คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ลูคัส
ลูคัส
“...โลกของเรา ประกอบดินแดน 3
ดินแดนใหญ่ ๆ หนึ่งคือดินแดนเยือกแข็งที่แทบไม่มีผู้ใดอาศัย
อีกหนึ่ง คือ ดินแดนที่มนุษย์ครอบครองหรือก็คือแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ขณะนี้
เรียกขานนามกันว่าเอเดนอย่างที่พวกเธอคงรู้กันดี
และสุดท้ายคือดินแดนซึ่งเหล่าปีศาจครอบครอง นามของดินแดนนั้น คือ เดมอส
เดมอสนั้นถูกปกครองโดยราชาปีศาจ เอวิเดส
ไม่มีใครรู้ว่าราชาปีศาจตนนี้ปกครองแผ่นดินดำมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หากเดมอสและเอเดนมีสงครามรบพุ่งกันอยู่เป็นนิจ กล่าวกันว่าจุดเริ่มต้นนั้นเกิดจากราชาปีศาจตัดสินใจแยกเอเดนและเดมอสซึ่งแต่เดิมเป็นแผ่นดินเดียวกันออกจากกันด้วยดาบเดียว
ทว่าแม้แผ่นดินจะแยกจากหากสงครามยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งที่ใหญ่ที่สุด คือ
สงครามเมื่อราวห้าร้อยปีก่อน ตรงกับรัชสมัยของกษัตริย์วิลเลี่ยม โบแดง เดอะเกรท
ซึ่งเราจะได้ศึกษากันต่อไป...”
เฟรินต้องยอมรับประการหนึ่งว่าเจ้าชายชามัล
ฟาโรเวล แห่งบารามอสเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่พิเศษยิ่ง
แม้เนื้อหาที่เจ้าชายร่างสูงผอมวัยห้าสิบผู้นี้กล่าวมาจะมีความน่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนที่เติบโตอยู่ในต่างแดนเช่นเขา
หากน้ำเสียงเรียบเรื่อยราวกับกำลังเอ่ยลำนำชมธรรมชาตินั้นกลับมีมนต์สะกดให้รู้สึกง่วงงุนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไหนจะบรรยากาศรอบกายอาจารย์เจ้าชายผู้นี้อีก ช่างเฉื่อยชาเสียราวกับเจ้าชายชามัลผู้มีสายพระเนตรคมกริบจนทำให้หัวขโมยรู้สึกหนาว
ๆ ร้อน ๆ ในวันนั้นเป็นเรื่องโกหก และหากว่าสิ่งที่พระอนุชาในไฮคิงแสดงอยู่นี้เป็นเพียงการตบตา
ชายผู้นี้ก็คงเป็นนักแสดงที่เก่งกาจยิ่ง พาลให้เฟรินนึกไปถึงที่เจ้าโคมุสพูดบ่อย ๆ
ด้วยเสียงเล็ก ๆ สมตัวหากไม่น่าเชื่อถือของมัน
‘ชนเอเดน ล้วนแล้วแต่เป็นพวกเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก’
แต่เหนืออื่นใด เฟรินแน่ใจแล้วว่า น้ำเสียงเรียบเฉยค่อนไปทางเรื่อยเฉื่อยจนใกล้เคียงกับบทสวดของเจ้าชายชามัลนั้นให้ผลไม่ต่างอะไรกับยานอนหลับชั้นดี
ทั้งที่เวลานี้เป็นยามเช้า และวิชานี้เป็นวิชาแรกของวันแท้ ๆ
หากนักเรียนหลายคนกลับอยู่ในอาการง่วงเหงาหาวนอนราวกับอดตาหลับขับตานอนมาค่อนคืน ยิ่งเพื่อนร่วมห้องหัวยุ่งของหัวขโมยยิ่งแล้วใหญ่
อาจจะด้วยอุปนิสัยส่วนตัวอันผิดวิสัยนักฆ่า เจ้าตัวจึงเลือกหนทางที่จริงใจที่สุดด้วยการ
ฟุบหลับไปบนโต๊ะอย่างเปิดเผยที่สุด
ห้องเรียนวิชาแรกในโรงเรียนพระราชาของเฟริน จึงเป็นห้องเรียนที่มีเพียงเสียงบรรยายราวของเจ้าชายชามัล
สอดแทรกด้วยเสียงกรนเบา ๆ ของนักฆ่าตระกูลดังจากซาเรสเป็นระยะ
เฟรินเท้าแขนเหลือบมองหัวยุ่ง ๆ ของคิลมัส ฟีลมัสเป็นรอบที่สามขณะปล่อยให้รายพระนามของกษัตริย์เอเดน
23
พระองค์ลอยผ่านหูไปโดยไม่มีความคิดที่จะจดจำ ก่อนเฟรินจะเริ่มปล่อยความคิดให้ล่องลอยกลับไปเหตุการณ์เมื่อคืนแทนการฟังบรรยายแทน
“...รุ่นพี่ลูคัส มีอะไรให้หัวขโมยคนนี้รับใช้ฮะ”
เฟรินเอ่ยทักชายหนุ่มด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มขี้เล่นไม่ต่างจากเมื่อตอนเย็น
หากรอยยิ้มนั้นกลับไม่เผื่อแผ่ไปถึงดวงตาสีน้ำตาล
เด็กหนุ่มตัดสินใจหลังจากครุ่นคิดนานเกือบชั่วยามหลังพบกระดาษแผ่นเล็กในกระเป๋า เขาค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่าการที่ชายหนุ่มปรากฎตัวต่อหน้าเขากับเจ้าชายคาโลในตอนนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่เจ้าตัวอ้าง
ลูคัสจงใจมาพบเขา
ทว่าการปรากฏตัวของเจ้าชายคาโลคงเป็นเรื่องนอกเหนือแผนการชายหนุ่ม
สังเกตจากตัวหนังสือที่ค่อนข้างหวัด
บอกเขาว่าเจ้าตัวเขียนอย่างเร่งรีบ...อาจจะเขียนขึ้นทันทีที่เห็นเจ้าชายปรากฏตัวและไม่มีท่าทีจะแยกไปโดยเร็วด้วยซ้ำไป
จะว่าไปการตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่บ้าบิ่นไม่น้อย
มีเหตุผลมากมายที่บอกหัวขโมยกำมะลอว่าเขาควรเมินเฉยไปเสียและเด็กหนุ่มมั่นใจทีเดียวว่าถ้ามาดัสรู้เข้าคงบอกให้เขาฉีกมันทิ้งไปเสียเฉย
ๆ เช่นกัน
หากสิ่งเดียวที่ทำให้สะดุดใจกลับเป็นลายมือ และบรรยากาศรอบกายของชายหนุ่มที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
สะดุดใจเสียจนมองผ่านไปไม่ได้
แรกนึกว่าอาจเป็นเพราะความเป็นทริสทอร์ของชายหนุ่ม
ทว่าความเป็นไปได้นั้นน้อยนิด
เพราะเงื่อนไขที่ทำให้เป็นไปได้นั้นทำได้ยากยิ่งในปัจจุบัน
หากถึงจะดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่ที่ผ่านมา
หลายครั้งที่เหตุผลนั้นไร้ความหมาย และเฟรินก็เชื่อสัญชาตญาณตัวเองมากกว่าเสียด้วย
ร่างสูงของผู้คุมกฎปรากฏกายทันทีที่เฟรินมาถึงราวกับเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว
ทว่าหลังจากเฟรินเอ่ยทักทายแล้วเนิ่นนาน จนแล้วจนรอดกลับไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม
ความเงียบอันน่าอึดอัดจึงปกคลุมคนทั้งคู่ในไม่ช้า ยิ่งยามนั้นแสงจันทร์ถูกเมฆบดบัง
เฟรินจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม แม้สัมผัสได้ว่าดวงตาหลังกรอบแว่นนั้นกำลังจับจ้องเขาไม่วางตา
และว่ากันตามตรง เฟรินไม่ชอบ... ไม่สิ เกลียดการถูกจ้องมองแบบนั้น
อารมณ์ของหัวขโมยจึงคล้ายจะขุ่นมัวลงตามเวลาที่ล่วงเลยไป
สุดท้ายจึงเป็นหัวขโมยที่หมดความอดทน
เอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน
“รุ่นพี่ลูคัส ถ้าท่าน...”
“...โตขึ้นมากเลยนะ” ไม่ทันที่เฟรินจะพูดจบประโยค
ลูคัสก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน หากประโยคกลับชวนให้สงสัยยิ่ง
เท้าของหัวขโมยจึงคล้ายจะขยับถอยโดยไม่รู้ตัวขณะเอ่ยประโยคถัดมาว่า
“...ข้าไม่คิดว่าเราเคยพบกันมาก่อน...”
“ผิดแล้ว
เราเคยพบกัน ...จริง ๆ แล้วเรารู้จักกันดีด้วยซ้ำไป” สิ้นประโยคนั้น
สายลมพลิ้วพัดพาเมฆาที่บดบังแสงจันทร์ให้เคลื่อนคล้อย
เผยใบหน้าเปื้อนยิ้มละมุนของชายหนุ่ม และเพราะแว่นตาของลูคัสในตอนนี้อยู่ในมือของชายหนุ่ม
เฟรินจึงได้เห็นดวงตาสีดำสนิทดูคุ้นตา
คิ้วของเฟรินมุ่นเข้าหากันน้อย
ๆ ความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่กลับเพียรนึกอย่างไรก็ไม่ออกนี้ชวนให้หงุดหงิดใจ
กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลเลื่อนต่ำลงมาปะเข้ากับสร้อยเส้นยาวที่เฟรินแน่ใจว่าตอนที่พบกันเมื่อตอนเย็นไม่เห็นชายหนุ่มสวม
ครั้นสายตาไล่ตามสายสร้อยที่สะท้อนกับแสงจันทร์เป็นสีเงินยวงถึงตัวจี้ที่ร้อยอยู่กับตัวสร้อยก็ได้แต่เบิกตากว้าง
“ครั้งแรกคือเมื่อตอนเจ้าอายุได้สามขวบ...”
ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ ขณะที่มือหนึ่งยกจี้ห้อยคอขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตาของหัวขโมย
และทันทีที่เห็นชัด หัวขโมยก็แน่ใจ
ลัญจกรแห่งสกุลเกรเดเวล!
เรื่องนี้เป็นที่รู้กันเพียงภายใน ลัญจกรเงินแห่งสกุลเกรเดเวลจะถูกมอบให้แก่คนในสกุลชั้นหลาน
ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เพียงสามชิ้นเท่านั้น
ชิ้นหนึ่งเป็นของรัชทายาทผู้สาบสูญ
ซึ่งบัดนี้คงถูกเก็บรักษาอยู่ในหีบสมบัติส่วนพระองค์ในพระราชวังหลักเดมอส
อีกชิ้นนั้นอยู่ในแดนภูเขาไฟโลกันต์ เป็นของบุตรีคนเดียวของเจ้านครยักษ์ ส่วนชิ้นสุดท้าย
เป็นของบุรุษเพียงหนึ่งเดียวผู้เคยเป็นที่คาดหวังว่าจะเป็นผู้สืบทอดของจ้าวปีศาจก่อนธิดาแห่งความมืด
ทายาทสายตรงจะถือกำเนิด
พี่ชายเพียงคนเดียวของเขา
ลูคัส เกรเดเวล
“ส่วนครั้งสุดท้ายคือตอนงานครบรอบวันเกิดปีที่เก้า....เฟลิโอน่า”
นึกถึงตอนนี้ เฟรินได้แต่ตำหนิตัวเองว่าน่าจะเอะใจเสียตั้งแต่ญาติผู้พี่แนะนำตัว
ก่อนจะแก้ตัวให้ตนเองเสร็จสรรพว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เจอกันนานเกินไป พาลว่าไปถึงชื่อ
‘ลูคัส’ ที่สุดแสนจะโหลสิ้นดี ที่สำคัญกว่านั้นเรื่องที่ญาติผู้พี่มาเรียนที่โรงเรียนพระราชายังเป็นเรื่องที่เฟรินไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย
ทำเอาเฟรินไม่สามารถเชื่อมโยง ‘ท่านชายลูคัส’ ผู้นั้นกับ ‘รุ่นพี่ลูคัสแห่งป้อมอัศวิน’ ได้
“เป็นดำริของท่านอาลูน่า อยากให้พี่มาเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง”
คือเหตุผลที่ลูคัสบอก แม้เฟรินจะคิดว่าสาเหตุหลักจริง ๆ น่าจะมาจากตนเองมากกว่ายามได้ยินพระนามของพระปิตุจฉาผู้หยั่งรู้เกือบทุกสิ่ง
“ยิ่งไปกว่านั้น ในรัชสมัยของพระองค์ ยังได้มีการพัฒนา...” พลันที่สติกลับมา
ณ ปัจจุบัน หูก็แว่วเสียงของเจ้าชายชามัลที่ยังคงบรรยายเหตุการณ์และวีรกรรมของเหล่ากษัตริย์แห่งเอเดนด้วยน้ำเสียงที่ต่อให้เรื่องที่บรรยายเป็นเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเพียงใดก็ยังให้ความรู้สึกคล้ายกำลังฟังบทเห่กล่อมเด็กอยู่ดี
ยิ่งนานดวงตาสีน้ำตาลยิ่งปรือแทบปิดตามเพื่อนร่วมชั้น
ที่สุด
เฟรินก็มิอาจต้านมนต์เสน่ห์แห่งสำเนียงของอาจารย์เจ้าชายแห่งบารามอส
ให้หลงเคลิ้มเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์ตามเพื่อนร่วมชั้นไปอีกคน
------------
ภาพเบื้องหน้าดูขะมุกขะมัว
หากยังพอมองออกว่าตรงหน้าคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
หมอกหนาจัดทำให้จุดตัดระหว่างทุ่งหญ้าและผืนฟ้าดูลางเลือน จนคล้ายไร้จุดสิ้นสุด
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองผืนฟ้า หมอกหนาก็บดบังจนไม่แน่ใจว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย
...นี่เขาอยู่ที่ไหน...
“...เด็กน้อย” ไม่ทันจะคิดหาคำตอบ
เสียงแว่วหวานเจือกระแสลมอบอุ่นที่เข้ามาแทนที่หมอกหนาทึบ แสงอาทิตย์ค่อย ๆ
แหวกพ้นม่านหนาหนัก ทอประกายเป็นลำแสงสีทอง
ขับไล่บรรยากาศหนาหนักเมื่อครู่ให้มลายไป
“...เด็กน้อย” เสียงนั้นเรียกซ้ำ
น้ำเสียงนั้นคล้ายจะอ่อนโยน หากเฟรินกลับจับสัมผัสประหลาดได้
คล้ายนอกเหนือจากความอ่อนโยนนั้น มีความตื่นเต้นยินดีปะปนไปด้วยความโหยหาระคนคาดหวัง
...ใครกัน?
“ข้าตามหาเจ้ามาแสนนาน
ผู้สืบทอดแห่งข้า นายแห่งข้า เอ่ยความปรารถนาของเจ้ามา แล้วข้าจะบันดาลให้เจ้าสมหวังทุกสิ่ง”
เสียงประหลาดเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แสงสีทองอบอุ่นเข้าโอบล้อมร่างโปร่งของเด็กหนุ่ม
กระแสลมอ่อนเบาโลมไล้ราวกับปลุกปลอบให้โอนอ่อนผ่อนตาม
เอ่ยความปรารถนาของเจ้ามา
“ทุกสิ่งหรือ”
เฟรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายตกอยู่ในภวังค์ เสียงนั้นรีบตอบรับเร็วรี่
แทบไม่ปิดความยินดีในน้ำเสียงนั้น
“ทุกสิ่ง เด็กน้อย ไม่ว่าสิ่งใด
เพียงเจ้าเอื้อนเอ่ยขอ”
มุมปากเฟรินยกขึ้นน้อย ๆ
เป็นรอยยิ้มบาง
“แม้ข้าจะยังอายุไม่มาก
หากก็ใช้ชีวิตมามากพอที่จะรู้ว่าโลกใบนี้โหดร้ายเกินกว่าจะมีสิ่งใดได้มาโดยไม่เสียอะไรเลยเป็นการแลกเปลี่ยน
เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการแลกเปลี่ยนล่ะ มงกุฎแห่งใจเอ๋ย”
เสียงนั้นเงียบไปอึดใจ
ก่อนจะระเบิดเป็นเสียงหัวเราะลั่น
“เจ้าฉลาด ซ้ำยังตรงไปตรงมายิ่ง
เด็กน้อย ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย” เสียงนั้นกล่าวไปหัวเราะไป ก่อนที่แสงสว่างที่โอบล้อมร่างเด็กหนุ่มจะอันตรธานหายไปพร้อม
ๆ กับทุ่งกว้าง เหลือเพียงความว่างเปล่าสีขาวไร้ที่สิ้นสุด หากไม่นานนักกลับมีเงาร่างเลือนรางปรากฎขึ้นเบื้องหน้าเด็กหนุ่มแทน
เงาร่างนั้นสูงใหญ่กว่าเฟรินเท่าตัว ร่างกายของมันดูคล้ายกลุ่มควันที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์
บริเวณที่คล้ายจะเป็นดวงตาส่องประกายแสงสีทองขยับหยีจนคล้ายกำลังยิ้มขณะเอ่ยเสียงที่เหมือนมาจากที่แสนไกลแทนที่จะมาจากบริเวณที่น่าจะเป็นปาก
“เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดเลย
เพียงยอมรับข้าเท่านั้น เจ้าก็จะได้ครอบครองทุกสิ่ง”
“ยอมรับเจ้า?
ทำอย่างไรเล่า”
แทนคำตอบ แสงสีทองสว่างจ้าวาบขึ้นก่อนจะมีมงกุฎชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม
“เพียงสวมมงกุฎ เด็กน้อย”
เฟรินจ้องมองไปยังมงกุฎที่ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า
ประกายสีทองราวรัศมีของมันแผ่กระจายไปทั่ว แม้ทีแรกไม่แน่ใจ หากเมื่ออยู่ใกล้เพียงเอื้อมเท่านี้
บวกกับคลื่นพลังที่แผ่กำจายเป็นสิ่งยืนยันว่ามงกุฎตรงหน้าเป็นมงกุฎอันเดียวกับที่เขาได้เห็นในห้องของปราชญ์เลโมธี
มงกุฎแห่งใจ
“แค่สวมมงกุฎ
แค่นั้นเองหรือ”
“ใช่แล้ว
เพียงแค่นั้น เจ้าจะเป็นนายแห่งข้า และข้าจะบันดาลให้ทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนา”
เด็กหนุ่มนิ่งไปเพียงอึดใจ
ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“เจ้าดูเบาปัญญาของข้าเกินไปแล้วมงกุฎแห่งใจ
เพียงแค่สวมมงกุฎก็จะได้ครอบครองทุกสิ่งงั้นหรือ ผิดแล้ว ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายดายหรอก”
“ทุกสิ่งที่ข้ากล่าว
ล้วนแล้วแต่เป็นความสัตย์จริง เพียงยอมรับข้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ...ธิดาแห่งความมืด”
มงกุฎแห่งใจกล่าว หากสรรพนามที่เรียกนั้นทำให้เฟรินชะงักไปครู่
“...มงกุฎแห่งใจ
ครึ่งหนึ่งของใจ หึ ข้าลืมไปได้อย่างไร” เอ่ยพึมพำราวกับพูดกับตนเอง
“สายเลือดย่อมเพรียกหา ธิดาแห่งความมืด พลังบิดาย่อมถ่ายทอดสู่บุตร ของวิเศษทั้งสี่เช่นข้าอย่างไรก็ถือกำเนิดจากจ้าวปีศาจ เจ้าผู้เป็นทายาทย่อมเป็นนายข้าโดยชอบธรรม
เด็กน้อย จะมีเหตุใดให้เจ้าปฏิเสธข้า” เงานั้นเอ่ยลื่นไหล ร่างอันคล้ายกลุ่มควันเคลื่อนไปรอบ ๆ เฟรินราวกับจะหยอกเย้า ระหว่างนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เพียงยอมรับข้า
สวมมงกุฎนี่เท่านั้น พลังอันยิ่งใหญ่จักเป็นของเจ้า และเจ้าจักได้ทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบัลลังค์แผ่นดินใด
ทรัพย์ศริงคารสูงค่าเพียงไหน หรือจะพลิกฟ้าเปลี่ยนดิน หรือแม้แต่...” เสียงนั้นเว้นเพียงครู่พลางเคลื่อนร่างกลับมาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง
ก่อนที่เงาร่างเลือนรางคล้ายกลุ่มควันจะเริ่มหมุนบิดเกลียวประหนึ่งมีมือที่มองไม่เห็นจับบิดหมุน
มันค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปกายมนุษย์ที่มีเนื้อหนังมังสาแทนที่จะเป็นกลุ่มควันอย่างเมื่อครู่
หากทันทีที่รูปกายนั้นชัดเจนขึ้นจนถึงใบหน้า เด็กหนุ่มก็ถึงกับหายใจสะดุด
“นะ..นี่!”
“ใช่แล้ว แม้แต่ดึงชีวิตกลับจากความตาย”
เฟรินจ้องมองร่างเบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ทั้งดวงหน้าหวาน เรือนผมยาวสีน้ำตาลเปลือกไม้
และดวงตาสีน้ำตาลที่ถอดกันมาไม่ผิดเพี้ยนที่เป็นประกายวาววับราวกับมีดาวนับล้านดวงอยู่ภายใน
รอยยิ้มอ่อนโยนที่ประดับบนใบหน้าหวานนั้นยิ่งทำให้ความโหยหาพุ่งทะยานเต็มอกจนแทบจะสำลัก
...ท่านแม่!!!
“ว่าอย่างไร
เฟลิโอน่า นี่คือสิ่งที่เจ้าปรารถนาที่สุดไม่ใช่หรือ”
น้ำเสียงอ่อนโยนเจือกระแสอบอุ่นดังออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่คลื่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน
สองแขนบอบบางกางออกกว้างราวกับจะโอบกอด ดวงตาคู่นั้นมองมาด้วยสายตารักใคร่ทำเอาหัวใจคนมองสั่นระรัว
ภาพเบื้องหน้านั้นไม่ต่างจากภาพที่เคยเฝ้าฝัน
สองขาของเฟรินค่อย ๆ
ขยับช้า ๆ เด็กหนุ่มเดินเข้าหาร่างของอลิเซียราวกับคนตกอยู่ในภวังค์
“ใช่แล้วเด็กน้อย
มาสิ มาหาข้า” มงกุฎแห่งใจในร่างอลิเซียกล่าว
ในขณะที่ตัวมงกุฎที่ลอยคว้างอยู่ระหว่างร่างทั้งสองนั้นสั่นระริกอย่างยินดี
ประกายสีทองที่โอบล้อมมงกุฎนั้นเผยกระไอชั่วร้ายออกมาเพียงครู่
หากดูเหมือนเฟรินจะไม่ทันสังเกตเห็น เด็กหนุ่มยังคงสืบเท้าเข้าหาร่างเงาอย่างช้า ๆ
กระทั่งระยะห่างระหว่างทั้งคู่เหลือเพียงสามก้าว
มงกุฎแห่งใจก็ลอยสูงขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของเด็กหนุ่ม
“สวมมงกุฎสิ
เฟลิโอน่า เกรเดเวล แล้วข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนาทุกประการ”
--------------------------------
2,800 คำนี้ พี่ไม่ได้มาเล่น ๆ
คิดถึงพี่ไหม *หัวเราะ*
งานหนักไม่ได้ทำให้ใครตาย แต่ทำให้พี่ไม่ได้เขียนนิยายเลยค่ะ โง้ยยยยยย
เลยทำให้เลื่อนจากที่จะลงตั้งแต่กลางเดือนที่แล้วมาถึงกลางเดือนหก ฝนก็ตก(ไม่)พรำ กบร้องประสานเสียงยิ่งกว่าละครโอเปร่า
ยังมีคนอ่านอยู่ใช่ไหมคะ *ร้อง* กะซิก ๆ
ขอบคุณพันครั้งสำหรับคนหลงมาอ่าน ขอบคุณอีกหมื่นครั้งสำหรับใครที่ยังรออยู่
ก็จะบอกว่า พี่อ่านทุกเมนท์ (เพราะมีน้อย) เมนท์มาทวงบ้างอะไรบ้างก็ไม่ว่ากัน ไม่หยาบคายใส่กันก็โอเค
เดือนนี้ตั้งใจจะให้ได้อย่างน้อยอีกสักตอน พวกเธอจะได้ไม่รู้สึกหน่ายเหนื่อยกันมากนัก
แต่!!! คืองานพี่เยอะเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีสอบเดือนหน้า #ร้องไห้หนักมาก
จะรอดไม่รอด ให้คุ้กกี้ทำนายกัน~
เป็นกำลังใจให้พี่ด้วย ฮือออ
รักคนอ่านจ้ะ
- thorongil -
ปล.1 ช่วงนี้ก็ฟังเพลง k-pop เยอะไม่ใช่น้อย เพลงดี ๆ เจ๋ง ๆ ก็เยอะนะ
ใครมีเพลงไรแนะนำด้วยก็ดีนะคะ 5555
ปล.2 แต่พี่เกลียดถุงมือเขียวลลิสา BLACKPINK จุงเบยค่ะ ถถถถถ
ความคิดเห็น