ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #10 : เพื่อนร่วมห้อง

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 63


    เพื่อนร่วมห้อง

     

     

     

     

     

     

    กว่าเฟรินจะได้เหยียบเข้าห้องพักพร้อมสัมภาระเต็มสองมือก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งเล่มเทียนในการเรียกคนในห้องให้มาเปิดประตู โดยมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่หัวขโมยค่อนขอดในใจว่าช่าง ไร้ประโยชน์’ เพราะเจ้าตัวเอาแต่ยืนนิ่งพลางปล่อยรังสีเย็นชาอยู่เงียบ ๆ

    เข้าห้องมาได้ ดวงตาสีน้ำตาลก็กวาดตาสำรวจสภาพภายในห้องอย่างรวดเร็ว มันเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นักหากก็พออาศัยกันได้ 3 คนแบบพอดิบพอดี เตียงสี่เสาสามเตียงขนาดเล็กตั้งชิดกำแพงด้านหน้าเรียงกัน แต่ละเตียงตั้งห่างกันไม่เกินก้าว ตู้ขนาดใหญ่ทำจากไม้มะฮอกกานีสีเข้มสำหรับเก็บเสื้อผ้าตั้งห่างออกไปทางซ้าย โต๊ะกลมเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้และตู้เล็กเท่าจำนวนเตียงวางเรียงกันอยู่ทางขวา คือ เครื่องใช้ทั้งหมดที่มีในห้อง พื้นห้องปูพรมสักหลาดสีแดงเข้ม ตัดกับผ้าม่านสีลาเวนเดอร์ที่ติดเหนือหน้าต่างบานใหญ่สามบานเหนือเตียง เตียงด้านขวาสุดมีร่างของคิลมัส ฟีลมัส นักฆ่าแห่งซาเรสที่เปิดประตูเสร็จก็พาตนเองกลับมานอนเอกเขนกอย่างไม่สนใจใคร ส่วนเตียงทางซ้ายมือสุดนั้นถูกเด็กหนุ่มที่เฟรินเพิ่งขนานนาม เจ้าชายไร้ประโยชน์แห่งคาโนวาลให้หมาด ๆ จับจองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตียงกลางจึงกลายเป็นของหัวขโมยไปโดยปริยาย


    และเพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับสัมภาระของตน ในขณะที่อีกคนเอาแต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาราวกับอยู่ในโลกส่วนตัว ก่อให้เกิดบรรยากาศเงียบงันแปลกแปร่งลอยวนในอากาศ ...แปลกจนเฟรินได้แต่ถอนใจก่อนจะหัวเราะให้ตัวเองเบา ๆ


    ...เฉพาะวันนี้เขาถอนใจไปกี่รอบแล้วนะ เด็กหนุ่มคิดพลางวางกองสัมภาระของตนไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนเดินอ้อมเพื่อไปเปิดหน้าต่าง 

    สายลมเย็นพัดเข้ามาในห้องจนม่านมุ้งปลิวไสว เด็กหนุ่มหลับตารับสายลมนั้น ก่อนจะเปลี่ยนอิริยาบทเป็นกึ่งยืนกึ่งนั่งที่ขอบหน้าต่างนั้น ศีรษะพิงหน้าต่างพลางมองไปยังท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้ม ...อดนึกดีใจไม่ได้ที่ทิศของห้องที่เขาอยู่หันไปทางตะวันตกพอดี


    แม้ไม่อาจกลับไปในเร็ววัน แต่การได้เห็นแผ่นดินเกิดทุกวันจากห้องนี้ก็คงแก้ขัดได้บ้าง พลางคิดถึงบุรุษผู้นั้นที่ป่านนี้อาจกำลังประทับอยู่ในห้องอาหารกว้างใหญ่โดยลำพัง


    ...ป่านนี้ท่านพ่อจะเป็นอย่างไรบ้างนะ


    คิดพลางผ่อนลมหายใจยาว


    มีอะไรน่าหนักใจนักหนา ถึงถอนใจดังเฮือกเสียงถามดังมาจากทางด้านขวามือ เฟรินจึงหันกลับไปมอง ก็พบว่านักฆ่าหัวกระเซิงที่นอนเอกเขนกอยู่เมื่อครู่ลุกขึ้นนั่งลับมีดใบโค้งในมือด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ


    ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ ไหน ๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว เรามาแนะนำตัวกันหน่อยดีไหม เฟรินเอ่ยขึ้น หากคำถามนั้นกลับทำให้อีกสองหนุ่มหยุดมือจากสิ่งที่ทำหันมามองหัวขโมยเป็นตาเดียว หากให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


    คู่หนึ่งให้ความรู้สึกเย็นชาห่างเหินยิ่ง หากอีกคู่กลับเต็มไปด้วยประกายวิบวับราวขบขัน


    “เจ้า... ความจำสั้นหรือไง” คือคำตอบสั้น ๆ จากเจ้าชาย ส่วนเจ้านักฆ่านั้นส่งเสียงขลุกขลักในลำคอ แต่เฟรินแน่ใจว่ามันคือเสียงหัวเราะ สีหน้าของหัวขโมยจึงค่อนไปทางบูดบึ้งยามเอ่ยประโยคถัดมา


    “ความจำข้ายังทำงานได้ดี เจ้าชายคาโล วาเนบลี แห่งคาโนวาล แต่ข้าหมายถึงทำความรู้จัก สร้างความคุ้นเคยที่มากกว่าการรู้จักเพียงชื่อเสียงเรียงนาม ...เจ้านี่ถ้าจะมีเพื่อนน้อยนะ” ประโยคหลังเฟรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราวกับสงสาร หากดวงตากลับเป็นประกายวาบราวท้าทาย คนถูกกล่าวหาว่าเพื่อนน้อยจึงจ้องกลับด้วยสายตาเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม อย่างไม่มีใครยอมลงให้ก่อน สุดท้ายจึงเป็นนักฆ่าที่ทลายบรรยากาศมึนตึงด้วยคำถาม


    “แล้วเจ้าว่า นอกจากชื่อเสียงเรียงนามแล้ว เราควรจะทำความรู้จักกันเรื่องอะไรล่ะ เจ้าหัวขโมย ครอบครัว ฐานะ งานอดิเรก 

    ...หรือว่าจุดประสงค์ในการเข้ามาที่นี่” ประโยคสุดท้ายทำให้เฟรินชะงักไปเล็กน้อย หากเด็กหนุ่มรีบกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อนย้อนถามด้วยคำถามเดียวกัน


    “อา เป็นคำถามที่ไม่เลวนะ แล้วนักฆ่าอย่างเจ้ามาทำอะไรในโรงเรียนพระราชากันล่ะ ...คงไม่ใช่มาลอบสังหารผู้ใดหรอกนะ” สิ้นเสียงก็ราวกับความเงียบเข้ามาเป็นเจ้าเรือนในอึดใจ ดวงตาสีน้ำตาลของเฟรินประสานเข้ากับดวงตาสีม่วงที่เป็นประกายระริกราวกับรู้ทัน ...เป็นแววตาที่ทำให้คนมีชนักปักหลังเช่นหัวขโมยกำมะลออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง


    “ข้ามาทำอะไรงั้นรึ หึหึ คงไม่ต่างจากเจ้าหรอก ใจเจ้าบอกว่าอย่างไรล่ะ” เด็กหนุ่มนักฆ่าตอบด้วยดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายเจ้าเล่ห์ ...เป็นดวงตาที่ทำให้สัญชาตญาณระวังภัยของเฟรินลั่นระฆังเตือนเลื่อนลั่น หากเด็กหนุ่มยังทำใจดีสู้เสือ ส่งยิ้มให้นักฆ่าก่อนตอบ


    “ไม่ยักรู้ว่านักฆ่าจะคิดตรงกับหัวขโมยเช่นข้า” พูดจบก็เอนตัวพลางกวักมือเรียกให้คิลมัสเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนกระซิบถ้อยคำบางอย่างใส่หู หากเมื่อนักฆ่าฟังจบกลับทำสีหน้างุนงงใส่แทน


    “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”


    “อ้าว ไหนว่าเจ้าเข้ามาด้วยจุดประสงค์เดียวกับข้า ..อ้อ ที่แท้เจ้าคิดจะหลอกถามข้าหรอกรึ” หัวขโมยแสร้งร้องเสียงดังก่อนทำสีหน้าราวกับผิดหวังเสียเต็มประดา หากนักฆ่ากลับทำหน้าเหยเก


    “เออ ข้าคิดจะหลอกถามเจ้า แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะมาเพื่อบุปผางาม ...บุปผางามอะไรของเจ้า”


    หัวขโมยทำเสียงจึ้กจั้กในลำคอ ส่ายหน้าพลางขยับกายเข้ามากอดคอนักฆ่าหนุ่มแนบแน่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับผู้ทรงภูมิว่า


    “เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย เขาว่าโรงเรียนพระราชาแห่งนี้ใครก็มาเรียนได้ก็จริง แต่ทุกคนรู้ดีว่าเกินครึ่งหนึ่งของนักเรียนที่นี้นั้นหากไม่ใช่เหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ต้องเป็นบุตรขุนน้ำขุนนาง แล้วในเอเดนนี่เชื้อพระวงศ์หญิงก็มีไม่น้อย 

    ไอ้ข้าน่ะเป็นผู้นิยมชมชอบของสวย ๆ งาม ๆ ยิ่งหญิงงามยิ่งชื่นชม แล้วระดับเชื้อพระวงศ์ก็ใช่จะมีให้ยลเสียบ่อย ๆ ข้าอยากเห็น ก็เลยลองมาทดสอบดู”


    “แค่นี้เองงั้นรึ?” นักฆ่าหัวยุ่งยังคงทำหน้ายุ่งด้วยความงุนงง


    “ถูกต้อง” หัวขโมยแสร้งตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พลางหัวเราะเสียงดัง ชักนึกเอ็นดูความใสซื่ออย่างไม่น่าเชื่อของนักฆ่า หากก็ต้องชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบกับสายตาเสียดแทงปนดูแคลนของเจ้าชายหนุ่มที่ไม่รู้ว่าจัดของเสร็จตั้งแต่เมื่อใด และน่าแปลกที่อารมณ์ดี ๆ ของเฟรินคล้ายจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แม้รอยยิ้มยังประดับบนใบหน้าหัวขโมย หากรอยยิ้มนั้นกลับไม่เผื่อแผ่ไปถึงนัยน์ตาสีเปลือกไม้ของเจ้าตัว


    “แล้วตกลงเจ้ามาที่นี่ทำไมคิลมัส” เฟรินถามโดยยังไม่ยอมเบือนหน้าหนีสายตาของเจ้าชายที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องราวกับท้าทายกระทั่งเป็นฝ่ายเจ้าชายที่ยอมละสายตาไปก่อน ก่อนจะพาร่างสูงลับหายไปเบื้องหลังประตูห้องอาบน้ำ เฟรินแว่วเสียงนักฆ่าตอบด้วยน้ำเสียงเรื่อย ๆ


    “เรียกข้าคิลก็พอ ข้าแค่มาหาอะไรฆ่าเวลาเล่น ๆ น่ะ พอดีช่วงนี้ไม่ได้รับงานอะไร พ่อเลยให้มาสอบดู”


    “เหตุผลเพียงแค่นั้นเอง?” เฟรินหันมาสบตานักฆ่า มีความไม่เชื่อถืออยู่ในดวงตาสีน้ำตาลนั้น หากดวงตาสีม่วงที่มองตอบบอกชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น


    “พูดราวกับเหตุผลเจ้าฟังขึ้นนัก”


    “หรือจะให้บอกว่า ข้ามาเพื่อขโมยเจ้าชายรึเจ้าหญิงสักคนดีล่ะ” หัวขโมยตอบด้วยน้ำเสียงท้าทาย


    “นั่นค่อยน่าสนใจหน่อย” นักฆ่าหัวเราะเบา ๆ


    “งั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” หัวขโมยว่าก่อนทิ้งตัวลงนอนบนเตียงราวกับหมดความสนใจจะต่อบทสนทนา ก่อนหลับตาสูดกลิ่นแดดอ่อน ๆ ที่ยังติดอยู่บนผ้าปูเตียง พลางคิดว่านานเพียงใดแล้วที่หลังไม่ได้สัมผัสฟูกนอนหนานุ่มเช่นนี้


    “เอาล่ะ ข้าตัดสินใจแล้ว” จู่ ๆ เจ้านักฆ่าที่นั่งเงียบอยู่สักพักก็เอ่ยขึ้นให้หัวขโมยที่เกือบเคลิ้มหลับไปสะดุ้งน้อย ๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว


    “ข้าจะยอมเป็นเพื่อนกับเจ้าก็ได้ เพราะเจ้าน่าสนใจดี แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าจะต้องเล่าชีวิตการเป็นหัวขโมยของเจ้าให้ข้าฟัง ตกลงหรือไม่”


    เฟรินเลิกคิ้วน้อย ๆ ให้กับเงื่อนไขมิตรภาพพิลึกพิลั่นของเด็กหนุ่มหัวยุ่งที่กำลังส่งยิ้มกว้าง ดวงตาสีม่วงนั้นฉายแววจริงใจ มือขาวยื่นออกมาเบื้องหน้าพลางขยับไปมาราวกับยั่วเย้าหัวขโมยที่มองด้วยความแคลงใจ


    เสียงถอนใจยาวดังมาจากหัวขโมย ก่อนริมฝีปากจะบิดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม


    เถอะ มีสหายเป็นนักฆ่าสักคนก็คงไม่เลวนักหรอก

     


    ----


    เด็กหนุ่มทั้งสองผลัดกันเล่าเรื่องอย่างเพลิดเพลินจนแทบลืมเวลา แม้เทียบกันแล้วคิลจะไม่ได้เล่าเรื่องของตนเองมากเท่าที่ควร หากเท่าที่ได้ฟังก็พอทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เกิดและเติบโตในตระกูลนักฆ่าที่มีชื่อเสียงที่สุดตระกูลหนึ่งในซาเรส และนี่เป็นครั้งแรกที่คิลมัส ฟีลมัสได้ออกจากซาเรสมาต่างเมือง ยามที่เฟรินเล่าเรื่องเมืองต่าง ๆ ให้เขาฟังจึงทำให้นักฆ่าดูตื่นเต้นราวกับเด็กน้อย ต่างจากท่าทางรู้ทันคนที่แสดงให้เห็นก่อนหน้าลิบลับ ชวนให้สงสัยว่าตระกูลนักฆ่าเลี้ยงดูกันมาอย่างไรกันแน่


    ไวเท่าความคิด เฟรินเอ่ยถามคำถามหนึ่งออกไป


    “นี่คิล ข้ามีเรื่องสงสัย ปกติพวกนักฆ่าน่ะมักจะมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ส่วนมากมักปิดเป็นความลับกันด้วยซ้ำไป เจ้ามาเปิดเผยให้ฟังกันโต้ง ๆ เช่นนี้จะไม่เป็นไรรึ”


    “เรื่องนั้น...”


    “ถึงตระกูลฟีลมัสจะเป็นตระกูลนักฆ่า หากอิทธิพลของฟีลมัสกลับยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตระกูลขุนนาง เรียกว่าหากตระกูลฟีลมัสออกหน้าแล้ว แม้แต่กษัตริย์ยังต้องรับฟัง” เสียงตอบนั้นไม่ได้มาจากเด็กหนุ่มหัวยุ่งที่นั่งข้าง ๆ เฟรินเลิกคิ้วน้อย ๆ อย่างแปลกใจ ในขณะที่คิลเพียงเบือนหน้าไปยังที่มาของเสียง มุมปากของนักฆ่ายกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นคล้ายแปลกใจหากดวงตากลับฉายแววรู้เท่าทันขณะเอ่ย


    “ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชายแห่งคาโนวาลจะสนใจเรื่องในซาเรสด้วย”


    “เรื่องนั้นก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรไม่ใช่รึ” คาโลตอบน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับกำลังเอ่ยเรื่องดินฟ้าอากาศ หากสำหรับเฟรินแล้วน้ำเสียงเช่นนั้นช่างให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้เหลือเกิน เด็กหนุ่มตั้งใจจะหันไปหาเรื่องสักนิด หากปากที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจาเผ็ดร้อนดังคิดกลับชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า


    ...ขาว...


    ร่างสูงโปร่งของคนเป็นเจ้าชายสวมเพียงกางเกงตัวเดียว เผยรูปร่างกำยำผิดคาด เส้นผมสีเงินเปียกชื้นลู่แนบไปกับลำคอ มีบางส่วนดูยุ่งเหยิงเล็กน้อยเพราะเจ้าตัวเพิ่งเช็ด โดยผ้าที่ใช้เช็ดยังพาดอยู่บนบ่าเปลือยเปล่า ผิวขาวจัดที่ผิดแผกจากชาวคาโนวาลทั่วไปต้องแสงสว่างจากภายนอกจนคนมองรู้สึก...แสบตา


    เฟรินนิ่งอึ้งกระทั่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองเห่อร้อนจึงได้แต่รีบเก็บสายตาก่อนเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ข้างนักฆ่าที่เห็นว่าอยู่ ๆ คู่สนทนาของตนก็เงียบไปจึงหันกลับมามองก่อนร้องทัก


    “หือ เจ้าเป็นอะไรเฟริน อยู่ ๆ ก็เงียบไปเสียเฉย ๆ”


    “ปะ-เปล่า” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองไปยังร่างขาว ๆ ที่ยังเห็นทางหางตาพลางนึกบริภาษในใจ


    ...ราชสำนักคาโนวาลไม่ได้อบรมมาหรืออย่างไร เจ้าชายหน้าด้านนี่ถึงกล้าออกมาในสภาพไม่เรียบร้อยเช่นนั้น


    “เจ้าแน่ใจนะ ดูหน้าเจ้าแดง ๆ ชอบกล” คิลว่าพลางขมวดคิ้วน้อย ๆ ยามเห็นสีแดงเรื่อรางแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของหัวขโมยให้เจ้าตัวได้แต่ก่นด่าความช่างสังเกตเหลือเกินของนักฆ่า ยิ่งรู้สึกว่าตัวต้นเหตุที่ยืนแต่งตัวอยู่อีกด้านกำลังมองมาเช่นกัน เฟรินยิ่งได้แต่ทำตัวลีบเล็ก เอนหลบอยู่หลังม่านมุ้งที่ประดับเตียง


    “ขะ-ข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันเหอะคิล” ที่สุดเมื่อทนสายตาสงสัยเซ้าซี้ของนักฆ่าที่มองมาไม่ได้ เด็กหนุ่มก็โพล่งออกมาดังลั่นก่อนจะผุดลุกเดินเร็ว ๆ ออกจากห้องโดยไม่แม้แต่จะรอสหายใหม่ ทิ้งให้คนในห้องได้แต่มองตามไปอย่างงุนงงกับพฤติกรรมของเจ้าตัว


    “สงสัยจะหิวเอามาก” นักฆ่าเปรยอย่างไม่สู้จะใส่ใจนักพลางทำท่าพยักพเยิด ชักชวนเด็กหนุ่มร่างสูงไปพร้อมกัน ครั้นได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ นักฆ่าก็สรุปเอาเองในใจก่อนจะออกจากห้องตามหัวขโมยไป


    เหลือเพียงเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่ยังคงยืนนิ่งจ้องบานประตูด้วยสีหน้าครุ่นคิด

     


    ----

                หลังมื้ออาหาร เฟรินปลีกตัวจากสหายคนใหม่ที่ควบตำแหน่งเพื่อนร่วมห้องหมาด ๆ ด้วยข้ออ้างขอไปทีก่อนจะเดินตัวปลิวหายไปจากห้องอาหารดราก้อน ห้องอาหารประจำป้อมอัศวินที่รสชาติอาหารไกลจากคำว่าอร่อยยิ่ง 

    หัวขโมยหมายจะสำรวจภายในปราสาทให้ทั่วเสียตั้งแต่วันแรก ทว่าเอาเข้าจริงสำรวจไปได้เพียงส่วนเดียวก็มีอันต้องล้มเลิกความตั้งใจ ด้วยประการแรก ปราสาทเอดินเบิร์กนั้นแม้ภายนอกจะดูมีขนาดไม่ใหญ่เหมือนปราสาทตามแคว้นใหญ่ในเอดินเบิร์ก หากความจริงนั้นมีโครงสร้างสลับซับซ้อนขนาดที่ว่าหากถอดปราสาทเป็นส่วน ๆ มาวางเรียงกันอาจกินพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของแคว้นขนาดรองด้วยซ้ำ 

    ที่สำคัญ สัมผัสของเขาบอกว่าปราสาทแห่งนี้ถูกลงมนตราไว้อย่างแน่นหนา ซ้ำยังมีคนรู้เห็นมากเกินกว่าที่เฟรินจะเสี่ยง ลองของ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจว่าเขาจะลงมือสำรวจส่วนที่เหลือของปราสาทในภายหลัง


                วันนี้เขาควรเริ่มจากหอพักของตัวเองก่อน


                สองเท้าของเฟรินจึงพาร่างโปร่งของตัวเองลัดเลาะไปตามห้องน้อยใหญ่ภายในป้อม เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานนักในการสำรวจบริเวณรอบ ๆ ป้อมอัศวิน และภายในหอพัก ก่อนจะสรุปในใจสั้น ๆ


                ...ป้อมอัศวินนั้นเป็นหอยาจกอย่างแท้จริง


                หัวขโมยกำมะลอที่นับวันจะสวมบทบาทได้สมจริงได้แต่ถอนหายใจอย่างผิดหวังยามมองความวิว่างวิโหวงเหวงภายในห้อง ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนบานประตูหนาหนักที่มีตัวอักษรสีทองซีดจางจนแทบอ่านไม่ออกว่า “คลังกลาง” ให้ปิดสนิทดังเดิม


                ...มิน่าเล่า ประตูห้องคลังจึงได้สะเดาะกลอนได้ง่ายนัก ไม่มีแม้แต่การลงมนตรา หรือแม้แต่เวรยามเฝ้าประตู


    เฟรินผละออกจากบานประตู ก่อนจะรีบพาตัวเองไปจาก “พื้นที่หวงห้าม” แต่ในขณะที่เท้าของหัวขโมยกำลังจะก้าวพ้นทางเดินกลับไปสู่โถงทางเดินหลักที่จะพาเขากลับไปยังห้องนั่งเล่นกลางนั้นเอง


                “ที่ว่ามาเพื่อชมดอกไม้งาม นี่หรือดอกไม้งามของเจ้า” เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงัก เสียงคุ้นหูนั้นดังมาจากเบื้องหลัง และเมื่อหัวขโมยหันกลับไปมอง ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเล็กน้อยราวแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงก้าวออกมายืนประจันหน้า ดวงหน้าคมนิ่งสนิท


                “เจ้าชายคาโล?”


                ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ฟังกฎแม้แต่น้อยเลยสินะ เฟริน เดอเบอร์โรว์ เจ้าไม่รู้หรือว่าการขโมยสิ่งของในเอดินเบิร์กมีความผิดสถานใด” เจ้าของเรือนผมสีเงินเอ่ยเสียงเย็น


                “ก่อนจะถามว่าการขโมยมีความผิดใด ท่านควรจะทำความเข้าใจก่อนว่าข้ายังไม่ได้ขโมยสิ่งใดไป เจ้าชายคาโล หรือถ้าท่านอยากจะพิสูจน์ ข้าก็ไม่ว่าอะไรนะ” เฟรินตอบด้วยน้ำเสียงราวกับคนเป็นเจ้าชายกำลังชวนคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ ไม่รู้สึกรู้สากับสายตาจับผิดที่ส่งมา ซ้ำยังกางแขนกว้างราวกับเชื้อเชิญหากคาโลกลับไม่ตอบรับคำเชื้อเชิญนั้น เด็กหนุ่มร่างสูงยังคงยืนนิ่งพลางส่งสายตาเย็นเยียบราวกับจะแช่แข็งคนตรงหน้า


                “ยังไม่ได้ขโมย ไม่ได้แปลว่าจะไม่ขโมย เจ้าคิดว่าจะมีใครเชื่อข้ออ้างข้าง ๆ คู ๆ ของเจ้าหรือ” ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังประโยคนั้น เด็กหนุ่มยกแขนขึ้นกอดอก ก่อนจ้องตรงเข้าไปในดวงตาคู่สวยหากเย็นชาคู่นั้น


                “ดูท่านจะติดใจกับหัวขโมยเช่นข้าเหลือเกิน เจ้าชายคาโล ท่านไม่คิดว่าข้าอาจจะแค่เดินหลงทางบ้างหรืออย่างไร”


                “ไม่หลงทางไกลไปสักหน่อยรึ”


                “คนหลงทางหลงทิศ บอกได้ด้วยรึว่าไกลหรือไม่” คราวนี้หัวขโมยไม่ว่าเปล่า เลิกคิ้วเสียข้างเพิ่มความยียวนให้คนมองได้แต่ส่งเสียเหอะในลำคอ


                “หัวขโมยหลงทิศงั้นรึ หึ...หัวขโมยช่างปดเช่นเจ้าทุกคนหรือเปล่า”


                “แล้วเจ้าชายคาโนวาลนิยมสะกดรอยตามผู้อื่นเช่นท่านทุกพระองค์หรือไม่ล่ะ”


                “...”


                เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไปคล้ายกับทำอะไรไม่ถูก รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าของหัวขโมย ดวงตาสีน้ำตาลเต้นระริกด้วยความขบขันยามเห็นสีหน้าคล้ายหงุดหงิดหากยังพยายามยึดหน้ากากหน้านิ่งไว้แน่นของคนตรงหน้า การสวมบทเป็นหัวขโมยตลอดระยะเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนให้รัชทายาทแดนปีศาจกลายเป็นคนกะล่อนที่พร้อมจะเอาตัวรอดในทุกสถานการณ์ 

    แน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และเด็กหนุ่มใช้วาจาต่อล้อต่อเถียงจนเอาตัวรอดไปได้ทุกครั้งเสียด้วย


                แล้วคนแข็งทื่อ ประหยัดถ้อยคำประหนึ่งกลัวพิกุลจะร่วงลงมาเป็นทองเช่นนี้น่ะหรือ จะตามทัน


    ในขณะที่เจ้าชายหนุ่มเอง คราแรกที่ตามมาเพียงแค่สงสัยในท่าทีลุกลี้ลุกลนและต้องการจะเตือนคนตัวเล็กเท่านั้น หากไม่คิดว่าเจ้าตัวจะทำกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ ซ้ำยังทำยียวนกวนประสาทก็พาลลืมตัว นึกอยากเอาชนะคะคานขึ้นมาจึงได้ต่อล้อต่อเถียงอย่างผิดวิสัยตน ขนาดที่ว่าคนเป็นเจ้าชายได้แต่สงสัยในหนหลังว่า หากตอนนั้นไม่มีชายหนุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ ๆ ก็ปรากฎตัวขึ้นมาห้ามทัพพวกเขาทั้งเสียคู่ก่อน พวกเขาจะยืนต่อล้อต่อเถียงอยู่ตรงนั้นจนถึงเช้าหรือไม่


    “ข้าแน่ใจว่า พวกเจ้าคงไม่อยากถูกทำโทษฐานบุกรุกพื้นที่หวงห้ามโดยพลการเสียแต่วันแรกที่เข้าเรียนหรอกนะ” คือประโยคสุดท้ายที่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งบอก ปลอกแขนสีแดงบนต้นแขนบอกให้เจ้าชายหนุ่มรู้ว่า พวกเขาได้เจอกับหนึ่งในสี่ผู้คุมกฎของป้อมอัศวินเข้าแล้ว


    “แต่วันนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ และพวกเจ้าก็โชคดีเป็นบ้าที่ลอรี่ไม่ได้มากับข้า ฉะนั้น เรื่องเมื่อกี้ข้าจะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกันนะ คาลี่ เฟรี่” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะหลังเดินตามหลังทั้งคู่จนมาถึงโถงทางเดินหน้าบันไดวน ดวงตาสีดำหลังกรอบแว่นทรงกลมนั้นส่องประกายขี้เล่นขณะส่งรอยยิ้มกว้างขวางโดยไม่สนใจสีหน้าพิกลของหนึ่งเจ้าชายหนึ่งหัวขโมยยามได้ยินชื่อเรียกพิลึกพิลั่น


    “อ่า ขอบคุณฮะ รุ่นพี่ เอ่อ”


    “ลูคัส ซาโดเรีย ผู้วิเศษแห่งทริสทอร์ และผู้คุมกฎแห่งป้อมอัศวิน ฉายาหลังเจ้าน่าจะเดาได้สินะคาลี่” เอ่ยพลางขยิบตาให้เจ้าชายที่หน้ายังตึงกับชื่อเรียกของชายหนุ่มขณะมือหนึ่งก็ยื่นมาให้จับ คาโลจับจ้องมือที่ยื่นออกมาของผู้วิเศษนิ่ง มีประกายแห่งความลังเลปนแคลงใจฉายวาบในดวงตาคู่สวย หากไม่ทันที่คาโลจะตัดสินใจ กลับเป็นหัวขโมยที่รีบคว้ามือของผู้คุมกฎไปจับอย่างแนบแน่นด้วยสองมือ


    “ยินดีที่ได้รู้จักนะฮะรุ่นพี่ลูคัส เป็นบุญของข้าจริง ๆ ที่ได้เจอท่าน รุ่นพี่ใจดีสุดยอดไปเลย คราวหน้าหากรุ่นพี่อยากเรียกใช้อะไรบอกได้เต็มที่เลยนะฮะ” เจ้าตัวแสบรีบพูดด้วยน้ำเสียงประจบ ขณะสาดสายตาตำหนิไปยังคนที่ยังยืนนิ่ง


    ช่างซื่อบื้อได้ไม่ดูสถานการณ์เอาเสียเลย


    “เจ้านี่ร่าเริงดีนะ เฟรี่” ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะดึงมือกลับ และดูเหมือนจะถูกใจหัวขโมยไม่น้อยเพราะก่อนจะขอตัวแยกไปอีกทางชายหนุ่มยังเอื้อมมือมาตบไหล่หัวขโมยเบา ๆ


    คล้อยหลังผู้คุมกฎหนุ่ม หัวขโมยที่ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มก็หันมาหาคนเป็นเจ้าชาย รอยยิ้มระรื่นแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแยกเขี้ยวใส่คนเป็นเจ้าชาย ตามด้วยคำพูดสั้น ๆ ว่า


    “เจ้าก้อนน้ำแข็งซื่อบื้อเอ๊ย” ก่อนจะสะบัดพรืดเดินหายขึ้นบันไดไปก่อน ทิ้งให้คาโลได้แต่ถอนหายใจพรืดอย่างหงุดหงิดใจก่อนจะออกเดินตามหลัง

               



                ....


                ล่วงเข้าสู่ยามราตรี ความเงียบเข้าห่มคลุมปราสาทเอดินเบิร์กทั้งปราสาท เหลือเพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาหวีดหวิวของสายลมและเสียงไม้กระเทาะไฟจากกระถางเพลิงที่ถูกจุดเพื่อให้แสงสว่าง นาน ๆ ครั้งจึงจะมีเสียงฝีเท้ากระทบแผ่นหินของเหล่านักเรียนป้อมอัศวินปีสูงที่รับหน้าที่อยู่ยืนยาม


    ...อาจเป็นเพราะแสงจากกระถางเพลิงที่กระทบร่างเกิดเป็นเงาทอดยาววูบไหวยามเดินผ่าน หรืออาจเป็นเพราะความเคยชินจนวางใจว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าล่วงผ่านกำแพงมนตราของมหาปราชญ์ จึงไม่มีนักเรียนคนใดสังเกตเห็นเงาร่างที่กำลังเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วเบื้องหลัง


    เด็กหนุ่มใช้เวลาไม่นานก็มาถึงที่นัดหมาย ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองสำรวจอย่างรวดเร็ว ใจประหวัดนึกถึงกระดาษแผ่นเล็กที่ถูกพบอยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวนอก เนื้อความในนั้นมีเพียงประโยคสั้น ๆ ชวนสงสัยพร้อมแผนที่ระบุเส้นทางที่พามายังจุดนัดพบ หากอยู่ในสถานการณ์อื่น มองอย่างไรก็คิดได้แค่ว่าอาจเป็นหลุมพรางล่อลวงอันตื้นเขิน และหัวขโมยกำมะลอคงไม่แม้แต่จะเยื้องกรายเข้าใกล้สถานที่ที่ระบุ


    หากสัญชาตญาณของเฟรินกลับบอกเด็กหนุ่มว่าเจ้าของจดหมายมิได้มีจิตมุ่งร้ายแต่อย่างใด แม้จะไม่แน่ใจในเจตนานักหากก็เพียงพอที่เฟรินตัดสินใจเสี่ยงมาพบ ส่วนอีกประการหนึ่ง...


    เสียงสวบสาบเบื้องหลังเรียกสติหัวขโมยให้ออกจากห้วงความคิด เฟรินหันกายกลับมาเผชิญหน้าเจ้าของเสียงที่กำลังเดินออกมา กระทั่งเงาร่างนั้นพ้นเงาไม้ แสงจันทร์จึงเผยร่างสูงโปร่งของชายหนุ่ม เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มขี้เล่นเอ่ยถาม


    “...ไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนใจร้อน รีบเรียกใช้บริการข้าเร็วเช่นนี้ รุ่นพี่ลูคัส มีอะไรให้หัวขโมยคนนี้รับใช้ฮะ”



    2018.04.25

    01.20 PM

    -----------------------------------------------------



    กราบสวัสดีมิตรรักนักอ่านทุกท่านค่ะ แฮ่

    ใช่ค่ะ ชุ้นกลับมาแล้วว *เอคโค่* 

    สำหรับตอนนี้ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ ตอนที่ให้ความรู้สึกว่าเขียนใหม่ยาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสายสัมพันธ์ของตัวละครหลัก ประกอบกับมุมมองคนเขียนที่เปลี่ยนไปด้วย

    เลยเขียน ๆ แก้ ๆ เขียน ๆ แก้ ๆ ไม่ถูกใจเสียที บวกกับงานหลักที่ทำอยู่ตอนนี้

    พอดีเลยค่ะ บวกยาวมาเป็นเดือน

    ...เค้าขอโต้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    แต่จบยากกว่าโคนัน ก็คงนิยายชุ้นนี่ล่ะ *วิ่งหลบรองเท้า*


    ขอบคุณทุกคนที่ยังรอ ขอบคุณทุกคนที่ (หลง) เข้ามาอ่าน และขอบคุณทุกคนที่ทวงค่ะ 

    บอกเลยว่ามันเป็นกำลังใจชั้นเลิศสำหรับคนเขียนมือสมัครเล่นเช่นเรา ว่า เหยยย มันยังมีคนอ่านนะ

    ขอบคุณคอมเมนท์ล่วงหน้านะคะ ด่าพี่ได้แต่อย่าแรง

    ขอให้ละเว้นคำไม่สุภาพด้วยค่ะ พี่จะไม่ไฟต์ พี่ไม่ใช่เมนเทอร์ริต้าที่เผาทุ่งลาเวนเดอร์ พี่แก่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า

    รักคนอ่านจ้ะ

    thorongil


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×