ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] ซวยฉิบหาย! ผมกลายเป็นเมียเขา [จบจ้า]

    ลำดับตอนที่ #56 : Rule 41 : รักพี่ต้องมาที่บ้าน (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 20.86K
      75
      20 เม.ย. 56

    17/04/13
    update : 20/04/13
    Rule 41 : รักพี่ต้องมาที่บ้าน

    ไอกับเพื่อนหมิว // ลันหึงเลยงานนี้

     





                    หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็ไปรวมตัวกันที่บาร์ของผมครับ  วันนี้ผมบังเอิญเจอกับเพื่อนสมัยม.ปลายด้วย  ไอ้พวกเพื่อนผู้ชายนี่ไม่เท่าไหร่หรอกครับแต่เพื่อนผู้หญิงนี่สิระริกระรี้มาถามผมใหญ่เลยว่าคนที่มากับผมเป็นใครผมก็เลยต้องพาไปแนะนำให้รู้จัก

                    “ไอ  กูชอบคนชื่อลันว่า  หล่ออ่ะ” ยัยหมิวสาวหมวยที่ดูเรียบร้อยแต่จริงๆ แล้วแก่นเซี้ยวสุดๆ ลากผมไปคุยแล้วกรี๊ดกร๊าดอย่างตื่นเต้น  สลัดผัก ชอบใครไม่ชอบเสือกชอบพี่ลัน

                    จะว่าไปคนที่มาด้วยกันดูเหมือนจะถูกจองไว้หมดแล้ว  ผมกับไอ้พี่ลันก็คบกันเปิดเผย  ส่วนไอ้พี่เสือกับไอ้คิมก็น่าจะคบกันแล้ว  จะมีแต่ไอ้พี่ขลุ่ยกับไอ้วิทเท่านั้นที่ตามจีบตามจองไอ้เมฆกับพี่พัดสรุปก็คือยังไงพวกนั้นก็ถูกตีตราจองไว้อยู่แล้วจะเหลือก็แต่พี่เปอร์กับพี่ลุกซ์ที่ไม่ได้ข่าวว่าคบใคร  คนที่ยัยหมิวจะมีความหวังก็คือไอ้พี่ลุกซ์กับพี่เปอร์เท่านั้นแหละ

                    “เอาจริงเหรอมึง? มึงไม่เห็นเหรอว่าหนังหน้าเขาไม่ขยับเลย” ผมแอบกระซิบบอกให้ยัยหมิวกลัว

                    “นั่นแหละมึงสเป็กกูเลย  เย็นชาเหมือนเจ้าชายน้ำแข็ง อ๊าย” ยัยหมิวทำท่าเพ้อฝัน  กูว่ามึงต้องอ่านการ์ตูนเกาหลีเยอะไปแล้วแน่ๆ คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกอินโนเซ้นส์แล้วพี่ลันเป็นพระเอกแสนเย็นชารึไงฟะ!?

                    “เยอะ!” ผมตบหัวยัยนั่นเบาๆ

                    “ขอเบอร์ให้หน่อยนะมึง  ผู้ชายคนนี้น่ากินเว่อร์” ยัยหมิวกัดริมฝีปากผมจึงได้แต่มองเอือมๆ

                    “เขามีลูกมีเมียแล้วมึง” ผมแกล้งพูด

                    “อย่ามาตอแหล  หรือว่ามึงจะเก็บไว้กินเองฮะ!?” ยัยหมิวหันมามองผมด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ  ผมแอบสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าไปมารัวๆ

                    “มีอะไรกันหรือเปล่า?” พี่ลันที่ยืนกอดอกมองพวกเราอยู่นานแล้วเดินเข้ามาถามเล่นเอายัยหมิวรีบกระโดดมายืนข้างหลังผมแล้วหยิกเอวผมซะแรงเพื่อระบายความเขิน

                    “คือ...ยัยนี่มันชะ...อ๊าก!” ก่อนที่ผมจะบอกพี่ลันออกไปว่ายัยหมิวชอบยัยนั่นก็รีบหยิกผมให้แรงมากยิ่งขึ้นจนผมทนไม่ไหวร้องออกมา

                    “เป็นอะไร!?” พี่ลันถามอย่างตกใจเมื่อเห็นผมร้องด้วยสีหน้าเจ็บปวด

                    “มะ...ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มแหยๆ ส่งให้พี่ลันก่อนจะปัดมือยัยหมิวออกก่อนที่เอวผมจะเป็นแผล  ยัยบ้านี่ก็หยิกแรงไม่สนใจสังขารกูเลย

                    “งั้นไปนั่งที่เดิม” พี่ลันจ้องผมนิ่งๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปที่โต๊ะที่เราเปิดไว้

                    “เอ่อ...” ยัยหมิวส่งเสียงขึ้นเมื่อพวกเรากำลังจะไปนั่งที่โต๊ะ

                    “หือ?” ผมกับพี่ลันหันไปมองยัยนั่นพร้อมกัน

                    “ไอ...ขอเบอร์...ขอเบอร์ให้กูหน่อย” ยัยหมิวดึงผมเข้าไปกระซิบอย่างรีบร้อน

                    “เมื่อกี้กูจะบอกให้แล้วมึงจะมาขัดทำไมวะฮะ?” ผมทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย

                    “กูเขินอ่ะมึง” ยัยหมิวตบตีผมเบาๆ ตามประสาคนเขิน  เขินให้ตายพี่ลันก็ไม่สนมึงหรอกน่า  กูยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน วะฮะฮ่า! หลงตัวเองสุดติ่งเลยกู

                    “พี่เตี้ย  ขอเบอร์หน่อย” ผมหันไปหาพี่ลันก่อนจะแบมือขอเบอร์

                    “หา? ก็มีอยู่นี่” พี่ลันงงผมจึงยักไหล่ใส่ยัยหมิวด้วยสีหน้าเซ็งๆ  พี่ลันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินมาดันผมออกแล้วไปยืนตรงหน้ายัยหมิว  ยัยนั่นหน้าแดงก่ำตัวสั่นระริก “โทษนะครับ  พี่มี...เมียแล้ว” พี่ลันเดินไปพูดกับยัยหมิวเบาๆ เล่นเอาคนถูกพาดพิงอย่างผมหน้าร้อนฉ่าไปเลยทีเดียว

                    “โธ่ ที่มึงพูดเป็นความจริงหรอกเหรอเนี่ยไอ้ไอ ชิ” ยัยหมิวบ่นกระปอดกระแปดขณะที่พี่ลันเดินมาดึงมือผมให้กลับไปที่โต๊ะ

                    “นี่...ถ้าฉันให้เบอร์เพื่อนนายไปจริงๆ ล่ะ?” พี่ลันนั่งไขว่ห้างเอามือเท้าคางก่อนจะมองหน้าผม

                    “ตาย” ผมตอบทันที

                    “หึงดิ?”

                    “อย่ามาล้อนะ” ผมทำหน้างอง้ำมองพี่ลันอย่างโกรธๆ ที่มาล้อผม  ทำไงได้ล่ะ  ผมไม่กล้าบอกเพื่อนออกไปหรอกนะว่าผมคบกับพี่ลันเพราะสมัยม.ปลายผมขี้หลีมาก  แต่หลีหญิงไม่เคยจะติดสักคน  เกิดพวกนั้นรู้ว่าผมจอมหลีโดนผู้ชายกระเดือกผมไม่อายตายห่าเหรอ?

                    “ไม่ต้องมาโกรธเลยนะ  เมื่อกี้ยังขอเบอร์ฉันให้เพื่อนแท้ๆ” พี่ลันจ้องหน้าผมดุๆ

                    “ก็ผม...” ผมจะแก้ตัวแต่พี่ลันพูดแทรกขึ้น

                    “รู้แล้วน่า  เดินมานี่สิ” พี่ลันพูดก่อนจะกวักมือเรียกผมที่นั่งอยู่ตรงข้ามให้ไปนั่งอยู่ฝั่งตัวเอง  ตอนนี้โต๊ะของพวกเราไม่มีใครอยู่นอกจากผมกับพี่ลันครับ  คนอื่นๆ เขาเดินเล่นดูนั่นดูนี่กันอยู่

                    “ทำไมครับ?” ผมถามงงๆ แต่กระนั้นก็ยังยอมเดินเข้าไปหาพี่มันตามคำชักชวน “เหวอ! พี่เตี้ย! เดี๋ยวใครก็เห็นเข้าหรอก” ผมเอ็ดเมื่อพี่ลันดึงผมไปนั่งตัก  ผมดิ้นลงจากตักพี่ลันแล้วไถลไปนั่งข้างๆ แทนก่อนจะหันหน้าไปมาเพื่อดูว่ามีใครเห็นไหม แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครทันสังเกต

                    “จะว่าไปมันก็นานแล้วนะที่ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กันเลย” พี่ลันพูดพลางเอนหน้ามาพูดใกล้ๆ หน้าผมจนหน้าผากเราชิดกัน

                    “เพราะใครเล่า?” ผมย่นคิ้ว

                    “ไอ้ลุกซ์  เพราะมันคนเดียว” พี่ลันทำหน้ากวนๆ ไม่รับผิดชอบในความผิดของตัวเอง

                    “ทุเรศ โยนความผิดให้คนอื่นเฉยเลย” ผมดึงแก้มพี่ลันอย่างหมั่นเขี้ยว

                    “เฮ้ยพวกมึงน่ะ  รีบกลับบ้านไปซั่มกันเลยไป  อยู่ที่นี่ก็ขวางหูขวางตา” ไอ้พี่เสือเดินมาพูดจิกกัดด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ  ผมกับพี่ลันรีบผละออกจากกันก่อนจะหันไปมองพี่เสือที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดมองไปที่ไอ้คิมที่กำลังกระดี๊กระด๊าหว่านเสน่ห์ให้พวกผู้หญิง

                    “อะไรของมึงวะไท? เมียนอกใจแล้วพาล?” พี่ขลุ่ยเดินถือแก้วเหล้าเข้ามาพูดหยอกเย้าให้พี่เสือหงุดหงิดกว่าเดิม

                    “ว่าแต่กูเถอะมึง  ตามดูน้องเมฆของมึงให้ดีเถอะ  เมื่อกี้กูเห็นผู้ชายคนหนึ่งมาจีบด้วย เฮอะๆ” ไอ้พี่เสือหรี่ตามองพี่ขลุ่ยก่อนจะพูดโกหกแต่พี่ขลุ่ยเชื่อจึงรีบเดินหาไอ้เมฆ  ที่ว่าโกหกก็เพราะเมื่อกี้ไอ้เมฆมันเพิ่งถูกเพื่อนผู้หญิงของผมรุมน่ะสิครับไม่เห็นจะมีผู้ชายที่ไหน  ทำไงได้ล่ะเนอะ  น่ารักๆ แบบไอ้เมฆผู้หญิงก็ให้ความสนใจเหมือนกัน

                    “ถ้าอารมณ์เสียขนาดนั้นกูแนะนำให้ไปฉุด” พี่ลุกซ์ที่เพิ่งกลับจากไปห้องน้ำยักคิ้วหลิ่วตาอย่างเจ้าเล่ห์  ไอ้พี่บ้านี่แนะนำอะไรเคยได้เรื่องบ้างหรือเปล่าเนี่ย  ก่อนหน้านี้ผมก็เข้าใจผิดพี่ลันเพราะคำแนะนำบ้าๆ ของพี่ลุกซ์

                    “โรงแรมแถวๆ นี้มีไหมสุดที่รัก?” พี่เสือหันมาถามผม  นั่นไง ดันเชื่อคำแนะนำพี่ลุกซ์อีกคน

                    “ไอ้ไท อย่าไปฟังที่ไอ้เหี้ยนี่มันพูดเลย  แนะนำอะไรเคยได้เรื่องสักอย่างไหม?” พี่ลันพูด  นี่พี่เพิ่งจะคิดได้เหรอ  ก่อนหน้านี้ยังเชื่อฟังเขาจนได้เรื่องแล้วไหมล่ะ

                    “ไม่รู้ล่ะ กูใช้ได้ผล” ไอ้พี่ลุกซ์ยกยิ้มก่อนจะเดินไปอ้อล้อพวกผู้หญิงที่มาเที่ยวอย่างครึ้มอกครึ้มใจ

                    “ฮู้! หงุดหงิด! รู้งี้ไม่พามันมาซะก็ดี” ไอ้พี่เสือกระทืบเท้าก่อนจะเดินกระแทกส้นมานั่งที่โต๊ะ

                    “กับไอ้คิมพี่เอาจริงใช่ไหม?” ผมถามขึ้น  เพิ่งเคยเห็นพี่เสือเป็นแบบนี้ครั้งแรกเลยแฮะ

                    “อืม” พี่เสือพยักหน้าส่งๆ สายตาจับจ้องไปที่ไอ้เด็กคิมไม่ห่าง  พี่มันทำเหมือนกับว่าถ้าละสายตาไปไอ้เด็กคิมจะถูกลากไปที่อื่น หรือไม่ก็มันเองนั่นแหละที่จะลากเขาไปซะเอง

                    “สูงกลับบ้านป่ะ” จู่ๆ ไอ้พี่ลันก็กระตุกมือผมพลางบอก  ผมหันกลับไปมองก่อนจะส่ายหน้าไปมา  ผมแค่แกล้งครับ  ที่พี่มันชวนกลับบ้านก็เพื่อพาผมไปจิ้มน่ะสิ  รู้ทันหรอก

                    “กลับไปทำไมครับ กำลังสนุก”

                    “ไปสนุกต่อที่บ้านป่ะ” พี่มันทำหน้าจริงจัง

                    “ที่บ้านมีอะไรให้สนุกล่ะครับ?” ผมแกล้งถาม

                    “ถ้าไม่กลับจะทำที่นี่ก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ” พี่ลันทำหน้าดุผมจึงยิ้มเอาใจพลางลุกขึ้นยืน  พี่ลันยกยิ้มพอใจก่อนจะเดินจูงมือผมออกไปข้างนอกเพื่อเดินต่อเข้าไปที่บ้านที่อยู่ไม่ห่างกันนัก


    70% left

    ฉากต่อไปนี้ถูกตัดฉับๆ กรุณาเข้ากูเกิ้ลแล้วเซิร์ชคำว่า...dprforfreshman




                    “เฮ้ย...พวกมึงน่ะ  ทั้งคืนเลยนะ” ไอ้พี่เสือที่นั่งรอกินข้าวด้วยสภาพอย่างกับศพทักพวกผมด้วยสีหน้าเหมือนกำลังอิจฉา  ดูแต่ละคนสิครับ  ขอบตาดำคล้ำกันถ้วนหน้า  สงสัยเมื่อคืนปาร์ตี้กันยันเช้า  ผมมั่นใจครับว่าแต่ละคู่เขาไม่ได้จิ้มกันแน่นอนเนื่องจากพวกเขานอนแยกกัน  ที่จริงเมื่อคืนห้องของผมจะต้องนอนด้วยกันสามคนคือผม ไอ้เมฆ ไอ้วิท  ส่วนห้องถัดจากห้องผมไปด้านซ้ายมือต้องนอนกันสามคนเช่นกันนั่นก็คือพี่เปอร์ พี่พัดและไอ้คิม  ห้องที่ถัดไปด้านขวาซึ่งเป็นห้องใหญ่ที่สุดจะนอนกันสี่คนคือพวกที่เหลือ  แต่แบบ...เมื่อคืนมันเผลอไงครับ  พี่ลันไม่ยอมไปไหนเลยพวกนั้นก็เลยต้องนอนกับห้องละสี่คน  อายนะเนี่ย

                    “อิจฉาดิ?” พี่ลันยกยิ้มเย้ยไอ้พี่เสือก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว

                    “เออ!” พี่เสือมันตอบด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ

                    “แล้วไอ้เมฆกับไอ้วิทล่ะครับ?” ผมถามเมื่อไม่เห็นเพื่อนทั้งสองคน

                    “ไปช่วยพ่อกับแม่เตรียมอาหารเช้าในครัวน่ะ” พี่ขลุ่ยตอบพลางยกกาแฟขึ้นจิบ  ดูพี่ขลุ่ยจะเป็นผู้เป็นคนสุดแล้วครับเพราะพี่มันอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแม้ว่าหน้าตาจะยังดูไม่สร่างอาการเมาขี้ตาสักเท่าไหร่ก็ตาม  ก็ยังดีกว่าคนอื่นๆ ที่ยังใส่ชุดเดิมบ้างชุดนอนบ้างอยู่เลย  ส่วนผมกับพี่ลันอาบน้ำเรียบร้อยแล้วครับก็เลยลงมาช้ากว่าคนอื่นๆ

                    “งั้นเดี๋ยวผมไปช่วยพวกนั้นก่อนละกัน” ผมบอกพลางเดินตัวปลิวเข้าครัว

                    “พอดีเลยไอ  ไปซื้อไอศกรีมให้แม่หน่อยลูก” แม่ผมที่เห็นผมเดินเข้าไปในครัวใช้

                    “เอามาทำอะไรอ่ะแม่?” ผมถาม

                    “เอามาเป็นของหวานไง” แม่บอกผมจึงเดินไปค้นหากุญแจมอเตอร์ไซเพื่อออกไปซื้อไอติมที่เซเว่นหน้าปากซอย

                    “ไปด้วย” พี่ลันบอกผมจึงเบรกเอาไว้  หมอนี่ก็ตามติดผมเกิ๊น  ห่างบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกมั้งนะ

                    “งั้นเดี๋ยวผมไปกับพี่ไอเอง” ไอ้คิมบอก

                    “ไม่ได้!” พี่ลันกับพี่เสือประสานเสียงกันทันทีทำให้ไอ้คิมหน้าหงอเดินกลับไปนั่งวาดรูปอยู่ที่เดิม  ผมแอบมองผ่านๆ รูปที่มันวาด  ขอบอกว่าโคตรสวยเลย  มีฝีมือเหมือนกันนี่หว่าไอ้หนู

                    “เดี๋ยวกูไปด้วย” พี่พัดที่นั่งเล่นมือถือบอกพลางลุกตามผมมา  ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะพาพี่มันซิ่งมอเตอร์ไซไปหน้าปากซอย




     

                    ขณะที่เดินเลือกซื้อของอย่างอื่นในเซเว่นผมก็เดินไปเทียบเคียงพี่พัดก่อนจะถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพี่พัดกับไอ้วิทเพราะไม่เห็นว่ามันจะคืบหน้าตรงไหนเลย

                    “พี่พัด  กับไอ้วิทเป็นไงบ้างครับ?” พอผมถามออกไปพี่พัดก็มีสีหน้าตกใจก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผมมองออกว่ามันชอบพี่ก็เลยรู้” ผมบอก

                    “ก็ไม่ไงหรอก” พี่มันทำหน้าเซ็งๆ

                    “ชอบเพื่อนผมบ้างไหม?” ผมถามออกไปทำให้พี่พัดหันกลับมามองหน้าผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกเพราะมีหลายอารมณ์เหลือเกิน

                    พี่พัดถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะพยักหน้า “อืม” พี่มันตอบพลางเบือนหน้าหนี

                    “แล้วทำไมถึงทำหน้าอมทุกข์อย่างนั้นล่ะครับ  ทั้งพี่ทั้งไอ้วิทเลย  ถ้าชอบกันทำไมไม่มีความสุขล่ะ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

                    “กูเป็นพวกปากแข็ง  ไม่ชอบพูดหรอกว่าชอบใคร  อีกอย่าง...ยิ่งเห็นว่าไอ้เฉิ่มนั่นพยายามจะเปลี่ยนตัวเองกูยิ่งโมโห  เป็นแบบนั้นก็ดีอยู่แล้วจะเปลี่ยนไปทำไม? เป็นตัวของตัวเองมันดีกว่าไม่ใช่เหรอ?” พี่พัดพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะชอบใจ  ผมยิ้มกว้างทันที  พี่พัดไม่ใช่คนที่มองคนจากภายนอกสินะ  มึงคิดผิดแล้วว่ะวิทว่าถ้าเปลี่ยนตัวเองให้หล่อขึ้นแล้วจะครองใจพี่พัดได้  เพราะมึงเฉิ่มต่างหากพี่พัดถึงได้ชอบ

                    “มันเปลี่ยนตัวเองเพราะพี่นะครับ” ผมพูดยิ้มๆ

                    “กูไม่ชอบ! มันพยายามจะเปลี่ยนตัวเองเพราะคิดว่ากูชอบคนที่ภายนอก  การที่มันไม่เป็นตัวของตัวเองนั่นแหละที่จะทำให้กูไม่ชอบ  หล่อขึ้นแล้วไง? ฝืนตัวเองทำสิ่งที่ไม่เคยแบบนั้นเพื่ออะไร? ถึงมันจะเฉิ่มหรือทำตัวบ้านนอกมากแค่ไหนกูไม่เห็นจะแคร์  กูชอบเวลามันพูดภาษาอีสาน” พี่พัดพูดโดยไม่สบตาผม  พี่มันขมวดคิ้วทำหน้าไม่พอใจก็จริงแต่หน้างี้แดงก่ำเลยครับ  พี่พัด...น่ารักอ่ะ

                    “งั้นเดี๋ยวผมบอกมันให้นะ” ดีใจจัง  เพื่อนผมจะมีความสุขกับเขาสักที

                    “ไม่ต้อง  กูจะดูว่ามันจะฝืนตัวเองได้มากแค่ไหน” พี่พัดพูดอย่างจริงจัง

                    “พี่ว่าไอ้วิทหล่อไหม?” ผมแกล้งถาม

                    “อะ...ถามอะไรนักหนาวะไอ้ไอ!? เดี๋ยวก็ได้แดกตีนกูแทนข้าวเช้าหรอก” พี่พัดหน้าแดงก่ำพลางทำท่าโหดกลบเกลื่อน

                    “เออน่า ตอบผมมาเหอะ” ผมคะยั้นคะยอ

                    “เออ!” พี่มันกอดอกสะบัดหน้าหนี  กิ้วๆ หน้าแดงก่ำเชียวนะ

                    “พี่ว่ามันตอนแต่งตัวดีๆ กับตอนแต่งตัวเฉิ่มๆ อันไหนดูดีกว่ากัน?” ผมถามอีก

                    “ไอ้ไอ!!

                    “คำถามสุดท้ายแล้วน้า  ตอบผมเหอะ” ผมตื๊อ

                    “เฉิ่ม! ...แบบนั้น...น่ารักดี” พี่มันพูดเสียงแผ่วๆ ในตอนท้ายด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ  ผมยิ้มแป้นก่อนจะจูงมือพี่พัดไปจ่ายเงินด้วยท่าทางอารมณ์ดี  ผมดีใจกับไอ้วิทและพี่พัดครับที่ใจตรงกัน  ถ้าเข้าใจกันคงจะรักกันมากแน่ๆ เลย




     

                    ผมกับพี่พัดซิ่งมอเตอร์ไซค์กลับมาบ้านก่อนจะเข้าไปกินข้าวพร้อมเพื่อนคนอื่นๆ ส่วนพ่อกับแม่ก็ปล่อยให้เด็กๆ อยู่กันตามประสาเด็กเพราะตัวเองก็มีเรื่องต้องไปเคลียร์กันอีก  ไอ้ผมก็ลุ้นอยู่เนืองๆ ว่าอยากจะให้พ่อกับแม่กลับมาคืนดีกัน  แต่ถ้าพ่อลักษณ์กับแม่คืนดีกันแล้วพ่อโยสุเกะที่เป็นพ่อใหม่(เมื่อนานมาแล้ว)จะเป็นยังไงล่ะ?  ผมกับพ่อโยสุเกะเองก็สนิทกันพอควรเพราะพ่อเขาดูแลผมมาตั้งแต่เด็กถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลาเพราะต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นก็เหอะนะ

                    “พี่เตี้ย  พี่ว่าพ่อแม่เขาจะกลับมาคืนดีกันได้ไหมอ่ะ?” ผมกระซิบถามพี่ลันขณะนั่งกินข้าวเช้าร่วมกับคนอื่นๆ  พวกนั้นก็เอะอะเจี๊ยวจ๊าวกันเหมือนเดิมครับ  สนุกเฮฮาดี

                    “ไม่รู้สิ อาลักษณ์ก็ตามแม่มาถึงที่นี่  แต่ถ้าคืนดีกันฉันจะเรียกอาลักษณ์ว่าไงดีล่ะ? พ่อลักษณ์ดีไหม?” ท้ายประโยคพี่ลันพูดพลางเอนตัวมากระแซะผมเบาๆ เล่นเอาผมเขินเลย

                    “อะแฮ่ม! หวานกันก็เกรงใจพวกกูหน่อยเฮ้ย” ไอ้พี่เสือกระแอมไอพลางขัดจังหวะพวกเรา  ดีเหมือนกันที่พี่มันขัดขึ้นก่อนที่หน้าของผมจะระเบิด  เหี้ย โคตรร้อนหน้าเลยเหอะ  ว่าแต่...ไอ้พี่เสือมันหงุดหงิดอะไรนักหนาวะ  ไอ้เด็กคิมมันก็สนุกสนานร่าเริงกับคนอื่นๆ ดีแล้วทำไมตัวเองถึงทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกแบบนั้นล่ะ  เอ๋...หรือว่าเพราะไอ้คิมมันสนุกกับคนอื่นจนไม่สนใจตัวเองล่ะสิ ฮ่าๆ เสือก็หึงเป็นกับเขาเหมือนกันนี่หว่า ฮ่าๆๆ

                    “มึงนี่ก็ขัดจังหวะเขาอยู่เรื่อยเลยว่ะ” พี่ขลุ่ยตบหัวพี่เสือเบาๆ ทำเอาพี่มันแยกเขี้ยวใส่เสมือนจะพุ่งเข้าไปขย้ำอย่างเคืองๆ

                    “อิจฉา!” ไอ้พี่เสือกระแทกเสียงพลางกอดอกมองไอ้คิม  เมื่อได้ยินแบบนั้นไอ้คิมก็ชะงักนิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรหนำซ้ำยังหันไปคุยกับไอ้เมฆไอ้วิทอย่างสนุกสนานเล่นเอาเสือตกมันเลยทีเดียว  ฮ่าๆ

                    “เอ้อ วันนี้เราจะไปไหนกันเหรอ?” พี่ขลุ่ยหันมาถามผม

                    “ไปทุ่งนาครับ” ผมบอกทำให้พวกเด็กเมืองหลวงที่ไม่เคยพบปะกับบรรยากาศบ้านๆ ตาลุกวาวขึ้นมาทันที  คือที่จริงผมจะไปเยี่ยมตากับยายน่ะครับ  พวกท่านอยู่ต่างอำเภอซึ่งบ้านก็รายล้อมไปด้วยบรรยากาศชนบท  ไม่รู้ว่าป่านนี้ตากับยายจะงอนผมหรือยังไม่ได้เข้าไปหาเลย

                    “เราจะได้ลงไปเกี่ยวข้าวด้วยไหม? เห็นในทีวี  น่าสนุกดีนะ” ไอ้พี่เปอร์พูดอย่างตื่นเต้น  ผมยิ้มนิดๆ

                    “อยากลองไหมล่ะครับ? ช่วงนี้อยู่ในช่วงเกี่ยวข้าวพอดี  เดี๋ยวผมลองขอตากับยายให้” ผมบอก  ดีจังที่พวกพี่ๆ เขาชอบ  เห็นมีแต่คนรวยๆ นึกว่าจะไม่ชอบเรื่องแบบนี้ซะอีก

                    “ลอง!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันเล่นเอาผมยิ้มแป้นไม่หุบ  ถึงคนพวกนี้จะรวยมีเงินเยอะแยะแต่พวกเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่จะทำอะไรแบบนี้เลยแฮะ  เขาไม่รังเกียจผมที่ฐานะปานกลางและบรรพบุรุษเป็นชาวนาอีกทั้งยังนับถือซะอีกเพราะว่าถ้าไม่มีชาวนาพวกเขาก็ไม่มีข้าวกิน  วันนี้แหละครับผมจะพาพวกเขาไปสัมผัสกับบรรยากาศสบายๆ ลมเย็นๆ จากท้องทุ่งที่เป็นแอร์ธรรมชาติ ฮ้า รู้สึกดีจังครับ


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    ตอนนี้แอบมีวิทพัด ไทคิมเบาๆ ฮ่าๆๆ

    อ่า...ไรเตอร์มีข่าวร้าย(?)มาบอกกกกก  คือว่า...ไรเตอร์ต้องไปเข้าค่ายนักศึกษาใหม่ที่ม.ขอนแก่นหกวันเต็มๆ จึงอาจจะไม่ได้มาอัพไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตามอ่า  เสียใจอ่ะ ไม่มีคอมเหมือนขาดอวัยวะชิ้นที่34 ไป เฮ้อ (ชิ้นที่33 เป็นไอแพด  ส่วนโทรศัพท์...ช่างมันเถอะ ฮ่าๆๆ)   ง่า...ไปตั้งหกวัน  ตายแน่ๆ แค่ค่ายวันเดียวเค้ายังแทบตายง่ะ

    เข้าค่ายอ่ะเริ่มวันที่ 24 เสร็จวันที่ 29 กว่าจะมีเวลาแต่งอีกก็คงเป็นวันที่ 30 ซึ่งช่วงวันที่เหลือจากวันนี้ไรเตอร์ก็ต้องไปหาหมอฟันซึ่่งการไปหมอฟันแต่ละครั้งไรเตอร์ใช้เวลาตั้งแต่เช้ายันดึกเพราะคนเยอะมากก  (ไม่ได้เว่อร์นะเออ  ถ้าไปแปดโมงเสร็จสองสามทุ่มแน่ะ)  ส่วนวันที่เหลือก็คงจะแต่งนิยายนั่นแหละ  แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์ ณ ตอนนั้นจะแต่งเรื่องไหน  แต่ให้แต่งพร้อมกันสามเรื่องไม่ไหวนะเนอะ  ฮ่าๆๆๆ  

    ใครที่จะไปเข้าค่ายเหมือนกันหรือเป็นรุ่นพี่ที่อยู่ในค่ายขอความกรุณาด้วยฮ่ะ ฮ่าๆๆ

    ...จึงเรียนมาเพื่อทราบ  จากใจไรเตอร์

    ^
    ^
    ทางการ(บรรทัดเดียว)ไปไหมฮะ? ฮ่าๆๆ

    ปล.เดี๋ยวว่างๆ จะเอาแฟนอาร์ตที่ไรเตอร์รวบรวมมาจากรีดเดอร์มาให้ดูกันน้า  ใครที่สิงอยู่ที่ทวิตจะเห็นอยู่เนืองๆ ฮ่าๆๆ

    ปล.อีกปล. ช่วงนี้ไม่ได้เข้าเพจและทวิตเลยน้า  แต่ก็อัพเดตนิยายเรื่อยๆ  ใครที่อยากจะติดต่ออะไรโทรมานะจ๊ะ หรือไม่ก็อีเมล์หรือไลน์มาก็ได้จ้า  เดี๋ยวเสร็จค่ายจะเข้าไปป่วนในเพจและทวิตนะเออ  ขอโทษจริงๆนะคะที่ไม่ได้คอมเม้นและเมนชั่น  ไม่โกรธกันนะ  เดี๋ยวกลับมาแล้วจะไปตอบให้หมดเยย  รักนะจุ๊บุจิ๊บิจ๊ะบะ (หะ?!)
    Free Theme dek-d By i'nutberry
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×