอยากจะถอยห่างก็ไป  คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้เที่ยวมาปั่นหัวคนอื่นแบบนี้!?!” ไอ้เด็กมินทร์ตะคอกก่อนจะก้าวเข้ามาหาผม  ผมถอยออกห่างอย่างตกใจ
     

                    “ฉันก็แค่นึกสนุกพอเบื่อก็ไป  เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันเบื่อที่จะต้องแกล้งนายแล้ว  นายเองก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรือไงเห็นทำท่าขยะแขยงเสียเต็มประดา” ผมกอดอกแสยะยิ้มอย่างอวดดีแม้ในใจจะกำลังกลัวก็ตาม  ผมกลัวใจไอ้เด็กคนนี้จริงๆ
     

                    “มันก็ต้องขยะแขยงสิเพราะผมไม่ใช่เกย์เหมือนคุณนี่!!” ไอ้มินทร์ปรี่เข้ามากระชากไหล่ผมเข้าไปบีบไว้อย่างหัวเสีย
     

                    “ก็เพราะไม่ใช่ไงฉันถึงเบื่อที่จะเล่นกับนาย!! ทำท่าขยะแขยงเหมือนฉันเป็นตัวน่ารังเกียจแบบนั้นฉันจะกล้าอยู่ใกล้นายต่อไปได้ยังไง  ถึงฉันจะหน้าด้านแต่มันก็มีขอบเขตเหมือนกันนะ!!” ผมผลักไอ้มินทร์ออกก่อนจะตะคอกกลับ  จู่ๆ ก็เข้ามาโมโหใส่  คนอะไรนิสัยเสียแถมอารมณ์ยังขึ้นๆ ลงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้  คนแบบนี้ผมไม่อยากคุยด้วยแล้ว
     

                    ผมยืนหอบในขณะที่ไอ้มินทร์นิ่งเงียบ  ผมก้มลงเก็บสมุดโน้ตที่หล่นลงพื้นตอนที่ไอ้มินทร์มันบีบไหล่ผมขึ้นมาถือก่อนจะรีบเดินออกไป
     

                    “เดี๋ยว!!” ไอ้เด็กมินทร์ตะโกนก่อนจะรีบวิ่งมาดึงผมที่ยังเดินไม่พ้นประตูโรงยิมเอาไว้
     

                    หลังผมกระแทกกำแพงเพราะถูกผลักก่อนจะต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ไอ้เด็กมินทร์ก็ก้มลงมาจูบผมอย่างรุนแรงปราศจากความนุ่มนวลและอ่อนหวานโดยสิ้นเชิง  ไอ้เด็กมินทร์ขบเม้มริมฝีปากผมแน่นจนผมรู้สึกแสบระบมอีกทั้งยังกวาดลิ้นเข้ามาในโพรงปากจนผมแทบกระอัก
     

                    ผมผลักอกไอ้มินทร์ออกก่อนจะตบหน้าฉาดใหญ่จนหน้ามันหันไปตามทิศทางของแรง
     

                    “ฉันไม่รู้ว่านายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรแต่ขอบอกไว้อย่างนะ  ถึงฉันจะเป็นเกย์แต่ฉันก็ไม่ได้ร่านขนาดขอให้คนที่ขยะแขยงตัวเองมากอดมาจูบหรอกนะ!!” ผมตะคอกใส่อย่างเดือดดาล  รู้สึกขอบตาร้อนๆ เหมือนน้ำตาจะไหลแฮะ
     

                    “จะไปรู้เหรอ  เห็นชอบอ่อยเหลือเกินผู้ชายเนี่ย!” ไอ้มินทร์ยิ้มเยาะเหมือนดูถูก
     

                    “คนอย่างฉันก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง  ถึงมันจะน่ารังเกียจแค่ไหนฉันก็ไม่อยากให้ใครมาดูถูก!! คนที่ไม่รู้จักฉันดีอย่างนายไม่ต้องเข้ามายุ่ง  ต่อไปนี้ไม่ต้องมาคุยถ้าเห็นหน้ากันก็เมินๆ ไปซะ  เด็กนิสัยเสียแบบนายฉันไม่อยากจะยุ่งด้วยที่สุด!!” ผมพูดอย่างโกรธเคือง  วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมระเบิดอารมณ์โกรธขนาดนี้  ไอ้มินทร์เป็นคนแรกที่ทำให้ผมโกรธจนตะคอกจนเสียงแหบเสียงแห้งแถมยังตายังร้อนผ่าวๆ เหมือนจะร้องไห้  ถึงจะอยากร้องไห้แค่ไหนแต่ผมจะไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าไอ้เด็กนี่อย่างเด็ดขาด
     

                    “เดี๋ยว!” ผมรีบจ้ำอ้าวออกจากโรงยิมแม้จะได้ยินเสียงรั้งของไอ้เด็กมินทร์ก็ตาม



     

     

                    วันนี้เป็นวันคัดเลือกตัวนักกีฬาที่จะเข้ามาเล่นแทนพี่ม.6ที่ต้องเตรียมตัวไปสอบ  ไอ้เด็กมินทร์เองก็เข้ามาคัดและทำได้ดีพอสมควร  แต่ถึงมันจะทำได้ดีแค่ไหนผมก็ไม่มองมันให้เสียสายตาเสียความรู้สึกหรอกนะ  มันเซ็งครับ
     

                    “นักกีฬาใหม่มารับตารางฝึกกับกรอกไซส์เสื้อตรงนี้ด้วยนะครับ” ผมพูดเสียงยานคางพลางก้มหน้าก้มตาเขียนเอกสาร
     

                    “กรอกตรงไหนเหรอครับ?” เสียงที่กำลังพูดอยู่เรียกสายตาของผมให้เงยขึ้นมองคนพูด  เมื่อเห็นคนพูดผมถึงกับวางปากกาแล้วลุกออกจากเก้าอี้ที่ประจำทันที
     

                    “คิท กูเบลอๆ ว่ะมึงมาทำหน้าที่นี้แทนกูหน่อยก็แล้วกัน” ผมเดินไปบอกไอ้โหดประจำชมรมที่นานๆ ทีจะเข้ามาที่ชมรม
     

                    “อะไรของมึงวะ  คิดจะอู้หรือไง” ไอ้คิทบ่นแต่ก็ยอมมานั่งแทนที่ผม
     

                    “ไม่ได้อู้แต่วันนี้กูขอกลับก่อนละกัน” ผมพูดพลางเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ที่วางทิ้งไว้ตรงบันไดทางขึ้นไปชั้นสอง
     

                    “อะไรของมึงวะจิ้น  วันนี้ยิ่งยุ่งๆ อยู่ด้วยถ้าไม่มีมึงแล้วใครจะช่วยจัดการเรื่องงบประมาณสั่งซื้อเสื้อวะ?” ไอ้คิทหันมามองผมอย่างไม่ชอบใจ  เรื่องเงินๆ ทองๆ ไอ้หมอนี่ไม่ชอบยุ่งนักหรอกเพราะมันเป็นคนไม่ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้และมักจะทำเงินของส่วนรวมหายบ่อยๆ มันก็เลยไม่อยากรับผิดชอบในส่วนนี้สักเท่าไหร่
     

                    “เออน่า เป็นถึงลูก ผอ. แค่เงินนิดๆ หน่อยๆ มึงจัดการได้อยู่แล้วน่า ไปล่ะ” ผมตัดบทก่อนจะรีบเดินออกจากชมรม



     

     

                    ผมเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องก่อนจะถือลูกบาสออกไปที่คอร์ทกลางแจ้งที่เป็นที่ประจำของไอ้คิท  หลายคนรู้ดีอยู่แล้วว่าผมเป็นผู้จัดการที่ดีแต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าผมเองก็เป็นผู้เล่นที่ดีด้วยเช่นกัน  ตอนม.1 ผมได้เป็นนักกีฬาตัวจริงทันทีที่เข้าชมรมแต่เพราะผมอวดดีเกินไปรุ่นพี่ก็เลยหมั่นไส้กลั่นแกล้งจนผมบาดเจ็บที่หัวเข่า  อาการบาดเจ็บของผมในตอนนั้นมันแค่เล็กๆ น้อยๆ ผมจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากมายแต่เพราะผมไม่ได้ดูแลตัวเองเข่าของผมจึงบาดเจ็บสะสมมาเป็นเวลานานและเจ็บจนถูกห้ามเล่นกีฬาหนักๆ อีก
     

                    ระหว่างที่ผมกำลังเศร้ากับการที่ไม่สามารถเล่นกีฬาที่ตัวเองชอบได้อีกต่อไปผมก็ไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวโตมาก  สูงหุ่นดีไม่เหมือนเด็กม.ต้น  ผมถูกใจเจ้านั่นมากจึงลองชวนมาเล่นบาสด้วยกันแต่เจ้าหมอนั่นกลับเล่นกีฬาได้ห่วยแตกซะไม่มี  ตัวก็ใหญ่ดูดีแต่ที่จริงอ่อนแอจนน่าหมั่นไส้  ผมโกรธไอ้หมอนี่จริงๆ ที่ดันมีรูปร่างที่แสนดูดีแต่กลับไร้ประโยชน์  ที่จริงผมอิจฉามันต่างหากที่มีรูปร่างสมเป็นนักกีฬาที่ผมไม่สามารถมีอย่างมันได้  เพราะความหมั่นไส้ผมจึงเคี่ยวเข็ญและฝึกจนมันเป็นนักกีฬาที่เก่ง
     

                    ผมเริ่มทำใจกับความจริงที่ว่าผมเล่นบาสไม่ได้อีกแล้วและหันมาเป็นเทรนเนอร์ฝึกคนในชมรมให้เป็นนักกีฬาที่เก่งแทน   แต่คนที่ผมภูมิใจเห็นจะเป็นไอ้คิทที่เคยอ่อนแอนี่แหละ  ไอ้หมอนี่รูปร่างดีอยู่แล้วพอมีกล้ามเนื้อยิ่งดูดีกว่าเดิม  และไอ้คิทนี่แหละที่ทำให้ผมเริ่มสนใจผู้ชายด้วยกันแต่ว่าผมไม่ได้รักมันหรอกนะแค่มันทำให้ผมเริ่มหลงใหลหุ่นสวยๆ ของผู้ชายด้วยกันเท่านั้น  คนห่ามๆ นิสัยเสียสุดตีนแบบนั้นผมชอบไม่ลงครับ

                    “เฮ้อ อยากเล่นบาสกับพวกนั้นจังเลยน้า” ผมเปรยก่อนจะชู้ตบาสลงห่วงได้อย่างแม่นยำ  ผมทำได้แค่เพียงยืนชู้ตนิ่งๆ ไม่สามารถกระโดดชู้ตหรือเลย์อัพเหมือนคนอื่นๆ เพราะนั่นจะทำให้ผมเจ็บเข่าขึ้นมาดื้อๆ
     

                    “หนีงานมาที่นี่เองเหรอเนี่ย” เสียงไอ้คิทดังขึ้นผมจึงหันไปยิ้มให้มันบางๆ
     

                    “มึงออกมาแบบนี้แล้วใครจะช่วยไอ้บอลทำงานล่ะ?” ผมถาม
     

                    “มีคนช่วยเยอะอยู่แล้วน่า  กูเห็นสีหน้ามึงไม่ดีก็เลยออกมาดู” ไอ้คิทพูดก่อนจะเดินไปนั่งที่ม้านั่งข้างคอร์ท
     

                    “ช่วงนี้กูเครียดนิดหน่อยน่ะ  อย่าคิดมากเลย” ผมยิ้มฝืนๆ
     

                    “มึง...อยากกลับมาเล่นบาสหรือเปล่า?” ไอ้คิทถาม
     

                    “จนถึงตอนนี้กูก็ยังตัดใจจากบาสไม่ได้แต่จะให้กลับไปเล่นก็คงไม่ไหว  สภาพกูตอนนี้แค่วิ่งเร็วๆ ยังทำไม่ได้เลย” ผมพูดก่อนจะชู้ตบาสอีกครั้ง  เวลาเรียนพละผมก็ทำได้แค่วอร์มร่างกายเบาๆ อยู่ข้างสนามในขณะที่คนอื่นๆ เขาเล่นกีฬากันอย่างเมามัน  แต่นี่ก็ผ่านมาหลายปีผมทำใจได้แล้วล่ะครับ
     

                    “กูรู้จักหมอผ่าตัดคนหนึ่ง  เขาเป็นศัลยแพทย์ที่เคยทำงานอยู่อเมริกาแต่ตอนนี้กลับมาทำที่ไทย  ถ้ามึงสนใจกูจะพาไปหา” ไอ้คิทพูด
     

                    “กูหามาหลายหมอแล้ว  คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” ผมถอนหายใจปลงๆ
     

                    “ไม่แน่นะมึง  มึงอดใจไม่ออกกำลังกายหนักๆ มาตั้งหลายปีแล้วไม่แน่นะมึงอาจจะหายแล้วก็ได้  ลองกระโดดดูสิ” ไอ้คิทยกขาไขว่ห้าง  ไอ้บ้านี่หล่อโคตรพ่อโคตรแม่เลยแต่เพราะผมมีอคติเรื่องที่ผมเคยอิจฉามันผมก็เลยชอบมันไม่ลงน่ะสิ
     

                    “ฮึบ!!(กระโดด) อ๊ะ...โอ๊ย!!” ผมรวบรวมพลังกระโดดก่อนจะร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อความเจ็บแล่นปรี๊ดสู่ต่อมรับความรู้สึก  ทันทีที่เท้าผมสัมผัสพื้นหัวเข่าของผมก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างรุนแรง
     

                    “เฮ้ยจิ้น!!” ไอ้คิทตกใจที่เห็นผมทรุดไปก่อนจะรีบวิ่งมาอุ้มผมกลับไปที่ชมรมอย่างรีบร้อน


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    มินทร์  แกทำร้ายว่าที่ภรรเมียแกมากอ่ะ
    สงสารพี่จิ้นจุง

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×