ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic Reborn D18:A promise...สัญญาว่าจะรักกันตลอดไป

    ลำดับตอนที่ #4 : Back to Japan again

    • อัปเดตล่าสุด 28 มี.ค. 54


              “คร้าบ ไปแล้วนะ บาย” เสียงนั้นดังขึ้นก่อนร่างสูงสง่าจะเดินจากไป   น้ำตาใสไหลรินลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้   เค้าโดนตวาด โดนด่าว่าดื้อ ใช่สิ เค้ามันดื้อ! แต่ก็มีหัวใจและความรู้สึกที่หากโดนด่าว่าก็เจ็บเป็นเหมือนกัน

                ร่างบางทรุดลงนั่งอย่างอ่อนแรงนึกสมเพชตัวเองที่จะต้องมาเป็นแบบนี้เพราะผู้ชายเพียงคนเดียว  ทำไมคนๆ นั้นถึงทำให้เค้าอ่อนแอได้เพียงนี้   น้ำตาที่ไม่เคยไหลก็ต้องไหล  เจ็บใจ...ความรู้สึกนี้ประเดประดังเข้ามาในโสตประสาทของฮิบาริอย่างหยุดไม่ได้   หัวใจที่ปิดกั้นแหลกสลายลงมา ณ เวลานี้

                “อย่าไปนะ...” เสียงแหบพร่าดังลอดออกมาจากริมฝีปากบาง  มือเอื้อมออกไปไขว่คว้าอากาศธาตุอย่างไร้ความหมาย

                แม้จะไขว่คว้าไว้เพียงใดแต่ดีโน่ก็คงไม่หันมามองเด็กอย่างเขา อีกอย่างเขาเป็นผู้ชาย...เค้าเข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ

     

                ฝน...ฝนอีกแล้วงั้นหรือ? ร่างบางยังไม่ทันลงจากดาดฟ้าสายฝนก็โปรยปรายลงมาชำระล้างคราบน้ำตาเสียแล้ว   ฮิบาริเคยเกลียดฝน...แต่บัดนี้เขากลับชอบมันเพราะมันล้างน้ำตาของเขาออกไปได้   มันชำระให้เขาไม่คิดถึงเรื่องอื่นๆ อีก

     

                “อ๋า ยังไม่ถึงบ้านสึนะเลยอย่าเพิ่งตกดิ” อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มผมทองผู้ซึ่งไร้ลูกน้องในเวลานี้เร่งฝีเท้ารีบมุ่งไปยังบ้านซาวาดะทันทีแต่ติดที่ขายาวๆ มันพันกันเสียได้

                ร่างสูงกลิ้งขลุกไปตามพื้นถนนอย่างหมดสภาพความเป็นบอสผู้น่าเกรงขามไปทันที   แขนขาที่ยาวและตัวที่ใหญ่ดูเก้งก้างไปถนัดตา   ความซุ่มซ่ามประเดประดังเข้ามาสู่ชายหนุ่มรูปงามในทันทีที่ขาดลูกน้องรอบกาย

                “อ๋อ ยย  เจ็บจัง” ดีโน่กุมหัวเข่าที่กระแทกพื้นอย่างเจ็บปวด   คนบ้าอะไรซุ่มซ่ามเสียเด็กอาย

                ร่างสูงกำลังนั่งนึกสมเพชกับความซุ่มซ่ามของตัวเองได้ไม่นานก็มีเงาๆ หนึ่งเดินแวบผ่านไปแต่นั่นก็ไม่เร็วพอที่จะทำให้ดีโน่มองไม่เห็น   เจ้าของเงาที่เดินผ่านไปคือเงาของฮิบาริและชายหนุ่มร่างเล็กก็ไม่คิดจะหันมองเหลือบตามองคนซุ่มซ่ามเลยด้วยซ้ำ

                “ดื้อไม่พอใจร้ายอีกด้วย” ดีโน่กระปอดกระแปด แต่นั่นก็ดังพอที่จะทำให้ฮิบาริได้ยิน  ก้อนหินข้างถนนจึงลอยมากระทบหน้าผากที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มผมสีทองเข้าอย่างจังโดยฝีเท้าอันแม่นยำของคนร่างเล็ก

                “แอ๊ก! จะ...เจ็บนะเคียวยะ!” ดีโน่โกรธขึ้ง ลุกยืนขึ้นทำท่าจะเข้าไปหาเรื่องฮิบาริแต่ขาก็พันกันอีกจนได้ทำให้ตอนลุกเขาได้กระโจนเข้าไปหาร่างบางจนร่างทั้งสองกอดกันล้มลงไปกลิ้งไม่เป็นท่าที่พื้นถนนแฉะ

                ริมฝีปากบางเผยอขึ้นอย่างตกใจเมื่อถูกทำให้ล้มไปด้วย  แก้มนิ่มของร่างสูงที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้โดนปากก็โดนจุ๊บเข้าเต็มๆ นั่นทำให้ร่างบางอดไม่ได้ที่จะเขินอายแต่เขาก็เก็บอาการได้อย่างมิดชิดโดยการเอาทอนฟาคู่ใจซัดร่างสูงเสียปลิว

                “อ๋า เจ็บๆๆ แต่ปากเคียวยะนี่นุ่มจริงๆ เลยนะ ฮุฮิ” ดีโน่แอบลอบยิ้ม

                “หุบปากของนายไปซะ!” ฮิบาริสะบัดหน้าไปด้านอื่น สัมผัสเมื่อกี้ยังตราตรึงที่จิตใจอยู่เลย

                “ฝนตกแบบนี้นายมาเดินตากฝนทำไมเคียวยะเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก  พรุ่งนี้เป็นวันแข่งนะ” ดีโน่ทักเตือน

                “เรื่องของชั้น นายจะกลับประเทศไม่รึไง  รีบไปไม่ต้องมาห่วงการต่อสู้ของชั้นหรอก” ฮิบาริเอ่ยอย่างนึกน้อยใจที่ดีโน่ห่วงการต่อสู้แต่ไม่ได้ห่วงเค้าเลย

                “ชั้นมั่นใจว่านายจะชนะ” ดีโน่พูดอย่างมั่นใจสุดๆ

                “ชั้นก็มั่นใจเพราะชั้นไม่เคยแพ้ใคร” ฮิบาริย้ำก่อนจะเดินจากไป

                “เย็นชาชะมัดเลย” ดีโน่เบ้ปากใส่ไล่หลังก่อนตัวเองจะเดินไปที่บ้านสึนะซึ่งระหว่างทางก็เจ็บตัวไปด้วย

     

                “ผมชื่อ...”

     

              ความฝันถึงความทรงจำในวัยเด็กยังไม่เลือนหายไปไหนทั้งๆ ที่ดีโน่กลับมาถึงที่อิตาลีแล้วแท้ๆ แต่ทำไมมันยังตามมาหลอกหลอน   เด็กคนนั้นคือใครกันแน่  ทำไมถึงนึกไม่ออกซักที

                ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงนอนหนานุ่มขนาดใหญ่และเดินออกไปเปิดม่านมองดูหมู่ดาวที่ส่องแสงสกาวเต็มท้องฟ้า   พลันนึกถึงหน้าของฮิบาริ ตอนนี้การต่อสู้ไปถึงไหนแล้วนะ ทำไมรีบอร์นไม่ส่งข่าวมาบอกบ้างเลยล่ะ  แต่ยังไงฮิบาริก็ต้องชนะอยู่แล้ว

                 R R R R R R

              ยังไม่ทันได้คิดอะไรมากเสียงโทรศัพท์ของดีโน่ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

                “ว่าไงรีบอร์น” ดีโน่ถาม

                (ทำไมแกถึงกลับไปก่อนโดยไม่ดูอาการลูกศิษย์ของตัวเองเลย) เสียงเล็กทว่าทรงพลังตวาดมาตามสาย

                “กะ...เกิดอะไรขึ้น!?!” ดีโน่ถามอย่างตกใจกับคำบอกกล่าวของอีกฝ่าย

                (ฮิบาริลงไปสู้ทั้งๆ ที่ไม่สบายน่ะสิ  ร่างกายแบบนั้นจะสู้กับใครเขาไหว!) รีบอร์นกล่าวเป็นเชิงต่อว่าผู้เป็นครูของฮิบาริ

                “ฮะ!?! เคียวยะไม่สบายงั้นเหรอ!?!” ดีโน่พูดพลางวางสายและผลุนผลันออกไปสั่งลูกน้องให้เอาเครื่องบินส่วนตัวออกทันที

                “รอก่อนนะเคียวยะ” ดีโน่กุมมือตัวเองแน่น   ภายในหัวเต็มไปด้วยรูปของฮิบาริ

     

                ดีโน่มาถึงทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดนอน  ร่างสูงวิ่งมาที่โรงเรียนนามิโมริด้วยความเร็วสูง  เหงื่อกาฬไหลพร่างพรายบนใบหน้าอย่างเหนื่อยอ่อนแต่เพื่อฮิบาริเหนื่อยกว่านี้เขาก็ยอม

                “เคียวยะ!!” ดีโน่ตะโกนเรียกร่างบางที่นอนฟุบอยู่กับพื้น

                “ดีโน่” รีบอร์นเรียกเจ้าของเสียงเมื่อกี้เบาๆ แปลกใจไม่น้อยที่ไอ้บอสคนนี้จะรีบมาเร็วขนาดนี้

                “เคียวยะอย่าเป็นอะไรนะเคียวยะ!!” ดีโน่ตะโกนอย่างบ้าคลั่งไม่สนใจไอ้หน้าไหนเลยซักคน

                ร่างบางได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาดู   แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อแสงสีทองส่องเข้าตา   สภาพของร่างสูงช่างน่าขำทำให้ฮิบาริแอบยิ้มออกมา   พลังใจกลับมาเสียจนพลังกายฟื้นขึ้นด้วย

                “เคียวยะ! ชั้นจะไปช่วยเดี๋ยวนี้แหละ!!” ดีโน่พูดพลางทำท่าจะวิ่งเข้าไปในสนามต่อสู้

                “อย่าเข้ามานะ เดี๋ยวก็ตายหรอก” ฮิบาริตะโกนห้ามก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะกระโจนเข้ามา

                “ถ้าไม่ให้เข้าไปเคียวยะก็ลุกขึ้นสิ! อย่าให้โดนทำร้ายง่ายๆ นะเคียวยะ!” ดีโน่ตะโกนเสียงสั่น   เค้าไม่เคยเห็นสภาพของฮิบาริเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

                “ไหนบอกจะกลับอิตาลีไง” ฮิบาริเดินเซๆ มาหาดีโน่

                “ก็กลับไปแล้วแต่กลับมาเพราะรู้ว่านายไม่สบาย  เคียวยะ...ชั้นเป็นห่วงนะ” ดีโน่พูดเสียงอ่อนทำให้ฮิบาริแอบหน้าขึ้นสี

                “ชั้นไม่เป็นไรหรอก” ฮิบาริลอบยิ้มเขิน

                “เคียวยะถ้าไม่ไหวเรียกชั้นนะชั้นจะเข้าไปช่วยนายทันที เข้าใจมั้ย?” ดีโน่ทำหน้าเคร่งเครียด

                “ชั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งสัตว์กินพืชอย่างนายหรอก อย่างชั้นชนะได้อยู่แล้ว” ฮิบาริเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะเดินไปสู้ต่อ   มันไม่ใช่รอยยิ้มแสยะเหมือนเคย  มันเป็นรอยยิ้มที่...น่ารัก!!

                “เคียวยะนายเท่มาก!! อย่าแพ้นะเคียวยะ!!” ดีโน่ตะโกนให้กำลังใจซึ่งนั่นส่งผลต่อฮิบาริเป็นอย่างมาก

                ผลออกมาปรากฏว่าฮิบาริสามารถสู้ได้อย่างเต็มกำลัง  อาการป่วยเหมือนถูกกดสวิตช์ปิดไว้ชั่วคราว   การต่อสู้ของฮิบารช่างดูงดงามสมใบหน้า

                ร่างบางเดินโซเซออกมาจากสนามรบ ดีโน่จึงรีบวิ่งเข้าไปหาทันทีและดึงร่างบางนั้นมากอดแนบอกอย่างห่วงหา

                “ทำบ้าอะไร...เนี่ย” ฮิบาริพูดเสียงขาดห้วง

                “เป็นห่วงแทบตาย ทีหลังอย่าทำอะไรเสี่ยงๆ อีกนะเคียวยะ  คราวหน้าถ้าสู้ไม่ไหวก็ไม่ต้องลงไปสู้” ดีโน่ได้ทีเทศนาใหญ่

                “หุบปาก ชั้นเหนื่อย” พูดจบฮิบาริก็สลบเหมือดคาอกดีโน่ไปเสียเฉยๆ

                “ฮิบาริเป็นอะไรมากมั้ยครับคุณดีโน่  มา...เดี๋ยวผมอุ้มไปเอง” ยามาโมโตะเดินมาหาดีโน่ที่กอดร่างไร้สติของฮิบาริเอาไว้

                “นายก็เจ็บขนาดนั้นอุ้มเคียวยะไม่ไหวหรอกเดี๋ยวชั้นจัดการเอง” ดีโน่เอ่ยปรามก่อนจะช้อนตัวร่างบางสู้วงแขนแข็งแรงทั้งสองข้างของตัวเอง

                “ผม...อยากอุ้มบ้างนะครับ” ยามาโมโตะก้มหน้าเศร้า

                “ไว้คราวหน้าละกัน” ดีโน่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะอุ้มฮิบาริไปที่รถของตัวเองที่ลูกน้องเตรียมไว้ให้อยู่ก่อนแล้วทำให้ยามาโมโตะมองด้วยสายตาละห้อย


       

                ตาเรียวคมปรือขึ้นมาอย่างยากลำบาก   พิษไข้ทำให้ดวงตาของฮิบาริหนักอึ้งเหมือนถูกเหล็กถ่วงแต่ทว่าสติกลับตื่นตัวเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองสลบไป

                “โอ๊ะ! ตื่นแล้วเหรอคียวยะ?” เสียงสดใสร่าเริงทำให้หน้าสวยคมต้องหันขวับไปมองเจ้าของเสียง

                “เอ่อ...” ฮิบาริครางออกมาเบาๆ เพราะรู้สึกกระหายน้ำ

                “อ่ะ น้ำๆ โฮ่ย ตกใจนะเนี่ยที่เคียวยะหลับไปซะนาน” ดีโน่ถอนหายใจโล่งอกที่เห็นคนที่เขาลงทุนเฝ้าไข้ทั้งคืนตื่นขึ้นมา

                “หา? หลับ? หลับไปนานแค่ไหน?” ฮิบาริถามพลางมองไปรอบๆ ห้องที่แปลกตา

                “ก็ทั้งคืนนั่นแหละ แต่ที่มันแปลกก็คือไม่ว่าชั้นจะทำเสียงดังมากแค่ไหนเคียวยะก็ไม่ตื่นขึ้นมาซัดชั้นน่ะสิ  หลับสบายมั้ย?” ดีโน่ถามพลางเอามือไปอังหน้าผากร้อนเพื่อวัดไข้

                “อืม” ฮิบาริพยักหน้าเบาๆ

                “ไข้ยังไม่ลดเลย เคียวยะพักก่อนละกันส่วนเรื่องไปโรงเรียน...”

                “ชั้นจะไปโรงเรียน!!” ฮิบาริทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอนแต่ก็ต้องล้มลงไปนอนอีกครั้งเพราะความปวดหัว

                “สภาพอย่างนี้อย่าไปเลย พวกสึนะเองก็ไม่ไปโรงเรียนกันเพราะแต่ละคนก็เจ็บหนัก เพราะงั้นเคียวยะก็พักอยู่นิ่งๆ ซะ”

                “จะกลับบ้าน”

                “เคียวยะ!” ดีโน่มองฮิบาริปรามๆ เพราะเจ้าตัวช่างดื้อด้านเสียเหลือเกิน   ไปโรงเรียนไม่ได้ก็จะลับมาบ้าน เฮ้อ

                “อยู่ก็ได้” ฮิบาริพูดแล้วนอนตะแคงข้าง

                “หิวมั้ย?” ดีโน่ถามขึ้น

                “ไม่ ...ใครเป็นคนพาชั้นมา?” ฮิบาริถามเสียงแข็ง

                “จะให้เป็นใครก็ชั้นน่ะสิ ตัวก็หนัก” ดีโน่แกล้งแหย่กระเซ้า แต่ความจริงตัวฮิบาริเบาอย่างไม่น่าเชื่อ

                “แล้วทำไมต้องกลับมาด้วย” ฮิบาริยังคงถามต่อ

                “ก็บอกแล้วไงว่าเป็นห่วง สบายร่างกายแบบนี้ยังจะกล้าลงไปสู้อีกงั้นเหรอ? คราวหน้าคราวหลังอย่าทำอะไรฝืนตัวเองอีกนะ” ดีโน่ขมวดคิ้วพูดกับเด็กดื้อ

                “ไม่เห็นจำเป็นต้องมาห่วงชั้น   ร่างกายชั้นจะเป็นยังไงแต่ชั้นก็ชนะได้อยู่วันยังค่ำ” ฮิบาริเบือนหน้าหนีไปทางอื่น

                “โม้ๆ” ดีโน่ยิ้มเยาะอย่างกวนๆ

                “ไม่ได้โม้!” ฮิบาริตวาดใส่

                “โม้” ดีโน่พูดพลางแลบลิ้นใส่อีกต่างหาก

                “ก็บอกไม่ได้โม้ก็ไม่ได้โม้ไงเล่า!” ฮิบาริควานหาทอนฟาแต่กลับไม่มีมันอยู่ข้างกาย

                “ฮ่าๆ จะเอาทอนฟามาฟาดชั้นงั้นเหรอ  ฮุๆ” ดีโน่พูดพลางกวัดแกว่งทอนฟาไปมา และขณะกวัดแกว่งอยู่ดีๆ ภาพเหตุการณ์หนึ่งก็ไหลเข้ามาในหัว

     

                เด็กชายตัวเล็กกำลังถือทอนฟา  เขากำลังห้ามไว้...

              “เฮ้ย เป็นอะไร?” ฮิบาริถามขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงนิ่งไป

     

                งั้นพี่ชายช่วยสอนผมเล่นไอ้นี่ทีสิ  ถ้ามี่ชายสอนผมคงไม่ถูกว่าใช่มั้ยฮะ” ร่างเล็กของเด็กชายเดินไปเขย่าแขนของผู้ที่มีอายุมากกว่าอย่างอ้อนวอน

              “ได้สิ นายชื่ออะไร? ถ้าโตขึ้นแล้วชั้นจะสอนนายเอง”

     

                “ดีโน่  ดีโน่!” ฮิบาริพยายามเรียกชายหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์

     

    “ผมชื่อเคียวยะครับ แล้วพี่ชายชื่ออะไรครับ?

              “ชั้นชื่อดีโน่นะ”

              “ครับ สัญญาแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นยิ้มพลางยกนิ้วก้อยขึ้นมา

              “ทำอะไรเหรอ? มันคืออะไร?” เด็กหนุ่มผมทองมอนิ้วก้อยเล็กอย่างงงๆ

              “มันเป็นเครื่องหมายที่บอกว่าเราสัญญากันแล้วไงครับ”

              “อ๋อ สัญญานะ”

     

                “ทะ...ทอนฟา...เคียวยะ...” ดีโน่รำพึงออกมาเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างประติดประต่อกันได้สมบูรณ์แล้ว

                “อะไร” ฮิบาริขมวดคิ้วกับอาการแปลกๆ ของชายหนุ่มผมทอง

                “เคียวยะ! ทำไมนายถึงเลือกที่จะใช้ทอนฟาเป็นอาวุธล่ะ!?!” ดีโน่ถามเสียงดังจนฮิบาริต้องยกมือขึ้นปิดหูไว้

                “ไม่รู้” ฮิบาริส่ายหน้า เค้าไม่อยากจะบอกออกไปว่ารู้สึกผูกพันธุ์กับทอนฟามากรู้สึกถึงคำสัญญาบางอย่างแต่เค้าเองก็จำไม่ได้

                “นายก็จำไม่ได้สินะ” ดีโน่พึมพำกับตัวเอง   ก็ไม่แปลกที่ฮิบาริจะจำไม่ได้เพราะแม้แต่ตัวเค้าเองก็ยังจำไม่ได้เลย   ตอนนั้นฮิบาริก็อายุน้อยมากเลยด้วย

                “ฮะ?” ฮิบาริทำหน้างงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าดีโน่ได้พูดกับเค้าหรือเปล่า?

                “เปล่าๆ ไม่มีอะไร  นายพักผ่อนต่อเถอะเดี๋ยวชั้นไปเคลียร์งานก่อนละกัน” ดีโน่พูดแล้วเดินออกมาจากห้อง

    _________________________________________________________________________________________

    พี่โน่!! พี่โน่จำได้แว้ ว ว วว ว ว ว ว  เย้!!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×