ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #12 : มงกุฎแห่งใจ และของวิเศษทั้งสี่

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 63


    มงกุฎแห่งใจ และของวิเศษทั้งสี่





    “สวมมงกุฎสิ เฟลิโอน่า เกรเดเวล แล้วข้าจะบันดาลให้เจ้าสมปรารถนาทุกประการ”

    มงกุฎทองคำลอยสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มกำมะลอ มันสั่นระริกน้อย ๆ ด้วยความยินดียามเห็นมือของเด็กหนุ่มยกขยับขึ้น

    ทว่าในพริบตาที่ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มเกือบจะสัมผัสกับมงกุฎนั่นเอง


    ‘ผ่าปฐพี’

    สิ้นเสียงเรียกแสงสีฟ้าสว่างพลันปรากฏใต้ฝ่ามือหัวขโมยกำมะลอ ก่อนดาบใหญ่จะปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มือของเด็กหนุ่มกุมกระชับด้ามดาบก่อนตวัดผ่านมงกุฎอย่างรวดเร็ว

    ประกายสีทองที่โอบล้อมมงกุฎจนถึงเมื่อครู่หายไปทันทีที่มงกุฎต้องคมดาบ ก่อนที่มันจะแยกออกจากกันเป็นสองส่วน และร่วงหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง เสียงโลหะตกกระทบพื้นดังกังวานพร้อม ๆ กับร่างเงาเบื้องหน้าที่สลายกลายเป็นฝุ่นผงอย่างเงียบ ๆ

    “ทำไมกัน” เสียงแผ่วเบาที่ดังมาจากซากมงกุฎที่ถูกผ่าออกเป็นสองซีกนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

    “เจ้ามงกุฎขลาดเขลา แม้แต่จ้าวปีศาจยังไม่อาจฝืนความตายแล้วเจ้าที่อ้างว่ากำเนิดจากบิดาข้าจะทำได้เช่นไร ช่างโง่เง่านัก” เฟรินตอบพลางยกยิ้มเย็น ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองสิ่งที่เคยเป็นมงกุฎด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะตวัดปลายดาบแทงซ้ำลงไปที่ซากมงกุฎ กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวอีกจึงได้เก็บดาบกลับไปตามเดิม พลางฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หาก(อดีต)มงกุฎตรงหน้านี่เป็นของจริง เขาจะแก้ตัวกับจิ้งจอกเฒ่าอย่างไรดี


    ...เถอะ ค่อยหยิบยืมมงกุฎจากท่านพ่อมาสักชิ้น ชดใช้ให้แล้วกัน

    อดีตเจ้าหญิงแห่งเดมอสคิดง่ายๆ ก่อนละความสนใจจากมงกุฎที่เขาผ่าเป็นสองส่วนแล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ พบเพียงพื้นที่ว่างเปล่าขาวโพลนสุดสายตาก็พาลให้ความรู้สึกที่ไม่ดีนัก

    ไม่รู้ทิศใดเป็นทิศใด แถมยังมองไม่เห็นทางออก

    สิ่งที่ทำได้จึงมีแต่การนึกทบทวน เฟรินแน่ใจว่าก่อนหน้านี้ เขาอยู่ในชั้นเรียนประวัติศาสตร์ของเจ้าชายชามัล ก่อนจะเผลอหลับไป และหากนี่เป็นความฝัน นี่ก็ควรจะเป็นเวลาที่เขาตื่นได้แล้ว


    ...หรือจะไม่ได้ฝัน

    คิดถึงตรงนี้ เฟรินก็ตั้งท่าจะหยิกแขนตัวเองเพื่อพิสูจน์ หากไม่ทันจะได้ทำอย่างที่คิด มงกุฎที่เด็กหนุ่มคิดว่าสิ้นฤทธิ์ไปแล้วกลับสั่นไหว แล้วพื้นสีขาวที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ก็หายไป กลายเป็นสีดำทะมึนก่อนที่เท้าของเขาจะค่อย ๆ จมลงไป

    “แย่ละสิ” เฟรินสบถก่อนขยับจะเรียกดาบออกมาอีกครั้ง หากไม่ทันเอ่ยนาม แขนทั้งสองข้างก็ถูกตรึงเอาไว้แน่นจนแทบขยับไม่ได้

    ร่างของเฟรินถูกดึงให้จมลงไปเรื่อย ๆ ครั้นเมื่อเขาเหลียวกลับไปมองตรงที่เคยมีซากมงกุฎอยู่ เด็กหนุ่มก็พบว่าซากนั้นหายไป และถูกแทนที่ด้วยมงกุฎสีทอง

    ใช่ มงกุฎอันเดิมก่อนที่เฟรินจะจัดการผ่ามันเป็นสองซีก แถมยังแทงซ้ำจนกลายเป็นเศษเหล็กจนถึงเมื่อครู่ ซ้ำยังเปล่งประกายไอชั่วร้ายชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อครู่ 


    เฟรินจึงแน่ใจ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงมายาจริง ๆ

    “เด็กน้อย จงกลายมาเป็นกายเนื้อให้ข้าเถิด แล้วเราจะได้ครอบครองทุกสิ่งด้วยกัน” คราวนี้มันส่งเสียงแหลมเล็กกลั้วหัวเราะบาดหู เผยเจตนาร้ายชัด เฟรินยกยิ้มเย็นทั้งที่ถูกพันธนาการพลางตอบ

    “ฝันไปเถอะ เจ้ามงกุฎเฮงซวย!”


    เด็กหนุ่มพยายามยื้อยุดด้วยกำลังทั้งหมดที่มี หวังดึงตัวเองออกมาจากพื้นที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากบ่อโคลนดูด แต่ที่ร้ายกว่าคือมันดูราวกับมีชีวิต ยิ่งพยายามยื้อยุดเท่าไหร่ ตัวของเขาก็ยิ่งจมลงไปเท่านั้น ซ้ำยังทำให้เส้นสายที่รัดเข้ากับแขนยิ่งรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บราวกับมันบาดเข้าไปในเนื้อ เฟรินพยายามเรียกดาบออกมาอีกครั้ง หากมือที่ถูกพันธนาการข้างตัวทำให้ไม่สามารถทำได้ เฟรินจึงหลับตาลง รวบรวมพลังเวทย์ในร่างขณะริมฝีปากขยับร่ายมนตร์ทำลายอาคม หากเสียงหัวเราะเสียดแทงดังขึ้นแทรก

    “อย่าเสียเวลาดิ้นรนเลยเด็กน้อย ในห้วงมิติฝันนี้ เจ้าไม่อาจใช้เวทมนตร์ใดหากข้าไม่อนุญาต” พลันสิ้นเสียง เด็กหนุ่มก็รู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงราวกับพลังชีวิตถูกสูบออกจากกาย แขนขาหนักราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยตะกั่ว พร้อมทั้งสติสัมปชัญญะที่เริ่มพร่าเลือนไปตามระดับความลึกที่ร่างของเขาค่อย ๆ จมลงไป…





    ...เดอเบอร์โรว์!!

    เฟรินสะดุ้งสุดตัวจนเกือบจะผุดลุกขึ้นยืน เข่าข้างหนึ่งกระแทกเข้ากับขอบโต๊ะเรียนเข้าอย่างจัง เสียงดังสนั่นนั้นปลุกหลายคนที่ใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทราให้ตื่นตัว ก่อนที่เสียงกระซิบกระซาบจะค่อย ๆ ดังขึ้นจนคล้ายเสียงฝูงผึ้งแทนที่เสียงเรียบเรื่อยของอาจารย์เจ้าชายซึ่งเป็นเสียงเดียวในห้องจนถึงเมื่อครู่

    เสียงกระแอมไอจากด้านหน้าชั้นเรียนทำให้เสียงกระซิบนั้นเงียบลง ในขณะที่ตัวต้นเหตุยังอยู่ในอาการมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกนัก ดวงตาสีน้ำตาลกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนจะตระหนักว่าเขายังอยู่ในชั่วโมงประวัติศาสตร์เอเดนของเจ้าชายชามัลผู้นั้นอยู่

    “ดูเหมือนปีนี้ป้อมอัศวินจะมีนักเรียนที่ตั้งใจเรียนมากสินะ เดอเบอร์โรว์”

    “อ่า..คงจะเป็นเช่นนั้น...กระมังขอรับ” เฟรินตอบรับเสียงค่อยพลางส่งยิ้มแห้งแล้งให้ชายผู้มีอาวุโสที่สุดในห้องเรียนนี้ที่กำลังมองด้วยสายตาตำหนิ รู้สึกคล้ายเห็นลางมรณะอยู่รำไรยามสบเข้ากับดวงตาคมปลาบของอาจารย์เจ้าชาย

    “เช่นนั้น เราคิดว่าเจ้าคงจะมีคำถาม”

    “...!!”

    “หวังว่าจะเป็นคำถามที่น่าสนใจนะ” เจ้าชายชามัลกล่าวพลางเอาแขนไขว้หลังทั้งที่ในมือยังมีหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนาเตอะ จนเฟรินอดสงสัยเล็ก ๆ ไม่ได้ว่าแขนผอมเกร็งของอาจารย์เจ้าชายพระองค์นี้จริง ๆ เอากำลังมาจากไหน ก่อนจะนึกได้ว่าไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อย

    สมองของหัวขโมยหมุนเร็วรี่ขณะกวาดสายตาซ้ายขวาหวังหาตัวช่วย แน่นอนว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาต่างพากันพร้อมใจให้ความสนใจกับหนังสือเล่มหนาที่เพิ่งถูกใช้แทนหมอนหนุนกันไปถ้วนหน้าโดยมิได้นัดหมาย ครั้นเผลอไปสบสายตาเสียดแทงของชายผู้เป็นอาจารย์ก็ทำให้เด็กหนุ่มโพล่งคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว

    “ระ-เรื่องของวิเศษสี่ชิ้นขอรับ ท่านอาจารย์ อ่า เหมือนข้าเคยได้ยินว่าของวิเศษทั้งสี่กำเนิดจากสงครามใหญ่ ข้าอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรขอรับ”

    ดวงตาของเจ้าชายชามัลหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายมีกระแสความประหลาดใจพาดผ่านเพียงครู่ หากพริบตาเดียวกลับเหลือเพียงกระแสความไม่พอใจฉายชัดทั้งบนสีหน้าและแววตา

    “พวกเจ้านี่สนใจแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเสียจริง เอาล่ะ อย่างที่พวกเจ้าเคยได้ยินบ่อย ๆ เป็นที่รู้กันว่าสงครามในครานั้นเอเดนเป็นฝ่ายกำชัยเหนือจอมปีศาจ โดยจุดสำคัญคือการยื่นมือเข้าช่วยของมหาปราชญ์เลโมธีในจังหวะที่เอเดนกำลังเพลี่ยงพล้ำอย่างที่สุด จึงทำให้เอเดนพลิกสถานการณ์กลับมาได้ หากก็สูญเสียไปไม่น้อย ...เรารู้ว่าพวกเจ้าที่นี่นิยมเรื่องใช้กำลังเข้ารบพุ่ง แต่ขอให้จำไว้ว่าสงครามมิใช่คำตอบของทุกสิ่ง และสงครามมิได้ทำให้อะไรดีขึ้นทั้งสิ้น” กล่าวจบผู้เป็นอาจารย์ก็กวาดตามองเสียที ก่อนจะกระแอมไอเสียอีกทีแล้วกล่าวต่อ

    “กลับมาที่คำถามของเจ้า เดอร์เบอร์โรว์ ของวิเศษทั้งสี่นั้น ที่แท้คือจิตมารของจอมปีศาจชั่วร้ายเอวิเดสซึ่งถูกมหาปราชญ์เลโมธีช่วงชิงมาสะกดไว้ในของ 4 ชิ้น ได้แก่ ดาบ คทา แหวน และมงกุฎ

    ครึ่งหนึ่งของพลัง สะกดลงศาตรากล้า

    ครึ่งหนึ่งของอำนาจ สะกดลงมหาคทา

    ครึ่งหนึ่งของปัญญา สะกดลงธำมรงค์หาญ

    ครึ่งหนึ่งของใจมาร สะกดลงมหา...”

    “มงกุฎ” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเบา ๆ พร้อม ๆ กับชายที่ยืนอยู่หน้าชั้นกล่าวออกมา หากเสียงนั้นไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบที่คงมีเพียงตัวเขาเองที่ได้ยิน


    ...เป็นมงกุฎแห่งใจจริง ๆ

    “...การถูกช่วงชิงพลังไปถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้จอมปีศาจตกใจจนต้องล่าถอยกลับไปยังเดมอส สงครามจึงได้สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของเอเดน เรื่องก็มีเพียงเท่านี้ มีคำถามอะไรอีกหรือไม่ เดอร์เบอร์โรว์” ปลายเสียงตวัดห้วนนั้นบ่งบอกอารมณ์ผู้พูดเป็นอย่างดี หากดูเหมือนตัวต้นเรื่องจะไม่ได้ยินคำถาม เสียงเรียกซ้ำจึงเข้มขึ้น

    “ไม่-ไม่มีแล้วขอรับ” หัวขโมยบอกเสียงอ่อย

    “ไม่มีก็ดี เราจะได้มาต่อเรื่องพระราชประวัติของกษัตริย์วิลเลียม โบแด็ง มหาราชแห่งเวนอล พระองค์มีประสูติกาลเมื่อ...”

    เฟรินทรุดกายลงนั่งเมื่อเห็นว่าเจ้าชายชามัลหันกลับไปบรรยายเนื้อหาในหนังสือต่อ สมองยังครุ่นคิดถึง ‘ความฝัน’ เมื่อครู่

    แม้ยากจะเชื่อว่าของวิเศษที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอปีศาจจะออกมาอาละวาดในเวลาเช่นนี้ได้โดยไม่มีใครสังเกตุเห็น หากสิ่งที่เขาประสบก็ชัดเจนเกินกว่าจะเชื่อว่าเป็นเพียงความฝัน

    ที่ชัดเจนที่สุดคืออาการเจ็บแปลบบนท่อนแขนของเฟรินเอง รอยแดงๆ ที่โผล่พ้นแขนเสื้อตนนั้นเป็นหลักฐานอย่างดีว่าไม่ใช่ความฝัน


    จึงนับเป็นโชคดีที่เสียงของเจ้าชายชามัลปลุกเขาขึ้นมาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเฟรินเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

    ทว่าปัญหาไม่ได้จบลงแค่นั้น…เฟรินมั่นใจทีเดียวมงกุฎใจมารคงไม่รามือง่าย ๆ เป็นแน่


    ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั่นเอง หางตาของเด็กหนุ่มก็คล้ายจะเหลือบเห็นหัวฟู ๆ ของนักฆ่าที่เปลี่ยนจากท่านอนฟุบกับโต๊ะเป็นการพิงพนักแล้วสับปะหงกอย่างเปิดเผยไม่แพ้ก่อนหน้า มุมปากของหัวขโมยบิดโค้งขึ้นให้กับความตรงไปตรงมาผิดวิสัยนักฆ่าของสหายใหม่ 

    ที่น่าประหลาด คือ ท่าทางไม่สนใจผู้ใดของคิลมัส ฟีลมัสผู้นี้ทำให้สิ่งที่กังวลใจคล้ายจะเบาบางลง


    เสียงระฆังกังวานลั่นเป็นสัญญาณหมดชั่วโมง หากสีหน้าเจ้าชายชามัลยังเต็มไปด้วยความไม่พึงใจ ดวงตาคมกริบราวราชสีห์กวาดตามอง ก่อนเอ่ยประโยคเรียกเสียงประท้วงจากนักเรียนยกชั้น

    “คราวหน้า เราจะมาว่ากันด้วยสภาพสังคมของเอเดนก่อนสงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่เห็นแก่ที่พวกเจ้าสนใจเรื่องสงครามเป็นพิเศษ ไปศึกษาแล้วเขียนรายงานเกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์มา เราคาดหวังว่าความสนใจของพวกเจ้าคงทำให้รายงานของแต่ละคนไม่น้อยกว่าร้อยหน้า จริงไหม เดอร์เบอร์โรว์”

    และด้วยประการฉะนี้ เฟรินจึงเดินออกจากห้องเรียนวิชาแรกด้วยอาการหนาว ๆ ร้อน ๆ จากสายตารุมประณามของเพื่อนร่วมชั้นที่หัวขโมยไม่อาจหาข้ออ้างใดมาแก้ตัวได้เลย โดยเฉพาะตอนที่เจ้านักฆ่าตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงียหลังจากถูกปลุกขึ้นมาถามว่าเหตุใดจึงกล้าหลับอย่างไม่เกรงใจคนเป็นอาจารย์

    “ชั่วโมงของชามัลน่ะ เจ้าจะทำอะไรก็ได้ ขอเพียงไม่ส่งเสียงรบกวนหรือถามอะไรเกี่ยวกับสงครามก็พอ” คิลมัสตอบพลางบิดขี้เกียจ ก่อนชะงักยามเห็นสีหน้าจืดเจื่อนของหัวขโมย


    “เจ้าคงไม่ได้ถามอะไรใช่ไหม เฟริน”


    ยิ้มเหือดแห้งที่สุดเท่าที่คนเป็นนักฆ่าเคยเห็นคือคำตอบ

    “...ข้าเสียใจจริง ๆ เจ้าเพื่อนยาก”


    --------------





    อันว่าข่าวลือนั้นกระจายได้รวดเร็วไม่ต่างไปจากไฟลามทุ่ง เพราะเพียงวันเดียวเท่านั้น เฟรินก็แน่ใจได้ว่า ไม่มีใครในป้อมอัศวิน หรือจะให้ถูกคือ ไม่มีใครในโรงเรียนจะไม่รู้วีรกรรมในคาบวิชาประวัติศาสตร์แรกของเขา

    รางวัลแห่งวีรกรรมนั้น คือ สายตาทิ่มแทงจากเพื่อนร่วมชั้นที่พร้อมใจกันมอบให้ แม้จนสิ้นวันเสียงกระซิบกระซาบพร้อมแววตาขบขัน และรอยยิ้มถากถางบางเบาจากนักเรียนคนอื่นก็ไม่ได้เบาบางลงเลย

    และเฟรินสาบานได้ว่าการตกเป็นเป้าสายตาเช่นนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการ

    ซ่อนใบไม้ไว้ในป่า ... ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าคงยิ่งกว่าจุดไฟถางป่าเถอะ หัวขโมยกำมะลอได้แต่แค่นหัวเราะพลางนึกขอขมาทั้งบิดาบังเกิดเกล้าและบิดาบุญธรรม แม้จะนึกฉุนฝ่ายหลังเมื่อคิดว่าคงได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังลั่นเป็นการตอบแทน


    “ไง เจ้าหัวขโมยซื่อบื้อ” คือคำแรกที่สหายหน้าเป็นอย่างโร เซวาเรส ทักทายทันทีที่เขาเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้าไปในโรงอาหารดรากอนยามตะวันคล้อย


    “ถ้าเจ้าจะช่วยลืม ๆ เรื่องเมื่อเช้าไปเสีย หรือไม่ก็ทำเป็นมองไม่เห็นข้าสักครั้งแล้วปล่อยให้ข้ากินของข้าไปเงียบ ๆ ข้าจะนับว่าเจ้ามีบุญคุณกับข้าหนึ่งครั้ง โร เซวาเรส” เฟรินตอบพลางใช้ช้อนตักซุปชามโตที่ถือมาเข้าปาก ก่อนจะนิ่วหน้านิดยามฟันสัมผัสแกนผักกาดแข็งๆ ที่ติดมาพร้อมกับน้ำซุปรสชาติเฝื่อนๆ พลางพยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะในคอของขอทานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ


    “หนี้บุญคุณขอทานอย่างข้าราคาแพงนะ ท่านหัวขโมย” ดวงตาสีเดียวกับใบไม้ในยามวสันต์วาววับอย่างเจ้าเล่ห์ยามเอ่ย หากเฟรินที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำเช่นทุกทีรีบยื่นข้อเสนอ


    "มื้อเย็นในเมือง สุดสัปดาห์นี้ โร เซวาเรส ข้าเลี้ยงเจ้าเอง”

    “ช่างเป็นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธยิ่ง ท่านเดอร์เบอร์โรว์ที่รัก” โร เซวาเรสตอบด้วยรอยยิ้มกว้างพลางเลื่อนถาดใส่ขนมปังให้ เฟรินยิ้มขื่นให้ขนมปังตรงหน้าก่อนรับมาบิลงในชามซุป หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าขนมปังที่เขาเรียนรู้จากมื้อเที่ยงว่าแข็งยิ่งกว่าก้อนอิฐจะนิ่มลงบ้างหากแช่อยู่ในน้ำซุป

    เด็กหนุ่มสองคนใช้เวลาในห้องอาหารไม่นาน ก่อนจะรีบพากันมาที่ห้องโถงกลางของป้อมอัศวิน โดยเฉพาะเฟรินที่แทบจะถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจที่ห้องโถงใหญ่มีนักเรียนบางตา เฟรินเลือกเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง ความเก่าของมันทำให้นุ่น ขนนกหรืออะไรก็ตามที่ใช้บุเก้าอี้ไม่แน่นเหมือนเก่า ตัวของหัวขโมยจึงจมยวบลงไปในเบาะหนังนิ่มของเก้าอี้ หากก็ให้ความรู้สึกสบายไปอีกแบบ

    “เป็นหนึ่งวันที่เหนื่อยเป็นบ้า เหนื่อยกว่าออกขโมยของเสียอีก” หัวขโมยรำพึงออกมาดัง ๆ ให้ขอทานที่ทรุดกายนั่งไม่ห่างนักเลิกคิ้วน้อย ๆ

    “ขนาดนั้น?”

    “เก๊าะ คิดดูนะโร ทั้งวันมีแต่คนจ้องข้าราวกับว่าข้ามีสี่ตา สองจมูก แล้วยังจะพวกอาจารย์อีก โดยเฉพาะเจ้าอาจารย์นักดาบนั่น ชื่ออะไรนะ…”

    “ลาเวน ชมัคเกอร์ นักดาบแห่งบารามอส”

    “อ่า ใช่ ๆ ลาเวน ชมัคเกอร์ ข้าว่าเจ้านั่นน่ะจ้องจับผิดข้ายังไงไม่รู้ เอะอะๆ ก็เรียก แล้วก็เอาดาบไม้ไล่ฟาดเอาๆ แต่พอเป็นแม่สามสาวนางฟ้า พ่อเสียงอ่อนเสียงหวานผิดกันราวฟ้ากับเหว”

    “ไม่ใช่เพราะเจ้าทำท่าลุกลี้ลุกรนให้ชวนสงสัยหรอกหรือ” น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขัดเสียงของหัวขโมยที่กำลังเจื้อยแจ้ว โร เซวาเรสผงกหัวที่พิงไปกับพนักเก้าอี้ขึ้นมองตามเสียงจึงพึ่งเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร

    เฟรินหันไปมองเจ้าของเสียงตาขวาง ก่อนเอ่ยเสียงแข็ง

    “เจ้าไม่หาเรื่องข้าสักวันจะกินข้าวไม่ลงหรือไง เจ้าชายคาโล วาเนบลี”

    หากคนเป็นเจ้าชายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยโดยไม่ละสายตาไปจากหนังสือที่ถืออยู่ในมือแม้แต่น้อย

    “ข้าแค่จะเตือนว่า การนินทามิใช่วิสัยนักรบ…โดยเฉพาะนินทาอาจารย์”

    “เหมือนเจ้าจะลืมไปว่าข้าเป็นหัวขโมย ไม่ใช่นักรบหรือเจ้าชาย!” หัวขโมยโต้ด้วยน้ำเสียงห้วน มือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือชะงักก่อนเงยหน้าขึ้นสบตากับหัวขโมย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

    “ข้าไม่เคยลืมหรอก เฟริน เดอร์เบอร์โรว์ แต่เตอนนี้เจ้าไม่ได้เป็นแค่หัวขโมย แต่เป็นนักรบของป้อมอัศวินด้วย ควรรักษาเกียรติของนักรบบ้าง”

    คนเพิ่งประกาศตัวเป็นหัวขโมยชะงักไปนิด ก่อนสาดสายตาโกรธกรุ่น

    “เจ้า!”

    “…ข้าชักจะสงสารคิลมัสขึ้นมานิด ๆ ละ ที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับเจ้าสองคน” โร เซวาเรสเอ่ยขัดขึ้นในที่สุด และได้รับสายตาเย็นเยียบจากเจ้าชายแห่งคาโนวาล และสายตาเสียดแทงจากหัวขโมยแห่งบารามอสเป็นสิ่งตอบแทน

    ...หรือควรจะสงสารตัวเองดีก่อนนะ โร เซวาเรสคิดอย่างอดไม่ได้

    “ถ้าเจ้าไม่คิดจะเข้าข้างสหายเจ้า เรื่องที่เราตกลงกันก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะไปแล้วกัน โร เซวาเรส” คนเป็นหัวขโมยไม่เอ่ยเปล่า หากแถมค้อนให้อีกวงให้ขอทานประท้วง

    “ไฮ้ เฟริน! เจ้าเถียงแพ้เจ้าชายแล้วก็อย่าพาลข้าสิ มันคนละเรื่องกันไหม”

    “เป็นนักรบต้องถือคำสัตย์” คนเป็นเจ้าชายเสริม

    “คาโล เจ้าก็อย่าขยันเติมเชื้อไฟนัก …แต่ก็จริงนะท่านหัวขโมย”

    “โร เซวาเรส!!” เป็นเสียงคนเป็นหัวขโมยตะโกนลั่นห้อง

    “พวกเจ้าทำอะไรกัน ให้ข้าร่วมวงด้วยสิ!!”

    นาทีนั้น ขอทานแห่งทริสทอร์รู้สึกขอบคุณนักฆ่าแห่งซาเรสที่เข้ามาได้จังหวะพอดีเหลือเกิน


    -------




    “มงกุฎ…อะไรนะ?” คิลมัสถามด้วยดวงตาเบิกกว้าง หากเฟรินเหมือนนึกรู้ว่านักฆ่าทำตื่นเต้นพอเป็นพิธี น้ำเสียงที่เอ่ยต่อมาจึงออกจะ ‘เอือมระอา’ อยู่ในที


    “มงกุฎแห่งใจ…สาบานเถอะว่าเจ้าได้ยินไม่ชัด คิลมัส ฟิลมัส”

    “ให้ฟ้าผ่าตาย เอ้า” คนเป็นนักฆ่าตอบด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าที่เฟรินเลือกจะไม่สนใจเสีย แต่หันมาส่งสายตาคาดคั้นเอากับขอทานแทน

    "ว่าไง เจ้าห้องสมุดเคลื่อนที่ ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เคยฝันเห็นมงกุฎสับปะรังเคนี่ไหม"

    ขอทานหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ดวงตาสีน้ำตาลจึงเลื่อนมองคนเป็นเจ้าชายที่มานั่งร่วมวงอย่างเสียไม่ได้ หากพอสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าเฟรินก็ทำมองเลยไปเสีย ปากก็พึมพำ

    หยิ่งเสียขนาดนี้ ต่อให้ไอ้มงกุฎบ้านั่นเอาโลกทั้งใบมากองแทบเท้า มันก็คงจะเชิดหน้าเมินเฉยเสีย

    เหลือคนสุดท้าย นักฆ่าจากซาเรสส่ายหัวพรืดก่อนชะงัก

    "ไอ้มงกุฎที่ว่านี่ หน้าตาเหมือนลายมงกุฎที่ปักอยู่บนธงโรงเรียน แต่ทำจากทองคำไหม" 

    "ใช่ เจ้าเคยเห็นหรือ" เฟรินถามด้วยท่าทางที่เห็นได้ชัดว่ากำลังตื่นเต้น นักฆ่าพนักหน้ารับ


    "เมื่อคืน" 

    "แล้ว?" 

    "แล้ว..." 

    "แล้วยังไง" สุ้มเสียงหัวขโมยติดจะรวน เมื่อเห็นคิลมัสชักจะ 'ท่ามาก'

    "ก็..ไม่ยังไง"

    "คิลมัส!"

    "ไม่ต้องตะโกนก็ได้เจ้าบ้าเฟริน หูหนวกพอดี"

    "ก็อย่าลีลาให้มากนัก รีบๆ บอกมา"

    "...ก็มันจำไม่ได้"

    พลั่ก!


    "โว้ยย เจ้าบ้าเฟริน!! ถีบมาได้ยังไง!!" นักฆ่าที่เพิ่งถูกหัวขโมยยันตกเก้าอี้แบบไม่ทันตั้งตัวร้องประท้วง


    "ข้าไม่ผ่ากะโหลกเจ้าด้วยดาบ ก็ถือว่าใจบุญถมเถละ เจ้านักฆ่าสมองกลวง!! ทำลีลาเสียนาน แล้วมาจำไม่ได้อะไรของเจ้า ห๊ะ?!" 


    "ก็มงกุฏซังกะบ๊วยอะไรนั่นมันพล่ามอะไรไร้สาระเสียยืดยาวมากมาย ใครจะไปสนใจจำกันเล่า!"

    "พอได้แล้ว" คนพูดน้อยที่สุดปรามก่อนเรื่องจะเลยเถิด ขอทานแห่งทริสทอร์จึงรีบรับลูก

    "สรุปว่า เจ้าไม่ได้ตอบรับคำชวนไปใช่ไหม คิลมัส"

    "เออ เปล่า จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเสนออะไรบ้าง" นักฆ่าตอบเสียงขุ่นขณะทรุดกายลงนั่งที่เดิม ตาสีม่วงฉายชัดว่ายังงอนหัวขโมย ด้านเฟริน พอได้ออกแรงพอให้หายหงุดหงิดจึงได้สะดุดใจ

    "แล้วยังไง พอเจ้าปฏิเสธก็จบ? มันปล่อยเจ้าออกมาจากความฝันง่ายๆ เช่นนั้น?"

    "ใช่ ทำไม มันทำอะไรเจ้างั้นรึ เฟริน?"

    เฟรินขยับจะเล่า หากพริบตาหนึ่งกลับเปลี่ยนใจเอ่ยปัดไป บอกเพียงว่า

    "ก็เปล่า เพียงแต่เจ้ามงกุฏนั่นมันตื้อข้าไม่เลิก เลยสงสัยว่าเพราะมันเห็นเจ้าสมองกลวง เลยตัดใจเร็วรึเปล่า"


    "ไอ้หัวขโมยตัวแสบ!!!"

     

    ตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไล่หัวขโมยที่ฝีเท้าไวไม่แพ้กันไปทั่วห้องนั่งเล่น ทิ้งขอทานนั่งอยู่กับเจ้าชายเพียงสองคน ดวงตาสีฟ้ามองตามเพื่อนร่วมห้องสองคนด้วยสายตาอ่านยาก ส่วนโร เซวาเรสมองตามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ 


    "สองคนนั่นสนิทกันดีนะ" เป็นขอทานที่เปิดบทสนทนาก่อน พลางยื่นถ้วยน้ำชาเพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ ที่เจ้าตัวทำตอนไหนไม่รู้ให้


    "มากไป ก็คงไม่ดีนัก" คาโลรับมาก่อนจิบ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างนิดๆ มีประกายความแปลกใจแฝงอยู่ในนั้น หากไม่ทันคิดถามอะไรอีกฝ่ายกลับเอ่ยต่อไปเรื่องอื่น


    "เจ้าคิดว่ายังไง เจ้าชายคาโล"


    "เรื่องอะไร?"


    "มงกุฏแห่งใจ... ข้าว่าเรื่องมันแปลกๆ ชอบกล โดยเฉพาะเรื่องของเฟริน..." โร เซวาเรส เอ่ยคล้ายรำพึง หากดวงตาสีเขียวนั้นเป็นประกายระริกทีเดียว


    "ปกติของวิเศษทั้ง 4 ถูกเก็บอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอสมบัติของเอดินเบิร์ก เป็นไปได้หรือที่จะออกมาอาละวาดเพ่นพ่านได้ โดยเฉพาะยามกลางวัน...เว้นแต่..."


    "ผ่านมิติฝัน เป็นเวทย์ชั้นสูง" 


    "เป็นไปได้?"


    "เป็นไปได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"


    "ถ้าเป็นเรื่องของคิลมัสอาจจะไม่แปลก จริงๆ ข้าเคยได้ยินเสียงเล่าลือมาเหมือนกันว่าในคืนเดือนมืด พลังปีศาจจะกล้าแข็งเป็นพิเศษ จึงมีบ้างที่ของวิเศษ 4 ชิ้นจะออกมาป่วน แต่ไม่เคยได้ยินว่าออกมาป่วนกลางวัน

    หรือเขตอาคมปราชญ์เลโมธีอ่อนลง?" 

    หากพระเศียรของคนถือยศเจ้าชายส่ายไปมา ดวงเนตรสีฟ้าจับจ้องไปยังร่างโปร่งที่ยังวิ่งหนีนักฆ่าไปมาไม่เลิก

    "อะไรก็เป็นไปได้" ตอบสั้น แม้จะยังไม่มราบสาเหตุแน่ชัดแต่คาโลมั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง


    เฟริน เดอเบอร์โรว์ มีเรื่องปิดบังอยู่แน่ๆ





    --------




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×