ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #11 : ลูคัส

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 63


    ลูคัส

     

     

     

     

     

    “...โลกของเรา ประกอบดินแดน 3 ดินแดนใหญ่ ๆ หนึ่งคือดินแดนเยือกแข็งที่แทบไม่มีผู้ใดอาศัย อีกหนึ่ง คือ ดินแดนที่มนุษย์ครอบครองหรือก็คือแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้ เรียกขานนามกันว่าเอเดนอย่างที่พวกเธอคงรู้กันดี และสุดท้ายคือดินแดนซึ่งเหล่าปีศาจครอบครอง นามของดินแดนนั้น คือ เดมอส

     

    เดมอสนั้นถูกปกครองโดยราชาปีศาจ เอวิเดส ไม่มีใครรู้ว่าราชาปีศาจตนนี้ปกครองแผ่นดินดำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หากเดมอสและเอเดนมีสงครามรบพุ่งกันอยู่เป็นนิจ กล่าวกันว่าจุดเริ่มต้นนั้นเกิดจากราชาปีศาจตัดสินใจแยกเอเดนและเดมอสซึ่งแต่เดิมเป็นแผ่นดินเดียวกันออกจากกันด้วยดาบเดียว ทว่าแม้แผ่นดินจะแยกจากหากสงครามยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งที่ใหญ่ที่สุด คือ สงครามเมื่อราวห้าร้อยปีก่อน ตรงกับรัชสมัยของกษัตริย์วิลเลี่ยม โบแดง เดอะเกรท ซึ่งเราจะได้ศึกษากันต่อไป...”

     

    เฟรินต้องยอมรับประการหนึ่งว่าเจ้าชายชามัล ฟาโรเวล แห่งบารามอสเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่พิเศษยิ่ง

     

    แม้เนื้อหาที่เจ้าชายร่างสูงผอมวัยห้าสิบผู้นี้กล่าวมาจะมีความน่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนที่เติบโตอยู่ในต่างแดนเช่นเขา หากน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับกำลังเอ่ยลำนำชมธรรมชาตินั้นกลับมีมนต์สะกดให้รู้สึกง่วงงุนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     

    ไหนจะบรรยากาศรอบกายอาจารย์เจ้าชายผู้นี้อีก ช่างเฉื่อยชาเสียราวกับเจ้าชายชามัลผู้มีสายพระเนตรคมกริบจนทำให้หัวขโมยรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ในวันนั้นเป็นเรื่องโกหก และหากว่าสิ่งที่พระอนุชาในไฮคิงแสดงอยู่นี้เป็นเพียงการตบตา ชายผู้นี้ก็คงเป็นนักแสดงที่เก่งกาจยิ่ง พาลให้เฟรินนึกไปถึงที่เจ้าโคมุสพูดบ่อย ๆ ด้วยเสียงเล็ก ๆ สมตัวหากไม่น่าเชื่อถือของมัน

     

    ชนเอเดน ล้วนแล้วแต่เป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก

     

    แต่เหนืออื่นใด เฟรินแน่ใจแล้วว่า น้ำเสียงเรียบเฉยค่อนไปทางเรื่อยเฉื่อยจนใกล้เคียงกับบทสวดของเจ้าชายชามัลนั้นให้ผลไม่ต่างอะไรกับยานอนหลับชั้นดี ทั้งที่เวลานี้เป็นยามเช้า และวิชานี้เป็นวิชาแรกของวันแท้ ๆ หากนักเรียนหลายคนกลับอยู่ในอาการง่วงเหงาหาวนอนราวกับอดตาหลับขับตานอนมาค่อนคืน ยิ่งเพื่อนร่วมห้องหัวยุ่งของหัวขโมยยิ่งแล้วใหญ่ อาจจะด้วยอุปนิสัยส่วนตัวอันผิดวิสัยนักฆ่า เจ้าตัวจึงเลือกหนทางที่จริงใจที่สุดด้วยการ

     

    ฟุบหลับไปบนโต๊ะอย่างเปิดเผยที่สุด

     

    ห้องเรียนวิชาแรกในโรงเรียนพระราชาของเฟริน จึงเป็นห้องเรียนที่มีเพียงเสียงบรรยายราวของเจ้าชายชามัล สอดแทรกด้วยเสียงกรนเบา ๆ ของนักฆ่าตระกูลดังจากซาเรสเป็นระยะ

     

    เฟรินเท้าแขนเหลือบมองหัวยุ่ง ๆ ของคิลมัส ฟีลมัสเป็นรอบที่สามขณะปล่อยให้รายพระนามของกษัตริย์เอเดน 23 พระองค์ลอยผ่านหูไปโดยไม่มีความคิดที่จะจดจำ ก่อนเฟรินจะเริ่มปล่อยความคิดให้ล่องลอยกลับไปเหตุการณ์เมื่อคืนแทนการฟังบรรยายแทน

     

    “...รุ่นพี่ลูคัส มีอะไรให้หัวขโมยคนนี้รับใช้ฮะ”

     

    เฟรินเอ่ยทักชายหนุ่มด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มขี้เล่นไม่ต่างจากเมื่อตอนเย็น หากรอยยิ้มนั้นกลับไม่เผื่อแผ่ไปถึงดวงตาสีน้ำตาล เด็กหนุ่มตัดสินใจหลังจากครุ่นคิดนานเกือบชั่วยามหลังพบกระดาษแผ่นเล็กในกระเป๋า เขาค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าการที่ชายหนุ่มปรากฎตัวต่อหน้าเขากับเจ้าชายคาโลในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่เจ้าตัวอ้าง

     

    ลูคัสจงใจมาพบเขา

     

    ทว่าการปรากฏตัวของเจ้าชายคาโลคงเป็นเรื่องนอกเหนือแผนการชายหนุ่ม สังเกตจากตัวหนังสือที่ค่อนข้างหวัด บอกเขาว่าเจ้าตัวเขียนอย่างเร่งรีบ...อาจจะเขียนขึ้นทันทีที่เห็นเจ้าชายปรากฏตัวและไม่มีท่าทีจะแยกไปโดยเร็วด้วยซ้ำไป

     

    จะว่าไปการตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่บ้าบิ่นไม่น้อย มีเหตุผลมากมายที่บอกหัวขโมยกำมะลอว่าเขาควรเมินเฉยไปเสียและเด็กหนุ่มมั่นใจทีเดียวว่าถ้ามาดัสรู้เข้าคงบอกให้เขาฉีกมันทิ้งไปเสียเฉย ๆ เช่นกัน

     

    หากสิ่งเดียวที่ทำให้สะดุดใจกลับเป็นลายมือ และบรรยากาศรอบกายของชายหนุ่มที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

     

    สะดุดใจเสียจนมองผ่านไปไม่ได้

     

    แรกนึกว่าอาจเป็นเพราะความเป็นทริสทอร์ของชายหนุ่ม ทว่าความเป็นไปได้นั้นน้อยนิด เพราะเงื่อนไขที่ทำให้เป็นไปได้นั้นทำได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

     

    หากถึงจะดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่ที่ผ่านมา หลายครั้งที่เหตุผลนั้นไร้ความหมาย และเฟรินก็เชื่อสัญชาตญาณตัวเองมากกว่าเสียด้วย

     

    ร่างสูงของผู้คุมกฎปรากฏกายทันทีที่เฟรินมาถึงราวกับเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว ทว่าหลังจากเฟรินเอ่ยทักทายแล้วเนิ่นนาน จนแล้วจนรอดกลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม ความเงียบอันน่าอึดอัดจึงปกคลุมคนทั้งคู่ในไม่ช้า ยิ่งยามนั้นแสงจันทร์ถูกเมฆบดบัง เฟรินจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม แม้สัมผัสได้ว่าดวงตาหลังกรอบแว่นนั้นกำลังจับจ้องเขาไม่วางตา

     

    และว่ากันตามตรง เฟรินไม่ชอบ... ไม่สิ เกลียดการถูกจ้องมองแบบนั้น อารมณ์ของหัวขโมยจึงคล้ายจะขุ่นมัวลงตามเวลาที่ล่วงเลยไป

     

    สุดท้ายจึงเป็นหัวขโมยที่หมดความอดทน เอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน

     

    “รุ่นพี่ลูคัส ถ้าท่าน...”

     

    “...โตขึ้นมากเลยนะ” ไม่ทันที่เฟรินจะพูดจบประโยค ลูคัสก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน หากประโยคกลับชวนให้สงสัยยิ่ง เท้าของหัวขโมยจึงคล้ายจะขยับถอยโดยไม่รู้ตัวขณะเอ่ยประโยคถัดมาว่า

     

    “...ข้าไม่คิดว่าเราเคยพบกันมาก่อน...”

     

    “ผิดแล้ว เราเคยพบกัน ...จริง ๆ แล้วเรารู้จักกันดีด้วยซ้ำไป” สิ้นประโยคนั้น สายลมพลิ้วพัดพาเมฆาที่บดบังแสงจันทร์ให้เคลื่อนคล้อย เผยใบหน้าเปื้อนยิ้มละมุนของชายหนุ่ม และเพราะแว่นตาของลูคัสในตอนนี้อยู่ในมือของชายหนุ่ม เฟรินจึงได้เห็นดวงตาสีดำสนิทดูคุ้นตา

     

    คิ้วของเฟรินมุ่นเข้าหากันน้อย ๆ ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่กลับเพียรนึกอย่างไรก็ไม่ออกนี้ชวนให้หงุดหงิดใจ กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนต่ำลงมาปะเข้ากับสร้อยเส้นยาวที่เฟรินแน่ใจว่าตอนที่พบกันเมื่อตอนเย็นไม่เห็นชายหนุ่มสวม ครั้นสายตาไล่ตามสายสร้อยที่สะท้อนกับแสงจันทร์เป็นสีเงินยวงถึงตัวจี้ที่ร้อยอยู่กับตัวสร้อยก็ได้แต่เบิกตากว้าง

     

    “ครั้งแรกคือเมื่อตอนเจ้าอายุได้สามขวบ...” ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ขณะที่มือหนึ่งยกจี้ห้อยคอขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาของหัวขโมย และทันทีที่เห็นชัด หัวขโมยก็แน่ใจ

     

    ลัญจกรแห่งสกุลเกรเดเวล!

     

    เรื่องนี้เป็นที่รู้กันเพียงภายใน ลัญจกรเงินแห่งสกุลเกรเดเวลจะถูกมอบให้แก่คนในสกุลชั้นหลาน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เพียงสามชิ้นเท่านั้น

     

    ชิ้นหนึ่งเป็นของรัชทายาทผู้สาบสูญ ซึ่งบัดนี้คงถูกเก็บรักษาอยู่ในหีบสมบัติส่วนพระองค์ในพระราชวังหลักเดมอส อีกชิ้นนั้นอยู่ในแดนภูเขาไฟโลกันต์ เป็นของบุตรีคนเดียวของเจ้านครยักษ์ ส่วนชิ้นสุดท้าย เป็นของบุรุษเพียงหนึ่งเดียวผู้เคยเป็นที่คาดหวังว่าจะเป็นผู้สืบทอดของจ้าวปีศาจก่อนธิดาแห่งความมืด ทายาทสายตรงจะถือกำเนิด

     

    พี่ชายเพียงคนเดียวของเขา

     

    ลูคัส เกรเดเวล

     

    “ส่วนครั้งสุดท้ายคือตอนงานครบรอบวันเกิดปีที่เก้า....เฟลิโอน่า”

     

                นึกถึงตอนนี้ เฟรินได้แต่ตำหนิตัวเองว่าน่าจะเอะใจเสียตั้งแต่ญาติผู้พี่แนะนำตัว ก่อนจะแก้ตัวให้ตนเองเสร็จสรรพว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เจอกันนานเกินไป พาลว่าไปถึงชื่อ ลูคัส ที่สุดแสนจะโหลสิ้นดี ที่สำคัญกว่านั้นเรื่องที่ญาติผู้พี่มาเรียนที่โรงเรียนพระราชายังเป็นเรื่องที่เฟรินไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย ทำเอาเฟรินไม่สามารถเชื่อมโยง ท่านชายลูคัสผู้นั้นกับ รุ่นพี่ลูคัสแห่งป้อมอัศวินได้

     

                “เป็นดำริของท่านอาลูน่า อยากให้พี่มาเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง” คือเหตุผลที่ลูคัสบอก แม้เฟรินจะคิดว่าสาเหตุหลักจริง ๆ น่าจะมาจากตนเองมากกว่ายามได้ยินพระนามของพระปิตุจฉาผู้หยั่งรู้เกือบทุกสิ่ง

     

    ยิ่งไปกว่านั้น ในรัชสมัยของพระองค์ ยังได้มีการพัฒนา...” พลันที่สติกลับมา ณ ปัจจุบัน หูก็แว่วเสียงของเจ้าชายชามัลที่ยังคงบรรยายเหตุการณ์และวีรกรรมของเหล่ากษัตริย์แห่งเอเดนด้วยน้ำเสียงที่ต่อให้เรื่องที่บรรยายเป็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเพียงใดก็ยังให้ความรู้สึกคล้ายกำลังฟังบทเห่กล่อมเด็กอยู่ดี ยิ่งนานดวงตาสีน้ำตาลยิ่งปรือแทบปิดตามเพื่อนร่วมชั้น

     

    ที่สุด เฟรินก็มิอาจต้านมนต์เสน่ห์แห่งสำเนียงของอาจารย์เจ้าชายแห่งบารามอส ให้หลงเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ตามเพื่อนร่วมชั้นไปอีกคน

     

    ------------

     

     

               

                ภาพเบื้องหน้าดูขะมุกขะมัว หากยังพอมองออกว่าตรงหน้าคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หมอกหนาจัดทำให้จุดตัดระหว่างทุ่งหญ้าและผืนฟ้าดูลางเลือน จนคล้ายไร้จุดสิ้นสุด ครั้นเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า หมอกหนาก็บดบังจนไม่แน่ใจว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน

     

                คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย

     

                ...นี่เขาอยู่ที่ไหน...

     

    “...เด็กน้อย” ไม่ทันจะคิดหาคำตอบ เสียงแว่วหวานเจือกระแสลมอบอุ่นที่เข้ามาแทนที่หมอกหนาทึบ แสงอาทิตย์ค่อย ๆ แหวกพ้นม่านหนาหนัก ทอประกายเป็นลำแสงสีทอง ขับไล่บรรยากาศหนาหนักเมื่อครู่ให้มลายไป

     

                “...เด็กน้อย” เสียงนั้นเรียกซ้ำ น้ำเสียงนั้นคล้ายจะอ่อนโยน หากเฟรินกลับจับสัมผัสประหลาดได้ คล้ายนอกเหนือจากความอ่อนโยนนั้น มีความตื่นเต้นยินดีปะปนไปด้วยความโหยหาระคนคาดหวัง

     

                ...ใครกัน?

     

                “ข้าตามหาเจ้ามาแสนนาน ผู้สืบทอดแห่งข้า นายแห่งข้า เอ่ยความปรารถนาของเจ้ามา แล้วข้าจะบันดาลให้เจ้าสมหวังทุกสิ่ง” เสียงประหลาดเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แสงสีทองอบอุ่นเข้าโอบล้อมร่างโปร่งของเด็กหนุ่ม กระแสลมอ่อนเบาโลมไล้ราวกับปลุกปลอบให้โอนอ่อนผ่อนตาม

     

                เอ่ยความปรารถนาของเจ้ามา

     

                “ทุกสิ่งหรือ” เฟรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายตกอยู่ในภวังค์ เสียงนั้นรีบตอบรับเร็วรี่ แทบไม่ปิดความยินดีในน้ำเสียงนั้น

     

                “ทุกสิ่ง เด็กน้อย ไม่ว่าสิ่งใด เพียงเจ้าเอื้อนเอ่ยขอ”

     

                มุมปากเฟรินยกขึ้นน้อย ๆ เป็นรอยยิ้มบาง

     

                “แม้ข้าจะยังอายุไม่มาก หากก็ใช้ชีวิตมามากพอที่จะรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าจะมีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียอะไรเลยเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะ มงกุฎแห่งใจเอ๋ย”

     

                เสียงนั้นเงียบไปอึดใจ ก่อนจะระเบิดเป็นเสียงหัวเราะลั่น

     

                “เจ้าฉลาด ซ้ำยังตรงไปตรงมายิ่ง เด็กน้อย ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย” เสียงนั้นกล่าวไปหัวเราะไป ก่อนที่แสงสว่างที่โอบล้อมร่างเด็กหนุ่มจะอันตรธานหายไปพร้อม ๆ กับทุ่งกว้าง เหลือเพียงความว่างเปล่าสีขาวไร้ที่สิ้นสุด หากไม่นานนักกลับมีเงาร่างเลือนรางปรากฎขึ้นเบื้องหน้าเด็กหนุ่มแทน

     

                เงาร่างนั้นสูงใหญ่กว่าเฟรินเท่าตัว ร่างกายของมันดูคล้ายกลุ่มควันที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ บริเวณที่คล้ายจะเป็นดวงตาส่องประกายแสงสีทองขยับหยีจนคล้ายกำลังยิ้มขณะเอ่ยเสียงที่เหมือนมาจากที่แสนไกลแทนที่จะมาจากบริเวณที่น่าจะเป็นปาก

     

                “เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เพียงยอมรับข้าเท่านั้น เจ้าก็จะได้ครอบครองทุกสิ่ง”

     

                “ยอมรับเจ้า? ทำอย่างไรเล่า”

     

                แทนคำตอบ แสงสีทองสว่างจ้าวาบขึ้นก่อนจะมีมงกุฎชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม

     

                “เพียงสวมมงกุฎ เด็กน้อย”

     

                เฟรินจ้องมองไปยังมงกุฎที่ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า ประกายสีทองราวรัศมีของมันแผ่กระจายไปทั่ว แม้ทีแรกไม่แน่ใจ หากเมื่ออยู่ใกล้เพียงเอื้อมเท่านี้ บวกกับคลื่นพลังที่แผ่กำจายเป็นสิ่งยืนยันว่ามงกุฎตรงหน้าเป็นมงกุฎอันเดียวกับที่เขาได้เห็นในห้องของปราชญ์เลโมธี

     

                มงกุฎแห่งใจ

     

                “แค่สวมมงกุฎ แค่นั้นเองหรือ”

               

    “ใช่แล้ว เพียงแค่นั้น เจ้าจะเป็นนายแห่งข้า และข้าจะบันดาลให้ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา”

               

                เด็กหนุ่มนิ่งไปเพียงอึดใจ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

     

                “เจ้าดูเบาปัญญาของข้าเกินไปแล้วมงกุฎแห่งใจ เพียงแค่สวมมงกุฎก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งงั้นหรือ ผิดแล้ว ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายดายหรอก”

     

                “ทุกสิ่งที่ข้ากล่าว ล้วนแล้วแต่เป็นความสัตย์จริง เพียงยอมรับข้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ...ธิดาแห่งความมืด” มงกุฎแห่งใจกล่าว หากสรรพนามที่เรียกนั้นทำให้เฟรินชะงักไปครู่

     

                “...มงกุฎแห่งใจ ครึ่งหนึ่งของใจ หึ ข้าลืมไปได้อย่างไร” เอ่ยพึมพำราวกับพูดกับตนเอง

     

                “สายเลือดย่อมเพรียกหา ธิดาแห่งความมืด พลังบิดาย่อมถ่ายทอดสู่บุตร ของวิเศษทั้งสี่เช่นข้าอย่างไรก็ถือกำเนิดจากจ้าวปีศาจ เจ้าผู้เป็นทายาทย่อมเป็นนายข้าโดยชอบธรรม 

    เด็กน้อย จะมีเหตุใดให้เจ้าปฏิเสธข้า” เงานั้นเอ่ยลื่นไหล ร่างอันคล้ายกลุ่มควันเคลื่อนไปรอบ ๆ เฟรินราวกับจะหยอกเย้า ระหว่างนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


    “เพียงยอมรับข้า สวมมงกุฎนี่เท่านั้น พลังอันยิ่งใหญ่จักเป็นของเจ้า และเจ้าจักได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบัลลังค์แผ่นดินใด ทรัพย์ศริงคารสูงค่าเพียงไหน หรือจะพลิกฟ้าเปลี่ยนดิน หรือแม้แต่...” เสียงนั้นเว้นเพียงครู่พลางเคลื่อนร่างกลับมาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างเลือนรางคล้ายกลุ่มควันจะเริ่มหมุนบิดเกลียวประหนึ่งมีมือที่มองไม่เห็นจับบิดหมุน มันค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปกายมนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาแทนที่จะเป็นกลุ่มควันอย่างเมื่อครู่ หากทันทีที่รูปกายนั้นชัดเจนขึ้นจนถึงใบหน้า เด็กหนุ่มก็ถึงกับหายใจสะดุด

                           

                “นะ..นี่!

               

    “ใช่แล้ว แม้แต่ดึงชีวิตกลับจากความตาย”

     

                เฟรินจ้องมองร่างเบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ทั้งดวงหน้าหวาน เรือนผมยาวสีน้ำตาลเปลือกไม้ และดวงตาสีน้ำตาลที่ถอดกันมาไม่ผิดเพี้ยนที่เป็นประกายวาววับราวกับมีดาวนับล้านดวงอยู่ภายใน รอยยิ้มอ่อนโยนที่ประดับบนใบหน้าหวานนั้นยิ่งทำให้ความโหยหาพุ่งทะยานเต็มอกจนแทบจะสำลัก

               

    ...ท่านแม่!!!

     

    “ว่าอย่างไร เฟลิโอน่า นี่คือสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่สุดไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือกระแสอบอุ่นดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่คลื่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน สองแขนบอบบางกางออกกว้างราวกับจะโอบกอด ดวงตาคู่นั้นมองมาด้วยสายตารักใคร่ทำเอาหัวใจคนมองสั่นระรัว

     

    ภาพเบื้องหน้านั้นไม่ต่างจากภาพที่เคยเฝ้าฝัน

     

    สองขาของเฟรินค่อย ๆ ขยับช้า ๆ เด็กหนุ่มเดินเข้าหาร่างของอลิเซียราวกับคนตกอยู่ในภวังค์

     

    “ใช่แล้วเด็กน้อย มาสิ มาหาข้า” มงกุฎแห่งใจในร่างอลิเซียกล่าว ในขณะที่ตัวมงกุฎที่ลอยคว้างอยู่ระหว่างร่างทั้งสองนั้นสั่นระริกอย่างยินดี ประกายสีทองที่โอบล้อมมงกุฎนั้นเผยกระไอชั่วร้ายออกมาเพียงครู่ หากดูเหมือนเฟรินจะไม่ทันสังเกตเห็น เด็กหนุ่มยังคงสืบเท้าเข้าหาร่างเงาอย่างช้า ๆ กระทั่งระยะห่างระหว่างทั้งคู่เหลือเพียงสามก้าว มงกุฎแห่งใจก็ลอยสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของเด็กหนุ่ม

     

    “สวมมงกุฎสิ เฟลิโอน่า เกรเดเวล แล้วข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนาทุกประการ”





    --------------------------------


    2,800 คำนี้ พี่ไม่ได้มาเล่น ๆ

    คิดถึงพี่ไหม *หัวเราะ*

    งานหนักไม่ได้ทำให้ใครตาย แต่ทำให้พี่ไม่ได้เขียนนิยายเลยค่ะ โง้ยยยยยย

    เลยทำให้เลื่อนจากที่จะลงตั้งแต่กลางเดือนที่แล้วมาถึงกลางเดือนหก ฝนก็ตก(ไม่)พรำ กบร้องประสานเสียงยิ่งกว่าละครโอเปร่า

    ยังมีคนอ่านอยู่ใช่ไหมคะ *ร้อง* กะซิก ๆ

    ขอบคุณพันครั้งสำหรับคนหลงมาอ่าน ขอบคุณอีกหมื่นครั้งสำหรับใครที่ยังรออยู่ 

    ก็จะบอกว่า พี่อ่านทุกเมนท์ (เพราะมีน้อย) เมนท์มาทวงบ้างอะไรบ้างก็ไม่ว่ากัน ไม่หยาบคายใส่กันก็โอเค

    เดือนนี้ตั้งใจจะให้ได้อย่างน้อยอีกสักตอน พวกเธอจะได้ไม่รู้สึกหน่ายเหนื่อยกันมากนัก

    แต่!!! คืองานพี่เยอะเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีสอบเดือนหน้า #ร้องไห้หนักมาก

    จะรอดไม่รอด ให้คุ้กกี้ทำนายกัน~

    เป็นกำลังใจให้พี่ด้วย ฮือออ

    รักคนอ่านจ้ะ

    - thorongil -

    ปล.1 ช่วงนี้ก็ฟังเพลง k-pop เยอะไม่ใช่น้อย เพลงดี ๆ เจ๋ง ๆ ก็เยอะนะ

    ใครมีเพลงไรแนะนำด้วยก็ดีนะคะ 5555

    ปล.2 แต่พี่เกลียดถุงมือเขียวลลิสา BLACKPINK จุงเบยค่ะ ถถถถถ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×