คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : เหตุเกิดที่ร้านขายคทา
เหตุเกิดที่ร้านขายคทา
ตอนที่ทั้งคู่เดินมาถึง พวกเขาพบว่าจำนวนคนในร้านขายคทาบางตากว่าเมื่อช่วงบ่ายตามที่หัวขโมยคาดเดา นับว่าพวกเขาคิดไม่ผิดที่เลือกไปหาซื้อของอย่างอื่นก่อน แม้ในความจริงแล้วคนที่ควักเงินซื้อของจริง ๆ จะมีเพียงขอทานหนุ่มจากทริสทอร์เท่านั้นก็ตาม ส่วนเฟรินนั้นเพิ่งบอกเขาตอนหลังว่าของอย่างอื่นนั้นบิดาที่เดินทางไปด้วยกันเป็นคนจัดการให้
“ไม่ต้องมาส่งสายตาอิจฉา เจ้าพ่อบ้าขี้งกของข้าแค่กลัวว่าข้าจะเลือกของมีราคาเท่านั้นล่ะ” เป็นคำพูดที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรีบเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้าสีตาของขอทานที่บอกว่าเดินทางมาตัวคนเดียว
“เอาล่ะ เราเข้า...เฮ้ เฟริน” โรส่งเสียงเรียกพลางยกมือโบกไปมาตรงหน้าเด็กหนุ่มเมื่อเห็นเฟรินยืนนิ่งมองป้ายเหนือประตูร้านแต่ดูเหมือนหัวขโมยจะตกอยู่ในภวังค์ลึกจนเขาสงสัย ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนหันมองตามสายตา
“ป้ายนั่นทำจากทองคำหรืออย่างไร
เจ้าถึงสนใจขนาดนั้น” เสียงที่ดังข้างหูปลุกเฟรินให้หลุดจากภวังค์ พอเหลียวมองตามเสียงมาเจอใบหน้าของขอทานหนุ่มในระยะประชิดก็ตกใจ
ร่างโปร่งของหัวขโมยสะดุ้งโหยง เท้าข้างหนึ่งขยับถอยหลังทันที
หากพอตั้งสติได้เฟรินก็อ้าปากตวาดแว้ด
“จะ-เจ้าบ้า อยากตายหรือไง ถึงได้ยื่นหน้ามาเสียใกล้” ขอทานหนุ่มมองกิริยานั้นพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยความสงสัย
ก่อนขยับยืนเต็มความสูง มือหนึ่งกอดอก อีกมือกุมคางพลางทำท่าใช้ความคิดราวกับเป็นปราชญ์ทรงภูมิ
สีหน้าขึงขังจริงจังนั้นยิ่งส่งให้รูปลักษณ์ของขอทานกลับดูสง่าผิดตา
ทว่าถ้อยคำที่กล่าวออกมาทำลายภาพลักษณ์สูงส่งเมื่อกี้เสียสิ้น
“เอ...หัวขโมยที่บารามอสนี่
ปกติขวัญอ่อนเช่นเจ้าทุกคนรึเปล่านะ” พูดจบแล้วสีหน้าจริงจังเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มล้อเลียน
เฟรินเห็นแล้วพลันรู้สึกคันไม้คันมือ อยากลงมือประทุษร้ายสหายหมาด ๆ
ไม่ถึงวันเป็นกำลัง หากไม่ติดว่าเสียงตวาดของตนเองเมื่อสักครู่จะเรียกความสนใจของคนที่เดินผ่านไปมามากไปหน่อย
แต่จะปล่อยผ่านก็มิใช่วิสัย หัวขโมยจึงตอบโต้ด้วยวาจาแทน
“แล้วขอทานที่ทริสทอร์นี่ ปากมาก
ยียวนกวนประสาทเช่นเจ้าทุกคนรึเปล่าล่ะ โร เซวาเรส” หากเจ้าขอทานหน้าเป็นนี่กลับยิ่งส่งยิ้มกว้างให้พลางบอก
“เรื่องนั้นข้าไม่แน่ใจ แต่ข้าแน่ใจว่าขอทานหน้าตาดีแบบข้ามีเพียงคนเดียวในเอเดนแน่นอน” ฟังจบ เฟรินได้แต่เบือนหน้าหนีราวกับไม่อาจทนมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มได้แม้อีกนาทีเดียว
...นี่มันคิดจะเอาคืนเขาเรื่องผ้าคาดหัวสุดรักของมัน หรือเป็นเพราะยียวนเป็นสันดานกันนะ ...อา ถ้าเขาฆ่าขอทานตายตกไปสักคน ...ย้ำว่า ต้องเป็นขอทานที่มีผมสั้นสีชาและดวงตาสีเขียวจากทริสทอร์ที่ยืนกวนประสาทอยู่ตรงหน้านี่ จะถือว่าผิดต่อแผ่นดินของมารดาที่อยู่เบื้องบนหรือไม่นะ...
“แล้วเจ้าจะยืนบื้ออีกนานไหม
เฟริน เจ้าไม่ซื้อคทาหรือ คทาน่ะ หรือจะรอจนตะวันตกดินเสียก่อน” ดูเหมือนโร
เซวาเรสจะติดใจกับการเย้าแหย่หัวขโมยเสียแล้ว จึงน้ำเสียงที่ใช้จงใจยียวนเฟรินที่ยืนหน้าดำหน้าแดงเม้มปากข่มกลั้นอารมณ์อย่างนึกสนุก
“แล้วเจ้าจะมัวพูดมากอยู่ทำไม ประตูก็อยู่ตรงหน้า มือเจ้าก็มี ก็ผลักเข้าไปสิประตูน่ะ!!” พูดจบก็เดินกระฟัดกระเฟียดตรงไปที่ประตูร้าน ตอนเดินผ่านขอทานก็จัดการเหวี่ยงเท้าใส่หน้าขาให้ได้ร้องโอดโอยเสียหนึ่งทีพอให้หายอารมณ์เสีย
ระหว่างที่มือของเฟรินกำลังยืนไปเพื่อจะผลักประตูให้เปิดออกนั้น หางตาพลันเหลือบเห็นเงาเคลื่อนเข้ามาใกล้ มือที่กำลังจะยื่นออกไปจึงชะงักกลับ ทว่าไม่ทันจะเหลียวกลับไปมองก็ถูกใครสักคนที่ผลักบานประตูสวนออกมาอย่างแรงกระแทกเข้า และเพราะเป็นการถูกกระแทกโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างโปร่งของหัวขโมยจึงเซถลา ก่อนหงายหลังไปปะทะกับร่างที่ยืนซ้อนอยู่ ก่อนจะพากันสะดุดล้มไปด้วยกัน
ยามที่ร่างกายเสียการทรงตัวล้มลงนั้น เฟรินหลับตาปี๋เตรียมใจรับความเจ็บปวดจากการกระแทกพื้น ...เห็นไว ๆ ว่าเป็นพื้นปูด้วยหิน น่าจะเจ็บไม่หยอก ทว่าพอล้มลงไปจริง ๆ กลับรู้สึกเจ็บน้อยกว่าที่คาด ซ้ำพื้นที่สองมือค้ำอยู่นี่ยังให้ความรู้สึกอุ่น ...หือ อุ่นงั้นหรือ
พอระลึกได้ถึงความผิดแปลก
สองตาก็รีบลืมขึ้นทันที และสิ่งที่ปรากฏชัดเป็นอันดับแรกก็คือ
...ลูกแก้วสีฟ้าคู่หนึ่ง
สีฟ้าของมันสดใสราวกับท้องฟ้าในฤดูวสันต์
(ฤดูใบไม้ผลิ – ราชบัณฑิตยสถาน)
หากเมื่อจ้องมองสักพักกลับให้รู้สึกหนาวยะเยือกราวกับอยู่ในฤดูเหมันต์
...อืม ออกจะหนาวสมจริงไปนิด
เฟรินคิดอย่างเหม่อลอย หูแว่วเสียงตะโกนโหวกเหวกหากดวงตาสีน้ำตาลของเขายังจับจองอยู่เพียงแค่ลูกแก้วใส
กระทั่งได้ยินเสียงคล้ายเสียงกระแอมไอจากเจ้าลูกแก้วใสตรงหน้าที่เขาเพิ่งจะสังเกตตอนนี้นี่เองว่ามันเต้นระริก
แล้วจึงค่อยนึกออกว่าที่เขานึกว่าเป็นลูกแก้วที่แท้เป็นดวงตา
เมื่อมองไล่ลงมาก็พบจมูกคมเป็นสัน และริมฝีปากหยักปิดสนิท ครั้นมองย้อนกลับขึ้นไปก็พบคิ้วคมและเรือนผมเส้นละเอียดสีเงิน
หือ...เดี๋ยวนะ
“...เจ้า
คิดจะอยู่อย่างนี้อีกนานแค่ไหน”
น้ำเสียงเรียบนิ่งหลุดออกมาจากริมฝีปากที่ปิดสนิทจนถึงเมื่อครู่ พร้อม ๆ
กับสติที่เพิ่งกลับมาของหัวขโมย ดวงตาสีน้ำตาลกระพริบถี่ก่อนทั้งร่างจะผงะเมื่อเพิ่งตระหนักว่าตนไม่ได้ล้มลงบนพื้น
แต่ล้มทับคน
“เฮ้ย!!!” หัวขโมยร้องเสียงเกือบหลง รีบตะกายลุกขึ้น ก่อนกระเถิบกายถอยห่างจากร่างสูงที่ค่อย
ๆ ชันกายลุกขึ้นยืน ดวงตาสีฟ้าที่เฟรินเข้าใจว่าเป็นลูกแก้วส่งสายตาเย็นเยียบ
และถ้าเฟรินไม่ได้คิดไปเอง เขาคิดว่านอกจากสายตาเชือดเฉือนนั่นแล้วร่างสูงตรงหน้ากำลังปล่อยไอเย็นออกมา
บรรยากาศกระอักกระอ่วนลอยฟุ้ง ภาพของเด็กหนุ่มสองคนจ้องตากันลึกซึ้งราวกับฉากในละครเร่ปักตรึงลงไปในจิตใจของใครหลายคนเสียจนอ้าปากค้าง เด็กสาวสองสามคนที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์ชวนเข้าใจผิดเมื่อครู่พอดิบพอดีพากันกระซิบกระซาบเสียงเบาพลางหัวเราะคิกคักก่อนจะรีบพากันเดินออกไปเมื่อเห็นสายตาเย็นเยียบของคนสูงกว่าเผื่อแผ่มาถึง ส่วนตัวต้นเหตุนั้นได้แต่กระแอมไอแก้กระดาก พลางมองหาขอทานที่มาด้วยกันให้ควัก หากแปลกที่หาอย่างไรก็ไม่เจอ ราวกับโร เซวาเรสดำดินหายไปเสียเฉย ๆ ให้เด็กหนุ่มได้แต่คาดโทษไว้ในใจ
เอาวะ หันไปขอโทษแล้วรีบเผ่นดีกว่า... คิดแล้วก็หันไปเผชิญหน้า ฉีกยิ้มกว้าง
“อ่า พี่ชาย
เรื่องเมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษด้วยนะ” ว่าพลางรีบโค้งปะหลก ๆ ให้คนตรงหน้า
ก่อนจะรีบหมุนกายหนีโดยไม่คิดจะรอคำตอบ แต่เท้าไม่ทันก้าว
ชายอีกคนก็เดินเข้ามาขวางเสียก่อน
“เจ้าคิดจะไปไหน” ชายคนนั้นกล่าวด้วยท่าทีคุกคาม
เขาเป็นชายร่างสูง ความสูงไล่เลี่ยกับเด็กหนุ่มที่เฟรินเพิ่งล้มทับไปเมื่อสักครู่ หากล่ำสันกว่ามาก
ชายหนุ่มสวมเสื้อทูนิคแขนสั้นทับด้วยเกราะอ่อนทำจากหนังสัตว์ บ่งบอกว่าหากไม่ใช่นักรบก็คงเป็นทหาร
ผิวที่พ้นออกมานอกร่มผ้าค่อนไปทางคล้ำ
ส่วนใบหน้านั้นจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งหากสีหน้าถมึงทึงในตอนนี้ทำให้ความน่ามองลดไปเสียสองส่วน
ในมือของเขาที่มีดาบมือเดียวเล่มหนึ่ง ซึ่งบนฝักดาบที่ทำจากหนังนั้นตีตราโลหะสลักดวงตรารูปดาบไขว้เหนือหัวสิงห์
แม้เฟรินจะจำไม่ได้ว่าตรานั้นมาจากดินแดนไหนหากก็แน่ใจว่าไม่วายเป็นลัญจกรของทหารสักหน่วยของสักแคว้นในเอเดน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เฟรินสนใจในตอนนี้
หัวขโมยเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ ดวงตาสีน้ำตาลมีร่องรอยคำถามฉายชัด หากยังใจเย็นพอ ริมฝีปากจึงขยับเอ่ยเป็นคำถามด้วยท่าทางเป็นมิตร
“อะไรกันพี่ชาย อยู่ ๆ มายืนขวางกันอย่างนี้ ต้องการอะไร...”
“ฝะ- เอ้ย ท่านก็เหมือนกัน ท่านคาโล
จะไปไหนช่วยรอกระหม- เอ้ย กระผมก่อนไม่ได้หรือขอรับ หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา
บิดาท่านได้เล่นงานกระผมแย่” ชายหนุ่มที่เฟรินคาดว่าเป็นทหารกล่าวยาวยืด
หากดวงตาเขามองเลยไปด้านหลัง เฟรินเหลียวมองตามไปจึงพบร่างสูงของคนที่เขาเพิ่งชนจนล้มไปด้วยกันทั้งคู่
หัวขโมยมองสลับไปมาระหว่างร่างสูงสองร่าง พอได้ตั้งใจมองจึงเพิ่งสังเกตว่าชายที่เขาเพิ่งล้มใส่เป็นเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขา
แต่งกายด้วยเสื้อทูนิคแขนยาวสีเทาอ่อนคอตั้งที่ทำจากผ้าเนื้อดี คอเสื้อและปลายแขนปักด้วยดิ้นทองและเงิน
คาดเข็มขัดหนัง
และสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มเดินด้ายทองอย่างที่บุตรตระกูลขุนนางส่วนใหญ่ในเอเดนนิยมสวม
ความเข้าใจฉายวาบ ดูเหมือนชายที่เฟรินบังเอิญล้มทับจะเป็นบุตรชายบ้านชุนนางของเอเดน ส่วนชายหนุ่มตรงหน้าคงไม่พ้นผู้ติดตามไม่ก็องครักษ์ ...มิน่าจึงเอาแต่วางท่า ทำหน้านิ่งไม่พูดไม่จาราวกับกลัวว่าทองจะร่วงหล่นจากริมฝีปากคู่นั้น
หากจะว่าไป เฟรินก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอคุณชายหน้าน้ำแข็งมาก่อน
แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“แล้วก็เจ้า!” เฟรินสะดุ้งน้อย ๆ ด้วยกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ขณะที่จู่ ๆ ชายหนุ่มก็ตวัดดวงตาคมปลาบกลับมาหาเขา
ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาใกล้ หากท่าทีคุกคามของชายหนุ่มนั้น นอกจากหัวขโมยจะไม่มีท่าทีเกรงกลัวแล้ว
เขายังมองด้วยสายตาไม่เข้าใจปนไม่พอใจ
“ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าคือหัวขโมยที่เข้าร่วมคัดเลือกเมื่อเช้าไม่ใช่รึ”
“อ่า ก็ใช่ แล้วอย่างไรล่ะพี่ชาย”
เฟรินถามกลับ แม้ในใจจะเริ่มเข้าใจลาง ๆ
“เมื่อกี้ที่เจ้าล้มใส่นายข้า
ไม่ใช่ว่าเจ้าจงใจล้มเพื่อขโมยของหรอกนะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางยกแขนขึ้นกอดอก
ท่าทางชี้ชัดว่าหากเขาไม่ได้คำตอบที่พึงใจ หัวขโมยคงไม่อาจไปจากตรงนี้ได้ง่าย ๆ เฟรินได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
ยิ่งเหลือบตากลับไปมองเด็กหนุ่มร่างสูงคู่กรณีที่ยังคงยืนนิ่งเงียบเฉย
ก็ยิ่งพาให้หงุดหงิดใจ
ตัวเขาไม่ต้องการเป็นจุดเด่น
การวิวาทกับเหล่าบุตรตระกูลขุนนางและทหารของทางการคือสิ่งสุดท้ายที่เฟรินต้องการในตอนนี้
หัวขโมยจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มกลั้นโทสะที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ในขณะนี้
“เข้าใจผิดแล้วล่ะพี่ชาย ข้าไม่ได้-”
“สันดานหัวขโมยอย่างไรก็เป็นหัวขโมยวันยันค่ำ ข้าไม่ชอบพูดซ้ำนะไอ้หนู รีบ
ๆ คืนของที่ขโมยไป แล้วข้าจะยกโทษที่เจ้าล่วงเกินนายข้า”
“นี่ พี่ชาย ตกลงได้ฟังที่ข้าพูดไหม ข้าบอกว่า- ”
“ยังจะชักช้าอยู่อีกรึ ท่าทางเจ้าคงอยากไปนอนในคุกแทนเสียกระมัง”
“...”
คล้ายความอดทนใกล้หมด เส้นข้างขมับหัวขโมยคล้ายจะตึงจนเต้นตุบ ๆ
คำปรามาสใดๆ เฟรินล้วนทนได้ หากสิ่งที่ไม่เคยทนได้แม้ตอนยังถือยศเจ้าหญิง คือ คนเขลาหูดับเช่นบุรุษผู้(ยัง)ไม่รู้ตัวว่าชะตาใกล้ขาด
“ว่ายังไง เจ้าหัวขโมยชั้นต่ำ หากไม่รีบคืน-“ ชายหนุ่มพูดไม่ทันจบประโยคก็ชะงักเมื่อสบกับสายตาวาววามของคนตรงหน้า ในชั่วขณะนั้นเองที่ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายกับร่างเล็กบางของหัวขโมยที่เขาเพิ่งปรามาสนั้นหายไป แทนที่ด้วยเงาดำที่ค่อยขยายใหญ่ ดวงตาสีเดียวกับเปลือกไม้ที่เขาจับจ้องอยู่นั้นค่อย ๆ เข้มขึ้นจนกลายเป็นสีรัตติกาลดำมืดจนราวจะกลืนกินเขาเข้าไป หากเพียงชั่วพริบตาเดียว ความรู้สึกที่ว่านั่นก็หายไป
ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ ๆ ภาพเงาทะมึนเมื่อครู่หายไปแล้ว ตรงหน้าเขามีเพียงเด็กหนุ่ม 2 คน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มผู้เป็นนายตน และอีกคนคือเจ้าหัวขโมยที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง เขามองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง มือชื้นเหงื่อเย็นเฉียบที่ไม่ได้กุมดาบเคลื่อนจับด้ามดาบโดยไม่รู้ตัว
“เมนาส แค่อุบัติเหตุ” ในที่สุด เด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนนิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยในที่สุด เขาขยับเข้ามายืนระหว่างชายหนุ่มนามเมนาสและเฟริน พลางกล่าว
“ข้าขอโทษที่คนของข้าเสียมารยาทต่อเจ้า
ส่วนเรื่องเมื่อครู่ก็ขอให้แล้วกันไปเถอะ ขอตัว”
พูดจบก็หมุนตัวหันหลังแล้วเดินจากไปทันที ไม่แม้แต่จะรอคำตอบรับหรือปฏิเสธของเฟริน
โดยมีเมนาสเดินตามไป แม้ฝ่ายหลังจะยังเหลียวกลับมามองเนือง ๆ
ด้วยสายตาหวาดระแวงระคนสงสัย ทิ้งให้เฟรินยืนงุนงงอยู่ที่เดิม
“...อะไรกันเนี่ย!!”
----
“...เจ้าคิดดูนะโร
เซวาเรส ไอ้บ้านั่นคิดจะไปก็ไปเสียเฉย ๆ
แล้วตอนแรกก็ปล่อยให้คนติดตามตาถั่วสมองถั่วนั่นด่าข้าปาว ๆ โว้ยยยย
นึกแล้วยังอารมณ์เสียไม่หาย” เฟรินบ่นไปกัดฟันกรอด ๆ ไปด้วยความหงุดหงิด
ขณะสองมือหยิบคทาด้ามแล้วด้ามเล่าออกจากกองที่ปักป้ายไว้ว่า ‘ราคาพิเศษ’ ก่อนจะโยนกลับลงไปในกองข้าง ๆ
โดยไม่คิดจะมอง
“อ่า เฟริน เดอร์เบอร์โรว์
เจ้าจะอารมณ์เสียอย่างไรคงไม่มีใครว่าเจ้าหรอกนะ
แต่เจ้าช่วย..อ่า...เลิกโยนคทาเสียทีได้ไหม” โร เซวาเรสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก
ดวงตาสีใบไม้คอยแต่จะมองไปยังหญิงวัยกลางคนที่ส่งสายตาเขียวปั้ดมาที่พวกเขาสองคน
“เจ้าก็เหมือนกันเจ้าขอทานเฮงซวย
สหายเจ้ากำลังเดือดร้อนแท้ ๆ เจ้ากลับหายหัวไปเสียดื้อ ๆ แทนที่จะมาช่วยกัน...”
ขณะที่พูดนั่นเอง คทาอีกด้ามก็ลอยหวือผ่านหน้าโร เซวาเรส
ให้ขอทานได้ผวารับเอาไว้ในมือก่อนที่ด้านที่เป็นลูกแก้วจะตกลงถึงพื้น
“ข้าก็ไถ่โทษด้วยการตกลงออกเงินซื้อคทาให้เจ้าแล้วไง
ท่านเดอร์เบอร์โรว์ แต่ข้าขอร้องเถอะ ข้าเป็นขอทาน เงินทองก็มีเพียงยาไส้เท่านั้น
นี่ก็เอามาจ่ายค่าคทาที่เจ้าจะซื้อแล้ว
อย่าหาเรื่องให้ข้าเสียเงินเพิ่มจากการที่เจ้าทำคทาในร้านเสียหายเลยน่า!!”
โร เซวาเรสเอ่ยด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน ขณะค่อย ๆ
วางคทาลงกับโต๊ะด้วยอาการหายใจไม่ทั่วท้อง
พลางนึกบริภาษตัวเองในใจว่าไม่น่าเผลอรับปากเจ้าหัวขโมยตัวแสบที่เมื่อเจอหน้าก็รัวคำด่าเป็นชุดที่เขาทิ้งมันหนีเข้าร้านมาก่อน
อ่า แต่เป็นใคร ใครก็ต้องยอมไหมเล่า ถ้าจะถูกหัวขโมยที่เห็นประจักษ์ตาแล้วว่า ‘มือไว’ พอจะฉกผ้าที่คาดอยู่บนหัวได้โดยเจ้าตัวไม่รู้ตัวขู่ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมว่า ‘ถ้าเจ้าไม่คิดหาวิธีขอโทษข้าดี ๆ ล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะเหลืออะไรติดตัวไปขอทานต่อ โร เซวาเรส’
เฟรินเหลือบมองสีหน้าโศกสลดของขอทานด้วยหางตาแล้วก็ลอบยิ้มเจ้าเล่ห์พลางหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอด้วยความพึงใจที่ได้กลั่นแกล้งขอทานแห่งทริสทอร์ ยิ่งได้เห็นอาการที่ขอทานหนุ่มคอยผวาไล่ตะครุบคทาที่เขาโยนไปมาส่ง ๆ อารมณ์ที่ขุ่นมัวจนถึงเมื่อครู่ค่อยสดใสขึ้นมาบ้าง กระทั่งพอใจแล้วนั่นล่ะจึงได้หยิบเอาคทาในกองที่ติดป้ายไว้ว่า ‘ถูกสุด ๆ’ มาหนึ่งด้าม ก่อนยื่นให้ขอทานที่รับมางง ๆ
“เจ้าจะยืนงงทำไมล่ะ ไปจ่ายเงินเสียสิ” ว่าพลางพยักเพยิดไปทางโต๊ะตัวยาวที่หญิงเจ้าของร้านซึ่งยังคงมองทั้งคู่ตาไม่กระพริบนั่งรอคิดเงินอยู่
โร เซวาเรสก้มลงมองคทาในมือที่เฟรินเพิ่งส่งมาให้ด้วยสายตาหนักใจ เขาถอนหายใจก่อนเอ่ย
“ไอ้ข้าเองก็ดีใจหรอกนะ ที่เจ้าไม่เลือกของแพง แต่เจ้าคิดจะเอาเศษไม้นี่ไปทำอะไร” ขอทานหนุ่มว่า พลางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง หากคนเป็นหัวขโมยกลับโบกมือแล้วว่า
“เออ อันนี้ล่ะ ข้าก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะรีดเลือดปูอย่างเจ้าหรอกนะ โร เซวาเรส อีกอย่าง ข้าน่ะเป็นหัวขโมย ไม่ใช่พ่อมด หรือผู้วิเศษเสียหน่อย เวทย์มนตร์อะไรข้าใช้ไม่เป็นหรอก จะใช้คทาอันไหนก็เหมือนกันล่ะน่า” แล้วหัวขโมยก็ใช้มือดุนหลังขอทานไปจ่ายเงิน
ในระหว่างที่กำลังรอเจ้าของร้านห่อคทาของเขาและของโรอยู่นั่นเอง พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ก่อนประตูร้านจะเปิดผางออกพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของบรรดาชายฉกรรจ์จะกรูเข้ามา พวกเขาแต่งกายเหมือนกันคือสวมเกราะอ่อนสีเงินทับเสื้อทูนิคแขนสั้นสีดำ สวมทับด้วยผ้าคลุมสีม่วงอ่อน แผ่นโลหะสีเงินที่ปิดตรงหัวไหล่ซ้ายซึ่งโผล่พ้นผ้าคลุมสลักลายรูปเทพธิดา ที่เอวของพวกเขาประดับดาบเล่มบางสีเงินขัดกับรูปลักษณ์สูงใหญ่ราวนักรบ
หนึ่งในนั้นซึ่งเป็นคนที่สูงใหญ่ที่สุดประดับดวงตราซึ่งเป็นรูปเทพธิดาปีกทองดูโดดเด่นกว่าผู้อื่น
เขาก้าวเข้ามาในร้านหลังสุดก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ ครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้าให้คนที่เหลือ
ก่อนชายฉกรรจ์ทั้งหมดจะก้าวมายืนเรียงหน้ากระดานสองฟากข้างประตู ราวกับจะตั้งขบวนเกียรติยศ
ท่ามกลางความสับสนของผู้คนรอบข้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ร่างบอบบางอรชรของเด็กสาวผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงประตูพร้อม ๆ
กับที่บรรดาชายฉกรรจ์เหล่านั้นก้มศีรษะลงทำความเคารพ เสียงโลหะกระทบกันเป็นเสียงกังวานให้ความรู้สึกน่าเกรงขามยิ่งจนคนที่จ้องมองเผลอกลั้นหายใจ
เด็กสาวผู้นั้นสูงเพียงอกของชายฉกรรจ์ที่ยืนอยู่รอบกาย
ร่างบางอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนขลิบทอง เรือนผมสีดำสนิทตัดกับผิวขาวเกลี้ยงเกลา
ดวงหน้าเรียบรูปไข่งดงามหากปลายคางมนกลับยกเชิดน้อย ๆ ดวงตากลมโตที่กราดมองไปรอบ ๆ
อย่างเย่อหยิ่ง ถือศักดิ์ยิ่ง ทำให้ใบหน้างามแลดูแข็งกระด้างแทนที่จะอ่อนหวานอย่างที่ควรเป็น
ตอนนั้นเองที่บรรดาคทาเวทย์ภายในร้านพากันสั่นไหวก่อนจะเปล่งแสงสว่างเรื่อเรืองบาง
ๆ ทั่วทั้งร้านอยู่เพียงครู่ ก่อนจะค่อยเลือนหายไปท่ามกลางเสียงอุทานอื้ออึงด้วยความอัศจรรย์ใจ
เสียงอื้ออึงนั้นดูจะสร้างความพอใจให้เด็กสาวไม่น้อย
ริมฝีปากบางที่ปิดสนิทจนถึงเมื่อครู่จึงได้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มงาม
ใบหน้างามจึงได้ลดความกระด้างลงเสียหลายส่วน
ส่วนเจ้าของร้านคทานั้น คล้ายจะเพิ่งตระหนักได้ว่าเด็กสาวตรงหน้าคงไม่แคล้วเป็นคนสำคัญ จึงได้ยอมผละจากที่ประจำแล้วกุลีกุจอพาร่างท้วมไปต้อนรับด้วยวาจาฉอเลาะ ผิดจากตอนที่เฟรินและโรเข้ามาลิบลับ
“เจ้าขอทาน แม่นกยูงรำแพนนี่เป็นใครกัน”
เฟรินกระซิบถามเด็กหนุ่มข้างตัวขณะเอื้อมตัวไปหยิบคทาของพวกเขาที่ถูกวางทิ้งไว้อย่างไม่ไยดี
“นกยูง?”
“ข้าหมายถึง ‘นาง’
นั่นล่ะ ดูเอาเถิด ท่าทีกรีดกรายเช่นนั้นราวกับนกยูงกรีดแพนหางมิผิด
ว่าอย่างไร เจ้ารู้ไหมว่านางเป็นใคร”
เฟรินว่าเสียงเบาพลางพยักเพยิดไปทางเด็กสาวในกลุ่มวงล้อมของชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่
“อ้อ นางคือ เจ้าหญิงเอฟีนา กริซโดริสแห่งเอเธนส์ พระธิดาองค์เล็กในราชาแห่งกรีซและเป็นเจ้าหญิงรัชทายาทด้วย”
โร เซวาเรสตอบ
“หืมม
เอเธนส์เลือกพระธิดาองค์เล็กเป็นรัชทายาทหรือ ทำไมกันล่ะ”
“เหมือนที่ซาเรสเลือกกษัตริย์จากการท้าประลอง
เอเธนส์เลือกทายาทจากพลังเวทย์” ขอทานหยุดเล็กน้อยก่อนเสริมต่อ “เจ้าหญิงเอฟีน่า
คือผู้ครองพลังเวทย์ที่สูงที่สุดในเอเธนส์ ในตอนนี้”
เฟรินทำเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้
หากไม่ได้ซักอะไรต่อราวกับหมดความสนใจ เขาทำท่าพะยักพเยิดให้ขอทานรีบจ่ายเงินก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากร้านพร้อมคทาในมือหลังขอทานส่งเหรียญเงินให้แก่ผู้ช่วยเจ้าของร้านอีกคนด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์
หัวขโมยเหลือบตากลับไปมองเล็กน้อยก่อนประตูจะหับลงยามได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วบรรยายสรรพคุณคทาในมือเจ้าหญิงแห่งกรีซที่กำลังส่องแสงสีฟ้าเรือง
ๆ มุมปากมิวายยกขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มขบขันเมื่อนามของคทาลอยเข้าหู
...ไอซ์เบิร์น เดอะ เกรท
ช่างอลังการเหมาะกับแม่นกยูงคนงามเหลือเกิน
“เจ้าขำอะไรน่ะเฟริน”
ขอทานที่เดินตามมาทันเห็นพอดีเอ่ยปากถาม หากเฟรินส่ายหัวพลางตอบ
“ไม่มีอะไร”
----
เฟรินกลับมาถึงเกวียนเมื่อตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วราวชั่วยาม
แสงจากกองไฟเผยให้เห็นร่างท้วมของมาดัสที่กำลังทอดกายนอนเหยียดยาวอยู่บนกองฟางที่เจ้าตัวปูกับพื้นต่างฟูกนอน
ดวงตาชายวัยกลางคนปิดสนิท
ลมหายใจสม่ำเสมอนั้นบอกว่าหัวขโมยรุ่นใหญ่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา
ร่างโปร่งวางของบนไหล่ก่อนทรุดกายลงข้าง ๆ บิดาอุปโลกน์ มือหยิบเศษไม้ข้าง ๆ โยนเข้าไปในกองไฟ เสียงไม้ปะทุความร้อนดังเปรี๊ยะปร๊ะในความเงียบสงัด เสียงผ้าเสียดสีและเสียงกรอบแกรบของฟางข้างตัวเฟรินบอกเขาว่ามาดัสตื่นแล้ว
“ไง ไอ้หนู กลับมาเสียค่ำมืด ข้าคอยเสียจนหลับไปหลายตื่น ไปเที่ยวเล่นไหนมาอีกล่ะ” มาดัสเอ่ยทักเสียงงัวเงีย ดวงตาหยีเล็กอย่างคนตื่นไม่เต็มตานัก ชายเจ้าของร่างท้วมยกแขนขึ้นบิดขี้เกียจพลางยกมือหนึ่งเช็ดคราบอารยธรรมตรงมุมปาก
เฟรินเหลือบตามองกิริยานั้นด้วยสายตาคล้ายจะเอือมระอา
ใจนึกสงสัยว่าเรื่องเล่ามากมายในวัยหนุ่มของมาดัสน่าจะเป็นเรื่องโกหกเสียครึ่ง
มองอย่างไรก็ไม่เห็นมาดงามสง่าพอจะให้หญิงสาวที่ไหนมาหลงรักอย่างที่เจ้าตัวกล่าวอ้างบ่อย
ๆ ด้วยสีหน้าภาคภูมิเสียเต็มประดา
“ข้าก็วนเวียนอยู่ในเมืองนั่นล่ะน่า ว่าแต่ไหนล่ะของที่พ่อไปซื้อมา” เด็กหนุ่มว่าพลางหยิบเศษไม้และเศษฟางมาพันเล่น ขณะมาดัสเอี้ยวกายอย่างทุลักทุเลพลางบ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะลากถุงใหญ่ที่ใช้หนุนแทนหมอนมาไว้ตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“เอ้า ของแกอยู่ในถุงนั่นน่ะ
ส่วนไอ้ม้าทรงอะไรนั่นน่ะ แกเอาเจ้าแก่นี่ไปละกัน วันนี้ ข้าหาถูก ๆ ไม่ได้สักตัว” มาดัสว่าพลางพะยักเพยิดไปทางเจ้าม้าเฒ่าที่ยืนนิ่งสงบอยู่ด้านหลัง
หากเฟรินส่ายหน้า
“ให้ข้าเอาเจ้าแก่ไป แล้วพ่อจะใช้อะไรลากเกวียน อ้อ รึพ่อจะลากเอง” ประโยคท้ายมีแววล้อเลียนพอเรียกอารมณ์ฉิว ๆ ให้คนฟังได้ยกไม้ยกมือขู่
หากไม่ได้ลงไม้ลงมือจริง
“มะเหงกแน่ะ ไอ้ลูกคนนี้ ระดับท่านมาดัสแล้ว
ทำไมจะหาใหม่ไม่ได้ เพียงแต่วันนี้เวลามันน้อย”
“ข้าว่า ท่านขี้เกียจเสียมากกว่า ไม่เอาล่ะ
ข้ามีของข้า ไม่ลำบากรบกวนท่านมาดัสผู้ยิ่งยงหรอกขอรับ” เอ่ยด้วยรอยยิ้มเผล่
ก่อนเฟรินจะผิวปากเป็นทำนองประหลาด เพียงไม่นานก็เกิดลมกรรโชกพร้อมเสียงดังคล้ายเสียงสะบัดปีกเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า
มาดัสเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง ดวงตาหรี่มองไปในความมืดก่อนจะร้องลั่นเสียงหลงเมื่อเจ้า
‘สิ่งนั้น’ ร่อนลงมายืนสงบนิ่งอยู่ข้างหน้า
ร่างท้วมหนาผุดลุกอย่างลืมเหนื่อยก่อนถอยกรูดไปหลบยืนอยู่เบื้องหลังบุตรชายกำมะลอ
“เฮ้ย ไอ้หนู แกมั่นใจเรอะว่าจะเอาไอ้นี่ไป” ชายหัวล้านพูดด้วยน้ำเสียงสั่น
ๆ พลางชี้ไปที่เจ้าสิ่งนั้นด้วยอาการหวาดผวาอย่างช่วยไม่ได้
เฟรินมองอาการนั้นก่อนหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่
ไม่คิดว่าจะได้เห็นบิดาบุญธรรมแสดงท่าทีหวาดกลัวตัวสั่นงันงกเยี่ยงหนูเจอแมวเช่นนี้
เด็กหนุ่มใช้เวลาครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะหยุดหัวเราะได้
ก่อนตอบชายผู้เป็นบิดาที่เกาะไหล่เขาแน่นยิ่งกว่าปลิงว่า
“แน่ใจสิ แต่ท่านพ่อที่รัก
ไหนท่านว่าทั่วหล้านี้นอกจากจ้าวปีศาจแล้วท่านไม่กลัวผู้ใดไม่ใช่รึ”
“เออ ข้าไม่กลัวอะไร ยกเว้นไอ้ตัวนี้ เจ้ารู้ไหม
ครั้งสุดท้ายที่ข้าเหยียบเข้าเดมอส เกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพราะไอ้เจ้านี่นี่ล่ะ!” มาดัสตอบเสียงสั่น พลางพยายามอย่างยิ่งที่จะทำตัวลีบเล็กแม้จะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม
เฟรินยกมือขึ้นเช็ดปลายหางตาพลาง ก่อนจะหันไปหาร่างสูงใหญ่เห็นเป็นเงาทะมึนของมัน
และพยักหน้าให้มันน้อย ๆ
ราวกับเข้าใจสัญญาณนั้น เงานั้นค่อย ๆ
เคลื่อนมาใกล้อย่างเงียบเชียบผิดกับรูปลักษณ์ใหญ่โต กระทั่งแสงไฟเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของมังกรสีดำขลับ
ดวงตาสีแดงสุกใสของมันสะท้อนกับเปลวไฟที่กำลังปะทุเป็นประกายราวกับอัญมณีเม็ดงาม
ก่อน หางยาวของมันกวัดแกว่งไปมาเบา ๆ ราวกับสุนัขที่ยินดียามเห็นเจ้าของ
หากเมื่อมันเห็นมาดัสที่ยืนอิงแอบอยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่ม มันกลับชะงักเล็กน้อยก่อนยื่นศีรษะอันใหญ่โตเข้ามาใกล้ร่างท้วมของหัวขโมยรุ่นใหญ่
ทำเสียงฟุดฟิดเพียงครู่ก็เผยเขี้ยวสีเงินยวงให้เห็น
ข้างมาดัส
เห็นดังนั้นก็ให้ผงะหงายด้วยความตื่นกลัว ร้องเสียงหลงก่อนจะพาร่างท้วมหายเข้าไปหลังเกวียนอย่างรวดเร็ว
ปากตะโกนลั่น
“เอ็งจะพามันไปไหนก็รีบพาไป อย่าให้มันมาไล่งับข้าอีก”
เฟรินหัวเราะ พลางลูบตัวมังกรตัวเขื่องอย่างเบามือ
ซึ่งมันก็เอนหัวมาให้นายของมันลูบอย่างรักใคร่
เด็กหนุ่มลูบหัวเจ้ามังกรอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะใช้มือหนึ่งดึงถุงมือข้างหนึ่งออก
เขายกมือข้างนั้นก่อนใช้ปลายนิ้วสัมผัสตรงกลางหัวของมังกรพลางกระซิบเป็นภาษาโบราณเสียงเบา
สิ้นเสียงก็เกิดวงแหวนสีทองรอบปลายนิ้วก่อนจะค่อย ๆ
แผ่เป็นวงกว้างกระทั่งครอบร่างของเจ้ามังกร
เจ้ามังกรสีดำกางปีกใหญ่ของมัน ร่างของมันจะค่อย ๆ
ลอยขึ้นจากพื้น อักษรโบราณ สีทองค่อย ๆ ปรากฏและไหลวนไปรอบ ๆ ร่างของมังกร
ปีกที่กางออกเต็มที่ค่อย ๆ หดกลับมาห่อหุ้มร่างของมันเอาไว้ ก่อนจะเกิดดวงแสงสว่างจ้าไปทั้งบริเวณกระทั่งร่างของมังกรเลือนหายไปกับแสงนั้น
เมื่อแสงที่ว่าจางหายไป ตรงที่ที่เคยมีมังกรสีดำร่างใหญ่อยู่ก็เหลือเพียงร่างของม้าสีดำตัวหนึ่งเท่านั้น
เจ้าม้าสะบัดแผงคอเบา ๆ คล้ายจะอวดโฉมใหม่ให้ผู้เป็นนายดู
เฟรินหัวเราะให้กับอากัปกิริยาของมัน ก่อนจะใช้มือข้างเดิมลูบไปตามแผงคอของมันเบา
ๆ
ข้างมาดัสที่ยังแอบอยู่หลังเกวียน
เมื่อชะโงกหน้าออกมาดูแล้วไม่เห็นร่างสูงใหญ่ของมังกรสีดำ เขาก็ค่อยกลับเดินออกมา
เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงหายใจพรืดของมังกรในร่างม้า
ก่อนจะตัดสินใจนั่งให้ห่างจากม้าสีดำที่สุดเท่าที่จะทำได้
พลางส่งสายตาอ้อนวอนคนเป็นลูกให้พามันไปไกล ๆ ให้เร็วที่สุด
...จะอยู่ในร่างไหน
มาดัสก็ไม่อาจไว้ใจสิ่งมีชีวิตที่เกือบจะหวิดปลิดชีพหัวขโมยแห่งบารามอสผู้นี้ได้หรอก
เฟรินเห็นท่าทีพิพักพิพ่วนอย่างหาได้ยากของบิดากำมะลอก็อดไม่ได้จะหัวเราะออกมาอีกคิกหนึ่ง
ก่อนจะพามังกรในร่างม้าไปผูกไว้ข้าง ๆ เจ้าม้าแก่ของมาดัสที่ดูจะขวัญอ่อนไม่แพ้นาย
เพราะทันทีที่มันเห็นอาชาสีดำมะเมื่อม มันก็ออกอาการแตกตื่นด้วยความหวาดกลัวทันที
จนเฟรินยอมแพ้ ต้องจูงอาชาสีดำไปไว้อีกฟากหนึ่งของป่า
“อ้อ จริงสิ พ่อ ข้ามีของมาฝากท่านด้วย” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้เมื่อเขาเดินกลับมาอีกครั้ง
ร่างโปร่งเดินไปยังถุงใส่ของที่เขาถือกลับมา
รื้อค้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบถุงหนังถุงหนึ่งออกมา
และโยนให้มาดัสซึ่งรับมาอย่างชำนิชำนาญ
“ไปรวยมาจากไหนล่ะเนี่ย ถึงได้มีของมาฝากข้า” มาดัสเอ่ยอย่างไม่หวังคำตอบจากผู้ได้ชื่อว่าเป็นลูก
สองมือพัลวันกับการเปิดจุกถุงหนังที่ถูกมัดไว้อย่างหนาแน่น และเพียงเปิดออกมาดัสก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“แกนี่มันช่างรู้ใจข้า ไหน อื้ม เหล้าดี
แต่ถ้าให้ดีกว่านี้น่าจะมีกับแกล้มด้วย” ชายแก่ว่าพลางยกถุงหนังนั้นจ่อปาก
“เรื่องมากจริง หาเอาเองแล้วกันพ่อ ข้าจะไปนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้า”
เฟรินกล่าวพลางคว้าบรรดาถุงใส่ของที่ซื้อมาวันนี้ ก่อนเดินกลับเข้าไปในเกวียน
โดยมีมาดัสตะโกนไล่หลัง
“อ้าว ไม่มาดื่มด้วยกันหน่อยเรอะ เออ ตามใจเจ้าละกัน”
---
เด็กหนุ่มมองของแต่ละชิ้นที่หยิบออกมาจากถุงซึ่งมาดัสเป็นคนซื้อมาแล้วได้แต่ถอนใจ
...นี่คงเลือกเอาแต่ของราคาถูกสุดเป็นแน่
เพราะข้าวของทั้งหลายอยู่ในสภาพห่างไกลจากคำว่า ‘พอใช้ได้’ ยิ่งกว่าอสงไขย ยิ่งบรรดาหนังสือตำรับตำราทั้งหลายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ตำราเล่มหนาที่อุตส่าห์มีปกทำจากหนังนั้นก็เก่าจนหนังแตกลายเสียจนอ่านไม่ออกว่าปกเขียนอะไรไว้ กระดาษข้างในนั้นถ้าไม่กรอบก็เปื่อยเสียจนไม่กล้าสัมผัสแรง ด้วยกลัวจะยุ่ยติดมือออกมา กระทั่งชุดนักเรียนก็อยู่ในสภาพที่ห่างไกลจากคำว่าสะอาดเหลือเกิน ครั้นจะเอาไปทำความสะอาดตอนนี้ก็เกรงจะไม่ทันวันรุ่งขึ้น
เฟรินจึงได้แต่ตัดใจใช้เวทมนตร์ที่เจ้าตัวออกตัวกับเพื่อนใหม่ไว้นั่นแหล่ะว่า
ไม่ถนัด จัดการเสียเดี๋ยวนั้น
ในใจก็นึกแต่ขอบคุณราชินีลูน่าผู้เจ้าระเบียบทุกกระเบียดนิ้วที่อุตส่าห์คิดมนตร์ซ่อมแซมสิ่งของและสอนสั่งเสียจนเขาจำได้เข้ากระดูกชนิดที่ว่าไม่ต้องร่ายบทใด
ๆ ก็ใช้ได้
หลังจากจัดการของใช้เรียบร้อย เขาก็หยิบดาบ
และคทาที่เพิ่งซื้อมาดู
มือของหัวขโมยสาละวนแกะห่อผ้าที่ห่อเสียมิดชิด พลันสัมผัสด้ามได้ เฟรินค่อยเปลือยคมออกจากฝัก เสียงโลหะเสียดสีกรีดแทรกความเงียบยามราตรีดังคล้ายเสียงดนตรีกังวาล
คมดาบของผ่าปฐพีสะท้อนกับแสงจากกองไฟเป็นประกายอันตรายในความมืด หากกระไออบอุ่นอันคุ้นเคยกลับลอยวนอยู่รอบกาย
เฟรินได้แต่มองดาบในมืออย่างนึกทึ่ง เพราะแม้ดาบจะถูกทิ้งอย่างไม่มีใครใยดีนับสิบปี
หากตัวดาบกลับยังอยู่ในสภาพดีนัก
...สมกับที่เคยเป็นศาสตราคู่พระหัตถ์ของท่านพ่อ
ทว่าอารมณ์ดี ๆ ของหัวขโมยเลือนหายไปนิดเมื่อหยิบเอาคทาที่เขาเลือกส่ง ๆ ขึ้นมาดู
เด็กหนุ่มเรียนรู้จากบรรดาสิ่งของที่ขายอยู่ในตลาดว่าของที่ขายในเอดินเบิร์กนั้นมีคุณภาพเป็นไปตามราคา เมื่อนึกถึงราคาที่จ่ายไป เฟรินจึงค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าคทาราคา 10 คราวน์ไม่มีทางอยู่ในสภาพดีนัก
หากพอเห็นเข้าจริง เขาพบว่าสภาพของมันแย่ยิ่งกว่าที่คาดไว้เสียอีก ครั้นจะมานึกเสียใจที่ไม่ตั้งใจเลือกให้ดีเสียหน่อยก็คงสายไปแล้ว
เฟรินจึงได้แต่มองคทาที่ตัวไม้เริ่มกะเทาะจนเห็นเนื้อไม้ด้านในด้วยสายตาเหี่ยวแห้ง ยังดีที่ตัวพู่ยังมีสภาพความเป็นพู่อยู่บ้าง ...อาจจะมากกว่าคทาที่ โร เซวาเรสเลือกในร้านสักเล็กน้อยถ้าเฟรินจำไม่ผิด
และนั่นเป็นเหตุผลพอจะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
หลังจากคิดแล้วคิดอีกหลายตลบ หัวขโมยก็ตัดสินใจเดินออกจากเกวียนอีกครั้ง
“อ้าว จาปายหนายอีกล่ะน่านน่ะ” มาดัสถามด้วยเสียงอ้อแอ้ยานคาง ใบหน้าชายสูงวัยกว่าแดงก่ำเพราะร่ำสุราแรงไปจนเกือบหมดถุง กลิ่นสุราจางๆ ลอยมาตามลมยามเฟรินเดินผ่านเขาพลางหยิบเศษฟืนติดไฟถือติดมือเข้าไปในป่า
เด็กหนุ่มอาศัยแสงไฟจากไม้ฟืนในมือมองหากิ่งไม้เหมาะมือหนึ่งกิ่งถือกลับมา
ทรุดกายลงนั่งได้ เฟรินคว้ามีดขึ้นมาบรรจงเหลาไม้ในมือพักใหญ่ สลับกับการวางเทียบกับคทาที่วางนิ่งอยู่เบื้องหน้ากระทั่งไม้ในมือมีขนาดใกล้เคียงกับด้ามคทาแล้วจึงหยุดมือ
เด็กหนุ่มหยิบคทาที่ซื้อขึ้นมาพลางภาวนาไม่ให้มันหักคามือขณะถอดเอาลูกแก้วสีขาวพร้อมฐานรองที่อยู่บนหัวคทา และพู่ที่เหลือความเป็นพู่อยู่สักครึ่งมาตั้งไว้บนแท่นไม้ที่เขาพึ่งหยิบออกมาจากหีบข้างกาย
หันรีหันขวางครู่ใหญ่ ก่อนใช้มีดตัดผมของตนเองออกมาปอยหนึ่ง และถักเข้ากับพู่อันเก่า ก่อนผูกเข้ากับไม้ที่เขาเพิ่งเหลาเสร็จ พอติดลูกแก้วเข้าไปถือเป็นอันเสร็จ
ดวงตาสีน้ำตาลที่สำรวจความเรียบร้อยก็มีแววพึงใจก่อนจะวางลงเบื้องหน้า
ค่อยดูเป็นคทาขึ้นมาอีกหน่อย
แม้คทาที่เพิ่งถูก ‘ทำใหม่นั้น’ ไม่มีฤทธิ์หรือพลังใด ๆ อย่างที่คทาเวทย์ควรจะมี เพราะคทาที่ถูกแยกส่วนแล้วย่อมเสื่อมพลังเวทย์ที่มีอยู่ไป แต่ก็ใช่ว่าเฟรินจะเดือดร้อน
เพราะเขาเป็นหัวขโมย หัวขโมยต้องใช้เวทมนต์เสียเมื่อไหร่!
ราตรีเคลื่อนคล้อย เฟรินเก็บของชิ้นสุดท้ายที่ระบุไว้ในรายการของใช้จำเป็นลงในกระเป๋า พลางเหลือบมองไปทางมาดัส
ร่างอ้วนท้วนของหัวขโมยรุ่นใหญ่ตอนนี้นอนหงายเหยียดยาวไปบนกองฟาง ดวงตาปิดสนิท ใบหน้ายังแดงระเรื่อด้วยฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไป หน้าท้องใหญ่โตของมาดัสขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจสม่ำเสมอและเสียงกรนเบา ๆ บ่งบอกว่าเจ้าตัวหลับลึกไปเป็นที่เรียบร้อย
เด็กหนุ่มกวาดข้าวของทั้งหลายที่เขาหยิบออกมาแล้วไม่ได้ใช้ใส่กลับเข้าไปในถุง ก่อนจะกลับออกมาจากเกวียนพร้อมผ้าห่มเนื้อหยาบในมือ พลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจให้คนเมาหลับไม่ได้สติตรงหน้า ...แน่ใจว่าพรุ่งนี้ กว่ามาดัสจะตื่นคงคล้อยบ่ายไปแล้ว และเฟรินคงต้องขนของไปโรงเรียนพระราชาด้วยตัวคนเดียวเป็นแน่แท้
อา...
ช่างเป็นบิดาที่พึ่งพาได้อะไรอย่างนี้นะ มาดัส เดอเบอร์โรว์
-------
2017.11.30 04.15 AM
--Talk สักนิด --
สวัสดี วันสิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจค่ะทุกโคนนน ^^;
สบายดีหรือเปล่า ข่าวคราวไม่เคยรู้~ /หลบรองเท้า
เป็นไงบ้างคะ กับเฟรินเวอร์ชันนี้ ถูกใจไม่ถูกใจ คอมเมนท์ด้านล่างได้นะคะ ยินดีรับฟังทุกคำติชมค่ะ
สำหรับตอนนี้ ถ้าใครเคยอ่านก่อนหน้านี้ อาจจะจำได้ว่ามีรายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเนื้อเรื่องเดิมบ้างแล้วนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงว่าเรื่องจะเปลี่ยนไปเลยจนต้องมาเริ่มใหม่ ตั้งใจจะคงเส้นเรื่องไว้แบบเดิมค่ะ^^
ส่วนไอ้เรื่องที่ว่าตอนต่อไปจะมาเมื่อไหร่ ก็จะบอกว่ามันจะมา ๆ หาย ๆ บ่อย ๆ นิดนึงตามสภาพหน้าที่การงานอันรุมเร้าค่ะ ^^; มันก็จะทิ้งช่วงนานสักหน่อย เดือนละตอนประมาณนี้ /กระโดดหลบระเบิด
ขอบคุณอีกพันครั้งสำหรับคนที่หลงเข้ามาอ่าน แถมยังทิ้งคอมเมนท์น่ารัก ๆ ไว้ให้ชื่นหัวใจเบา ๆ TT ยังไงก็ขออภัยในความสปีดหอยทากยังเร็วกว่าด้วยนะคะ
With Love
THORONGIL
ความคิดเห็น