คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ใครโง่กว่าใคร
ใครโง่กว่าใคร
มีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่า หมายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ คง ทิดคงนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุก ๆ ปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ ๔ – ๕ กิโลเมตร
เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ วันหนึ่งตอนบ่าย ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่ง เอาไปแกงส้มอร่อยมากนางคิดถึงสามี จึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึก เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมา นางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ ม่อยหลับไป
ขณะที่หลับนางฝันว่า มีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไข่วคว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่อราดหมด เลยไม่มีอาหารไปสู่บิดา เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า
‘’ โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม อือ ๆ ๆ ‘’
พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า
‘’ ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริง ๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้”
ทิดคงสงสัย ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า
‘’ มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้ ‘’
เมื่อเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่น ๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า
‘’ ท่านร้องไห้ทำไม ‘’
‘’ ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้ ‘’
ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้น แคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้ ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกไปและกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว ทิดคงพายเรือต่อไป เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ข้างฝ่าย ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเขาไป ร้องถามว่า
‘’ พวกท่านทำอะไรนั่น”
“เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย ‘’
‘’ ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ ‘’
พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่าง ๆนานา
‘’ ท่านช่างมีปัญญาแท้ ๆ ‘’ แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล
ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่าง ดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่าง ๆ ออกวางกลางแดด พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น ทิดคงรู้สึกแปลกใจ จึงร้องถามออกไปว่า
‘’ ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น ‘’
‘’ พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ‘’
‘’ สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ ‘’
พอพูดจบ ทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้ ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี และกล่าวคำชมเชยว่า
‘’ ท่านช่างมีปัญญาจริง ๆ ‘’
ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า หากลูกเมียผิดพลาดไป ตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้ ทิดคงจึงกลับยังบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้นทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา พึงใช้ปัญญาแก้ไข เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
( เล่าโดย สมชัย ธนัญชัย โรงเรียนวัดดอนจั๋น อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ . )
ความคิดเห็น