คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : เจ้าชายแห่งคาโนวาล
หากถามว่าในบรรดาวิชาทั้งหลายที่โรงเรียนพระราชาแห่งเอดินเบิร์กจัดการเรียนการสอน เฟรินชื่นชอบวิชาใดสุดคงยากที่จะตอบได้ ด้วยแต่ละวิชานั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญเป็นเท่าตัว เมื่อเฟรินต้องเรียนไปสวมบทหัวขโมยไป แม้ไม่นับวิชาประวัติศาสตร์ของอาจารย์เจ้าชายแห่งบารามอส
แต่หากถามว่าวิชาใด หัวขโมยทำได้ดีที่สุดคำตอบนั้นคงเป็น
วิชาหน้ากากฟาห์โร
"ห้าคะแนนแก่ลป้อมอัศวิน สำหรับคำโกหกอันแนบเนียนไร้ที่ติของเจ้า เดอร์เบอร์โรว์" อดีตกษัตริย์เฒ่าแห่งโคมานกล่าวอย่างอารมณ์ดี ดวงตาที่ยังไม่ฝ้าฟางตามอายุเป็นประกายระยับยามเอ่ยชม
"ถ้าเอาเฉพาะทักษะการปกปิดความลับ ในบรรดาคนที่ข้าสอนมา เจ้าถือเป็นหนึ่งไม่มีสองทีเดียว ...จะเป็นรองคงแค่เพียงจอมปราชญ์ผู้นั้น" ประโยคท้ายคล้ายชายชรารำพึงกับตนเอง ทว่าเพียงพริบตาเดียว โอเรค เฟมิงโก ก็กลับเป็นชายชราที่ร่าเริงอย่างรวดเร็ว
"ดี ดียิ่ง นักเรียนที่รัก วันนี้ทุกคนทำได้ดีสำหรับการโกหก ...ถึงแม้เจ้าจะต้องฝึกเก็บสีหน้าอีกหน่อยนะธันเดอร์ส เจ้าเล่าเรื่องเก่งพอตัว แต่เจ้าแสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้าเสียหมด จนแม้มองลงมาจากหอคอยปราสาท ข้าก็รู้ว่าเจ้าโกหก ถ้าโกหกไม่เป็นนักก็หัดตีหน้านิ่งเสียบ้าง ดูหัวหน้าชั้นปีเจ้าเป็นตัวอย่างก็ได้" ว่าพลางขยิบตาให้เจ้าของใบหน้านิ่งสนิทที่นั่งเงียบ และนั่นเรียกเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากนักเรียนคนอื่นๆ
"เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ อย่าลืมว่า การเป็นพระราชานอกจากจะเป็นนักโกหกที่เก่งกาจ ยังต้องเป็นนักปั้นแต่งสีหน้า ราชาที่แท้นั้นครองหน้ากากนับพัน คำโกหกของผู้เป็นราชาจึงแนบเนียน
เพราะจะมีใครเห็นโฉมหน้าที่แท้ของกษัตริย์ไม่ได้"
และนั่นคือคำกล่าวที่เฟรินเห็นด้วยที่สุด
"เฮ้ เฟริน" เด็กหนุ่มหันตามแรงสะกิด ซึ่งคนที่เรียกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นครี้ด ธันเดอร์ส นักรบแห่งกิลดิเรก ที่แม้อายุอานามจะใกล้เคียงกับเฟริน หากรูปร่างสูงใหญ่และรอยแผลเป็นบนดวงตาส่งผลให้ดู 'โต' เกินวัยไปโข
"ว่าไง"
และหลายครั้งที่เฟรินรู้สึกว่า ดูเหมือนหน้าตาจะโตเกินระดับความเฉลียวของเจ้าตัวเสียด้วย
"คือข้าสงสัย ว่าอาจารย์โอเรคหมายถึงหัวหน้าชั้นปีคนไหนน่ะ เจ้า คิล หรือคาโล?"
...อืม ครั้งนี้ก็คงเป็นหนึ่งในหลายครั้งนั่นล่ะ
----------
แต่หากถามว่าวิชาใดสร้างความลำบากให้หัวขโมยมากที่สุด เฟรินคงตอบได้โดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิด
วิชาศาสตร์เวทมนต์
หรือหากจะกล่าวให้ชัดไปกว่านั้น ความลำบากของหัวขโมยกำมะลอ มีชื่อว่า
วิงกี้ เชโนวาส
อาจารย์ประจำวิชาผู้ครองฉายาแม่มดผู้ยิ่งใหญ่แห่งสโนว์แลนด์
ให้ตายเถอะ แม่มดแห่งสโนว์แลนด์!!
เฟรินแทบจะพุ่งหนีออกจากห้องเรียนตั้งแต่อาจารย์แม่มดร่างเล็กยังเสกชอล์คให้สะกดคำว่า 'สโนว์แลนด์' บนกระดานหน้าชั้นในวันแรกไม่จบด้วยซ้ำ
ยิ่งในชั่วโมงเรียนที่นางให้นักเรียนฝึกใช้เวทย์ หัวขโมยกำมะลอยิ่งตัวแข็ง ได้แต่ทำตัวลีบเล็กอยู่มุมห้องพลางสวดภาวนาขอให้เวทย์อำพรางที่จ้าวปีศาจมอบให้กล้าแข็งพอจะตบตาแม่มดจากดินแดนที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังเวทย์กล้าแข็งไม่แพ้ปีศาจจากเดมอสขณะโบกคทาเวทย์ที่รู้อยู่แก่ใจว่า 'ไร้พลัง' หากก็ยังอุตส่าห์ส่องแสงเรื่อเรืองอ่อนจางติดๆ ดับๆ จนคิลมัสที่กลายเป็นสหายสนิทที่สุดคนหนึ่งออกปากแซว
'เจ้าไม่ได้กินข้าวมาหรือไง'
หนักเข้า เจ้าตัวดีก็แกล้งป่วย อ้างตั้งแต่ปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง ไปกระทั่งแกล้งล้มสะดุด ตกบันไดบ้าง ตกน้ำบ้าง กระทั่งหมดข้ออ้างก็ป่วยการเมืองเอาดื้อๆ ร้อนถึงเพื่อนร่วมห้องสองคนที่กลายเป็นหนังหน้าไฟกลายๆ ยามอาจารย์แม่มดวิงกี้ขานชื่อหัวขโมยแล้วเจ้าตัวไม่อยู่
แน่นอนว่า 'เจ้าตัวแสบหมายเลขสอง' อย่างคิลมัส ฟีลมัส ไม่ทนอยู่รับโทสะของผู้เป็นอาจารย์
หน้าที่รับหน้าจึงกลายเป็นของเจ้าชายโดยปริยาย
"เอาล่ะ เจ้าชายคาโล ฝากบอกเพื่อนร่วมชั้นของท่านด้วยว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะยอมมองข้ามเหตุผลไร้สาระของเขา หากยังขาดเรียนวิชาของข้าอีก คราวนี้คงไม่ใช่แค่เขาที่จะเดือดร้อน แต่ป้อมอัศวินจะโดนตัดคะแนน ฐานขาดความรับผิดชอบ!!"
และนั่นคือเหตุผลที่คาโล วาเนบลียืนถอนหายใจเฮือกอยู่หน้าประตูห้อง ในมือคือกุญแจที่ถือค้าง ดวงตาสีฟ้ามีความไม่แน่ใจสะท้อนอยู่
คาโลแน่ใจทีเดียวว่าหัวขโมยมีเหตุผลที่พยายามเลี่ยงอาจารย์แม่มด และเขาไม่คิดจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายแต่อย่างใด
ทว่า เจ้าชายแห่งคาโนวาลไม่อาจมองข้ามคำขาดของคนเป็นอาจารย์ ทั้งไม่อาจปฏิเสธคำขอแกมบังคับจากเพื่อนร่วมป้อมได้
โดยเฉพาะเจ้าหญิงจากอเมซอนคนนั้น
มาทิลด้า ซิลเวอร์
"จะเข้าห้องก็รีบๆ ไขเข้าไปเสียทีน่าคาโล!! ขืนเจ้ายังยืนแช่อยู่แบบนี้ ไม่ข้าก็ประตูคงจะกลายเป็นน้ำแข็งเพราะไอเย็นของเจ้าก่อนเป็นแน่" คิลมัสกล่าวพลางเอามือถูแขนแรงๆ ไล่ความหนาวเย็นที่เกิดจากเพื่อนร่วมห้อง
--------
เฟรินหยิบคทาที่เพิ่งเปลี่ยนพู่เป็นเชือกถักธรรมดามาถือไว้อย่างหนักใจ เขาระแวงอาจารย์แม่มดคนนั้นจนถึงขนาดไม่กล้าใช้พู่อันเดิม แสงไฟวูบไหวจากตะเกียงบนโต๊ะทำงานกลางห้องสะท้อนกับลูกแก้วบนคทาที่เรืองแสงติดๆ ดับๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะดับสนิทตามไอเวทย์ที่หมดไปในที่สุด
เขายอมเสี่ยงให้แม่มดผู้ยิ่งใหญ่แห่งสโนแลนด์เข้าใจว่าไร้พรสวรรค์ในศาสตร์วิชาเวทย์ ดีกว่าให้นางจับไอเวทย์ที่เจือไปด้วยกระไอความมืดตามสายเลือดได้
...จะให้ความพยายามตลอดหนึ่งเดือนสูญเปล่ามิได้ แม้จะต้องรู้สึกผิดเล็กๆ กับเพื่อนร่วมชั้นก็ตาม
เสียงไขประตูดัง กริ๊ก ตามมาด้วยเสียงของประตูที่ถูกเปิดออก เผยร่างของเจ้าของห้องอีกสองคนเดินผ่านบานประตูเข้ามา ก่อนจะเป็นคนหัวยุ่งที่เดินหน้าหงิกพุ่งตรงเข้าห้องน้ำอย่างไม่คิดจะเสวนากับใคร ส่วนร่างสูงที่เดินตามมาหลังปิดประตูกลับหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า
ดวงตาคมสีฟ้าของเจ้าชายสบเข้ากับลูกแก้วใสสีน้ำตาลของหัวขโมยเพียงครู่ ก่อนมองเลยมาที่คทาในมือ แววตานึกรู้ที่ปรากฏในชั่วพริบตานั้นทำเอาเฟรินรู้สึกร้อนวูบบนใบหน้า แม้คนที่อยู่เบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยวาจาแม้เพียงครึ่งคำ
มันรู้!
อารามตกใจ เฟรินเผลอปล่อยคทาหลุดมือ หากไม่ทันกระทบพื้นกลับเป็นมือเรียวของคนเป็นเจ้าชายที่คว้าไว้ได้
คทานั้นพลันส่องแสงสว่างจ้า ทว่าเพียงพริบตาแสงนั้นก็ลับหายไป ราวกับไฟสิ้นเชื้อ
เฟรินมองคทาในมือคาโลสลับกับดวงหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังคงความสงบ หากแสงในดวงตาสีฟ้ากลับเปลี่ยนไปเป็นคาดคั้น
"อะ -อะไรเล่า"
คนมีชนักปักหลังเอ่ยตะกุกตะกัก พยายามอย่างยิ่งจะไม่สบเข้ากับดวงตาสีฟ้าที่มักเย็นชา หากให้ความรู้สึกมั่นคงคู่นั้น ทว่ายิ่งหลบตากลับยิ่งกดดัน
สุดท้ายจึงเป็นเฟรินที่ยกมือยอมแพ้ในที่สุด
"หยุดจ้องเสียที อย่างที่เจ้าคิดนั่นล่ะ คทานั่นเป็นแค่ไม้ติดลูกแก้วธรรมดา ไม่มีพลังเวทย์อะไรมากมายหรอกน่ะ"
"โฮ่ จริงๆ เรอะเนี่ย" คนที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำถามตาใส มือคว้าเก้าอี้มานั่งเสียชิดจนเห็นดวงตาสีม่วงเต้นระริกอย่างนึกสนุกชัดเจน
"ถ้าไม่มีพลัง แล้วไอ้แสงกระพริบติดๆ ดับๆตอนเรียนนั่นเจ้าทำได้ยังไง"
เฟรินถอนใจเฮือกพลางแบมือรับคทาคืนจากเจ้าชายที่จนถึงตอนนี้ยังไม่ปริปากสักคำ หัวขโมยขยับมือรวดเร็ว เพียงอึดใจลูกแก้วบนปลายคทาก็ถูกถอดออกมา เฟรินหงายอีกด้านให้คิลมัสดู
ดวงตาของนักฆ่าเบิกกว้าง ก่อนจะหัวเราะลั่น
"เฟริน เดอเบอโรว์ เจ้าเป็นหัวขโมยที่กล้าและบ้าบิ่นที่สุดที่ข้าเคยเห็น เจ้าคิดจะตบตาแม่มดแห่งสโนแลนด์ด้วยหิ่งห้อยพวกนี้นี่นะ"
"แล้วข้ามีทางเลือกอื่นรึไง" หัวขโมยพึมพำราวกับปลง มือสาละวนกับการเก็บแมลงตัวเล็กเรืองแสงได้ก่อนใส่ลงไปในถุงผ้า
"วันนั้น เจ้าไปทำอะไรที่ร้านคทาถ้าเจ้าไม่ได้ซื้อคทา" คาโลถามพลางหยิบด้ามไม้ที่ถูกถอดทิ้งไว้บนโต๊ะมาพลิกดูไปมา
"ข้าได้ซื้อคทาจริงๆ ฝ่าบาท แต่ดันได้คทากิ๊กก๊อกใกล้พังมิพังแหล่ราคาไม่กี่คราวน์ ด้ามอันเดิมไม้มันผุจนข้าต้องหาไม้ธรรมดามาใช้แทน ส่วนลูกแก้วนี่ก็เอามาจากไอ้คทากระจอกอันนั้นล่ะ
อีกอย่าง ข้าใช้เวทมนต์ไม่เป็น พลังเวทย์รึก็มีกระจ้อยร่อย มนต์บทเดียวที่เคยใช้ทั้งชีวิตหัวขโมยอย่างข้าก็คือมนต์สะเดาะกลอน ซึ่งเชื่อเถอะ ข้าใช้ลวดเล็กๆ นี่สะเดาะกลอนได้ก่อนพวกเจ้าจะร่ายเวทย์จบเสียอีก เพราะฉะนั้น คทานี่มีหรือไม่มีก็ค่าเท่ากัน" พูดจบก็คว้าไม้จากมือเจ้าชาย ปากบ่นพึมพำว่าเขาจับแรงเกินไปจนสีที่ทาหลอกเอาไว้ลอก
ข้างเจ้าชายพอได้ยินก็เหลือบมอง เห็นรอยสีติดมือจริงก็ชวนให้ฉุนปนขันจนอดยกมุมปากขึ้นนิดๆ ไม่ได้ หากเพียงชั่วพริบตาโอษฐ์แห่งเจ้าชายแดนนักรบก็กลับเรียบสนิทอย่างเคย
"แต่เมื่อกี้ตอนคาโลจับคทา มันก็ส่องแสงไม่ใช่หรือไง หรือเป็นมุกหลอกตาของเจ้าอีก" นักฆ่าที่ยังยิ้มกว้างไม่หุบด้วยรู้สึกสนุกเหลือหลายถาม มือซุกซนยังพยายามคว้าไม้คทาปลอมจากหัวขโมย หากฝ่ายหลังยังไวกว่า เอี้ยวตัวหนีทัน
"ไม่ใช่ อย่างเจ้าหน้าน้ำแข็งนี่ ก็คงเป็นด้วยพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์อีกกระมัง" ตอบพลางหลบมือที่ยังไม่ละความพยายาม หากอดไม่ได้ต้องค่อนแคะตามประสา น้ำเสียงตอนท้ายจึงกระด้างให้ระคายหูคนทรงมีพระปรีชาตะหงิดๆ
ดวงตาสีฟ้ามองหัวขโมยกับนักฆ่าเล่นเอาเถิดเจ้าล่อ วิ่งไล่ตึงตังอีกพักใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจคล้ายตัดสินใจบางอย่าง
"...ให้ช่วยไหมล่ะ"
คล้ายอาจารย์แม่มดวิงกี้เสกคาถากลืนสรรพเสียงในห้องพักหัวหน้าชั้นปี สองตัวยุ่งประจำป้อมที่วิ่งไล่กันจนถึงเมื่อครู่หยุดชะงักการนื้อแย่งไม้คทาในมือหัวขโมย ก่อนจะเป็นคิลมัสที่เอ่ยขึ้นก่อนด้วยดวงตาเป็นประกาย
"อะไร ยังไงๆ"
ร่างสูงของเจ้าชายที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำท่าพยักเพยิดน้อยๆ ก่อนตอบ
"คทาน่ะ"
"หมายถึง เจ้าทำให้คทากิ๊กก๊อกของเจ้าหัวขโมยนี่ใช้ได้เหรอ"
"...ก็พอทำได้"
แต่ก่อนที่คิลมัสจะตื่นเต้นไปมากกว่านี้ เจ้าของคทากิ๊กก๊อกกลับตอบเสียงเรียบว่า
"ไม่จำเป็น"
"เฮ้ย เฟริน ก็คาโลมันบอกจะช่วย เจ้าก็-"
"เงียบน่า คิล ข้าขอให้ช่วยรึไง"
"..."
"จริงๆ ข้าบอกแล้วนะว่ามันจะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้มันก็ไม่ต่างกัน เพราะข้าใช้เวทย์มนต์ไม่เป็น เจ้าไม่ต้องเสียเวล-"
"เจ้าก็เลยจะหนีไปเรื่อยๆ งั้นหรือ" เจ้าชายแห่งคาโนวาลเอ่ยแทรก ดวงตาสีฟ้าใสจ้องตรงมาที่หัวขโมย
"ข้าไม่-"
"เจ้าคงจะชอบหนีตามวิสัยหัวขโมย หากเป็นยามอื่น ข้าคงจะไม่ยุ่ง แต่การหนีครั้งนี้ของเจ้าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รู้หรือไม่" คนเป็นเจ้าชายเอ่ยเสียงเย็น ในใจคิดจะขนาบหัวขโมยผู้ชอบก่อเรื่องยุ่งไม่เว้นแต่ละวันเสียหน่อย แต่พอสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่เหมือนจะฉายแววรู้สึกผิด ประโยคที่เอ่ยถัดมาจึงใช้น้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นไม่รู้ตัว
...ก็ไม่บ่อยหรอกนะที่เจ้าตัวยุ่งนี่จะยอมจ๋อยเวลาโดนดุ
"ใช้เวทย์ไม่เป็นแล้วเช่นไร ฝึกได้ พลังเวทย์น้อยแล้วเช่นไร สั่งสมได้ โอกาสได้เรียนรู้มาถึงมือ จะหนีไปไย
ถ้าปัญหาเจ้าคือคทานั่น ก็แค่ทำให้มันใช้ได้ ว่าไง จะส่งคทานั่นให้ข้าได้รึยัง"
"..."
"ว่าไง เฟริน" เอ่ยพลางยื่นมือไปข้างหน้า แต่แทนที่จะได้คทาจากหัวขโมย มือที่ยื่นไปกลับถูกนักฆ่าคว้าไปจับ ไม่พอ เจ้าตัวยุ่งเบอร์สองยังเลื่อนมือไปอังหน้าผาก พลางบ่นพึมพำ
"เจ้าชายคาโลตัวจริงรึเปล่า หรือเจ้ากินของผิดสำแดงที่โรงอาหารดราก้อน ฮื้อ คาโล?"
...ทันใดนั้น ก็คล้ายฤดูหนาวมาเยือนห้องพักหัวหน้าชั้นปีกระทันหัน
--------
เฟริน เดอเบอร์โรว์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุดตั้งแต่เข้าโรงเรียนพระราชามา
แม้จะแอบรู้สึกซาบซึ้งนิดๆ ในน้ำใจอันคาดไม่ถึงของคู่กัด(?) แต่หากให้บอกตามตรง
เก็บน้ำใจของเจ้าไว้เถิดคาโล ข้าไม่ต้องการตอนนี้!!
ครั้นจะยืนกรานปฏิเสธ แน่นอนเขารู้สึกผิดไม่น้อยที่ทำให้ทั้งชั้นตกที่นั่งลำบาก หากความรู้สึกผิดนั้นน้อยกว่าความกังวลที่เขามีต่อผู้ประศาสน์วิชา ทว่าที่ทำให้หัวขโมยน้ำท่วมปาก นั่งมองเจ้าชายแห่งคาโนวาลเตรียมการโดยมีนักฆ่ารักสนุกเป็นลูกมือเงียบๆ คือ เหตุผลที่คนเป็นเจ้าชายยกมา
นับเป็นครั้งแรกที่เฟรินจนด้วยวาจา
"ว่าแต่ เจ้ารู้วิธีได้ยังไงคาโล ที่คาโนวาลสอนวิธีปลุกเสกคทาด้วยหรือ?" คิลมัสถามขณะช่วยขยับโต๊ะให้คาโล สองมือของเข้าชายที่กำลังเตรียม 'ปะรำพิธี' ชะงักไปนิด ก่อนตอบ
"ไม่ใช่คาโนวาล"
"หื้ม ไม่ได้เรียนที่คาโนวาล งั้นเจ้าเรียนมาจากไหนกัน อ๊ะ! รึว่าข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง"
"ข่าวลืออะไรคิล" เฟรินที่นั่งเงียบอยู่นานถามขึ้นทันที คิลมัสจึงหันไปตอบด้วยเสียงกระซิบ
"ข่าวลือที่ว่าก็นั่นไง เจ้ารู้ใช่ไหมว่าราชาแห่งคาโนวาล ก็คือพ่อของเจ้านี่ ดองกับสโนแลนด์"
หัวขโมยย่นคิ้วเข้าหากัน คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินจากหอสมุดเคลื่อนที่ โร เซวาเรส อยู่เหมือนกัน
"อาฮะ แล้ว?"
"แต่สโนแลนด์น่ะ เป็นดินแดนที่ไม่มีมนุษย์อยู่เหมือนเดมอส ที่สำคัญเขาลือกันว่าคนที่ราชาแห่งคาโนวาลสมรสด้วยน่ะคือ..."
"มารดาข้าคือหนึ่งในจอมภูติแห่งสโนแลนด์" คาโลเอ่ยตัดบทโดยไม่เงยหน้าจากสิ่งที่ทำตรงหน้า เฟรินจึงไม่เห็นว่าเจ้าชายแห่งคาโนวาลมีสีหน้าอย่างไร
"งั้น เจ้าก็เป็นลูกครึ-" "เอาล่ะ พร้อมแล้ว ส่งคทาเจ้ามาได้แล้ว เฟริน"
นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าคาโลไม่อยากพูดถึงอีก และเฟรินบอกกับตัวเอง
ดูเหมือนคาโล วาเนบลี เจ้าชายคนสำคัญแห่งคาโนวาลจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นเสียแล้ว
-----------
2021-12-12
Greeting
ถือฤกษ์งามยามดี ปัดฝุ่นกันใหม่ค่ะ
ว่าแต่แฟนฟิคบ้าอะไร เขียนมาเป็นสิบปีไม่จบซะที ดองยาวจนคนอ่านป่านนี้เรียนจบ มีแฟน มีครอบครัวหมดยังคะ? ;P
ปีหน้าจะจบไหมนะ.... ㅠㅠ
God bless ให้สุขภาพแข็งแรง รอดพ้นโตวิดกันทุกคนจ้ะ
แล้วพบกันใหม่
- thorongil -
ความคิดเห็น