คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เพื่อนร่วมห้อง
เพื่อนร่วมห้อง
กว่าเฟรินจะได้เหยียบเข้าห้องพักพร้อมสัมภาระเต็มสองมือก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งเล่มเทียนในการเรียกคนในห้องให้มาเปิดประตู โดยมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่หัวขโมยค่อนขอดในใจว่าช่าง ‘ไร้ประโยชน์’ เพราะเจ้าตัวเอาแต่ยืนนิ่งพลางปล่อยรังสีเย็นชาอยู่เงียบ ๆ
เข้าห้องมาได้
ดวงตาสีน้ำตาลก็กวาดตาสำรวจสภาพภายในห้องอย่างรวดเร็ว มันเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นักหากก็พออาศัยกันได้
3
คนแบบพอดิบพอดี เตียงสี่เสาสามเตียงขนาดเล็กตั้งชิดกำแพงด้านหน้าเรียงกัน
แต่ละเตียงตั้งห่างกันไม่เกินก้าว ตู้ขนาดใหญ่ทำจากไม้มะฮอกกานีสีเข้มสำหรับเก็บเสื้อผ้าตั้งห่างออกไปทางซ้าย
โต๊ะกลมเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้และตู้เล็กเท่าจำนวนเตียงวางเรียงกันอยู่ทางขวา คือ
เครื่องใช้ทั้งหมดที่มีในห้อง พื้นห้องปูพรมสักหลาดสีแดงเข้ม ตัดกับผ้าม่านสีลาเวนเดอร์ที่ติดเหนือหน้าต่างบานใหญ่สามบานเหนือเตียง
เตียงด้านขวาสุดมีร่างของคิลมัส ฟีลมัส นักฆ่าแห่งซาเรสที่เปิดประตูเสร็จก็พาตนเองกลับมานอนเอกเขนกอย่างไม่สนใจใคร
ส่วนเตียงทางซ้ายมือสุดนั้นถูกเด็กหนุ่มที่เฟรินเพิ่งขนานนาม ‘เจ้าชายไร้ประโยชน์แห่งคาโนวาล’ ให้หมาด ๆ
จับจองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตียงกลางจึงกลายเป็นของหัวขโมยไปโดยปริยาย
และเพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับสัมภาระของตน
ในขณะที่อีกคนเอาแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาราวกับอยู่ในโลกส่วนตัว ก่อให้เกิดบรรยากาศเงียบงันแปลกแปร่งลอยวนในอากาศ
...แปลกจนเฟรินได้แต่ถอนใจก่อนจะหัวเราะให้ตัวเองเบา ๆ
...เฉพาะวันนี้เขาถอนใจไปกี่รอบแล้วนะ เด็กหนุ่มคิดพลางวางกองสัมภาระของตนไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนเดินอ้อมเพื่อไปเปิดหน้าต่าง
สายลมเย็นพัดเข้ามาในห้องจนม่านมุ้งปลิวไสว เด็กหนุ่มหลับตารับสายลมนั้น
ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบทเป็นกึ่งยืนกึ่งนั่งที่ขอบหน้าต่างนั้น
ศีรษะพิงหน้าต่างพลางมองไปยังท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้ม
...อดนึกดีใจไม่ได้ที่ทิศของห้องที่เขาอยู่หันไปทางตะวันตกพอดี
แม้ไม่อาจกลับไปในเร็ววัน
แต่การได้เห็นแผ่นดินเกิดทุกวันจากห้องนี้ก็คงแก้ขัดได้บ้าง พลางคิดถึงบุรุษผู้นั้นที่ป่านนี้อาจกำลังประทับอยู่ในห้องอาหารกว้างใหญ่โดยลำพัง
...ป่านนี้ท่านพ่อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ
คิดพลางผ่อนลมหายใจยาว
“มีอะไรน่าหนักใจนักหนา ถึงถอนใจดังเฮือก” เสียงถามดังมาจากทางด้านขวามือ
เฟรินจึงหันกลับไปมอง ก็พบว่านักฆ่าหัวกระเซิงที่นอนเอกเขนกอยู่เมื่อครู่ลุกขึ้นนั่งลับมีดใบโค้งในมือด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ ไหน ๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว
เรามาแนะนำตัวกันหน่อยดีไหม” เฟรินเอ่ยขึ้น
หากคำถามนั้นกลับทำให้อีกสองหนุ่มหยุดมือจากสิ่งที่ทำหันมามองหัวขโมยเป็นตาเดียว
หากให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คู่หนึ่งให้ความรู้สึกเย็นชาห่างเหินยิ่ง
หากอีกคู่กลับเต็มไปด้วยประกายวิบวับราวขบขัน
“เจ้า...
ความจำสั้นหรือไง” คือคำตอบสั้น ๆ จากเจ้าชาย
ส่วนเจ้านักฆ่านั้นส่งเสียงขลุกขลักในลำคอ แต่เฟรินแน่ใจว่ามันคือเสียงหัวเราะ
สีหน้าของหัวขโมยจึงค่อนไปทางบูดบึ้งยามเอ่ยประโยคถัดมา
“ความจำข้ายังทำงานได้ดี เจ้าชายคาโล
วาเนบลี แห่งคาโนวาล แต่ข้าหมายถึงทำความรู้จัก
สร้างความคุ้นเคยที่มากกว่าการรู้จักเพียงชื่อเสียงเรียงนาม ...เจ้านี่ถ้าจะมีเพื่อนน้อยนะ”
ประโยคหลังเฟรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราวกับสงสาร หากดวงตากลับเป็นประกายวาบราวท้าทาย
คนถูกกล่าวหาว่า ‘เพื่อนน้อย’ จึงจ้องกลับด้วยสายตาเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม อย่างไม่มีใครยอมลงให้ก่อน
สุดท้ายจึงเป็นนักฆ่าที่ทลายบรรยากาศมึนตึงด้วยคำถาม
“แล้วเจ้าว่า นอกจากชื่อเสียงเรียงนามแล้ว เราควรจะทำความรู้จักกันเรื่องอะไรล่ะ เจ้าหัวขโมย ครอบครัว ฐานะ งานอดิเรก
...หรือว่าจุดประสงค์ในการเข้ามาที่นี่”
ประโยคสุดท้ายทำให้เฟรินชะงักไปเล็กน้อย
หากเด็กหนุ่มรีบกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนย้อนถามด้วยคำถามเดียวกัน
“อา
เป็นคำถามที่ไม่เลวนะ แล้วนักฆ่าอย่างเจ้ามาทำอะไรในโรงเรียนพระราชากันล่ะ
...คงไม่ใช่มาลอบสังหารผู้ใดหรอกนะ”
สิ้นเสียงก็ราวกับความเงียบเข้ามาเป็นเจ้าเรือนในอึดใจ
ดวงตาสีน้ำตาลของเฟรินประสานเข้ากับดวงตาสีม่วงที่เป็นประกายระริกราวกับรู้ทัน
...เป็นแววตาที่ทำให้คนมีชนักปักหลังเช่นหัวขโมยกำมะลออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“ข้ามาทำอะไรงั้นรึ
หึหึ คงไม่ต่างจากเจ้าหรอก ใจเจ้าบอกว่าอย่างไรล่ะ”
เด็กหนุ่มนักฆ่าตอบด้วยดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์
...เป็นดวงตาที่ทำให้สัญชาตญาณระวังภัยของเฟรินลั่นระฆังเตือนเลื่อนลั่น
หากเด็กหนุ่มยังทำใจดีสู้เสือ ส่งยิ้มให้นักฆ่าก่อนตอบ
“ไม่ยักรู้ว่านักฆ่าจะคิดตรงกับหัวขโมยเช่นข้า”
พูดจบก็เอนตัวพลางกวักมือเรียกให้คิลมัสเข้ามาใกล้ ๆ
ก่อนกระซิบถ้อยคำบางอย่างใส่หู หากเมื่อนักฆ่าฟังจบกลับทำสีหน้างุนงงใส่แทน
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“อ้าว
ไหนว่าเจ้าเข้ามาด้วยจุดประสงค์เดียวกับข้า ..อ้อ
ที่แท้เจ้าคิดจะหลอกถามข้าหรอกรึ”
หัวขโมยแสร้งร้องเสียงดังก่อนทำสีหน้าราวกับผิดหวังเสียเต็มประดา หากนักฆ่ากลับทำหน้าเหยเก
“เออ
ข้าคิดจะหลอกถามเจ้า แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะมาเพื่อบุปผางาม ...บุปผางามอะไรของเจ้า”
หัวขโมยทำเสียงจึ้กจั้กในลำคอ
ส่ายหน้าพลางขยับกายเข้ามากอดคอนักฆ่าหนุ่มแนบแน่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับผู้ทรงภูมิว่า
“เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เขาว่าโรงเรียนพระราชาแห่งนี้ใครก็มาเรียนได้ก็จริง แต่ทุกคนรู้ดีว่าเกินครึ่งหนึ่งของนักเรียนที่นี้นั้นหากไม่ใช่เหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ต้องเป็นบุตรขุนน้ำขุนนาง แล้วในเอเดนนี่เชื้อพระวงศ์หญิงก็มีไม่น้อย
ไอ้ข้าน่ะเป็นผู้นิยมชมชอบของสวย ๆ งาม
ๆ ยิ่งหญิงงามยิ่งชื่นชม แล้วระดับเชื้อพระวงศ์ก็ใช่จะมีให้ยลเสียบ่อย ๆ
ข้าอยากเห็น ก็เลยลองมาทดสอบดู”
“แค่นี้เองงั้นรึ?” นักฆ่าหัวยุ่งยังคงทำหน้ายุ่งด้วยความงุนงง
“ถูกต้อง”
หัวขโมยแสร้งตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลางหัวเราะเสียงดัง
ชักนึกเอ็นดูความใสซื่ออย่างไม่น่าเชื่อของนักฆ่า
หากก็ต้องชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาเสียดแทงปนดูแคลนของเจ้าชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าจัดของเสร็จตั้งแต่เมื่อใด
และน่าแปลกที่อารมณ์ดี ๆ ของเฟรินคล้ายจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แม้รอยยิ้มยังประดับบนใบหน้าหัวขโมย
หากรอยยิ้มนั้นกลับไม่เผื่อแผ่ไปถึงนัยน์ตาสีเปลือกไม้ของเจ้าตัว
“แล้วตกลงเจ้ามาที่นี่ทำไมคิลมัส”
เฟรินถามโดยยังไม่ยอมเบือนหน้าหนีสายตาของเจ้าชายที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องราวกับท้าทายกระทั่งเป็นฝ่ายเจ้าชายที่ยอมละสายตาไปก่อน
ก่อนจะพาร่างสูงลับหายไปเบื้องหลังประตูห้องอาบน้ำ เฟรินแว่วเสียงนักฆ่าตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อย
ๆ
“เรียกข้าคิลก็พอ
ข้าแค่มาหาอะไรฆ่าเวลาเล่น ๆ น่ะ พอดีช่วงนี้ไม่ได้รับงานอะไร พ่อเลยให้มาสอบดู”
“เหตุผลเพียงแค่นั้นเอง?” เฟรินหันมาสบตานักฆ่า มีความไม่เชื่อถืออยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนั้น หากดวงตาสีม่วงที่มองตอบบอกชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น
“พูดราวกับเหตุผลเจ้าฟังขึ้นนัก”
“หรือจะให้บอกว่า
ข้ามาเพื่อขโมยเจ้าชายรึเจ้าหญิงสักคนดีล่ะ” หัวขโมยตอบด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“นั่นค่อยน่าสนใจหน่อย”
นักฆ่าหัวเราะเบา ๆ
“งั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” หัวขโมยว่าก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงราวกับหมดความสนใจจะต่อบทสนทนา
ก่อนหลับตาสูดกลิ่นแดดอ่อน ๆ ที่ยังติดอยู่บนผ้าปูเตียง พลางคิดว่านานเพียงใดแล้วที่หลังไม่ได้สัมผัสฟูกนอนหนานุ่มเช่นนี้
“เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว” จู่ ๆ
เจ้านักฆ่าที่นั่งเงียบอยู่สักพักก็เอ่ยขึ้นให้หัวขโมยที่เกือบเคลิ้มหลับไปสะดุ้งน้อย
ๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะยอมเป็นเพื่อนกับเจ้าก็ได้
เพราะเจ้าน่าสนใจดี
แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าจะต้องเล่าชีวิตการเป็นหัวขโมยของเจ้าให้ข้าฟัง ตกลงหรือไม่”
เฟรินเลิกคิ้วน้อย
ๆ ให้กับเงื่อนไขมิตรภาพพิลึกพิลั่นของเด็กหนุ่มหัวยุ่งที่กำลังส่งยิ้มกว้าง ดวงตาสีม่วงนั้นฉายแววจริงใจ
มือขาวยื่นออกมาเบื้องหน้าพลางขยับไปมาราวกับยั่วเย้าหัวขโมยที่มองด้วยความแคลงใจ
เสียงถอนใจยาวดังมาจากหัวขโมย
ก่อนริมฝีปากจะบิดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เถอะ
มีสหายเป็นนักฆ่าสักคนก็คงไม่เลวนักหรอก
----
เด็กหนุ่มทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องอย่างเพลิดเพลินจนแทบลืมเวลา
แม้เทียบกันแล้วคิลจะไม่ได้เล่าเรื่องของตนเองมากเท่าที่ควร
หากเท่าที่ได้ฟังก็พอทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เกิดและเติบโตในตระกูลนักฆ่าที่มีชื่อเสียงที่สุดตระกูลหนึ่งในซาเรส
และนี่เป็นครั้งแรกที่คิลมัส ฟีลมัสได้ออกจากซาเรสมาต่างเมือง ยามที่เฟรินเล่าเรื่องเมืองต่าง
ๆ ให้เขาฟังจึงทำให้นักฆ่าดูตื่นเต้นราวกับเด็กน้อย
ต่างจากท่าทางรู้ทันคนที่แสดงให้เห็นก่อนหน้าลิบลับ
ชวนให้สงสัยว่าตระกูลนักฆ่าเลี้ยงดูกันมาอย่างไรกันแน่
ไวเท่าความคิด
เฟรินเอ่ยถามคำถามหนึ่งออกไป
“นี่คิล
ข้ามีเรื่องสงสัย ปกติพวกนักฆ่าน่ะมักจะมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน
ส่วนมากมักปิดเป็นความลับกันด้วยซ้ำไป เจ้ามาเปิดเผยให้ฟังกันโต้ง ๆ
เช่นนี้จะไม่เป็นไรรึ”
“เรื่องนั้น...”
“ถึงตระกูลฟีลมัสจะเป็นตระกูลนักฆ่า หากอิทธิพลของฟีลมัสกลับยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตระกูลขุนนาง เรียกว่าหากตระกูลฟีลมัสออกหน้าแล้ว แม้แต่กษัตริย์ยังต้องรับฟัง” เสียงตอบนั้นไม่ได้มาจากเด็กหนุ่มหัวยุ่งที่นั่งข้าง ๆ เฟรินเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ ในขณะที่คิลเพียงเบือนหน้าไปยังที่มาของเสียง มุมปากของนักฆ่ายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นคล้ายแปลกใจหากดวงตากลับฉายแววรู้เท่าทันขณะเอ่ย
“ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชายแห่งคาโนวาลจะสนใจเรื่องในซาเรสด้วย”
“เรื่องนั้นก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรไม่ใช่รึ”
คาโลตอบน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับกำลังเอ่ยเรื่องดินฟ้าอากาศ
หากสำหรับเฟรินแล้วน้ำเสียงเช่นนั้นช่างให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้เหลือเกิน
เด็กหนุ่มตั้งใจจะหันไปหาเรื่องสักนิด หากปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจาเผ็ดร้อนดังคิดกลับชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
...ขาว...
ร่างสูงโปร่งของคนเป็นเจ้าชายสวมเพียงกางเกงตัวเดียว
เผยรูปร่างกำยำผิดคาด เส้นผมสีเงินเปียกชื้นลู่แนบไปกับลำคอ
มีบางส่วนดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวเพิ่งเช็ด โดยผ้าที่ใช้เช็ดยังพาดอยู่บนบ่าเปลือยเปล่า
ผิวขาวจัดที่ผิดแผกจากชาวคาโนวาลทั่วไปต้องแสงสว่างจากภายนอกจนคนมองรู้สึก...แสบตา
เฟรินนิ่งอึ้งกระทั่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองเห่อร้อนจึงได้แต่รีบเก็บสายตาก่อนเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
ข้างนักฆ่าที่เห็นว่าอยู่ ๆ คู่สนทนาของตนก็เงียบไปจึงหันกลับมามองก่อนร้องทัก
“หือ
เจ้าเป็นอะไรเฟริน อยู่ ๆ ก็เงียบไปเสียเฉย ๆ”
“ปะ-เปล่า”
เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองไปยังร่างขาว ๆ
ที่ยังเห็นทางหางตาพลางนึกบริภาษในใจ
...ราชสำนักคาโนวาลไม่ได้อบรมมาหรืออย่างไร
เจ้าชายหน้าด้านนี่ถึงกล้าออกมาในสภาพไม่เรียบร้อยเช่นนั้น
“เจ้าแน่ใจนะ
ดูหน้าเจ้าแดง ๆ ชอบกล” คิลว่าพลางขมวดคิ้วน้อย ๆ
ยามเห็นสีแดงเรื่อรางแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของหัวขโมยให้เจ้าตัวได้แต่ก่นด่าความช่างสังเกตเหลือเกินของนักฆ่า
ยิ่งรู้สึกว่าตัวต้นเหตุที่ยืนแต่งตัวอยู่อีกด้านกำลังมองมาเช่นกัน
เฟรินยิ่งได้แต่ทำตัวลีบเล็ก เอนหลบอยู่หลังม่านมุ้งที่ประดับเตียง
“ขะ-ข้าหิวแล้ว
ไปหาอะไรกินกันเหอะคิล” ที่สุดเมื่อทนสายตาสงสัยเซ้าซี้ของนักฆ่าที่มองมาไม่ได้
เด็กหนุ่มก็โพล่งออกมาดังลั่นก่อนจะผุดลุกเดินเร็ว ๆ
ออกจากห้องโดยไม่แม้แต่จะรอสหายใหม่
ทิ้งให้คนในห้องได้แต่มองตามไปอย่างงุนงงกับพฤติกรรมของเจ้าตัว
“สงสัยจะหิวเอามาก”
นักฆ่าเปรยอย่างไม่สู้จะใส่ใจนักพลางทำท่าพยักพเยิด
ชักชวนเด็กหนุ่มร่างสูงไปพร้อมกัน ครั้นได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ
นักฆ่าก็สรุปเอาเองในใจก่อนจะออกจากห้องตามหัวขโมยไป
เหลือเพียงเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่ยังคงยืนนิ่งจ้องบานประตูด้วยสีหน้าครุ่นคิด
----
หลังมื้ออาหาร เฟรินปลีกตัวจากสหายคนใหม่ที่ควบตำแหน่งเพื่อนร่วมห้องหมาด ๆ ด้วยข้ออ้างขอไปทีก่อนจะเดินตัวปลิวหายไปจากห้องอาหารดราก้อน ห้องอาหารประจำป้อมอัศวินที่รสชาติอาหารไกลจากคำว่าอร่อยยิ่ง
หัวขโมยหมายจะสำรวจภายในปราสาทให้ทั่วเสียตั้งแต่วันแรก ทว่าเอาเข้าจริงสำรวจไปได้เพียงส่วนเดียวก็มีอันต้องล้มเลิกความตั้งใจ ด้วยประการแรก ปราสาทเอดินเบิร์กนั้นแม้ภายนอกจะดูมีขนาดไม่ใหญ่เหมือนปราสาทตามแคว้นใหญ่ในเอดินเบิร์ก หากความจริงนั้นมีโครงสร้างสลับซับซ้อนขนาดที่ว่าหากถอดปราสาทเป็นส่วน ๆ มาวางเรียงกันอาจกินพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของแคว้นขนาดรองด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ
สัมผัสของเขาบอกว่าปราสาทแห่งนี้ถูกลงมนตราไว้อย่างแน่นหนา ซ้ำยังมีคนรู้เห็นมากเกินกว่าที่เฟรินจะเสี่ยง
‘ลองของ’
เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจว่าเขาจะลงมือสำรวจส่วนที่เหลือของปราสาทในภายหลัง
วันนี้เขาควรเริ่มจากหอพักของตัวเองก่อน
สองเท้าของเฟรินจึงพาร่างโปร่งของตัวเองลัดเลาะไปตามห้องน้อยใหญ่ภายในป้อม
เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานนักในการสำรวจบริเวณรอบ ๆ ป้อมอัศวิน และภายในหอพัก
ก่อนจะสรุปในใจสั้น ๆ
...ป้อมอัศวินนั้นเป็นหอยาจกอย่างแท้จริง
หัวขโมยกำมะลอที่นับวันจะสวมบทบาทได้สมจริงได้แต่ถอนหายใจอย่างผิดหวังยามมองความวิว่างวิโหวงเหวงภายในห้อง
ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนบานประตูหนาหนักที่มีตัวอักษรสีทองซีดจางจนแทบอ่านไม่ออกว่า
“คลังกลาง” ให้ปิดสนิทดังเดิม
...มิน่าเล่า
ประตูห้องคลังจึงได้สะเดาะกลอนได้ง่ายนัก ไม่มีแม้แต่การลงมนตรา
หรือแม้แต่เวรยามเฝ้าประตู
เฟรินผละออกจากบานประตู
ก่อนจะรีบพาตัวเองไปจาก “พื้นที่หวงห้าม”
แต่ในขณะที่เท้าของหัวขโมยกำลังจะก้าวพ้นทางเดินกลับไปสู่โถงทางเดินหลักที่จะพาเขากลับไปยังห้องนั่งเล่นกลางนั้นเอง
“ที่ว่ามาเพื่อชมดอกไม้งาม นี่หรือดอกไม้งามของเจ้า”
เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก เสียงคุ้นหูนั้นดังมาจากเบื้องหลัง และเมื่อหัวขโมยหันกลับไปมอง
ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเล็กน้อยราวแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงก้าวออกมายืนประจันหน้า
ดวงหน้าคมนิ่งสนิท
“เจ้าชายคาโล?”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ฟังกฎแม้แต่น้อยเลยสินะ
เฟริน เดอเบอร์โรว์ เจ้าไม่รู้หรือว่าการขโมยสิ่งของในเอดินเบิร์กมีความผิดสถานใด”
เจ้าของเรือนผมสีเงินเอ่ยเสียงเย็น
“ก่อนจะถามว่าการขโมยมีความผิดใด ท่านควรจะทำความเข้าใจก่อนว่าข้ายังไม่ได้ขโมยสิ่งใดไป
เจ้าชายคาโล หรือถ้าท่านอยากจะพิสูจน์ ข้าก็ไม่ว่าอะไรนะ” เฟรินตอบด้วยน้ำเสียงราวกับคนเป็นเจ้าชายกำลังชวนคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ
ไม่รู้สึกรู้สากับสายตาจับผิดที่ส่งมา ซ้ำยังกางแขนกว้างราวกับเชื้อเชิญหากคาโลกลับไม่ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้น
เด็กหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งพลางส่งสายตาเย็นเยียบราวกับจะแช่แข็งคนตรงหน้า
“ยังไม่ได้ขโมย ไม่ได้แปลว่าจะไม่ขโมย
เจ้าคิดว่าจะมีใครเชื่อข้ออ้างข้าง ๆ คู ๆ ของเจ้าหรือ”
ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังประโยคนั้น เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก
ก่อนจ้องตรงเข้าไปในดวงตาคู่สวยหากเย็นชาคู่นั้น
“ดูท่านจะติดใจกับหัวขโมยเช่นข้าเหลือเกิน
เจ้าชายคาโล ท่านไม่คิดว่าข้าอาจจะแค่เดินหลงทางบ้างหรืออย่างไร”
“ไม่หลงทางไกลไปสักหน่อยรึ”
“คนหลงทางหลงทิศ บอกได้ด้วยรึว่าไกลหรือไม่”
คราวนี้หัวขโมยไม่ว่าเปล่า เลิกคิ้วเสียข้างเพิ่มความยียวนให้คนมองได้แต่ส่งเสียเหอะในลำคอ
“หัวขโมยหลงทิศงั้นรึ หึ...หัวขโมยช่างปดเช่นเจ้าทุกคนหรือเปล่า”
“แล้วเจ้าชายคาโนวาลนิยมสะกดรอยตามผู้อื่นเช่นท่านทุกพระองค์หรือไม่ล่ะ”
“...”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไปคล้ายกับทำอะไรไม่ถูก รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของหัวขโมย ดวงตาสีน้ำตาลเต้นระริกด้วยความขบขันยามเห็นสีหน้าคล้ายหงุดหงิดหากยังพยายามยึดหน้ากากหน้านิ่งไว้แน่นของคนตรงหน้า การสวมบทเป็นหัวขโมยตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนให้รัชทายาทแดนปีศาจกลายเป็นคนกะล่อนที่พร้อมจะเอาตัวรอดในทุกสถานการณ์
แน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
และเด็กหนุ่มใช้วาจาต่อล้อต่อเถียงจนเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งเสียด้วย
แล้วคนแข็งทื่อ
ประหยัดถ้อยคำประหนึ่งกลัวพิกุลจะร่วงลงมาเป็นทองเช่นนี้น่ะหรือ จะตามทัน
ในขณะที่เจ้าชายหนุ่มเอง คราแรกที่ตามมาเพียงแค่สงสัยในท่าทีลุกลี้ลุกลนและต้องการจะเตือนคนตัวเล็กเท่านั้น
หากไม่คิดว่าเจ้าตัวจะทำกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ ซ้ำยังทำยียวนกวนประสาทก็พาลลืมตัว
นึกอยากเอาชนะคะคานขึ้นมาจึงได้ต่อล้อต่อเถียงอย่างผิดวิสัยตน ขนาดที่ว่าคนเป็นเจ้าชายได้แต่สงสัยในหนหลังว่า
หากตอนนั้นไม่มีชายหนุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาห้ามทัพพวกเขาทั้งเสียคู่ก่อน
พวกเขาจะยืนต่อล้อต่อเถียงอยู่ตรงนั้นจนถึงเช้าหรือไม่
“ข้าแน่ใจว่า
พวกเจ้าคงไม่อยากถูกทำโทษฐานบุกรุกพื้นที่หวงห้ามโดยพลการเสียแต่วันแรกที่เข้าเรียนหรอกนะ”
คือประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งบอก
ปลอกแขนสีแดงบนต้นแขนบอกให้เจ้าชายหนุ่มรู้ว่า
พวกเขาได้เจอกับหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎของป้อมอัศวินเข้าแล้ว
“แต่วันนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ
และพวกเจ้าก็โชคดีเป็นบ้าที่ลอรี่ไม่ได้มากับข้า ฉะนั้น เรื่องเมื่อกี้ข้าจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกันนะ
คาลี่ เฟรี่” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะหลังเดินตามหลังทั้งคู่จนมาถึงโถงทางเดินหน้าบันไดวน
ดวงตาสีดำหลังกรอบแว่นทรงกลมนั้นส่องประกายขี้เล่นขณะส่งรอยยิ้มกว้างขวางโดยไม่สนใจสีหน้าพิกลของหนึ่งเจ้าชายหนึ่งหัวขโมยยามได้ยินชื่อเรียกพิลึกพิลั่น
“อ่า
ขอบคุณฮะ รุ่นพี่ เอ่อ”
“ลูคัส
ซาโดเรีย ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ และผู้คุมกฎแห่งป้อมอัศวิน
ฉายาหลังเจ้าน่าจะเดาได้สินะคาลี่” เอ่ยพลางขยิบตาให้เจ้าชายที่หน้ายังตึงกับชื่อเรียกของชายหนุ่มขณะมือหนึ่งก็ยื่นมาให้จับ
คาโลจับจ้องมือที่ยื่นออกมาของผู้วิเศษนิ่ง มีประกายแห่งความลังเลปนแคลงใจฉายวาบในดวงตาคู่สวย
หากไม่ทันที่คาโลจะตัดสินใจ กลับเป็นหัวขโมยที่รีบคว้ามือของผู้คุมกฎไปจับอย่างแนบแน่นด้วยสองมือ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะรุ่นพี่ลูคัส
เป็นบุญของข้าจริง ๆ ที่ได้เจอท่าน รุ่นพี่ใจดีสุดยอดไปเลย
คราวหน้าหากรุ่นพี่อยากเรียกใช้อะไรบอกได้เต็มที่เลยนะฮะ”
เจ้าตัวแสบรีบพูดด้วยน้ำเสียงประจบ ขณะสาดสายตาตำหนิไปยังคนที่ยังยืนนิ่ง
ช่างซื่อบื้อได้ไม่ดูสถานการณ์เอาเสียเลย
“เจ้านี่ร่าเริงดีนะ
เฟรี่” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะดึงมือกลับ และดูเหมือนจะถูกใจหัวขโมยไม่น้อยเพราะก่อนจะขอตัวแยกไปอีกทางชายหนุ่มยังเอื้อมมือมาตบไหล่หัวขโมยเบา
ๆ
คล้อยหลังผู้คุมกฎหนุ่ม
หัวขโมยที่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มก็หันมาหาคนเป็นเจ้าชาย
รอยยิ้มระรื่นแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวใส่คนเป็นเจ้าชาย ตามด้วยคำพูดสั้น ๆ ว่า
“เจ้าก้อนน้ำแข็งซื่อบื้อเอ๊ย”
ก่อนจะสะบัดพรืดเดินหายขึ้นบันไดไปก่อน
ทิ้งให้คาโลได้แต่ถอนหายใจพรืดอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะออกเดินตามหลัง
....
ล่วงเข้าสู่ยามราตรี ความเงียบเข้าห่มคลุมปราสาทเอดินเบิร์กทั้งปราสาท
เหลือเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาหวีดหวิวของสายลมและเสียงไม้กระเทาะไฟจากกระถางเพลิงที่ถูกจุดเพื่อให้แสงสว่าง
นาน ๆ ครั้งจึงจะมีเสียงฝีเท้ากระทบแผ่นหินของเหล่านักเรียนป้อมอัศวินปีสูงที่รับหน้าที่อยู่ยืนยาม
...อาจเป็นเพราะแสงจากกระถางเพลิงที่กระทบร่างเกิดเป็นเงาทอดยาววูบไหวยามเดินผ่าน
หรืออาจเป็นเพราะความเคยชินจนวางใจว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าล่วงผ่านกำแพงมนตราของมหาปราชญ์
จึงไม่มีนักเรียนคนใดสังเกตเห็นเงาร่างที่กำลังเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วเบื้องหลัง
เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่นัดหมาย
ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองสำรวจอย่างรวดเร็ว
ใจประหวัดนึกถึงกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกพบอยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวนอก เนื้อความในนั้นมีเพียงประโยคสั้น
ๆ ชวนสงสัยพร้อมแผนที่ระบุเส้นทางที่พามายังจุดนัดพบ หากอยู่ในสถานการณ์อื่น
มองอย่างไรก็คิดได้แค่ว่าอาจเป็นหลุมพรางล่อลวงอันตื้นเขิน
และหัวขโมยกำมะลอคงไม่แม้แต่จะเยื้องกรายเข้าใกล้สถานที่ที่ระบุ
หากสัญชาตญาณของเฟรินกลับบอกเด็กหนุ่มว่าเจ้าของจดหมายมิได้มีจิตมุ่งร้ายแต่อย่างใด
แม้จะไม่แน่ใจในเจตนานักหากก็เพียงพอที่เฟรินตัดสินใจเสี่ยงมาพบ
ส่วนอีกประการหนึ่ง...
เสียงสวบสาบเบื้องหลังเรียกสติหัวขโมยให้ออกจากห้วงความคิด
เฟรินหันกายกลับมาเผชิญหน้าเจ้าของเสียงที่กำลังเดินออกมา กระทั่งเงาร่างนั้นพ้นเงาไม้
แสงจันทร์จึงเผยร่างสูงโปร่งของชายหนุ่ม เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มขี้เล่นเอ่ยถาม
“...ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนใจร้อน รีบเรียกใช้บริการข้าเร็วเช่นนี้ รุ่นพี่ลูคัส มีอะไรให้หัวขโมยคนนี้รับใช้ฮะ”
2018.04.25
01.20 PM
-----------------------------------------------------
กราบสวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่านค่ะ แฮ่
ใช่ค่ะ ชุ้นกลับมาแล้วว *เอคโค่*
สำหรับตอนนี้ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ตอนที่ให้ความรู้สึกว่าเขียนใหม่ยาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์ของตัวละครหลัก ประกอบกับมุมมองคนเขียนที่เปลี่ยนไปด้วย
เลยเขียน ๆ แก้ ๆ เขียน ๆ แก้ ๆ ไม่ถูกใจเสียที บวกกับงานหลักที่ทำอยู่ตอนนี้
พอดีเลยค่ะ บวกยาวมาเป็นเดือน
...เค้าขอโต้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แต่จบยากกว่าโคนัน ก็คงนิยายชุ้นนี่ล่ะ *วิ่งหลบรองเท้า*
ขอบคุณทุกคนที่ยังรอ ขอบคุณทุกคนที่ (หลง) เข้ามาอ่าน และขอบคุณทุกคนที่ทวงค่ะ
บอกเลยว่ามันเป็นกำลังใจชั้นเลิศสำหรับคนเขียนมือสมัครเล่นเช่นเรา ว่า เหยยย มันยังมีคนอ่านนะ
ขอบคุณคอมเมนท์ล่วงหน้านะคะ ด่าพี่ได้แต่อย่าแรง
ขอให้ละเว้นคำไม่สุภาพด้วยค่ะ พี่จะไม่ไฟต์ พี่ไม่ใช่เมนเทอร์ริต้าที่เผาทุ่งลาเวนเดอร์ พี่แก่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
รักคนอ่านจ้ะ
thorongil
ความคิดเห็น