ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #9 : ป้อมอัศวิน

    • อัปเดตล่าสุด 7 ต.ค. 67



     

    ป้อมอัศวิน


     


     


     


     

    โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์กในวันนี้ยังคงคลาคล่ำไปด้วยทั้งคนทั้งรถเทียมม้าเทียมมังกรจนน่าแปลกใจ ทั้งที่ได้ยินว่ามีผู้ผ่านการคัดเลือกเพียงหนึ่งในสามของคนที่เดินทางมาสมัครทั้งหมดเท่านั้น ทว่าหากคะเนเอาแค่เพียงที่สายตามองเห็น จำนวนคนในวันนี้ไม่เพียงน่าจะไม่น้อยไปกว่าเมื่อวาน อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะกระทั่งทางเดินกว้างยังคับแคบไปถนัดตา

    เฟรินกวาดตามองโดยรอบ บรรยากาศตลอดสองข้างทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูปราสาทที่เปิดกว้างในวันนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น คึกคักราวกับมีงานเทศกาล

    ยิ่งเข้าใกล้ประตูโรงเรียนเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนคนจะยิ่งแน่นขึ้น ถึงตอนนี้เฟรินจึงได้สังเกตเห็นว่าบรรดาผู้คนที่มุ่งไปในทางเดียวกับเขาส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าคล้ายกันกับที่ตนเองสวมอยู่ เฟรินจึงเพิ่งเข้าใจว่าคนเหล่านี้ทั้งหมด คือ นักเรียนโรงเรียนพระราชาเช่นเดียวกับเขา 

    จะต่างกันเพียงบางกลุ่มที่สวมผ้าคลุมยาวที่ปลายผ้าปักแถบสีต่างกัน บ้างสีขาว บ้างสีดำ มองเลยไปไม่ไกลเขาพบว่ายังมีผ้าคลุมแถบสีแดงและสีน้ำเงิน ผ้าคลุมเหล่านั้นสะบัดไหวไปตามแรงลมและจังหวะเดินจนดูละลานตา

    เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ปะปนไปกับเสียงสัตว์พาหนะต่าง ๆ ดังมาจากรอบทิศจนยากจะจับทางว่ามาจากที่ใดบ้าง เฟรินกระชับสายบังเหียนในมือพลางกระตุกเบา ๆ ให้อาชาสีดำเบื้องหลังเดินตามอย่างช้า ๆ ยามเห็นเพิงใหญ่ที่เห็นได้ชัดว่าคงจะเพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้เป็นที่รับฝากสัตว์พาหนะของนักเรียนใหม่ ซึ่งเฟรินเห็นเด็กหนุ่มซึ่งคาดว่าจะเป็นนักเรียนใหม่เช่นเขาเพิ่งจูงม้าสีน้ำตาลตัวพ่วงพีเข้าไป ก่อนจะกลับออกมาเพียงลำพัง ในขณะที่บรรดาสัตว์พาหนะที่มากับนักเรียนสวมเสื้อคลุมนั้นถูกพาเข้าไปในรั้วกำแพงปราสาทได้ทันที ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ม้า แต่มีกระทั่งสัตว์ดุร้ายอย่างสิงโต หรืองูเผือกยักษ์ตัวยาว ช้างตัวโตเกือบเท่าประตูปราสาท และสัตว์วิเศษอย่างมังกรหลากสายพันธุ์ และสัตว์หายากอย่างกริฟฟิน ที่แม้แต่ในเดมอสเองยังพบเจอในจำนวนนับนิ้วถ้วน

    ช่างเป็นขบวนที่ตื่นตายิ่งกว่าขบวนละครสัตว์เสียนี่กระไร

    ความเพลิดเพลินของเฟรินสะดุดลงด้วยแรงสัมผัสบนไหล่ เมื่อเฟรินเหลียวกลับไปดู เขาก็พบกับดวงตาสีเขียวที่มีประกายรื่นเริงและรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประดับบนใบหน้าราวกับกำลังหัวเราะน้อย ๆ ตลอดเวลา

    โร เซวาเรส เพื่อนขอทานของเขานั่นเอง

    “อรุณสวัสดิ์ท่านหัวขโมย คราวก่อนเจ้าบอกว่าจะมารายงานตัวพร้อมพ่อเจ้าไม่ใช่รึ ไหนล่ะพ่อเจ้า”

    “ตาแก่นั่นน่ะเหรอ ป่านนี้คงยังไม่ตื่นด้วยซ้ำไป” เฟรินเอ่ยด้วยท่าทีราวกับไม่ใส่ใจนัก เขากระชับสายสะพายที่คล้องดาบใหญ่ไว้กับหลังด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือส่งสายบังเหียนให้คนดูแลที่มารอรับสัตว์พาหนะของนักเรียนใหม่

    “น่าเสียดายแฮะ ข้าได้ยินชื่อท่านมาดัสมาตั้งนาน นึกว่าวันนี้จะได้พบตัวจริงเสียอีก” ขอทานหนุ่มพูดลอย ๆ ราวกับปรารภ หากเฟรินได้แต่ฟังอย่างไม่เชื่อหูจนถึงกับอุทานว่า ไม่น่าเชื่อ ขึ้นมาเบา ๆ

     “ตามกำหนดการ วันนี้เราจะได้เลือกหอพักกันใช่ไหม โร เจ้าว่า ข้าควรเลือกที่ไหนดี” เฟรินเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินไปร่วมในแถวเพื่อรอรายงานตัว

    “ใช่ว่าทุกคนจะมีสิทธิได้เลือกหอพักเสียที่ไหน มันขึ้นอยู่กับผลทดสอบพลังต่างหาก กรรมการคุมสอบไม่ได้บอกเจ้าตอนตอบคำถามหรือ”

    “ตอบคำถาม?” เฟรินทวนคำถามอย่างงุนงง ขณะก้าวเท้าเดินไปต่อหลังเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ในแถวหลังสุด

    “ใช่แล้ว คำถามสามข้อหลังทดสอบพลังอย่างไรล่ะ ...เจ้า จำไม่ได้เหรอ” โร เซวาเรสถามด้วยสายตาสงสัย ทำให้เฟรินได้แต่แก้เก้อด้วยการตอบรับส่ง ๆ

    เพิ่งรู้นี่เองว่าจริง ๆ แล้วการทดสอบเข้าโรงเรียนแห่งนี้ยากกว่าที่เห็น ส่วนที่เฟรินไม่รู้นั้นก็เพราะทันทีที่ออกจากห้องจอมปราชญ์ที่เขาตั้งฉายา ‘จิ้งจอกเฒ่า’ ให้เรียบร้อยแล้วนั้น เขาก็ได้รับหนังสือกำหนดการและใบรายการสิ่งของทันที ไม่มีการถามตอบใด ๆ ทั้งสิ้น

    และก่อนที่เขาจะทำให้ขอทานข้างตัวสงสัยไปมากกว่านี้ หัวขโมยกำมะลอก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบนความสนใจ

    “แสดงว่าตาแก่นั่นฝอยแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องอีกแล้วสินะ เห็นย้ำนักย้ำหนาว่าให้เลือกปราสาทขุนนาง ไม่ก็แผ่นดินประชาชน จนข้าเชื่อว่าจะได้เลือกจริง ๆ เสียอีก

    ว่าแต่ว่า เจ้าว่าเจ้าจะได้อยู่ที่ไหนล่ะ”

    “อืมม คงจะเป็นแผ่นดินประชาชนกระมัง ดูเหมาะกับขอทานอย่างข้าดี แต่ที่แน่ ๆ ข้าไม่อยากอยู่ปราสาทขุนนางอย่างที่พ่อเจ้าแนะนำหรอกนะ”

    “หือ ทำไมกัน” เฟรินถามก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยยามขอทานทำท่ากวักมือให้เข้ามาใกล้ ๆ พลางลดเสียงพูดลงยามเอ่ยประโยคถัดมา

    “เจ้ารู้ไหมว่าจริง ๆ หอพักทั้งสี่ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อ”

    “อีกชื่อ?” ขอทานพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนเฉลย

    “หอทั้งสี่แห่งโรงเรียนพระราชา มีชื่อว่า ปราสาทขุนนาง ปราการปราชญ์ ป้อมอัศวิน และแผ่นดินประชาชน ก็จริง แต่พวกนักเรียนเก่าเรียกหอทั้งสี่ว่า ปราสาทผลาญทรัพย์ ปราการลับสมอง ป้อมผจญภัย และแผ่นดินแรงงาน” พูดจบก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบใจยามเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหัวขโมย

    ชื่ออื่นไม่เท่าใด แต่ปราสาทผลาญทรัพย์นั้นช่างไม่เป็นมงคล ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง!

    “รู้แล้วสินะว่าทำไมข้าถึงไม่อยากไปอยู่ปราสาทขุนนางกับเจ้า”

    “ปากน่ะ เจ้าขอทาน ตาแก่นั่นตะหากที่อยากให้ข้าไปอยู่ ปราสาทผลาญทรัพย์ อย่างกับข้ามีทรัพย์อันใดให้ผลาญ แผ่นดินแรงงานยังฟังดูดีเสียกว่า”

    “แล้วถ้าเจ้าเลือกได้ล่ะ”

    “ถ้าข้าเลือกได้งั้นหรือ...” หากไม่ทันที่เฟรินจะตอบคำถาม บรรยากาศรอบข้างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เด็กหนุ่มทั้งสองเหลือบมองไปยังหางแถวที่บัดนี้กินพื้นที่ยาวเหยียดแทบพ้นแนวกำแพงชั้นนอกของปราสาท หากนอกเหนือจากแถวยาวที่เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินแล้ว ผู้คนรอบด้านกลับเริ่มบางตา มีชายหญิงในชุดนักเรียนคลุมด้วยผ้าคลุมมีแถบสีปรากฎกายออกมาเชิญผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง บ้างออกมากั้นเชือกแดงรอบบริเวณ พลางโบกมือเรียกนักเรียนคนอื่นที่ยังมาไม่ถึงให้เร่งฝีเท้า

    อึดใจถัดมา เสียงระฆังใหญ่ซึ่งแขวนเหนือขึ้นไปบนกำแพงก็ดังลั่นเหง่งหง่าง ตามด้วยเสียงแตรประโคมเป็นสัญญาณบอกถึงการเริ่มรายงานตัว

     

    ---

     

    “ดอน บาคัส นักเดินเรือ แห่งสกอร์ปิโอ... แผ่นดินประชาชน”

    ชื่อแล้วชื่อเล่าถูกประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมกับธงผืนใหญ่หน้ากำแพงที่แปรเปลี่ยนจากสีม่วงอันเป็นสีประจำโรงเรียนเป็นสีแดง ขาว น้ำเงิน และดำพร้อมตราประจำธงอันเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละหอ พร้อมกับเสียงเฮลั่นแสดงความยินดีที่ดังเป็นระยะตามเสียงประกาศ ในขณะที่แถวที่เฟรินยืนอยู่ค่อย ๆ หดสั้นลงเรื่อย ๆ กระทั่งเกือบถึงคิวจึงอยู่ใกล้ประตูพอที่จะมองลอดเข้าไปด้านในได้ จึงอดไม่ได้จะมองสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    เพียงแค่มองเข้าไป สิ่งแรกที่สะดุดตาคือโต๊ะยาวตัวใหญ่คลุมด้วยผ้ากำมะหยี่สีม่วง หลังโต๊ะตัวนั้นคือ ร่างสูงของมหาปราชญ์เลโมธีในชุดคล้ายชุดพิธีการสีงาช้างกำลังยืนคุยกับผู้รายงานตัวคนล่าสุด ดวงหน้าของมหาปราชญ์เต็มไปด้วยความโอบอ้อมอ่อนโยนหากกระไอรอบกายกลับให้ความรู้สึกสูงส่งราวกับเป็นเทพยดาเสียจนเฟรินคิดว่า หากวันนั้นเขาไม่บังเอิญเห็นมุมเจ้าเล่ห์ของชายชราผู้นี้เสียก่อน เขาคงจะนับถือจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้จากใจจริงเป็นแน่

    เมื่อมองเลยไปหลังประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง สายตาหัวขโมยก็ปะเข้ากับกลุ่มนักเรียน...ซึ่งจะเรียกกองทัพคงไม่ผิดนัก เพราะนักเรียนเหล่านั้นเข้าแถวเรียงกันราวกับกองพลออกศึก พวกเขาตั้งแถวเรียงแยกกันออกเป็นสี่กองเรียงกัน เบื้องหน้านักเรียนเหล่านั้นจะมีนักเรียนผู้ทำหน้าที่ถือธงนั่งอยู่บนสัตว์พาหนะ ไล่จากซ้ายสุดคือธงสีน้ำเงินปักลายมงกุฎ พร้อมสัตว์พาหนะเป็นกริฟฟินสีทอง ถัดมาคือผู้ถือธงสีแดงปักลายดาบ ผู้ถือธงนั่งอยู่บนหลังมังกรเพลิง ถัดจากนั้นคือกองของผู้ถือธงสีขายปักลายคทา เขาอยู่บนหลังของตัวสฟิงค์ ไล่เรียงมาจนสุดท้ายคือธงสีดำปักลายแหวนซึ่งผู้ถือธงนั่งอยู่บนหลังของนกฟีนิกส์ตัวใหญ่

    เฟรินมองสัตว์พาหนะเหล่านั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ ด้วยสัตว์วิเศษเหล่านี้บางตัวเฟรินเองยังไม่เคยเห็นตัวเป็น ๆ สักครั้ง โดยเฉพาะตัวสฟิงค์ซึ่งเขาเคยได้ฟังบิดาเล่าถึงความร้ายกาจของมันเมื่อยามเผชิญหน้ากันในยุคบรรพกาล... ก่อนที่เอเดนจะบังเกิดและครอบครองดินแดนจนเหล่าสัตว์วิเศษโบราณหลบลี้หนีหาย คงเหลือเพียงจำนวนหนึ่งที่ยอมก้มหัวให้และอยู่ร่วมกันกับมนุษย์เอเดน

                ความคิดของเฟรินแล่นลิ่วไปไกล กระทั่งสายตาปะเข้ากับเรือนผมสีเงินคุ้นตาเบื้องหน้า ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไม่วางพลางนึกว่าเหตุใดจึงดูคุ้นตานัก ก็พลันยินเสียงประกาศเสียก่อน

    “คาโล วาเนบลี เจ้าชายแห่งคาโนวาล...ป้อมอัศวิน” เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มลั่นกว่าครั้งใด โดยเฉพาะจากกลุ่มนักเรียนในชุดผ้าคลุมแดงที่ดูจะดีใจเป็นพิเศษ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่าเสียงของนักเรียนในชุดคลุมแดงเหล่านั้นแฝงท่าทีเยาะเย้ยกลุ่มนักเรียนในชุดผ้าคลุมสีน้ำเงินอยู่ด้วย

    เสียงนั้นดังกึกก้องจนเฟรินต้องละสายตาจากเจ้าของเรือนผมสีเงินที่ว่าไปแวบนึง เมื่อหันกลับมาจึงพบว่าเจ้าของเรือนผมสีเงินที่ว่าก็คือเจ้าของนามที่เพิ่งถูกประกาศออกไปเมื่อครู่นี่เอง ร่างสูงของเด็กหนุ่มผมสีเงินเดินเร็วเสียจนเฟรินไม่ทันเห็นใบหน้า หากกิริยาท่าทางอันงามสง่าสมฐานันดรนั่นก็ทำให้เฟรินรู้สึกนิยมอยู่ในใจเล็กน้อย ด้วยจังหวะก้าวเดินที่มั่นคงหนักแน่นหากการเคลื่อนไหวกลับเป็นไปอย่างนุ่มนวล ชวนให้มองตามได้พอเพลินตา เฟรินจึงเผลอมองตามเจ้าชายหนุ่มไปอย่างช่วยไม่ได้

    หากเพียงครู่หนึ่ง คล้ายเจ้าชายแห่งคาโนวาลผู้นั้นจะรู้ตัว จึงได้หันกลับมามองเสียคราวหนึ่ง คราวนี้เฟรินจึงมีโอกาสได้เห็นใบหน้าของเจ้าชายหนุ่ม

    เท้าที่กำลังจะก้าวตามคนข้างหน้าชะงักไปครู่ ยามได้เห็นใบหน้าของร่างสูงชัด

    “นั่นมัน.. !”

    เฟรินเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ก็ได้แต่นิ่งอึ้งไปด้วยความประหลาดใจ เพราะใบหน้าของเจ้าชายผู้นั้นคือใบหน้าเดียวกับเด็กหนุ่มที่เฟรินเข้าใจว่าเป็นบุตรขุนนางคนนั้น

    หากเฟรินก็ประหลาดใจได้ไม่นาน ด้วยถึงคราวรายงานตัวของเขาพอดี ชื่อของหัวขโมยถูกประกาศออกมาแล้ว เด็กหนุ่มจึงยอมละสายตาจากแผ่นหลังของเจ้าชายแห่งคาโนวาล พลางคิดว่าจะเอาคืนเจ้าชายหนุ่มผู้นั้นอย่างไรดี ขณะที่ขาก็พาตัวเองมายืนตรงหน้าโต๊ะปูกำมะหยี่สีม่วง

    “เอกสาร” เจ้าหน้าที่ผู้ประกาศกล่าวกับเฟริน มือของหัวขโมยล้วงเอาเอกสารรายงานตัวส่งให้แก่ผู้ประกาศที่รับไปตรวจสอบกับรายชื่อ ก่อนที่เขาจะมีท่าทีคล้ายนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่

    เฟรินยืนนิ่งมองท่าทีที่เปลี่ยนไปของผู้ประกาย ขณะที่หางตาของเฟรินเหลือบเห็นร่างสูงของปราชญ์เลโมธีที่ส่งยิ้มบางเบาพร้อมเดินเข้ามาใกล้

    หัวขโมยกำมะลอเงยหน้าขึ้นสบเข้ากับดวงตาของมหาปราชญ์เฒ่า ชั่วแวบหนึ่งราวกับเขาเห็นประกายบางอย่างที่เมื่อเฟรินได้เห็นแล้วรู้สึกไม่วางใจ

    “เฟริน เดอเบอร์โรว์ หัวขโมยแห่งบารามอส” แทนที่จะประกาศชื่อหอพัก ปราชญ์เลโมธีกลับเอ่ยนามเขาซ้ำ ดวงตาใสกระจ่างนั้นคล้ายมีรอยขบขันยามสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความไม่วางใจ

    “เจ้าจะเลือกอยู่ที่ไหนระหว่างปราสาทขุนนาง และป้อมอัศวิน” สิ้นประโยคนั้นเฟรินรู้สึกคล้ายถูกตีศีรษะด้วยค้อน เด็กหนุ่มมองใบหน้าของปราชญ์เลโมธีด้วยความงุนงง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปทั่ว

    ...ด้วยเหตุใด หัวขโมยอย่างเขาจึงได้เลือกเอง

    หัวขโมยหนุ่มนิ่วหน้า พลางขยับปากเป็นคำถามลอดไรฟันเสียงเบา

    “ท่านกำลังเล่นตลกอะไร ท่านเลโมธี!”

    ‘มิได้ ฝ่าบาท แต่ผลการคัดเลือกออกมาเช่นนี้ ขอทรงเลือกด้วย’ ปราชญ์เลโมธีไม่ได้กล่าวตอบหากตอบผ่านกระแสจิตส่งตรงหาหัวขโมย ใบหน้าของชายชรายังประดับด้วยรอยยิ้มไม่รู้สึกรู้สาต่อสายตาเย็นเยียบของหัวขโมยกำมะลอ ...และหากเฟรินไม่ได้หูฝาด ดูเหมือนชายชราตรงหน้าจะหัวเราะด้วยซ้ำไป!

    เจ้าจิ้งจอกเฒ่า!!

     

               

    ----

     

                “หอพักของเราอยู่ทางทิศตะวันออกของปราสาท มีทั้งหมดแปดชั้น ชั้นล่างประกอบด้วยห้องกลาง ห้องอ่านหนังสือ และห้องครัว ห้องพักของนักเรียนปีหนึ่ง คือ บริเวณชั้นสองทั้งหมด ส่วนตั้งแต่ชั้นสามขึ้นไป เป็นห้องพักของนักเรียนตั้งแต่ปีสองขึ้นไป หากไม่มีธุระจำเป็นอันใด ไม่ควรขึ้นไปรบกวน” เป็นคำพูดของชายหนุ่มผู้รับหน้าที่แนะนำหอพักแก่นักเรียนใหม่ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงโปร่งหากบึกบึนสมฉายานักรบ เรือนผมหยักศกสีเข้มตัดสั้นเพียงต้นคอรับกับรูปหน้าคมสะอาดสะอ้าน หากที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นรอยยิ้มกว้างเปิดเผยชวนมอง

                “สัญลักษณ์ของป้อมอัศวิน พวกเจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ข้าก็จะเตือนความจำพวกเจ้าอีกรอบ มันคือธงสีแดงลายดาบผืนนี้ และข้าไม่แนะนำให้พวกเจ้าเผลอหลงจำผิดสลับกับหออื่น ทางที่ดีเจ้าควรจะจำทิศที่ตั้งของหอเราให้ดีด้วย ข้าไม่รับประกันความปลอดภัยของพวกเจ้าถ้าหลงไปผิดทางหรอกนะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกกึ่งขู่ขณะนำทางนักเรียนใหม่ทั้งหมดลอดบานประตูใหญ่ที่มีธงสีแดงปักลายดาบสีน้ำเงินแขวนอยู่เหนือประตู พวกเขาเดินผ่านโถงทางเดินกว้างก่อนจะหยุดอยู่หน้าซุ้มประตูโค้งทำจากไม้เนื้อแข็งสีเข้ม เขาผายมือให้นักเรียนใหม่เดินเข้าไปก่อนจะเดินตามเข้าไปยามนักเรียนคนสุดท้ายผ่านซุ้มประตู

                “ห้องที่ทุกคนนั่งอยู่นี้ คือห้องนั่งเล่นรวมของป้อมที่ว่า...” เสียงอธิบายยืดยาวยังคงดังไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ทำเอาเด็กปีหนึ่งหลายคนเริ่มมีอาการง่วง และสัปหงกกันเป็นแถว จะมีก็เพียง โร เซวาเรส (ซึ่งเฟรินแอบตั้งฉายา ห้องสมุดเคลื่อนที่ให้เป็นที่เรียบร้อย เพราะไม่ว่าจะถามอะไรมัน ขอทานหนุ่มก็ตอบมันได้เสียทุกอย่าง) คาโล วาเนบลี ซีบิล สเวน นักบวชแห่งบารามอสที่หน้าตาออกไปทางหวานอย่างหญิงสาวมากกว่าผู้ชาย และตัวเฟรินเองเท่านั้นที่ยังคงนั่งตัวตรงอยู่ได้

    ...เหอะ แค่นี้ยังถือว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเขาที่ต้องนั่งทนฟังเจ้ากวางสาธยายประวัติศาสตร์อันยาวนานของเดมอส

    “มาถึงกฎของป้อมอัศวิน...ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด คือผู้ชนะ ดังนั้นจึงไม่มีกฎห้ามไม่ให้นักเรียนป้อมอัศวินประลองกัน แต่การทะเลาะวิวาทยังถือเป็นความผิด ซึ่งในปีนี้ผู้คุมกฎทั้งสี่ของเราฝากบอกมาว่า หากพบเห็นจะต้องโดนทำโทษ ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอ แต่ทางที่ดีควรจะเว้นการทำผิดกฎของโรงเรียน เพราะมันจะส่งผลถึงคะแนนที่แต่ละหอจะได้ด้วย”

    “สำหรับตำแหน่งหัวหน้าชั้นปีซึ่งจะได้พักในห้องที่ดีที่สุดนั้นจะเลือกจากผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาด้วยคะแนนสูงสุด 

    แต่จงจำไว้ว่า ผู้เป็นหัวหน้าชั้นปีจะต้องรับคำท้าประลองจากนักเรียนคนอื่นโดยไม่มีข้อแม้ และผู้ที่ชนะจะได้ครองตำแหน่งนี้ต่อไป” นักเรียนรุ่นพี่เว้นจังหวะเพื่อกระแอมหลังจากพูดมานาน ส่วนเด็กปีหนึ่งที่กำลังสัปหงกกันเป็นส่วนใหญ่ต่างพากันตื่นตัว พลางส่งเสียงฮือฮา

    “รับคำท้าประลองโดยไม่มีข้อแม้ แค่ฟังก็วุ่นวายแล้ว” หัวขโมยบ่นด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบานักกับโร เซวาเรส เจ้าขอทานเลิกคิ้วน้อย ๆ พลางหัวเราะบาง ๆ

    “ท่าทางเจ้าไม่ได้เป็นคนรักสงบขนาดนั้นเสียหน่อย เฟริน อีกอย่าง ตำแหน่งหัวหน้าชั้นปีก็น่าสนใจไม่น้อยหรอกนะ”

    “เจ้ารู้อะไรมาอีกแล้วล่ะ เจ้าหอสมุดเคลื่อนที่ บอกมาเร็ว” เฟรินเอ่ยถามพลางศอกถองเบา ๆ หากคราวนี้โรกลับส่ายหน้า ตอบเพียงว่า

    “ข้าแค่อยากอยู่ห้องที่ดีที่สุดดูบ้าง เจ้าไม่อยากอยู่กับข้าเหรอ” น้ำเสียงขอทานคล้ายตัดพ้อต่อว่าเล็กน้อย เฟรินจึงหัวเราะพลางยกมือขึ้นเท้าคางก่อนตอบ

    “ถ้าได้อยู่กับเจ้าก็คงดีอยู่หรอก แต่ถ้าได้อยู่ห้องที่ดีที่สุดแล้วต้องเป็นเป้าให้คนมาท้าประลองทั้งวันทั้งคืน ชีวิตแบบนั้นดูจะเหนื่อยเกินไปสำหรับหัวขโมยอย่างข้านะ” ...แถมยังเป็นจุดสนใจเกินไป ซ่อนใบไม้ในป่ากระไรเล่า นี่ยิ่งกว่าออกมายืนเป็นเป้านิ่งเสียอีก

    เฟรินคิดพลางนึกประหวัดไปถึงเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเช้า

    เขานึกอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นคิดอะไรอยู่ ถึงได้จัดการให้เขาเลือกหอพักเองได้ ยิ่งมารู้จากโร เซวาเรสภายหลังเพิ่มเติมอีกว่า ไม่มีนักเรียนคนใดได้รับสิทธิเลือกหอพักตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ว่ากันว่า นักเรียนคนสุดท้ายที่ได้รับสิทธินั้น คือ มหาราชแห่งเวนอลผู้ล่วงลับ ซึ่งในตอนนั้นปลอมตัวเป็นขอทานมาเข้าเรียนนั่นเอง 

    ...จริง ๆ เรื่องนี้ควรจะเป็นความลับ หากในตอนที่ข่าวลอบปลงพระชนม์พระองค์ถูกเผยออกมา เรื่องราวพระราชประวัติก็ถูกขุดคุ้ย และเรื่องดังกล่าวเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผู้คนโจษจันที่สุดนอกเหนือจากพระอัจฉริยภาพ

    นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนพากันตื่นเต้นยามได้ยินฉายาของโร เซวาเรสในวันสมัครสอบ แต่เนื่องจากเขามาจากทริสทอร์ ทั้งพระราชโอรสพระองค์เดียวของกษัตริย์แห่งเวนอลยังสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ข้อสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นรัชทายาทแห่งเวนอลปลอมตัวมาเรียนจึงตกไป ทว่าความสนใจนั้นกลับตกใส่หัวเฟรินแทน เมื่อเขาดันได้รับสิทธิเดียวกันกับมหาราชผู้อาภัพ

    คิดถึงตรงนี้ เฟรินแอบลอบมองสหายคนแรกนับแต่เข้ามาในเอดินเบิร์กด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง ก่อนจะถอนใจเบา ๆ และหันไปมองสำรวจคนอื่น ๆ ในชั้น

    เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็ได้ข้อสรุปว่า ป้อมอัศวินเป็นแหล่งรวมผู้คนที่หลากหลายที่สุด เพื่อนร่วมป้อมแต่ละคนล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา เพราะมีกระทั่งเด็กหนุ่มที่ดูอย่างไรก็ดูกร้านแกร่งเกินกว่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ซ้ำยังมีแผลเป็นทั้งตัว หากบางคนกลับดูใสซื่อ เรียบร้อยเสียจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นนักรบ

    มองไปมองมา สายตาของหัวขโมยก็สะดุดเข้ากับดวงตาสีฟ้าและเรือนผมสีเงินสะดุดตา ดวงตาสีน้ำตาลกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะเพิ่งระลึกได้ว่าเจ้าชายคนนั้นอยู่หอเดียวกับเขา

    “โร โร เซวาเรส เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้าหน้าน้ำแข็งนั่นชื่ออะไรนะ”

    “หน้าน้ำแข็ง? อ้อ เจ้าหมายถึงเจ้าชายคาโล วาเนบลีใช่ไหม ทำไมล่ะ” โรถามกลับเมื่อเห็นเฟรินพยักหน้าเป็นคำตอบ

    “ข้าแค่สงสัยน่ะ ถ้าหัวหน้าชั้นปีตัดสินจากคะแนนทดสอบ เจ้าว่า เจ้าชายคาโลผู้นั้นจะได้ตำแหน่งไหม” พูดจบเฟรินก็แทบจะกัดลิ้นตัวเอง เพราะเฟรินเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหลุดปากถามไปด้วยเสียงที่ไม่เบานัก และเสียงนั้นก็เรียกความสนใจได้ดียิ่ง เพราะมีหลายคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว

    และหนึ่งในนั้นคือคนที่เขาเพิ่งเอ่ยนามไปหมาด ๆ เสียด้วย

    นัยน์ตาคมกริบจ้องมองด้วยสายตาเย็นเยียบราวน้ำแข็ง ทำให้คนถูกจ้องอย่างเฟรินรู้สึกอึดอัดอย่างช่วยไม่ได้ ได้แต่ส่งยิ้มฝืดเฝื่อนพลางนึกโทษดินโทษฟ้า อะไรหนาช่างดลใจให้เขาหลุดปากถามออกไปเสียดังจนคนจ้องกันทั้งชั้นเช่นนี้

    “ถ้ามีการให้คะแนนความกล้า ข้าให้เจ้าหมดหน้าตักเลย ท่านหัวขโมย” ขอทานที่นั่งไม่ห่างเอ่ยเสียงเบาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

    “หุบปากไปเหอะน่า เจ้าขอทาน” เฟรินเอ่ยเสียงลอดไรฟัน

    “เจ้าเป็นคนน่าสนใจกว่าที่ข้าคิดไว้จริง ๆ เฟริน เดอเบอร์โรว์” โร เซวาเรสพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ขณะลอบมองหัวขโมยที่กำลังทำสีหน้าเขม่นเข่นเขี้ยวอยู่กับตัวเอง

     

     

    “เอาล่ะ ทุกคนเงียบเสียงหน่อย” ชายหนุ่มรุ่นพี่กล่าวขึ้นหลังจากนำขบวนนักเรียนใหม่มาหยุดอยู่หน้าห้องพักห้องหนึ่ง บนบานประตูไม้สีเข้มสลักหมายเลขหนึ่ง สีทองที่ทาทับรอยสลักเริ่มเลือนไปตามกาลเวลาสะท้อนกับแสงจากตะเกียวเจ้าพายุที่ถูกจุดเพื่อให้แสงตามทางเดินเป็นประกายหม่น

    “นี่คือห้องพักหมายเลขหนึ่ง ซึ่งก็คือห้องพักของหัวหน้าชั้นปีที่ว่า” เสียงพูดคุยฮือฮาดังขึ้นอีกระลอกหลังจากชายหนุ่มพูดจบ อารมณ์ตื่นเต้นฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ หลายคนกระซิบกระซาบคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาเป็นเสียงดังหึ่ง ๆ ราวกับเสียงฝูงภมร

    “วางเดิมพันกันสักหน่อยไหมโร ข้าว่า เจ้าชายหน้าน้ำแข็ง เจ้าคนที่พกดาบสามเล่ม แล้วก็เจ้าคนที่มาจากไนล์ สามคนนั้นได้เป็นหัวหน้าชั้นปี” เฟรินกระซิบเสียงเบากับขอทานพลางคว้าเหรียญเงินขึ้นมา 1 เหรียญ ไม่ทันที่ขอทานจะตอบรับ เด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังก็ยื่นมือออกมาคว้าเหรียญไปจากมือเฟริน ปากบอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า

    “ส่งเงินเจ้ามาให้ข้าได้เลย หัวขโมย หัวหน้าชั้นปีนี้ต้องเป็นตัวข้า เจ้าชายคาโล และเจ้าชายอาชูร่าต่างหาก”

    ไม่ทันสิ้นประโยคดี ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเมื่อครู่กลับมาปรากฎตัวข้างเด็กหนุ่มผู้รับพนันพร้อมคว้าเหรียญมาไว้เสียเอง สายตาคู่นั้นมองมาที่เด็กหนุ่มทั้งสองอย่างตำหนิชัดเจน

    “กฎข้อที่สามของป้อมอัศวิน คือ ห้ามเล่นการพนันขันต่อทุกชนิดภายในป้อม"  ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม

    “ขะ ขออภัยขอรับ” เด็กหนุ่มผู้รับพนันตอบเสียงค่อย หากชายหนุ่มยื่นเหรียญเงินคืนแก่หัวขโมยก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

    “เห็นแก่วันนี้เป็นวันแรก ข้าจะยังไม่ลงโทษพวกเจ้าตามกฎ แต่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เป็นหัวหน้าชั้นปีจะสามารถรักษากฎทั้งสิบข้ออย่างเคร่งครัด

    อย่าลืมไปท่องจำกฎสิบข้อของป้อมให้ขึ้นใจด้วยล่ะ ท่านหัวหน้าชั้นปีหนึ่ง” พูดจบยังมิวายขยิบตาให้ ข้างเฟรินเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มรุ่นพี่ก็พลันมือไม้อ่อนกะทันหัน ทำเหรียญเงินที่เพิ่งรับคืนมาตกลงกับพื้น เสียงเหรียญเงินกระทบพื้นดังกังวาลในความเงียบ ก่อนจะมีเสียงอุทานจากเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่ดังลั่น

    “ท่านล้อเล่นรึเปล่า รุ่นพี่!” แล้วก็หันไปจ้องร่างโปร่งที่สูงเพียงไหล่ของหัวขโมย

    “เรื่องเช่นนี้ ล้อเล่นได้หรือ คาโล วาเนบลี เจ้าชายแห่งคาโนวาล เฟริน เดอเบอร์โรว์ หัวขโมยแห่งบารามอส และคิลมัส ฟีลมัส นักฆ่าแห่งซาเรส พวกเจ้าสามคนคือผู้ผ่านการทดสอบด้วยคะแนนสูงสุดในปีนี้” เสียงซุบซิบกระหึ่มขึ้นมาทันทีในขณะที่เจ้าของชื่อทำหน้าตกตะลึงก่อนที่คิ้วเรียวของเจ้าหัวขโมยจะขมวดเข้าหากัน ในใจนึกแช่งชักตัวการใหญ่ที่ช่างหาเรื่องวุ่นวายมาทุ่มใส่หัวเขาไม่หยุดหย่อน

    ...เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เลโมธี!!!

    “นักเรียนปีหนึ่งของเราปีนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ นอกจากเราจะได้เจ้าชายพระองค์สำคัญเป็นหัวหน้าชั้นปีแล้ว ยังมีหัวขโมยที่ได้สิทธิเลือกหอพักคนแรกในรอบยี่สิบปีอีกต่างหาก ปีนี้ต้องสนุกแน่ ๆ” ชายหนุ่มรำพึงด้วยเสียงไม่เบานัก ขณะยื่นกุญแจห้องให้หัวขโมยที่ได้แต่เขม่นเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ

    “ข้าสละตำแหน่งเลยได้ไหม” เฟรินโอดครวญเสียงอ่อย มือยังตกอยู่ข้างตัวโดยไม่คิดจะยกขึ้นมารับกุญแจที่ถูกยื่นมาตรงหน้า

    “เจ้ารังเกียจหรือไง” เสียงเรียบ ๆ ดังขึ้นจากเจ้าชายผู้มีสีหน้าเยือกเย็นเป็นนิจ หากดวงตาสีฟ้ามีประกายไม่พอใจราง ๆ

    “ไม่ใช่อย่างนั้น อ่า เอาเป็นว่าข้ายินดีสละตำแหน่งเดี๋ยวนี้ เวลานี้เลย ไม่ได้เหรอขอรับรุ่นพี่” เฟรินหันไปทำสายตาอ้อนวอนใส่ชายหนุ่มแทน ชายหนุ่มยกแขนขึ้นเกาศีรษะแกร่ก ๆ เพิ่งเคยเห็นคนที่ไม่ยินดีรับตำแหน่งก็คราวนี้

    หากไม่ทันที่ชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นพี่จะตอบอะไร ร่างของเด็กหนุ่มหน้าตาดี ผิวขาว เจ้าของเรือนผมยุ่งเหยิงสีดำสนิทพร้อมส่วนสูงกว่าเฟรินไม่เกินคืบก็ปรากฎขึ้นแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงใด มือเรียวคว้ากุญแจไปอย่างรวดเร็ว ประตูห้องหมายเลขหนึ่งถูกเปิดออก แล้วทั้งคนทั้งสัมภาระของคนที่เพิ่งคว้ากุญแจก็หายเข้าห้องไป ก่อนบานประตูจะถูกปิดฉับลงอีกครั้งพร้อมเสียงลงกลอนล็อคดัง 'กริ๊ก' เบา ๆ

    ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา ทิ้งไว้เพียงความเงียบที่ค่อย ๆ โรยตัวมาปกคลุมทั่วทั้งทางเดิน ราวกับทุกคนตกอยู่ในภวังค์ 

    และก็เป็นชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ดูจะได้สติขึ้นมาเป็นคนแรก เขากระแอมไอก่อนกล่าว

    “ตำแหน่งหัวหน้าชั้นปีไม่ใช่สิ่งที่จะมากำหนดเองได้ตามใจชอบ กฎระบุไว้ชัดอยู่แล้วว่าตราบเท่าที่ยังไม่มีใครท้าประลองและเอาชนะเจ้าได้ตามกฎ เจ้าจะต้องครองตำแหน่งต่อไป ห้องพักก็เช่นกัน 

    อีกประการ ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ใด สืบสันตะติวงศ์จากใด ต้นตระกูลยิ่งใหญ่เพียงไหนหรือต่ำต้อยเพียงใด เมื่อก้าวเข้ามาหลังกำแพงโรงเรียนพระราชาแห่งนี้แล้ว ทุกคนมีฐานะเดียวกัน คือ อัศวินแห่งเอดินเบิร์ก ได้ยินไหม คิลมัส ฟีลมัส!!!” ประโยคสุดท้ายเขาหันไปตะโกนลั่นใส่บานประตู

    “เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว คนที่เหลือหยิบสัมภาระแล้วตามข้ามา” ชายหนุ่มกล่าวก่อนก้าวนำ ส่วนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นก็พากันทยอยเดินตามชายหนุ่มไป มีบางคนส่งสายตาเห็นใจมาให้เด็กหนุ่มสองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ แม้แต่โร เซวาเรส ยังเดินมาตบไหล่เฟรินเบา ๆ ก่อนจะเดินตามขบวนนักเรียนคนอื่น ๆ ไป

    ไม่นานโถงทางเดินบริเวณหน้าห้องหมายเลขหนึ่งก็ว่างเปล่า เหลือเพียงหนึ่งหัวขโมย หนึ่งเจ้าชายยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่หน้าประตูที่ยังปิดสนิทท่ามกลางความเงียบและเสียงขานชื่อของชายหนุ่มยังดังแว่ว ๆ มาตามโถงทางเดินเป็นระยะ

    เจ้าชายหนุ่มถอนหายใจ พลางเบือนหน้ามามองเด็กหนุ่มข้างตัวที่ยกมือขึ้นกุมขมับ ก่อนจะเป็นหัวขโมยที่เอ่ยออกมาเป็นประโยคแรก

    “...ให้ตายสิ!!”


     

     

     


     

     

    ---------

     

     


     

     

    2017-12-03   05.30 PM 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×