คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : จิ้งจอกเฒ่า อย่างไรก็เป็นจิ้งจอก
- จิ้งจอกเฒ่า อย่างไรก็เป็นจิ้งจอก -
“เซจ ไมดาส นักดาบแห่งเอเธนส์” เสียงขานนามผู้สมัครดังขึ้น
ก่อนร่างสูงใหญ่บึกบึนจนน่าจะได้ฉายาว่านักรบมากกว่านักดาบของเด็กหนุ่มเจ้าของนามจะเดินหายไปหลังประตูบานใหญ่
โดยมีสายตาหลายคู่มองตามไปราวกับประเมินหลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นว่าเมื่อไหร่จะถึงคราวตน
หากหัวขโมยหนุ่มกลับนึกถึงประโยคเดียวกันด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป
ดวงตาจ้องมองบานประตูหนาหนักประดับธงสีม่วงปักดิ้นทองเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยท่ามกลางอากาศร้อนระอุ
แสงแดดยามใกล้เที่ยงวันที่กำลังแผดเผาผสานกับกระไอร้อนจากกลุ่มคนที่ยืนเบียดเสียดรอเรียกตัวอยู่ในลานหน้าปราสาทแห่งนี้
ทำให้เฟรินรู้สึกราวกับอยู่ในปล่องภูเขาไฟโลกันตร์ในเดมอสก็ไม่ปาน
เมื่อวานที่มายื่นใบสมัครว่าคนเยอะแล้ว
วันนี้กลับเยอะยิ่งกว่าจนเฟรินชักไม่แน่ใจว่าเอดินเบิร์กเป็นโรงเรียนพระราชาหรือโรงทานกันแน่
ร้อน...
หัวขโมยหนุ่มบ่นงึมงำขณะยกแขนหนึ่งขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า
อีกมือก็กระพือเสื้อที่เริ่มจะชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อด้วยกิริยาที่หากราชินีจันทรามาเห็นเข้าเขาคงถูกสั่งกักบริเวณไปอีกเป็นสัปดาห์
กระพือไปกระพือมาใจก็ไพล่นึกไปถึงตำราเล่มเก่าสภาพดีกว่าคำว่า ‘ยับเยิน’ เพียงปลายนิ้วก้อยที่มาดัสยัดใส่มือ พลางบอก
‘ข้อสอบเก่า เอาไปอ่านซะ’ หากเด็กหนุ่มโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี
ด้วยรู้ดีว่าของแต่ละสิ่งที่มาดัสให้ไม่เคยมีสิ่งใดใช้การได้ ...อ้อ
จะเว้นก็เพียงแต่มีดเล่มเล็กที่เหน็บอยู่ด้านหลังไว้เสียสิ่งหนึ่งแล้วกัน
...หากรู้ว่าจะต้องรอตั้งแต่เช้าตรู่กระทั่งตะวันตรงหัวเช่นนี้คงพกมาแล้ว
ถึงเนื้อในจะไม่มีประโยชน์นัก แต่เอามาใช้โบกต่างพัด หรือบังแดดก็ยังดี
“โร เซวาเรส ขอทานแห่งทริสทอร์” เสียงขานชื่อดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เรียกความสนใจจากผู้สมัครคนอื่นได้ดียิ่ง เพราะเพียงสิ้นคำเรียกขานฉายา เสียงอื้ออึงก็ดังกระหึ่มลานหน้าปราสาทไปทั่ว
ผู้สมัครหลายคนต่างพากันสอดส่ายสายตาเจ้าของนาม กระทั่งใครคนหนึ่งส่งเสียงลั่นหลังมองเห็นร่างที่ค่อนไปข้างผอมในชุดมอมแมมมีรอยปะไปทั่วค่อย
ๆ โผล่ออกมาจากฝูงชน เด็กหนุ่มชะงักกายเพียงครู่ราวกับตกใจนักหนา ก่อนก้มหัวงุดด้วยท่าทางเลิกลั่กคล้ายตื่นตระหนก
ทว่าดวงตาสีมรกตกที่แรกเห็นดูลุกลิกกลับมีประกายคล้ายขบขันฉายวาบ ซ้ำยามก้าวเดินแม้ขอทานหนุ่มจะสับเท้าอย่างเร็ว
แต่หากสังกเตดี ๆ แล้วจะพบว่าแต่ละย่างก้าวของขอทานหนุ่มกลับก้าวอย่างมั่นคง สะท้อนว่าเป็นผู้มีความมั่นใจในตนเองยิ่ง
กิริยานั้นไม่อาจพ้นสายตาของใครหลายคนที่จับจ้องเด็กหนุ่มผู้ครองฉายาขอทานอย่างจับผิด
รวมถึงเฟรินที่แม้จะไม่แน่ใจว่าการที่ขอทานมาสอบเข้าโรงเรียนพระราชาเป็นเรื่องผิดแปลกเพียงใดในเอเดน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ
รอยยิ้มเหยียดฉาบบาง
ๆ บนใบหน้าหัวขโมยกำมะลอยามตระหนักว่า อาจไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่ปิดบังตัวตน
----------------------
“เฟริน เดอเบอร์โรว์ หัวขโมยแห่งบารามอส” ในที่สุด
ชื่อของหัวขโมยก็ถูกขานเรียก
หากเจ้าตัวกลับไม่ยินดีเสียแล้วที่การรอคอยอันยาวนานสิ้นสุดลงเสียที
เพราะเพียงสิ้นเสียงขานฉายา
เสียงฮือฮาจากผู้สมัครคนอื่นก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง....ร้ายกว่าตรงเสียงที่ดังหึ่ง
ๆ ราวกับฝูงผึ้งในคราวนี้ดังยิ่งกว่าคราวของขอทานเสียอีก บางคนในที่นั้นถึงขั้นรำพึงออกมาดัง
ๆ ว่า ...ขอทานก็ว่าแปลกแล้ว คราวนี้ยังมีหัวขโมยอีก หัวขโมยกับโรงเรียนพระราชา
ไม่เห็นจะเข้ากันตรงไหน!
ข้างเฟรินได้ยินเข้าก็ให้ตระหนักว่าฉายากำมะลอที่ถือครองมา
5 ปีจะสร้างความลำบากให้ก็คราวนี้ ยิ่งเห็นปฏิกิริยาคนรอบข้างที่พากันมองซ้ายแลขวาเพื่อหาตัวก็ยิ่งจนใจ
แม้เขาอยากจะรีบ ๆ ออกไปให้พ้นจากคลื่นมนุษย์แออัดอันร้อนระอุตรงนี้เต็มที
หากสถานะเช่นเขาย่อมไม่อยากเป็นจุดเด่นเช่นนี้
นึกแล้วได้แต่สรรเสริญคนจัดลำดับในใจ
เหตุใดจึงเรียกหัวขโมยต่อจากขอทาน
ละล้าละลังอยู่พักใหญ่
กระทั่งเสียงเรียกดังซ้ำ หัวขโมยจำแลงจึงได้แต่จำใจก้าวเร็ว ๆ เข้าไป
พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่นำพาต่อสายตาสงสัยทิ่มแทงที่มองไล่หลัง ก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวกระทั่งพ้นประตูใหญ่มาสู่โถงทางเดินภายในจึงค่อยรู้สึกสงบลง
มีแก่ใจเงยหน้ามองสำรวจรอบข้างบ้าง
ดวงตาสีเปลือกไม้กวาดตามองรอบ ๆ
อย่างสนอกสนใจขณะสองเท้าเดินตามชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบซึ่งแนะนำตัวว่าเป็นหนึ่งในผู้คุมสอบ
หูแว่วเสียงอธิบายยืดยาว หากหัวขโมยที่ความสนใจจับจ้องอยู่กับลวดลายปิดทองตามเสา
และภาพประดับที่ดูสูงค่ากลับจับใจความได้เพียงคร่าว ๆ กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่สีเข้มทำจากไม้โอ๊ค
ลูกบิดทั้งสองทำด้วยทองคำที่หัวขโมยได้แต่จับจ้องตาเป็นประกายวาววับ ในหัวเด็กหนุ่มกำลังคำนวณเล่น
ๆ ถึงจำนวนเงินที่จะได้หากเขางัดลูกบิดทองคำสองชิ้นนี้ไปขายตอนที่หูได้ยินเสียงกระแอมไอจึงได้รู้ตัวว่าเขาชักจะติดนิสัยขโมยมากไปนิดเสียแล้ว
หัวขโมยจึงได้แต่ส่งยิ้มแหยให้ร่างสูงของผู้คุมสอบที่มองมาอย่างจับผิด
ขณะแกล้งเสมองไปทางอื่น
“ผู้เข้าทดสอบ
เชิญทางนี้” ชายหนุ่มกล่าวขณะเปิดประตูและผายมือให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไป
ก่อนประตูจะปิดลง
หากภาพที่เฟรินเห็นทำให้เด็กหนุ่มเลิกคิ้วน้อย
ๆ ด้วยความแปลกใจ
คะเนจากเพียงขนาดของบานประตูและคำบอกเล่าของผู้ที่กลับออกมาหลังทดสอบเสร็จสิ้น
เฟรินคาดว่าตนจะก้าวเข้ามาในห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีกรรมการคุมสอบไม่น้อยกว่าสามคนนั่งรออยู่
หากห้องที่เฟรินยืนอยู่นขณะนี้ กลับเป็นห้องขนาดกลาง บนผนังประดับภาพเขียนขนาดใหญ่ใส่กรอบไม้สลัก
ถัดจากภาพเขียนคือชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือเล่มหนา วางเรียงเป็นลำดับ
หากที่น่าแปลกใจที่สุด
คงไม่พ้นภาพทิวทัศน์หลังบานหน้าต่างใหญ่ประดับม่านกำมะหยี่สีแดงเลือดหมู
หัวขโมยหนุ่มแน่ใจว่าตลอดทางที่เดินตามมา
ไม่มีสักครั้งที่เขาเดินขึ้นบันได เฟรินจึงแน่ใจว่าเขายังอยู่ในตัวปราสาทชั้นแรก
หากภาพทิวทัศน์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า มองอย่างไรก็เป็นภาพมุมสูง
และเพียงหันไปมองอีกด้านของห้อง
เขาเห็นลานหน้าปราสาทที่คลาคล่ำไปด้วยผู้สมัครจำนวนมากที่ยังไม่ถูกขานชื่อด้วยซ้ำ!!
เฟรินพาตัวเองไปใกล้บานหน้าต่างขณะใช้มือหนึ่งถอดถุงมือที่สวมอยู่ออก
ก่อนใช้ปลายนิ้วสัมผัสแผ่นกระจก
สัมผัสนั้นบอกเด็กหนุ่มว่าภาพเบื้องหน้าไม่ได้เกิดจากมนตราใด
เช่นนั้น
เขาขึ้นอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร...
สมองของหัวขโมยจำแลงหมุนเร็วรี่
ก่อนความคิดหนึ่งจะสว่างวาบ
“มิผิด
นั่นคือมนตราเคลื่อนย้าย”
เด็กหนุ่มหมุนกายกลับมาตามเสียง
แล้วเขาก็พบชายชราที่ทั้งเครา และผมกลายเป็นสีเงินยวง ท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เฟรินแน่ใจว่าเขาไม่เห็นยามเมื่อก้าวเข้ามาในห้องครั้งแรก
กลิ่นอายมนตราขั้นสูงเข้มข้นแผ่ออกมาจากร่างชองชายชรา
และจากเครื่องแต่งกายทำให้เขารู้ว่า ชายคนนี้เป็นนักปราชญ์
เฟรินนึกรู้โดยพลันถึงตัวตนของชายชราตรงหน้า
แล้วก็ได้แต่รู้สึกพรั่นพรึง
...นี่รึ
ปราชญ์เลโมธี
เฟรินได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักปราชญ์แห่งเอเดนผู้นี้มามากมาย
เมื่อมาได้พบตัวจริงในวันนี้ จึงได้รู้ว่าที่เคยได้ยินมาทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริงสักเรื่อง!
หัวขโมยจำแลงได้แต่นึกคาดโทษเจ้าคนแคระเขากวางปากมาก
ทว่าเสียงขยับกายของอีกฝ่ายเรียกเฟรินกลับมาจากห้วงภวังค์ความคิด
ปราชญ์เลโมธีส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
ขณะลุกเดินเข้าหาเด็กหนุ่มมาหยุดยืนเบื้องหน้า เมื่อได้มองในระยะประชิดเช่นนี้
เด็กหนุ่มพบว่ามหาปราชญ์แห่งเอเดนเป็นชายชราร่างสูงผอม
ชุดคลุมสีเดียวกับเส้นผมและเครายาวของเขา ประกอบกับบรรยากาศสงบนิ่งรอบกายส่งให้ภาพลักษณ์ของปราชญ์ชราผู้นี้ดูทั้งสูงศักดิ์และทรงภูมิสมฉายา
ยิ่งดวงตาสีอ่อนจางกระจ่างใสที่ราวกับจะมองทะลุไปถึงจิตใจ
ทำให้หัวขโมยที่มีชนักปักหลังเช่นเฟรินรู้สึกพรั่นพรึงระคนหวาดหวั่น
เขาชักไม่แน่ใจว่าการซ่อนตัวในป่าที่มีพญาอินทรีเช่นมหาปราชญ์ผู้นี้จะเป็นความคิดที่ดี
สองมือที่เริ่มชื้นเหงื่อกำแน่นเข้าหากัน
เด็กหนุ่มสืบเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัวยามสบตาใสกระจ่างคู่นั้น ความรู้สึกคล้ายกำลังยืนเปิดเปลือยต่อหน้าชายชราขับดันให้เฟรินเกิดความคิดอยากวิ่งหนี
แม้ในใจส่วนลึกจะรู้ดีว่าเป็นความคิดที่งี่เง่าเพียงใดก็ตาม
เฟรินเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองตลอดมา
และมันกำลังร่ำร้องบอกเขาว่าที่นี่อันตรายเกินไป
ทว่า
ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะทำสิ่งใด กลับเป็นมหาปราชญ์ที่เป็นฝ่าย ‘ถอย’ ให้ก่อน
เลโมธีเคลื่อนกายไปด้านข้างพลางผายมือก่อนเอ่ย
“เฟริน เดอเบอร์โรว์ เชิญนั่งที่เก้าอี้นี่ก่อน
เดี๋ยวเราจะทดสอบพลังของเธอกัน” น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลยิ่ง
และเพียงประโยคเดียวกลับทำให้เฟรินคลายความระแวดระวังลง
เดินตามไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมที่ปรากฎขึ้นโดยไร้ซุ่มเสียงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้หลายปีให้หลัง
เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามหาปราชญ์ใช้มนต์ใดจึงสามารถสะกดหัวขโมยในยามนั้นให้ทำตามได้
“ทำตัวสบาย ๆ ไม่ต้องเกร็ง” เฟรินพยักหน้ารับรู้แม้ในใจจะคลายความระแวงไปบ้าง
หากหลังไหล่ของเด็กหนุ่มจึงยังเครียดเกร็งและดวงตาสีเปลือกไม้คู่นั้นยังมีความระแวดระวังฉายชัด
ดวงตาสีอ่อนจางของมหาปราชญ์ปรากฏร่องรอยคล้ายอ่อนใจบาง ๆ หากใบหน้ายังประดับยิ้มอ่อนโยนขณะทรุดกายลงนั่งตรงข้าม
พลางรำพึงกับตัวเองเบา ๆ ว่า
...ช่างเหมือนนัก
“เอาล่ะ
เราเริ่มกันเลยไหม” ชายชราเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายยิ่ง และเพียงปรบมือเบา ๆ โต๊ะทำงานเบื้องหน้าก็อันตรธานหายไป
แทนที่ด้วยโต๊ะยาวสูงเพียงเอว บนโต๊ะมีสิ่งของวางอยู่ 4 สิ่ง
กระไออันคุ้นเคยที่แผ่ออกมาจากของทั้ง 4 สิ่งนั้นทำให้เฟรินระลึกถึงเรื่องเล่าของโกโดมโคมุสเรื่องหนึ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มแทบจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก
เรื่องสำคัญเช่นนี้
เขาลืมไปได้อย่างไร
เรื่องของของวิเศษ
4 สิ่งที่ปราชญ์เลโมธีใช้กักพลังของบิดาของเขาไว้ครึ่งหนึ่ง!
-----------
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชาวเอเดนต่างจากเดมอส
คือ พลังเวทย์ในกาย
โดยทั่วไป
พลังเวทย์ของชาวเอเดนนั้นกำเนิดจากการฝึกฝน
ขัดเกลาจิตตนจนสามารถเรียกใช้พลังเวทย์จากธรรมชาติ
แม้มีส่วนน้อยกำเนิดมาพร้อมความสามารถนั้นอันถือเป็นพรสวรรค์ที่แตกต่างกันไปตามแต่เฉพาะคน
แต่สำหรับชนเดมอสกลับไม่เป็นเช่นนั้น
พลังเวทย์ของชนเดมอสนั้น
กล่าวกันว่าสืบทอดผ่านสายเลือด จากรุ่นสู่รุ่น จากบิดาสู่บุตร นั่นหมายถึง
พลังที่ไหลเวียนในกลุ่มผู้สืบสายเลือดเดียวกัน คือพลังขุมเดียวกัน หากจะแตกต่างกันบ้างในกลุ่มผู้สืบสายโลหิตเดียวกัน
ก็คงเป็นพรสวรรค์อื่นที่รับสืบทอดจากฝ่ายบิดาหรือมารดาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง เช่น จ้าวปีศาจเอวิเดสและราชินีจันทราลูน่า
เกรเดเวล ซึ่งแม้จะมีบิดาร่วมอุทร แต่มีเพียงราชินีจันทราเท่านั้นที่ครองพลังหยั่งรู้
ที่สำคัญ
สายเลือดเดียวกันย่อมเพรียกหา สถานการณ์ตรงหน้าที่มีของซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังของบิดาจึงถือเป็นวิกฤติยิ่งยวดสำหรับเขา
เฟรินกลัดกลุ้มถึงขั้นรำพึงถึงบิดาบังเกิดเกล้าทีเดียว
ไหล่ที่เครียดเกร็งอยู่แล้วจึงยิ่งเกร็งขึ้นไปอีก
เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมสีหน้าให้ดูแปลกใจ ในขณะที่สองมือที่วางอยู่บนเข่านั้นกำเข้าหากันแน่น
พลังใจแทบทั้งหมดถูกใช้เพื่อกดข่มพลังที่เต้นเร่าอยู่ในสายเลือดที่คล้ายกับกำลังร้องรับกับของวิเศษทั้ง
4 เบื้องหน้า
มหาปราชญ์แห่งโรงเรียนพระราชามองความพยายามของเด็กหนุ่มตรงหน้าไปพลาง
นึกชื่นชมทั้งความสามารถและความดื้อรั้นของเขาไปพลาง ชายชราเอ่ยพึมพำคล้ายบ่นกับตัวเองขณะรินน้ำชาจากกาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างกายก่อนยกขึ้นจิบ
กิริยาคล้ายไม่ใส่ใจนั้นทำให้หัวขโมยที่พยายามควบคุมพลังในกายที่กำลังดื้อดึงราวม้าพยศอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมาเป็นริ้ว
ๆ
ทว่า
ทันทีที่ถ้วยน้ำชาในมือมหาปราชญ์กระทบจานรองดังกริ๊ก พลันเฟรินก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่แผ่กระจายราวกับคลื่นน้ำจากชายชรา
พร้อมน้ำเสียงทุ้มลึกคล้ายดังมาจากที่ไกลแสนไกล
“ปล่อยกายตามสบายเถิด เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล” ดวงตาสีเปลือกไม้เบิกกว้างเมื่อได้ยินนามที่แท้จริงหลุดออกมาจากปากของชายชรา
สติที่หลุดหายด้วยความตกใจ ทำให้พลังที่กำลังพยศจนเลือดในกายแทบเดือดพล่านหลุดจากการควบคุม
เมื่อสัมผัสได้ถึงขุมพลังเดียวกัน ของวิเศษทั้งสี่ชิ้นพลันเรืองแสงก่อนเกิดอาการสั่นไปมาคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นจับเขย่า
ก่อนลอยสูงขึ้น และเปล่งแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งบริเวณ ทั้งยังเนิ่นนาน
จนในที่สุดก็ค่อยเลือนดับลง เริ่มจาก มงกุฎ และแหวน...
เหลือเพียงคทาแห่งอำนาจและดาบแห่งกษัตริย์ที่ยังคงเปล่งแสงสว่าง หากแต่แสงนั้นนุ่มนวล
และดูอบอุ่นกว่า
“สมแล้วที่สืบสายโลหิตเดียวกัน เจ้าหญิง” เลโมธีกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะลงเล็กน้อยให้แก่เจ้าหญิงพลัดถิ่นในร่างจำแลงที่ยังคงมีนงง
“ท่าน...นี่ท่าน...” ได้แต่เอ่ยตะกุกตะกักราวกับหาคำพูดไม่เจอ
ขณะมองชายชราที่เพียงยกมือขึ้นโบกเล็กน้อย ของวิเศษทั้ง 4 พลันเลือนหายไปราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาหากเขาจะไม่ได้ยังคงสัมผัสได้ถึงพลังอันเข้มข้นของบิดาที่ยังลอยวนอยู่ในอากาศเช่นนี้ที่บ่งบอกว่าของวิเศษเมื่อครู่เป็นของจริง
“แม้ท่านมีมนต์โบราณคลุมกายช่วยอำพรางทั้งรูปโฉมและพลังแห่งความมืด หากโลหิตนั้นย่อมข้นกว่าน้ำ
ยิ่งท่านเป็นผู้สืบสายโลหิตของเจ้าของอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่ผนึกอยู่ในของวิเศษทั้งสี่นี่แล้ว
ย่อมไม่อาจปกปิดพลังแห่งสายเลือดที่ไหลเวียนในกายได้”
“...ท่านก็รู้ว่าเรามิได้หมายถึงเรื่องนั้น”
เฟรินเอ่ยพลางผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาที่มองปราชญ์เลโมธีมิได้มองอย่างระแวงอีกแล้ว
หากแสดงความเป็นปฏิปักษ์ชัดเจน ในใจนั้นโอนเอียงไปตามคำกล่าว(หา)ของพ่อมดแห่งเดมอสที่ว่า
ปราชญ์เลโมธีผู้นี้เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ...หากตอนนี้ทำได้อย่างใจนึก
เขาคงเรียกดาบขึ้นมาบั่นคอชายชราเสียแล้ว
ดวงตาของปราชญ์เลโมธีคล้ายมีความเหนื่อยใจพาดผ่าน
หากรอยยิ้มเมตตาบนใบหน้ายังมิคลายไปไหน
“กิริยาท่าทางของท่านช่างเหมือนจ้าวปีศาจยิ่งนัก
แต่ความหัวแข็งดื้อรั้นเช่นนี้กลับเหมือนเจ้าหญิงอลิเซีย พระมารดาของท่านมากกว่า”
ชายชรากล่าว และดูเหมือนปราชญ์ชราจะเล่นได้ตรงจุด
เพราะดวงตาแข็งกร้าวของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพลันอ่อนแสงลงทันทีที่ได้ยินพระนามของมารดา
“...เหมือน
ท่านแม่หรือ”
“ใช่แล้ว
เหมือนมากทีเดียว โดยเฉพาะดวงตา เจ้าหญิงอลิเซียนั้นภายนอกอาจดูอ่อนหวาน
แต่ที่แท้แล้วพระองค์ทรงเป็นคนดื้อนัก หากมีสิ่งใดที่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย
แม้จะไม่ทรงตรัสอันใด หากพระเนตรของพระองค์นั้นบอกทุกสิ่ง”
“เช่นนั้นหรือ”
“หากท่านอยากฟังเรื่องของเจ้าหญิงอลิเซีย
ข้ายินดีเป็นคู่สนทนาให้ทุกเมื่อ ...แน่นอนว่าหากท่านตกลงเป็นนักเรียนของเรา” ปราชญ์ชรากล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย
แต่เฟรินคล้ายเห็นแววตาเจ้าเล่ห์สะท้อนอยูในดวงตาเป็นมิตร
แม้จะเป็นเพียงพริบตาก็ตาม
“ส่วนสิ่งใดที่ท่านปรารถนาให้เป็นความลับ ย่อมเป็นความลับต่อไป”
เลโมธีกล่าวต่อ พลางยกถ้วยน้ำชาที่เย็นชืดไปแล้วขึ้นจิบ
ครั้นหัวขโมยลองทบทวนทั้งหมดแล้ว
ดูเหมือนเขาคงได้แต่ยอมรับข้อเสนออย่างจนใจ
“อย่างกับข้ามีทางเลือกมากนัก”
อดไม่ได้จะค่อนแคะ
“สรุปว่าท่านตกลงสินะ ดียิ่ง ดียิ่ง”
ปราชญ์เลโมธีกล่าวด้วยท่าทียินดีก่อนลุกขึ้นยืน
ทว่าในสายตาเฟรินตอนนี้กลับดูขวางหูขวางตาชอบกล
หึ
จิ้งจอกเฒ่า จะสวมหนังแกะอย่างไรก็ยังเป็นจิ้งจอก
ในบรรดาเรื่องไร้สาระที่ได้ฟังจากโกโดมมาตั้งแต่เล็ก
คงจะมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่เฟรินเห็นด้วย
“ท่านเลโมธี ดูเหมือนท่านจะผิดจากที่เราได้ยินข่าวลือมามากโขทีเดียว” เด็กหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายขณะเดินไปที่ประตู
...เพิ่งสังเกตตอนนี้นี่เองว่าประตูที่เขาเปิดเข้ามา
กับประตูที่เขากำลังจะเปิดเพื่อกลับออกไปนั้นไม่ใช่ประตูบานเดียวกัน
และเพราะเฟรินหันหลังให้
หัวขโมยหนุ่มจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างคล้ายถูกใจของมหาปราชญ์ขณะเอ่ย
“มิได้ เสียงเล่าลือมักเป็นเรื่องเกินความจริงเสมอ ไม่ใช่หรือ”
-----------
“ตกลงเจ้าต้องหาซื้ออะไรบ้างล่ะฮะ ไอ้หนู ไหนเอารายการมาดูซิ เฮ้ย
ทำไมมันยาวเหยียดอย่างนี้ ไม่เห็นเหมือนสมัยข้าเรียนเลย”
มาดัสร้องพลางยกมือกุมศีรษะที่เหลือผมน้อยเส้นเต็มทนของตนไปพลาง
จ้องมองม้วนกระดาษบันทึกรายการของใช้ของนักเรียนใหม่ไปพลาง ก่อนจะรำพึงถึงจำนวนเงินที่ต้องเสียไปกับการจัดหาของตามรายการ
“พ่อ” เฟรินที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น
“หือ อะไร” มาดัสถามโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นจากบรรดารายการสิ่งของที่เขาต้องซื้อ
“เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นรู้ว่าข้าเป็นใคร” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงขุ่น
ความไม่พอใจที่ต้องเข้าเรียนราวกับตนไม่มีทางเลือกอื่นแล่นเป็นริ้ว ๆ
แม้ตอนแรกจะเป็นเขาและบิดาทั้งสองเองที่เลือกเดินเข้าไปในหลุมพรางนั้น หากมาดัสฟังแล้วได้แต่เกาหัวพลางเอ่ยถามว่าใคร
“ก็ปราชญ์เลโมธีนั่นไง”
“งั้นรึ” ชายร่างท้วมตอบอย่างไม่ใส่ใจนักพลางควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าของเขา
ก่อนจะหยิบแผนที่ร้านค้าออกมา
“อ้าว พ่อไม่แปลกใจเลยเรอะ”
“ทำไมจะต้องแปลกใจ ถ้าไม่รู้สิแปลก ไอ้หนู แกอย่าลืมสิว่า ใครเป็นคนกักพลังจ้าวปีศาจในของวิเศษสี่ชิ้น”
ปลายประโยค มาดัสลดเสียงให้ได้ยินเพียงสองคน
“นั่นสินะ” เฟรินตอบพลางทำท่าใช้ความคิด
“เอ้า นี่ไงร้านขายดาบ ส่วนร้านขายคทาก็คงอยู่ไม่ห่างกันมากหรอก เจ้าไปดูเอาเองแล้วกัน
ข้าจะไปหาของอย่างอื่นมาให้”
มาดัสชี้เครื่องหมายบนแผนที่ให้เฟรินดู ในขณะที่เด็กหนุ่มทำหน้านิ่งก่อนเอ่ยว่า
“อย่าเอาไอ้ที่มันโทรมมากไปล่ะ ให้มันมีสภาพดีหน่อย”
“หน็อย สั่งข้ารึไอ้หนู”แล้วมาดัสก็ยกมือทำท่าจะเขกหัวเด็กหนุ่ม
หัวขโมยรุ่นสองรีบมุดหลบปากก็ว่า “ยังไงเงินนั่นก็เป็นของข้านะ
ท่านแค่เป็นธุระซื้อของดี ๆ ให้ข้าแค่นั้นเอง” เฟรินก้มตัวหลบพร้อมรอยยิ้มเผล่
ให้มาดัสได้แต่เข่นเขี้ยว ทำเสียงฮึ่มฮั่มอยู่ในคอ
ท่าทางนั้นทำให้เจ้าหัวขโมยหัวเราะเสียงใสด้วยความพอใจ
“งั้นก็ฝากด้วยล่ะ ท่านพ่อ” พูดจบก็หมุนตัวเดินตรงไปที่ร้าน
ทิ้งมาดัสไว้กับรายการสิ่งของอันยาวเหยียดของเขา
ชายร่างท้วมได้แต่มองหลังตามด้วยความหมั่นไส้
ก่อนจะหันมามองรายการในมืออึกครั้งพลางถอนใจหนัก ๆ
“ฮึ่ย ไม่น่าไปพนันแข่งหมากรุกกับมันเลยจริง ๆ ไอ้ตัวแสบเอ๊ยย”
-----------
2017.10.16 03.44 PM
ความคิดเห็น