ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #3 : Rule 02 : รูมเมทกับนักดนตรีลึกลับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 15.26K
      38
      12 ม.ค. 56

    12/01/13
    Rule 02 : รูมเมทกับนักดนตรีลึกลับ
     

                    ผมกับไอ้พีทไอ้มินทร์แล้วก็ไอ้ลูกพี่ลูกน้องของไอ้คีตะถูกลากเข้าห้องปกครองหลังจากระเบิดลงจนคนในหอวิ่งหนีกลับห้องกันให้วุ่น  โชคดีที่พิธีมอบเข็มกลัดผ่านไปแล้วจึงไม่มีปัญหาอะไรมาก
     

                    พวกผมทั้งสี่คนถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองและไอ้คีตะสวดซะยับ  ตอนแรกอาจารย์จะตัดคะแนนความประพฤติแล้วแหละแต่เห็นว่าพวกผมเป็นเด็กใหม่จึงไม่ตัดแต่หากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกคงโดนไปหลายคะแนนเลยทีเดียว
     

                    พวกผมเดินคอตกกันออกจากห้องปกครองพร้อมกับไอ้คีตะ  ผมไม่พูดอะไรเอาแต่เดินนำลิ่วไปที่หอเพราะนี่ก็มืดมากแล้วต้องรีบกลับไปซักคราบเลือดที่ติดเสื้อเสียด้วยสิไม่งั้นคงไม่ออกแหงแซะ
     

                    “พวกมึงจะเดินตามกูมาทำแป๊ะอะไรวะ” ผมถามเสียงเขียวหลังจากที่ไอ้มินทร์กับไอ้พีทกลับเข้าห้องไปแล้วเหลือแต่ไอ้พี่น้องหน้าหล่อแต่กวนตีนนี่แหละ
     

                    “คุมความประพฤติของมึงนั่นแหละไอ้เด็กผี” พออยู่กันแค่นี้คำพูดสุภาพๆ ของมึงหายวับไปเลยนะไอ้คีตะ
     

                    “ส่วนฉันก็ยังไม่ถึงห้องและบังเอิญว่าห้องฉันต้องเดินไปทางนี้” เมื่อได้คำตอบผมจึงเงียบไม่พูดอะไร
     

                    เมื่อถึงห้อง ผมก็เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูและมีมือมือหนึ่งเอื้อมมาวางไว้บนมือของผม  ผมค่อยๆ หันไปมองเจ้าของมือ
     

                    “ลัคกี้ ได้อยู่ห้องกับคนสวยด้วย ฮ่าๆๆ  เฮียคิทขอบคุณนะที่มาส่ง ฮี่ๆ” ซวยเช็ด!
     

                    “เบาๆ ละกัน  อย่าส่งเสียงดังเดี๋ยวห้องข้างๆ รำคาญ” เฮ้ย!! ไอ้คำพูดทิ้งท้ายนี่มันอะไรวะ!!
     

                    ผมมองป้ายชื่อที่ห้องพลางมองอกเสื้อของไอ้ข้างๆ ผมไปด้วย   โอ๊กกกกกก ผมอยากตาย!!


     

     

                    “คนสวยชื่ออะไรครับ” เมื่อเข้าห้องมาแล้วไอ้หมอนั่นก็ถามขึ้นทันที
     

                    “ถ้าไม่หยุดเรียกกูว่าสวยมึงเจอตีนกูแน่” ผมหันไปจ้องมันอย่างดุๆ
     

                    “โอเคๆ แล้วนายชื่ออะไรล่ะจะได้ไม่ต้องเรียกว่าคนสวยอีก”
     

                    “คิท” ผมตอบสั้นๆ
     

                    “หา? เหมือนกับเฮียคิทเลยเนอะ  งั้นฉันเรียกนายว่าคิทตี้ละกัน เอิ๊กๆ ส่วนชั้นชื่อวา” ไอ้หมอนั่นแนะนำตัว  ทำไมผมต้องชื่อคิทตี้  ธ่อเว้ย! กูว่าหนังหน้ากูก็ไม่ได้เหมือนตัวการ์ตูนสีชมพูนั่นเลยนะ

                    “จะเรียกอะไรก็เชิญแต่หยุดทำหน้าหื่นแบบนั้นซักทีเห็นแล้วอยากอ้วก” ผมทำหน้าแหวะ
     

                    “อะไรกัน  ยังไม่ทันทำอะไรเลยนี่ท้องแล้วเหรอ?” ไอ้วาทำหน้าทะลึ่ง
     

                    “กู-เกลียด-เกย์!!  อย่ามายุ่งกับกูในความหมายแบบนั้น” ผมพูดชัดถ้อยชัดคำพลางเดินไปที่เตียงของตัวเอง
     

                    หมับ!
     

                    “ตัวเล็กแบบนี้จะสู้ฉันได้เหรอ ฮึ” ไอ้วาเข้ามากอดผมไว้จากด้านหลังพลางกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู
     

                    ฮึ่ม!!
     

                    “ตายซะเถอะมึง!!” ผมจับข้อมือทั้งสองของมันบิดไพล่ไปด้านหลังจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นก่อนจะแจกลูกถีบไปอีกที
     

                    “อ๊ากกกก ช่วยด้วย!” ไอ้วาร้องเสียงหลง


     

     

                    หลังจากวันนั้นไอ้วาก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งกับผมในความหมายแปลกๆ อีกเลย  จะมีพูดแซวบ้างเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่เข้ามาแตะเนื้อต้องตัว 
     

                    และทั้งๆ ที่ถูกเรียกว่าหมาบ้าแต่ผมก็ยังถูกคนเข้าสารภาพรักอยู่เรื่อยๆ จนรำคาญ  ทุกๆ เที่ยงผมจะต้องคอยไปบอกปฏิเสธกับคนที่มาขอคบจนแทบไม่ได้กินข้าว  แต่คำพูดตอนปฏิเสธคำขอคบของผมไม่ได้กระโชกซ้ำยังสุภาพอีกต่างหากเพราะหากไม่ได้จู่โจมร่างกายของผมผมก็ไม่ปล่อยพิษใส่หรอก  แต่ถ้าเป็นพวกที่แอบมองผมด้วยสายตาหวานเยิ้มล่ะก็ผมจะมองจิกมันจนกว่ามันจะเลิกมองผม  พวกที่กล้ามาสารภาพรักน่ะคือพวกที่บริสุทธิ์เพราะกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาให้เห็นเพราะงั้นคนพวกนี้จะไม่ค่อยมีพิษมีภัยเท่าไหร่ แต่พวกที่มองแล้วเอาไปจิ้นลามกๆ ผมรับไม่ได้อย่างแรง


     

     

                    “จะเรียกผมมาทำไมบ่อยๆ มิทราบ” ผมเดินเข้าห้องกรรมการนักเรียนอย่างอารมณ์เสีย  ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องเรียกผมมาที่นี่ทุกวันด้วย  แถมยังต้องมาเจอหน้าไอ้คีตะผมยิ่งไม่สบอารมณ์
     

                    “ก็นายก่อเรื่องจนมีคนเจ็บตัวทุกวันน่ะสิ” พี่บอลกรรมการนักเรียนฝ่ายกิจกรรมพูด  ผมกับเขาเราเป็นมิตรที่ดีต่อกันอีกอย่างเขาเป็นผู้ชายปกติที่ไม่สนใจเพศเดียวกันผมจึงวางใจและสนิทกับเขาได้อย่างรวดเร็วส่วนคณะกรรมการคนอื่นๆ ผมก็รู้จักดีเพราะผมมาที่นี่จนคุ้นเคยกับพวกเขาน่ะสิ  แต่มีคนเดียวนี่แหละที่ผมไม่คิดจะญาติดีด้วย
     

                    “นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของน้องคิทตี้ไปซะหมดหรอกเพราะพวกนั้นมันลามกชอบลวนลามคนน่ารักๆ แต่มันก็ไม่ควรหรอกนะที่จะไปทำร้ายเขาจนถึงขั้นเข้าไปนอนในห้องพยาบาลอย่างนั้น” พี่ดินพูด  พี่แกเป็นประธานนักเรียน  พวกกรรมการนักเรียนน่ะเป็นชายแท้หมดเลยเพราะงั้นก็เลยมักจะช่วยเหลือพวกที่เป็นเป้าหมายของผู้ชายในโรงเรียน
     

                    “ผมยอมไม่ได้หรอกนะที่จะต้องถูกพวกน่าขยะแขยงจับก้น  มันน่าแหวะเป็นบ้า” ผมบ่นพลางเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้อย่างถือวิสาสะ  มาบ่อยจนไม่รู้จะเกรงใจรุ่นพี่อย่างไรแล้วล่ะนะ
     

                    “เรื่องนั้นพี่ก็เข้าใจอยู่หรอกนะแต่ทำร้ายร่างกายแบบนั้นมันหนักไป  ถ้ามีเรื่องก็ให้พวกพี่ช่วยสิ” พี่ขิมกรรมการฝ่ายบัญชีเดินมาตบไหล่ผม   พวกกรรมการนักเรียนมีอิทธิพลมากในโรงเรียนแห่งนี้เพราะเป็นจุดเด่นและถูกหมายตาไว้ทุกๆ คน  ผมไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไหร่หรอกนะว่าพวกนี้มีแต่พวกหล่อระดับเทพแถมตัวยังสูงจนผมกลายเป็นเพียงตอไปเลยเมื่อมายืนในกลุ่มผู้ชายสี่คนนี้
     

                    “คนพาล ชอบทำร้ายคนอื่นเขาไปทั่วไม่รู้ว่าชอบกันไปได้ยังไง  หน้าตาก็เหมือนเด็กผู้หญิงน่าแหวะชะมัด” ไม่ต้องเดาว่าเสียงนี้ของใครถ้าไม่ใช่ไอ้คีตะ!
     

                    “มีหน้ามาว่าคนอื่นเขาด้วยเหรอ  แล้วคนที่ตั๊นหน้าพวกที่ทำผิดกฎน่ะมันใครมิทราบวะ!” ผมหันขวับไปจ้องตอบหมอนั่นอย่างไม่ยอมแพ้สายตาคมดุ  ผมรู้มาว่าไอ้หมอนี่มันต่อยพวกนักเรียนที่ไปมั่วสุมสูบบุหรี่กันบนดาดฟ้า 
     

                    “ก็มันทำผิดกฎโรงเรียนพวกมันก็ควรจะโดน  อันนี้แค่โดนจับนิดๆ หน่อยๆก็หาเรื่องต่อยตี  แค่ตูดจะเสียดายไปทำไม  สะดิ้ง!” อ๊าก!! มันด่าผมว่าสะดิ้ง ไอ้เวรเอ๊ยยยยยยย!
     

                    “ลองโดนจับดูมั้ยล่ะ  มันขยะแขยงจะตายไป” ผมขมวดคิ้ว  มาทีไรโดนไอ้หมอนี่จิกตลอด  ต่อหน้าคนเยอะๆ ทำเป็นพูดดีแต่ที่จริงปากหมาแบบสุดกู่เลย
     

                    “กูโดนจับบ่อยจะตายไม่เห็นจะเป็นไรเลย  มึงน่ะมันสะดิ้ง แพศยา  โดนจับแค่นี้ทำอย่างกับสาวทึนทึกเสียพรหมจรรย์” ปกติพวกเราไม่ได้พูดคำหยาบกันหรอกครับแต่พออารมณ์ขึ้นมันก็จะหยุดออกมาแบบนี้แหละ  แต่ไอ้หมอนี่ทำไมถึงชอบว่าผมสะดิ้งนักนะ  ก็คนมันขยะแขยงก็ต้องป้องกันตัวเป็นธรรมดานั่นแหละ
     

                    “ใครมันจะหน้าด้านเหมือนมึงล่ะครับที่ยอมยื่นตูดให้ไอ้พวกวิปริตมันจับ  ไอ้เกย์เอ๊ย!” ผมด่ากลับ  ใครจะไปยอมโดนด่าอยู่ฝ่ายเดียว
     

                    “ไอ้เตี้ยหมาตื่น มึงสิเกย์! หน้าตาก็เหมือนผู้หญิงอยู่แล้วนิสัยยังเหมือนผู้หญิงอีก  อีหรอบนี้ไม่พ้นเป็นตุ๊ดล่ะวะ! ทำเป็นบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนาแล้วอย่ามาอ้าขาให้ทีหลังละกัน!” ปากมันนี่เหลือทนจริงๆ ครับ! จัดจนกระเทยอายเลยล่ะผมว่า
     

                    “กูไม่ได้เตี้ยแต่มึงมันเปรตต่างหาก! แล้วกูไม่มีวันไปอ้าขาให้ใครเพราะกูไม่ใช่ตุ๊ด ไม่ได้วิปริตเหมือนมึงไอ้เปรตหลงวัด!
     

                    “พอๆ ช่วยทำท่าเป็นคนดีพูดจาสุภาพให้ชื่นใจซักวันเถอะ  ด่ากันอยู่ทุกวี่ทุกวัน” พี่ดินถอนหายใจอย่างระอากับการทะเลาะกันของพวกเรา
     

                    “เอาเถอะๆ ไม่ว่าวันไหนสองคนนี้คงไม่มีทางพูดด้วยกันดีๆ หรอก  ว่าแต่น้องพีทเป็นไงบ้างล่ะได้ข่าวว่าป๊อบไม่น้อยกว่าคิทตี้เลยนี่” พี่บอลถามพลางขยับแว่นตาให้เข้าที่  ผมว่าพี่บอลน่ะดูอ่อนโยนและใจดีที่สุดในนี้แล้ว  ที่จริงผมชอบพี่ๆ กรรมการนักเรียนทุกคนนั่นแหละยกเว้นไอ้คีตะคนเดียว
     

                    “มีไอ้มินทร์ช่วยกันให้อยู่ครับ  หลังจากข่าวที่ว่าสองคนนี้เป็นแฟนกันแพร่ออกไปคนก็ไม่ค่อยเข้าไปยุ่งอะไรกับไอ้พีทนัก” พูดแล้วฉุน  ไอ้มินทร์นะไอ้มินทร์ทำเป็นมาแอบอ้างว่าเป็นแฟนไอ้พีทแม้ว่าที่มันทำไปจะเป็นเพราะเพื่อปกป้องไอ้พีทก็ตามแต่ผมไม่ชอบใจอยู่ดีนั่นแหละ  หลังจากวันที่มันบอกว่าไอ้พีทเป็นของมันผมก็ไปวีนและต่อยมันไปทีหนึ่งและจากนั้นเราก็กลับมาเล่นเกมด้วยกันเหมือนเดิม ฮี่ๆ ยังไงก็เป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา
     

                    “แล้วเป็นแฟนกันจริงๆ หรือเปล่า” พี่ขิมถามอย่างสนใจ
     

                    “ไม่ใช่ครับ  อ้างเพื่อเป็นไม้กันหมาเท่านั้นแหละครับ  ไอ้พีทมันตีคนไม่เก่งก็เลยต้องหาคนช่วยกัน” ผมพูด
     

                    “อืม ดีแล้วล่ะที่น้องพีทตีคนไม่เก่งเพราะลำพังแค่น้องคิทตี้คนเดียวห้องพยาบาลก็เต็มแล้ว” พี่ดินหัวเราะขำๆ
     

                    “เวอร์แล้วพี่” ผมพูดเมื่อพี่ดินพูดเกินจริง   ก็แค่อาทิตย์ละสองสามคน ไม่เห็นจะเยอะตรงไหน  ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาในเมื่อผมปฏิเสธไปดีๆ แล้วแต่พวกนั้นไม่ยอมเลิกราจะปล้ำผมเสียให้ได้มันก็ต้องมีการลงไม้ลงมือบ้าง
     

                    “นี่ก็ใกล้ถึงวันรับน้องใหม่แล้วนี่นะ  ท่าทางเราจะต้องทำงานหนักกันยกใหญ่เสียแล้วสิ” พี่บอลพูดพลางถอนหายใจ  รับน้อง?
     

                    “รับน้องอะไรครับ” ผมเอียงคอถาม
     

                    “เอ้า  ก็รับพวกนายนั่นแหละ  พรุ่งนี้แล้วนะคิทตี้” พี่บอลพูดเตือน  มาอยู่นี่ก็เกือบอาทิตย์เพิ่งจะรู้นี่แหละ  ทำไมผมไม่ได้ยินข่าวอะไรบ้างเลยล่ะเนี่ย
     

                    “แล้วมันให้ทำอะไรบ้างล่ะครับ” ผมถาม
     

                    “ก็พาไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์  พาไปลอดซุ้มโรงเรียน เล่มเกมอะไรทำนองนี้” พี่บอลบอก
     

                    “ซวยละ ผมต้องถูกรุ่นพี่แกล้งแน่เลย  สาธุ! ขออย่าให้พวกรุ่นพี่ชอบผมทีเถิด!” ผมยกมือไหว้ปรกหัว  ลำพังแค่รูมเมทผมคนเดียวก็รับมือยากมากแล้ว
     

                    “ฮึ” ไอ้คีตะยกมุมปากขึ้นพลางเดินออกจากห้องกรรมการนักเรียนไป  ไปเลยไป๊ ชิ่วๆ
     

                    “นี่ก็พักเที่ยงแล้ว คิทตี้ไปกินข้าวเถอะพวกน้องพีทคงรอแย่แล้ว  พรุ่งนี้ก็อย่ามาสายล่ะ ใส่ชุดเล่นมาก็ได้แต่ต้องติดเข็มกลัดของหอมาด้วยนะ” พี่ดินพูดพลางโบกมือลา  ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกจากห้องกรรมการนักเรียน  ไอ้พีทกับไอ้มินทร์ที่ยืนรออยู่ด้านหน้าเดินมาลากผมไปที่โรงอาหารอย่างรวดเร็วด้วยความโมโหหิว


     

     

                    “ยะโฮ่วว สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน  วันนี้เป็นวันแรกในภาคเรียนนี้ที่ผมออกมาพบปะพูดคุยกับทุกคนนะครับ  สำหรับนักเรียนเก่าคงรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นใครแต่นักเรียนใหม่บางคนยังไม่รู้  ผมมีนามแฝงว่านักดนตรีลึกลับนะครับ ตอนนี้กำลังพูดอยู่ที่ห้องกระจายเสียงของโรงเรียน สำหรับคนที่อยากจะรู้ตัวจริงของอย่าพยายามเลยนะครับ ฮ่าๆๆ” ผมชะงักเท้าเมื่อจู่ๆ เสียงนุ่มทุ้มลึกของใครบางคนดังกระทบโสตประสาท  อ่า...ช่างเป็นเสียงที่น่าฟังอะไรอย่างนี้นะ
     

                    “เสียงอะไรน่ะ” ผมถามเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ทั้งสอง
     

                    “อ๋อ ทุกๆ เที่ยงจะมีคนมาเล่นดนตรีให้ฟังน่ะ  ได้ยินมาว่าทุกคนหลงใหลน้ำเสียงและการเล่นดนตรีของเขามากๆ เลย” ไอ้มินทร์พูด
     

                    “นั่นสิ เสียงน่าฟังชะมัดเลย” ผมพูดเบาๆ
     

                    “แต่น่าแปลกนะที่ไม่มีใครรู้ตัวจริงของเขาคนนี้เลย  จะมีก็แต่อาจารย์กับพวกกรรมการนักเรียนเท่านั้นแหละที่รู้จักเขา” ไอ้มินทร์พูดอย่างสงสัย
     

                    “วันนี้ผมไม่ได้เอาไวโอลินมาด้วยเพราะงั้นวันนี้เราคงได้เพียงแค่พูดคุยกันเท่านั้น  ใครที่อยากจะพูดคุยกับผมโทรเข้ามาที่เบอร์0xxxxxxxxเลยนะครับ” เสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้ง  อ๊าก ผมหลงใหลเสียงของเขาชะมัดเลย  โอ้ว รักแรกพบเลยนะเนี่ย  แต่นั่นเป็นเสียงผู้ชายไม่ใช่เรอะ!
     

                    “โอ๊ะโอว พูดจบปุ๊บโทรศัพท์มาปั๊บเลยครับ ฮ่าๆๆ  สวัสดีครับ”

                    “สวัสดีครับคุณนักดนตรีลึกลับ  ปิดเทอมไปตั้งนานผมคิดถึงคุณมากเลยครับ” เสียงของคนโทร.เข้าดังขึ้นออกลำโพง
     

                    “อ๊า ขอบคุณครับ  ดีใจจังที่ยังมีคนคิดถึงผมอยู่”



                   

                    ตอนนี้ผมเคลิ้มไปกับน้ำเสียงของนักดนตรีลึกลับเสียแล้วล่ะครับ  อยากเห็นหน้าเขาจังเลย อยากรู้จังว่าหน้าจะหล่อเหมือนเสียงหรือเปล่าแต่ถึงยังไงผมคงชอบเขาไม่ได้แต่ถ้าแค่ปลื้มล่ะผมให้เขาหมดใจเลยครับ 
     

                    “มินทร์  ท่าทางไอ้คิทจะอาการหนักว่ะ  ดูดิเอาแต่เขี่ยข้าวแล้วยังทำหน้าแบบนั้นอีก  ขยะแขยงฉิบหายวายวอด” ไอ้พีทพูด  ช่างมัน  จะพูดอะไรปล่อยมันไป
     

                    “แต่ดูท่าว่าหน้าตาแบบนั้นของไอ้คิทจะดึงดูดคนอื่นๆ เข้าเสียแล้วล่ะพีท”
     

                    “ไอ้คิท!! ไอ้คิท!!! รีบแดกข้าวให้เสร็จก่อนโดนจับทำเมีย เร็วๆ” ไอ้พีทเอาฝ่ามือสะกิดกบาลผมจนหน้าแทบทิ่มจานข้าวผมจึงหลุดจากภวังค์และหันไปยกนิ้วกลางใส่พวกที่มองหน้าผมด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
     

                    “อย่างกูต้องเป็นผัวเท่านั้นโว้ย!” ผมพูดบอกไอ้พีท


     

     

                    กินข้าวยังไม่อิ่มรุ่นพี่ม.5ก็มาเรียกผมให้ไปคุยที่สวนหลังโรงเรียน  หน้าตาไอ้รุ่นพี่แบบว่าเด็กเรียนมากผมคิดว่าเขาคงไม่มีพิษมีภัยจึงเดินตามไปเงียบๆ และคิดคำปฏิเสธดีๆ ไว้
     

                    “พี่ชอบน้องคิทนะครับ  น้องคิทจะคบกับพี่ได้ไหม?” พี่แว่นถามพลางก้มหน้างุด  สงสัยกำลังอาย
     

                    “เอ่อ ตอนนี้ผมยังไม่คิดจะคบใครน่ะครับ” ผมตอบยิ้มๆ
     

                    “พี่รอได้นะ  จะให้พี่รอนานแค่ไหนก็ได้” พี่แว่นดึงมือผมไปกุม  เวรแล้วไงไอ้แว่น อยู่ดีไม่ว่าดีมาจับมือกูหาหอกอะไรฟระ!?!
     

                    “อย่าเลยเพราะผมไม่ชอบผู้ชาย  ปล่อยมือผมเถอะถ้าไม่อยากเจ็บตัว” ผมข่มสายตาให้ดุเพื่อขู่  ผมไม่อยากลงมือกับเด็กเอ๋อหรอกนะ
     

                    “น้องคิท ฮือ ทำไมน้องคิทเย็นชากับพี่อย่างนี้ น้องคิทททททท” ไอ้พี่แว่นร้องไห้น้ำตาไหลท่วมหน้า  มึงจะร้องก็ร้องไปดีๆ เหอะไอ้เอ๋อแต่อย่ามากอดกู!
     

                    ไอ้แว่นบ้านี่มันเนียนทำเป็นร้องไห้แล้วกระโดดกอดผมเฉยเลย  เฮ้อ จะสงสารหรือจะสมเพชกันดีล่ะเนี่ย
     

                    “โอ๊ะโอว ตรงสวนหลงโรงเรียนนั่นทำอะไรกันเอ่ย แหมๆ จะกอดกันก็ทำในที่ลับตาคนหน่อยสิครับ ฮ่าๆๆๆ” เสียงจากลำโพงกระจายเสียงดังขึ้นทำเอาผมตัวแข็งทื่อ  เฮ้ยๆ คุณนักดนตรีลึกลับกำลังมองอยู่เรอะ? อย่าเข้าใจผมผิดนะครับ  ผมกับไอ้แว่นนี่ไม่ได้จะทำอะไรกันซักหน่อย  เวรละ ทำไมไอ้นี่ถึงกอดแน่นจังวะ
     

                    “เฮ้ยๆ ผมไม่ได้ทำอะไรนะครับ อย่าเข้าใจผมผิด!” ผมเผลอตะโกนออกไปโดยไม่รู้ตัว
     

                    “น้องคิทพูดอะไรนะครับ ฮึก” ไอ้นี่ก็ยังร้องไห้ไม่เลิกแต่ว่าดีที่มันปล่อยผมแล้ว
     

                    “นี่รุ่นพี่!! ถ้ายังอยากจะคุยกันดีๆ กรุณาอย่าทำแบบนี้อีก  ผมชอบผู้หญิงไม่ได้ชอบผู้ชาย!!” ผมผลักไอ้รุ่นพี่แว่นออกห่างๆ ก่อนจะรีบก้าวขาอันแสนสั้นของผมออกจากที่แห่งนั้นโดยมีเสียงร้องไห้โหยหวนของไอ้รุ่นพี่คนนั้นดังตามหลังมา


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เจอคำผิดก็บอกด้วยนะตัวเอง

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×