ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #4 : คำถาม

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 60



    - คำถาม -

      




    เฟรินไม่นึกชอบสถานการณ์ตอนนี้สักเท่าไหร่

    เบื้องหน้าเด็กหนุ่ม คือ มังกรสีน้ำตาลตัวเขื่อง ทั้งชายหนุ่มที่เป็นผู้บังคับมันนั้นก็แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรชัดเจนอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว ไหนจะมือของชายหนุ่มที่จนถึงตอนนี้ยังไม่ละจากด้ามดาบที่สะพายที่เอว ไม่นับรวมทหารติดตามที่แม้จะไม่เห็นด้วยสายตาหากยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศระแวดระวัง ซ้ำร้าย คนขับรถม้าอาศัยจังหวะที่หัวขโมยจำต้องละมือจากเขาเพื่อประคองตัวไม่ให้ตกไปจากรถเมื่อครู่หนีไปเสียก่อน หากจะใช้กำลังฝ่าออกไปก็น่าจะกินแรงไม่น้อย

    สถานการณ์ที่ตึงมือขนาดนี้ เขาล่ะเกลียดจริง ๆ

    นอกจากนี้ เฟรินยังนึกเหตุผลดี ๆ ไม่ออกจริง ๆ ว่า คนสำคัญระดับนี้จะมาดักคร่ากุม หัวขโมยกระจอกอย่างตนในตอนนี้ทำไม นั่นกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของเขาไม่น้อย

    ความอยากรู้ข้อนี้เอง ที่ทำให้หัวขโมยยังไม่งัดวิชาตีนผีที่มาดัสโอ้อวดว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินเอเดนมาใช้

    ด้วยเหตุนี้ เฟรินจึงเลือกเก็บมีดในมือก่อนลุกยืนเหยียดตัวตรงและหันไปประจันหน้ากับชายหนุ่ม ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เส้นผมยันปลายนิ้ว ก่อนเอ่ยคำถามช้าชัด

    “แล้วท่านเป็นใคร”

    ดวงตาสีเดียวกับหัวขโมยหรี่ลงเล็กน้อย ประกายเคลือบแคลงปรากฏชัดทั้งบนใบหน้าและดวงตาเฉยเมย ร่างสูงยืดกายเหยียดตรงเล็กน้อยก่อนตอบ

    ยูริซิส ฟาโรเวล เจ้าชายแห่งบารามอส” เจ้าชายหนุ่มนิ่งไปนิด ก่อนเอ่ยต่อ “หึ ปากเจ้าบอกไม่รู้จัก หากกลับไม่มีท่าทางแปลกใจเลยสักนิด เฟริน เดอเบอร์โรว์ เจ้ารู้ตัวหรือไม่ แค่เรื่องนี้เราก็เอาผิดฐานล่วงเกินเชื้อพระวงศ์แห่งบารามอสได้แล้ว” ยามเอ่ยประโยคนั้น ดวงตาของเจ้าชายแห่งบารามอสวาวโรจน์ทีเดียว หากหัวขโมยกลับทำเพียงส่งยิ้มยียวน พลางตอบ

    “แต่ข้ากลับได้ยินมาว่า ในอาณาเขตเอดินเบิร์กนี้ ไม่มีกฎหมายหรือราชวงศ์ใดอยู่เหนือไปกว่ากฎหมายที่ตราโดยสภาสูงแห่งเอดินเบิร์ก และเท่าที่ข้าเห็น เรายังอยู่ในเอดินเบิร์กมิใช่หรือ ฝ่าบาท’ ...ว่าแต่เจ้าชายมีธุระอะไรกับหัวขโมยเล่า ถึงได้ส่งคนมาต้อนรับถึงขนาดนี้” แกล้งถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่ากำลังยั่วโทสะชายหนุ่ม หากยูริซิสกลับนิ่งเฉย ซ้ำยังมองหัวขโมยด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ยิ่งขึ้น ชวนให้หัวขโมยรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ พิกล

    เสียงถอนหายใจคล้ายรำคาญของชายหนุ่มทำลายความเงียบ ดวงตาสีอ่อนฉายแววรู้ทันสานสบกับดวงตาหัวขโมยขณะเอ่ย

    “ที่เขาว่าหัวขโมยมักจะรู้มาก เห็นจะจริง ส่วนธุระของเรา ไม่ใช่เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้วหรอกหรือ เฟริน เดอเบอร์โรว์” เจ้าชายหนุ่มกล่าวขณะดวงตาจับจ้องใบหน้าคร้ามแดดของหัวขโมย หากภายใต้ใบหน้าเฉยเมยที่แสดงออก ยูริซิสต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยเจอขโมยที่มีท่าทีเช่นนี้มาก่อน ทั้งกิริยาที่จะหยาบกระด้างก็ไม่ใช่ จะนุ่มนวลก็ไม่เชิง ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้น แม้จะฟังดูยียวนหากไม่หยาบกระด้าง อย่างที่ควร ผิดจากหัวขโมยทั่วไป

    หากสุดท้าย ยูริซิสก็ปัดความสงสัยนั้นทิ้งไป มือของชายหนุ่มผละออกจากด้ามดาบขณะอีกมือจับสายบังเหียนรั้งเข้าหาตัว มังกรใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งหมอบพลันยืดกายขึ้นยืนเต็มสี่เท้า

    “เราไม่มีเวลาเล่นเกมยี่สิบคำถามกับเจ้าหรอกนะ กลับเข้าไปในรถม้าเสีย เราจะให้คนของเรานำไป” เพียงสิ้นเสียงของชายหนุ่ม คนของเจ้าชาย ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ราว 4 คนบนอาชาสีดำสูงใหญ่ก็ปรากฎกายขึ้นราวกับภูติผี บรรยากาศกดดันและมือหนาที่กระชับอยู่บนด้ามดาบข้างกายของแต่ละคนราวจะบอกว่าเด็กหนุ่มไม่มีสิทธิแม้แต่จะปฏิเสธ คำเชิญนี้

    หัวขโมยมองท่าทีข่มขู่ด้วยสายตาประเมิน พลางค่อนขอดในใจว่าเจ้าชายผู้นี้ช่างเอาแต่ใจ ซ้ำยังตาถั่วยิ่งนัก เพราะรถม้าที่ว่าแม้แต่เด็กอมมือยังรู้ว่าไม่สามารถใช้การได้อีก ..บ่นพลางทำเป็นลืม ๆ ไปว่าเหตุที่รถม้ามีสภาพยับเยินเช่นนี้ครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของตนเอง

    ขณะในใจยังก่นด่า หากปากกลับเอ่ยเสียงเครือ โอ เจ้าชาย ใจคอท่านจะให้ข้านั่งรถม้าไม่สมประกอบเช่นนี้จริง ๆ หรือ ข้ารึอุตส่าห์คิดว่าชาตินี้จะได้มีเรื่องเล่าให้ลูกหลานฟังว่าครั้งหนึ่งเคยมีบุญได้นั่งบนรถม้าของเจ้าชายแห่งบารามอส แล้วท่านคิดดูเอาเถิดว่าหากลูกหลานถามว่ารถม้าของเจ้าชายเป็นเช่นไร ข้าจะตอบพวกเขาได้อย่างไรว่าเจ้าชายจากนครอันดับหนึ่งเช่นบารามอส กลับให้ข้านั่งรถม้าโกโรโกโสเช่นนี้ ไม่พูดเปล่าเจ้าหัวขโมยตัวแสบยังก้มหน้าทำท่าทำทางสะอึกสะอื้น โศกสลดประหนึ่งญาติสนิทเสีย

    อาการ เล่นใหญ่ของหัวขโมยทำลายบรรยากาศกดดันเมื่อครู่เสียสิ้น ชายทั้ง 4 คนนั้นได้แต่ยืนนิ่งอึ้งตะลึงงัน พลางหันรีหันขวางเหลือบตามองผู้ทรงมังกรที่นิ่งอึ้งไปอย่างนึกไม่ถึงเช่นกัน

    เฟรินอาศัยจังหวะนั้นเอง เอี้ยวตัวไปปลดเชือกที่เทียมม้า ก่อนกระโจนขึ้นหลังม้าในคราวเดียวท่ามกลางความตกใจของเจ้าชายและผู้ติดตามทั้งสี่ ยูริซิสกัดฟันกรอดปล่อยบังเหียนในมือเพื่อเรียกดาบคมออกมาในทันที หากไม่ทันที่เจ้าชายแห่งบารามอสจะสั่งให้คนของเขาพุ่งไปจับตัว หัวขโมยบนหลังม้ากลับชักม้าให้วิ่งเหยาะ ๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาก่อนส่งรอยยิ้มยียวนให้

    “หากจะให้ข้านั่งรถม้าหมดสภาพเช่นนั้นไป เกรงจะเป็นที่เสื่อมพระเกียรติของเจ้าชาย ฉะนั้นข้าจะไปกับเจ้านี่แทนก็แล้วกัน” พูดพลางตบแผงคออาชาหนุ่มที่มีท่าทีพอใจที่ได้หลุดจากพันธนาการเบา ๆ ก่อนจะทำท่าตกใจที่มองอย่างไรก็ดูเสแสร้ง

    “โอ้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยที่ กระหม่อมเสียมารยาทเสียนาน ไอ้กระหม่อมก็เป็นเพียงหัวขโมยกระจอก ไร้การศึกษา หวังว่าพระองค์ผู้ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางจะไม่ถือสาผู้โง่เขลาเช่นกระหม่อม” ว่าพลางค้อมศีรษะปะหลก ๆ อยู่บนหลังม้า หากอีกฝ่ายมองอย่างไรก็เห็นเพียงท่าทีหยอกเย้าอย่างไม่กลัวเกรง ดวงตาสีอ่อนจึงดูเข้มจัดด้วยโทสะ หากติดเพียงคนผู้นั้นยังกำชับนักหนามิให้ใช้กำลังหักหาญกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอันขาด ผู้ถือบรรดาศักดิ์เจ้าชายจึงจำต้องกลืนโทสะลงท้อง

    เราเสียเวลาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเจ้ามานานพอแล้ว เดอเบอร์โรว์ เจ้าตามมาให้ทันแล้วกันเจ้าชายแห่งบารามอสเอ่ยเสียงห้วนขณะสอดดาบเข้าฝัก สังเกตดี ๆ จะเห็นเส้นเอ็นปูดขึ้นตามลำคอด้วยแรงโทสะที่ถูกข่มกดให้อยู่ภายใน ภาพชายหนุ่มหน้าตึง ไหล่หลังเกร็งด้วยแรงโทสะหากทำอะไรไม่ได้เรียกรอยยิ้มบาง ๆ ฉาบขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มบนหลังม้า

    อา... เจ้าชายแห่งบารามอสผู้นี้ น่ารักน่าแกล้งไม่น้อย

    คิดแล้วหัวเราะเบา ๆ อยู่คนเดียว มั่นใจถึงสามส่วนว่าหากยูริซิสได้ยินเสียงในใจหัวขโมยยามนี้ ใบหน้ามืดครึ้มคงยิ่งมืดครึ้มอีกไม่น้อย หัวขโมยรอกระทั่งมังกรสีน้ำตาลตัวเขื่องโผบินสู่ท้องฟ้าแล้วจึงเอนกายแนบลำตัวกับอาชา กระซิบเสียงแผ่วเบา อาชาหนุ่มที่เพิ่งได้รับอิสระทำเสียงฟืดฟาดคล้ายเข้าใจ ก่อนทะยานตามมังกรไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้ติดตาม เพียงพริบตาก็ไล่ตามทัน

    ชายหนุ่มบนหลังมังกรเหลือบมองเบื้องล่างด้วยความประหลาดใจในฝีเท้าของมัน หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแต่เร่งให้มังกรบินเร็วขึ้น

     

     ...

     

    ในที่สุดมังกรก็ถลาลงใกล้ ๆ กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เฟรินที่ควบม้าตามมาค่อยดึงบังเหียนให้ม้าค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลงจนกระทั่งหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น เด็กหนุ่มกระโดดลงจากม้าพลางหันไปมองเจ้าชายยูริซิสที่กำลังลงจากมังกรเช่นกัน

    ตามมาสิ

    ยูริซิสเดินนำไปที่กระโจมหลังหนึ่ง ขณะที่หัวขโมยกวาดสายตาสำรวจรอบกาย เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขายังอยู่ในเขตแดนเอดินเบิร์ก ด้วยยังพอเห็นแนวเขตที่กั้นระหว่างแดนอยู่ลิบ ๆ ทั้งยังไม่เห็นทหารรักษาแดนของบารามอส นอกจากต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ที่แห่งนี้ก็มีเพียงกระโจมผ้าหลังใหญ่และร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่หน้ากระโจมเท่านั้น หากทันทีที่เฟรินเห็นธงสัญลักษณ์ที่ประดับเหนือกระโจม ก็นึกรู้ได้ทันที ว่าบุคคลที่อยู่ในกระโจมนี้เป็นใคร

    พลันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย

    มันประกอบไปด้วยความยินดียิ่ง ทั้งประหม่ายิ่ง ทว่าลึกลงไปใต้ความยินดีนั้น คือความระแวงระแวดระวังภัยอันติดตัวเป็นนิสัยที่ยากจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว

    ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้ขาที่เดินก้าวตามยูริซิสชะงักหยุดอยู่เพียงหน้าประตูกระโจมนั้น

    เข้ามา เฟริน เดอเบอร์โรว์เสียงยูริซิสดังมาจากด้านใน ทำให้เขารีบสาวเท้าตามเข้าไป ด้วยหัวใจเต้นระรัว

    เมื่อเข้าไปข้างในกระโจมใหญ่ เขาก็ได้เห็น ชายชราคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดที่ดูเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าตัดโดยช่างมากฝีมือ นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ข้างกายเขาคือเจ้าชายยูริซิส และชายวัยกลางคนอีกคนที่เด็กหนุ่มจำได้ว่าคือ เจ้าชายชามัล ฟาโรเวล ผู้เป็นพระอนุชา หากความสนใจทั้งหมดของเขาตกอยู่กับบุคคลตรงหน้า

    สายใยสุดท้ายระหว่างเขากับแผ่นดินของมารดา

    องค์ไฮคิง กษัตริย์ผู้ครองเมืองบารามอส และผู้เป็นเสด็จตาของเขา

    แม้ใบหน้าของชายผู้อยู่เหนือทุกผู้ในเอเดนจะชราไปกว่าภาพในความทรงจำ หากยังคงเปี่ยมด้วยความสง่าแห่งขัตติยะสมฐานะ เหนืออื่นใดคือเค้าพระพักตร์าและดวงพระเนตร หากจะกล่าวว่าเจ้าหญิงอลิเซียถอดแบบมาจากพระบิดาก็คงไม่ผิดไปนัก ดวงใจของผู้เป็นลูกเป็นหลานจึงยิ่งเต้นกระหน่ำประหนึ่งจะแล่นออกจากกายมาเต้นอยู่เบื้องหน้า

    ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา เฟรินไม่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าเสด็จตาก็จริงด้วยเดมอสตัดสัมพันธ์กับเอเดนนับทศวรรษ หากจ้าวปีศาจผู้เป็นบิดาก็มิได้ไร้น้ำใจกระทั่งตัดบัวไม่เหลือใย พระฉายาลักษณ์แห่งราชวงศ์ฟาโรเวลซึ่งตั้งอยู่ในห้องบรรทมพระราชินีแห่งเดมอสตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพจึงเป็นสิ่งเดียวที่บอกเล่าความเป็นมาของสายเลือดอีกครึ่งในกาย การได้พบจึงเปรียบประหนึ่งฝันเล็ก ๆ ของรัชทายาทแดนปีศาจเสมอมา

    ยิ่งเห็นดวงหน้าอันละม้ายคล้ายคลึงกับบุคคลที่ห่วงหาแต่ไร้วาสนาได้พบ ใจของเด็กหนุ่มจึงร่ำร้องอยากจะเข้าไปหาด้วยความห่วงหา กล่าวบอกว่าตนเป็นใคร หากสุดท้ายต้องรีบระงับด้วยต้องปิดเป็นความลับ ดวงตาสีน้ำตาลของหัวขโมยจึงได้หลุบมองพื้น

    เจ้าคือ เฟริน เดอเบอร์โรว์สินะสุรเสียงกังวานทรงอำนาจ แต่ก็เจือไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้น ดึงให้เฟรินตื่นจากห้วงภวังค์ เด็กหนุ่มรีบค้อมกายลงด้วยท่าทางเก้กัง ทว่าครานี้ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งแต่เกิดจากความประหม่าโดยแท้

    “พะ..กระหม่อม” แม้คำพูดยังตะกุกตะกัก ราวกับเป็นคนละคนกับที่ยียวนคนเป็นเจ้าชายอย่างไม่กลัวเกรงพระราชอำนาจ

    เราเป็นใคร คิดว่าเจ้าคงจะพอรู้แล้ว เพราะเขาว่ากันว่า หัวขโมยมักจะรู้มากท้ายประโยคนั้นรับสั่งด้วยเสียงกลั้วหัวเราะน้อย ๆ

    เอ้อ กระหม่อมนี่เรียก ชื่นชมหรือด่ากันแน่นะ

    ...เออ เพิ่งรู้ว่ากษัตริย์ผู้รักสงบเป็นอย่างยิ่งเช่นไฮคิงก็รู้จักค่อนแคะ

    ต้องขอโทษด้วยที่ต้องใช้วิธีการออกจะรุนแรงไปเสียหน่อย แต่เราเป็นคนแก่ใจร้อน มีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับเจ้าให้ได้ เจ้าหนุ่ม

    ...เรื่องอะไรหรือกระหม่อม

    เรื่องของเจ้าหญิงเฟลิโอน่าที่หายสาบสูญไปเมื่อ 5 ปีก่อน เจ้าพอจะรู้จักหรือไม่เป็นเจ้าชายชามัลที่เอ่ยขึ้น และดูเหมือนคำถามนั้นเป็นคำถามที่พระอนุชาในไฮคิงไม่ต้องการคำตอบแต่อย่างใด เพราะผู้สูงวัยกว่าเอ่ยต่อในทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

    ตามข่าวที่เราได้มา เจ้าหญิงเฟลิโอน่าถูกลอบทำร้ายในวันครบรอบวันประสูติ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเจ้าหญิงอีกเลย จนมีข่าวลือว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว

                สิ้นประโยค คล้ายมีม่านหมอกหนาหนักเข้าปกคลุมบรรยากาศในกระโจมที่ประทับ

                กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับกระหม่อมหรือพะย่ะค่ะเฟรินถามทำลายความเงียบ

    ...ถามทั้งที่รู้แน่แก่ใจแล้วว่ากษัตริย์แห่งบารามอสต้องการอะไร

    เพราะเราได้ข่าวมาว่า หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน มันเป็นวันแรกในรอบ 10 ปีที่เดมอสมีการเคลื่อนไหวติดต่อกับเอเดน และในวันเดียวกันนั้น มีชาวเอเดน 2 คนลอบเดินทางเข้าไปในดินแดนที่ปิดตายตลอด 10 ปี

    ...นั่นก็คือ เจ้า และบิดาของเจ้า มาดัส เดอเบอร์โรว์เจ้าชายชามัลกล่าว

    ถึงมาดัสจะเป็นสหายของเรา แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกับเขามาเกือบสิบห้าปีแล้ว จึงไม่รู้ว่า เจ้าและบิดามีความสัมพันธ์อะไรกับจ้าวปีศาจเอวิเดสประโยคท้าย เฟรินคล้ายเห็นคำถามในดวงพระเนตรขององค์ไฮคิง ทั้งท่าทีของพระองค์นั้นก็ดูราวกับว่ากำลังรอให้เฟรินตอบ

    ทว่าเขาเลือกจะตอบคำถามนั้นด้วยความเงียบแทน

    แต่มันทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่งเจ้าชายชามัลเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาสีน้ำตาลไม่ต่างจากพระเนตรของพระเชษฐาจับจ้องร่างโปร่งไม่วางตาราวกับจะมองให้ทะลุ

    เป็นไปได้ว่า เจ้าหญิงเฟลิโอน่าที่ถูกทำร้ายอาจจะบาดเจ็บสาหัส แม้เราจะมั่นใจว่าวิทยาการและมนต์เยียวยาของเดมอสนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเอเดน หากอย่างไรครึ่งหนึ่งของสายเลือดในร่างนางก็เป็นเอเดน เลยต้องให้พวกเจ้าพ่อลูกพาไปรักษาอย่างลับ ๆ หรือไม่จ้าวปีศาจอาจจะเห็นว่าเดมอสไม่ปลอดภัยสำหรับนางอีกต่อไป จึงให้หนีไปกับพวกเจ้า

    แต่ไม่ว่าจะเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร สิ่งที่เราพอจะแน่ใจได้ก็คือ เจ้าคงจะรู้ว่า ตอนนี้ เจ้าหญิงเฟลิโอน่าอยู่ไหน ใช่ไหม ที่ปรึกษาแห่งไฮคิงสรุปในตอนท้าย พลางจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่ยังคงนิ่งเงียบ หัวขโมยได้แต่แอบหลุบตาต่ำเพื่อซ่อนความรู้สึกอันปั่นป่วนในขณะนี้

    เฟรินต้องยอมรับว่า สายสืบของบารามอสนั้นมีฝีมือสมคำเล่าลือจริง ๆ หากที่เหนือกว่าคือผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าทั้งสองที่สามารถเดาเรื่องราวได้เกือบถูกต้องทั้งหมด ...เว้นเพียงความจริงที่ว่า  ในวันนั้นมีคนเข้าไปในเดมอสเพียงคนเดียวเท่านั้น และคนที่ทั้งสองพระองค์กำลังตามหาก็กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขานี่เอง!

    หัวสมองของหัวขโมยจำแลงหมุนเร็วรี่ มันคงไม่แปลกอะไรหากบารามอสเพียงต้องการตามหาพระนัดดาแห่งไฮคิง ทายาทคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์ฟาโรเวลถ้าพระนัดดาที่ว่า หรือก็คือตัวเขาเองจะไม่ได้มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นของจ้าวปีศาจ

    ถ้านางจะเป็นเพียงเฟลิโอน่า ฟาโรเวล มิใช่ เฟลิโอน่า เกรเดเวล

    เด็กหนุ่มได้แต่เก็บซ่อนอารมณ์ไหววูบและประกายสับสนสะท้อนผ่านดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นที่ไม่ทันมีใครสังเกต ทว่ากิริยาก้มหน้า หลุบตาเช่นนั้นทำให้ผู้สูงศักดิ์ทั้งสามจากบารามอสเข้าใจผิดคิดว่า เด็กหนุ่มหลบสายตาเพื่อปกปิดความจริง

    ดวงเนตรอ่อนโยนของไฮคิงจึงคล้ายจะเข้มขึ้นยามตรัสถามด้วยน้ำเสียงเรียบไม่สื่ออารมณ์ หากกลับทำให้คนถูกถามรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้า

    ว่ายังไงเจ้าหนุ่ม หลานข้าอยู่ไหน


     





    2017-06-29   02.35 PM

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×