คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท
-
ปฐมบท -
ไออุ่นจากร่างในอ้อมแขนที่กำลังจางหายบอกเขาว่า นางใกล้หมดลมหายใจเต็มที...
มือสั่น ๆ ของชายร่างสูงในชุดดำพยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดโลหิตที่กำลังไหลรินออกจากร่างหญิงสาวในอ้อมแขน
หากดวงแสงสีฟ้าเรื่อเรืองเหนือปากแผลฉกรรจ์กลางอกนาง กลับไม่อาจหยุดโลหิตจำนวนมากที่ทะลักออกมา
เลือดแดงฉาน ย้อมผืนผ้าสีขาวที่รองกายเธออยู่เบื้องล่างให้กลายเป็นสีเดียวกัน
‘อดทนไว้ อลิเซีย’
เขาพร่ำบอกเสียงสั่น
หากร่างบางกลับตอบสนองเพียงเสียงไอโขลกด้วยสำลักลิ่มเลือด ยิ่งลมหายใจเธอกระชั้นถี่ขาดห้วง
ยิ่งพาให้ร่างสูงลนลาน เขาอ้าปากร้องตะโกนเรียกแพทย์หลวงอีกครั้งดังลั่น หากสัมผัสบางเบาจากมือบางของเธอนั้นเองทำให้เขาชะงัก
ดวงตาอ่อนแสงนั้นบอกว่าเธอยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี
...แม้หัวใจของเขายังไม่อาจยอมรับ
เจ้าของมือบางพยายามอย่างยิ่งที่จะไขว่คว้าหาร่างเล็กที่ทอดกายหลับสนิทอยู่ไม่ห่าง
แรงเฮือกสุดท้ายถูกใช้เพียงเพื่อขยับกายให้ได้มองใบหน้ากลม และมือคู่เล็กจ้อย
มองเนิ่นนาน ราวกับจะให้ประทับตราตรึงในหัวใจก่อนลาจากไปแสนไกล
‘ฝะ...ฝาก ลูก...เร...า....ด้วย’ ถ้อยคำถูกเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น
เสียงของนางขาดเป็นห้วง ๆ ทั้งแหบแห้งและแผ่วเบา หากสำหรับเขา คำพูดนั้นทั้งดังชัดเจน
และหนักหน่วงยิ่งนัก
มันชัดเสียราวกับมีใครมาตะโกนอยู่ในหัวของเขา และดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ในอกซ้าย
...ในหัวใจที่ใกล้จะแตกสลาย
เสียงสั่น ๆ ขาดห้วงของนางไม่ใช่เสียงที่เขาต้องการได้ยินตอนนี้
ทว่าเสียงที่เขาต้องการได้ยินมากที่สุดตอนนี้กลับแผ่วลงทุกที
...เสียงหัวใจของนาง
มือใหญ่ขยับกุมแน่น หากมือบอบบางของเธอข้างนั้นกลับบีบตอบกลับอย่างอ่อนแรง
ดวงตาของอลิเซียละจากใบหน้าลูกน้อยมามองเขาแล้วก็ยิ้ม เธอยิ้มทั้งปากและดวงตา
ยิ้มอย่างที่เขารักนักรักหน้า หากร่างสูงของชายหนุ่มรู้สึกชาวาบ
“มะ..ไม่ อลิเซีย ไม่ อยู่กับข้า ได้โปรด” ชายหนุ่มละล่ำละลัก
แม้เชานั่นเองที่รู้ดียิ่งกว่าใครว่าสิ่งที่กำลังร้องขอนั้นเป็นไปไม่ได้ ทว่าหัวใจต่างหากเล่าที่ยังดื้อดึงร้องขอ
ดวงตาสีน้ำตาลมองตอบกลับอย่างวิงวอนทั้งรอยยิ้ม
หากคนมองนั้นสั่นไหวทั้งดวง
และในที่สุด ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็เคลื่อนปิดลง...ตลอดกาล
เสียงหัวใจที่ดังแผ่ว ๆ ค่อยช้าลง และช้าลง
...และเงียบไปในที่สุด
ความเงียบนั้นคล้ายตีแสกหน้าจ้าวปีศาจจนมึนชาไปทั้งสรรพางค์กาย
สรรพสิ่งรอบตัวคล้ายจะหยุดนิ่ง ความจริงดูเลื่อนลอยคล้ายความฝัน
ท่ามกลางความเงียบงันนั้น จ้าวปีศาจภาวนาจากหัวใจเป็นครั้งแรก
...ขอให้มันเป็นเพียงฝันร้าย
เขาพร่ำภาวนาขณะมือใหญ่เคลื่อนสัมผัสพวงแก้มนวลที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิต
หากเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกายเนื้อเย็นเยียบ ความจริงก็ตอกลิ่มลงใส่หัวใจอีกครา
เธอจากไปแล้ว...
อลิเซีย เกรเดเวล ราชินีแห่งเดมอส จากไปในความเงียบงันนั้นเอง
หยดน้ำใส ๆ
ในคลองดวงตาหยาดหยดลงสัมผัสร่างบางในอ้อมแขน
น้ำตา...ของบุรุษที่กล่าวกันว่า คือ
ปีศาจร้ายผู้อำมหิตไร้หัวใจ ไหลรินให้แก่สตรีผู้เป็นที่หนึ่งในดวงฤทัยเพียงลำพังในความเงียบอันเลือดเย็น
จ้าวปีศาจรั้งร่างไร้ลมหายใจเข้ามาแนบอกด้วยหัวใจที่ปวดร้าวราวกับถูกสับเป็นหมื่นชิ้น
เสียงร้องราวกับสัตว์ร้ายที่เจ็บเจียนตายใกล้สิ้นลมแล่นลิ่วออกจากลำคอ แหวกม่านหมอกสีหม่นแห่งความเงียบ
ราวกับจะปลุกทุกผู้ในดินแดนขึ้นมาให้รับรู้ถึงความโศกเศร้าของตน
เขาได้เรียนรู้ในบัดนั้น
...นี่เอง ที่เรียกว่าความเจ็บปวด......
ร่างสูงใหญ่ของจ้าวปีศาจคงจะนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นอีกนาน
หากไม่มีเสียงร่ำไห้ปิ่มขาดใจของเด็กน้อยแหวกอากาศออกมา จะด้วยตกใจเสียงของผู้เป็นบิดา
หรือด้วยรับรู้ว่ามารดาของเธอได้จากไปนั้นก็สุดที่จะรู้ หากเสียงร้องนั้นเองที่เรียกสติของเขากลับมาจากห้วงแห่งความโทมนัส
ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองร่างเล็กจ้อยที่ยังคงแผดเสียงร้องไห้จ้า
ตอนนั้นเองที่จ้าวปีศาจตระหนักว่า ลึกลงไปนั้น สิ่งที่กำลังแผดเผาหัวใจของผู้ครองดินแดนแห่งคนบาปนอกเหนือไปจากความเจ็บปวดจากการสูญเสีย
คือ เพลิงแค้น
และเมื่อตระหนักถึงการมีอยู่ เพลิงแค้นที่เต้นเร่าอยู่นั้นก็ยิ่งลุกโชน
โหมกระหน่ำยิ่งกว่าพายุใด ๆ มันเต้นระริกร้อนแรงราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ใบหน้าคมก้มลงประทับรอยจุมพิตบนใบหน้าของผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
กระซิบคำมั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเอยคำลาแผ่วเบา
....
ร่างสูงใหญ่ปรากฏกายเหนือบัลลังค์ดำ
เสียงสดุดีดังจากบรรดาขุนนางผู้รอเข้าเฝ้า
ราชาคนบาปประทับลงบนบัลลังค์ของตน ดวงตาดำสนิทกวาดตามองเหล่าข้าราชบริพารทุกผู้ที่ต่างก้มหน้า
จะด้วยความเสียใจหรืออย่างไร จ้าวปีศาจผู้ไร้ญาณหยั่งรู้ไม่อาจทราบ
หากในเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ
สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้
มีเพียงเพลิงแค้นที่แผดเผาหัวใจที่กำลังเต้นเร่าดวงนี้ต่างหาก
“โกโดม” สุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยเรียกเสนาบดีคู่บัลลังค์ด้วยน้ำเสียงเรียบ
หากดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นกลับวาวโรจน์ด้วยไฟพิโรธ
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสนาบดีร่างจ้อยตอบรับด้วยท่าทางสงบ
พลางก้าวมาด้านหน้า
“ส่งคนออกไปลากคอพวกมันมาให้ข้า พวกมันจะได้เรียนรู้ว่าความผิดของมันนั้น
แม้แต่ความตายก็ไม่อาจจะชดเชยได้”
“รับด้วยเกล้า”
“… อีกเรื่อง”
“พะย่ะค่ะ”
“.....” จ้าวปีศาจนิ่งค้างเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำ ขณะโกโดม
โคมุสก้มศีรษะเล็กของมันรอคำสั่ง ครั้นเมื่อเห็นราชาแห่งตนไม่เอ่ยสิ่งใดเสียที
จึงได้เอ่ยถามซ้ำ
“...ท่านจ้าว?” ร่างสูงบนบัลลังค์ดำสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจแน่แน่ว
ก่อนจะเปล่งวาจาซึ่งนับจากนี้จะถือเป็นอาญาสิทธิ์
“จงประกาศออกไป ตั้งแต่บัดนี้สืบไป
หากชาวเอเดนผู้ใดย่างกรายเข้ามาในดินแดนของข้า มันผู้นั้นจะไม่มีชีวิตกลับไป... ตั้งแต่นี้สืบไป
ชาวเรา ชนเผ่าที่พวกมันตราหน้าว่าเป็นคนบาป ไม่ขอต้อนรับมนุษย์ผู้สับปลับ หากพวกมันคนใดยังดื้อดึง
มันจะได้รับความตายเป็นรางวัลตอบแทน พวกมันจะต้องเผชิญกับโทสะของกองทัพแห่งเดมอส
และสงครามอีกครา แลครานี้ ข้าจะทำลายไม่ให้มันเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณ
เตือนพวกมัน ครานี้ ข้าจะทำลายเอเดนให้สิ้น!!”
คำสุดท้ายดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งโถงท้องพระโรง
สายฟ้าคำรามทั่วแผ่นดินราวกับตอบรับคำประกาศนั้นเป็นประกาศิต
“รับด้วยเกล้า” พ่อมดแห่งเดมอสขานรับเสียงหนักแน่น
ก่อนร่างจ้อยจะหายไปในพริบตา
“ส่วนพวกเจ้า จงแจ้งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เราให้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้นที่ชนเอเดนจะได้กลับมาตุภูมิ หาไม่ สิ่งที่พวกมันจะได้รับมีเพียงความตาย
ที่เหลือจงกลับไปทำหน้าที่เสีย ตอนนี้ข้าต้องการอยู่เพียงลำพัง” สิ้นเสียงบัญชา เหล่าข้ารองบาทพากันก้มหัวรับคำสั่งแล้วต่างแยกย้ายไปอย่างรวดเร็ว
เหลือเพียงจ้าวปีศาจประทับอยู่บนบัลลังค์เพียงลำพัง
กระทั่งท้องพระโรงว่าราชการว่างเปล่า แผ่นหลังที่ตั้งตรงจนถึงเมื่อครู่ค่อยงองุ้ม
ใบหน้าคมจมอยู่ในฝ่ามือใหญ่สั่นเทิ้ม
สัญญาสุดท้ายยังคงดังก้อง
‘ฝากดูแลเฟลิโอน่า ฝากดูแลลูกของเราด้วย’
“แน่นอน อลิเซีย แน่นอน”
...
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าดังไปทั่วทางเดินปราสาท เหล่านางกำนัลต่างวิ่งกันให้วุ่น
เมื่อเด็กหญิงผู้เปรียบดั่งดวงใจของทุกผู้ในเคหาสน์หลวงหายตัวไป
“องค์หญิงเพคะ องค์หญิงงงงง” เสียงตะโกนดังลั่นจากนางกำนัลผู้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเจือไปด้วยความร้อนใจ
และกระวนกระวาย
จะไม่ให้ร้อนใจได้ไงเล่า
ในเมื่อทั้งที่วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้าตัวแท้ ๆ
แต่เจ้าของงานกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตาม
“ตะโกนโหวกเหวกอะไรกันน่ะ พวกเจ้า” เสียงทรงอำนาจที่ดังขึ้นทำให้นางกำนัลสะดุ้งสุดตัว
ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาพลางภาวนาให้เจ้าของคำถามไม่ใช่คนที่ตนคิด
หากแต่คำภาวนาก็ไม่เป็นผล
“ฝ่าบาท” เป็นร่างสูงของเอวิเดส เกรเดเวล
จ้าวแห่งเดมอสปรากฎอยู่ตรงหน้านางดังคาด ใบหน้าคม งดงามราวกับรูปสลักที่ไม่ต่างไปจากเมื่อ
10 ปีก่อนฉายแววรำคาญปนฉงน
“เฟลิโอน่าแต่งตัวเสร็จหรือยัง แขกในงานรออยู่นานแล้ว”
“เอ่อ องค์หญิง ทรงยังไม่พร้อมเพคะ” คิ้วเรียวของจ้าวปีศาจเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเมื่อได้ฟัง
“ทำไมล่ะ แล้วนี่ลูกข้าอยู่ไหน” บรรดานางกำนัลพากันมองตากันเลิ่กลั่ก
หากไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาตอบ
“ว่าอย่างไร”
สุรเสียงติดจะเข้มขึ้นเมื่อเห็นท่าทางละล้าละลัง จะตอบก็ไม่ตอบเสียที
“หม่อมฉัน เอ่อ ไม่ทราบเพคะ” นางกำนัลเอ่ยเสียงแผ่วเบาไม่ต่างไปจากเสียงกระซิบ
“เจ้าพูดอะไรนะ ข้าไม่ได้ยิน” คิ้วเรียวของเอวิเดสเริ่มมุ่นเข้าหากัน
พลันบรรดานางกำนัลก็ทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนเอ่ยเสียงสั่น
“ท่านจ้าว ขอทรงประทานอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันละสายตาจากองค์หญิงเพียงแวบเดียวเท่านั้น...” ดวงตาสีนิลฉายแววเข้าใจทันที
ร่างสูงยกมือขึ้นเกาศีรษะตนอย่างหมดมาดราชาพลางทอดถอนใจ
...เป็นอย่างนี้เสียทุกที
“เอาเถอะ นางก็เป็นเช่นนี้ ลำบากพวกเจ้าแล้วล่ะ ไป พวกเจ้าไปเตรียมทุกอย่างไว้เสียให้พร้อมแล้วกัน
ข้าจะไปหานางเอง” ไม่แม้กระทั่งรอให้นางกำนัลคำนับ
ร่างสูงหมุนตัวกลับมุ่งหน้าไปยังที่ ๆ เขาคาดว่า จะได้พบกับลูกสาวตัวดีของเขา
...
ร่างเล็กของเด็กหญิงนอนนิ่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังบานสะพรั่ง
ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้ที่จ้าวปีศาจปลูกร่วมกับชายาผู้ล่วงลับไว้ในสวน
กล่าวกันว่าด้วยความรักของทั้งสองทำให้ดอกไม้เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสวนสวย
และจ้าวปีศาจก็มอบสวนนี้ให้เป็นของขวัญแก่ชายาคนงาม หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนเริ่มเรียกขานสวนแห่งนี้ว่า
สวนสมเด็จ
หนึ่งในสถานที่ต้องห้ามในดินแดนเดมอส
...สถานที่แห่งความทรงจำของท่านพ่อ
ดวงตาสีน้ำตาลคู่งามที่มีแต่ผู้ที่ได้พบเห็นกล่าวขานว่า
‘ถอดแบบมาจากพระมารดาไม่ผิดเพี้ยน’ เหม่อมองไปไกลยังท้องฟ้าที่ค่อยกลายเป็นสีอำพันด้วยแสงตะวันที่กำลังเคลื่อนคล้อย
ที่ที่บิดาของเธอเคยกล่าวไว้ว่า ผู้เป็นมารดาทรงประทับอยู่บนนั้น คอยเฝ้าดูจากเบื้องบน
...ท่านแม่
ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบพักตร์
ด้วยพระองค์ทรงสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่ตนยังเล็กเกินกว่าจะจำความได้
จะมีก็เพียงแต่ภาพวาดที่มีจิตรกรวาดไว้เมื่อตอนพระราชพิธีอภิเษกเท่านั้น หากก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
เมื่อถามหาเหตุจากบิดา คำตอบที่เธอได้ก็คือ
‘เพราะแม่ของเจ้าไม่ชอบเป็นผู้ถูกวาด เธอรักที่จะเป็นผู้ลงพู่กันเองเสียมากกว่า’
วังจึงเต็มไปด้วยภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระชายาแห่งเดมอส
หากภาพเหมือนพระองค์กลับมีเพียงแค่ภาพเดียว
ดวงตาสีน้ำตาลค่อย ๆ เคลื่อนปิดลงอย่างเชื่องช้า หูสดับเสียงดนตรีจากธรรมชาติอันเกิดจากสายลม
ก่อนดวงตาคู่งามจะลืมโพลงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบทางด้านหลัง
“เฟลิโอน่า” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างอ่อนโยน เจ้าของนามเฟลิโอน่า
เกรเดเวล ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็ว พลางหันไปตามเสียง
“ท่านพ่อ”
เอวิเดสผ่อนลมหายใจยาว
ใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “มาหลบอยู่ที่นี่นี่เอง
ปล่อยให้พ่อตามหาเจ้าเสียนาน”
“ขออภัยเพคะ” ดวงตาสีน้ำตาลหลุบต่ำ
“แล้วดูสิ เจ้ายังอยู่ในชุดมอมแมมนี่อีก ลองอาลูน่าของเจ้ามาเห็นคงได้โดนอบรมไปอีกหลายวัน”
จ้าวปีศาจหมายถึงชุดลำลองที่ประกอบด้วยเสื้อทูนิคแขนยาวซึ่งทอจากฝ้าย สวมทับด้วยเสื้อตัวนอกผ้าเนื้อหน้าปักลวดลายเดินด้ายทอง
และกางเกงผ้ายาวคลุมแข้ง อันเป็นชุดพื้นเมืองของสามัญชนชาวเดมอส ซึ่งเจ้าตัวดูจะนิยมชมชอบมากกว่าบรรดาชุดกระโปรงตัวยาวปักดิ้นทองและเงินซึ่งเป็นชุด
‘ประจำพระองค์’
“ถ้าท่านพ่อไม่ตรัสบอก ท่านอาก็ไม่ทรงทราบหรอกเพคะ” เด็กหญิงพูดอย่างเอาแต่ใจทีเดียว
“เจ้าพูดเหมือนเจ้าไม่รู้จักอาของเจ้า นางคือราชินีจันทราผู้หยั่งรู้นะ”
จ้าวปีศาจหยอกเย้า
“ท่านพ่อ~”
เด็กหญิงส่งเสียงกระเง้ากระงอด
“ไปเถอะ ทุกคนรอเจ้าอยู่”
เอวิเดสเอ่ยชักชวน หากร่างเล็กกลับนั่งนิ่ง
ใบหน้าสวยมีร่องรอยความเบื่อหน่าย
“แต่ท่านพ่อก็ทรงทราบว่า ลูกเกลียด...ไม่ชอบงานเช่นนี้” กล่าวจบก็เบือนหน้าไปอีกทาง เอวิเดสเห็นอย่างนั้นก็เดินมานั่งข้างบุตรสาว
พลางเอ่ย
“วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของลูกนะ เฟลิโอน่า
ทุกคนต่างอยากแสดงความยินดีกับเจ้าทั้งนั้น”
“แต่ลูกไม่เห็นจะยินดีด้วยเลย” เด็กหญิงกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“เห? ทำไมกันเล่า” เอวิเดสเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ็นดู
หากบุตรสาวข้างกายยังคงไร้รอยยิ้ม เด็กหญิงอ้ำอึ้งลังเลเพียงครู่ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“ก็...ก็ในเมื่อวันนี้ เป็นวันที่ท่านแม่สิ้นนี่เพคะ หรือท่านพ่อลืมแล้ว”
รอยยิ้มพลันเลือนหายไปจากใบหน้าคม
เขามองหน้าสวยหวานที่ถอดออกมาจากมารดาแทบไม่ผิดเพี้ยน ทั้งผมสีน้ำตาลยาว
และดวงตาสีเดียวกัน เฟลิโอน่า เกรเดเวล เหมือนอลิเซีย เกรเดเวล ผู้เป็นมารดาราวกับคนเดียวกันทีเดียว
หากจะต่างก็เพียงเจ้าลูกแก้วใสคู่ตรงหน้านั้นมิได้สดใสเช่นเดียวกับของมารดาเมื่อยามมีชีวิตอยู่
ดวงตาของเฟลิโอน่ามีประกายความเศร้าเจืออยู่ทุกครั้งที่เขาได้มอง
...ความเศร้า ที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด
มันเป็นดวงตาแบบเดียวกัน
ยามเขามองเงาสะท้อนในกระจกเงา
หากว่ากันตามตรง จ้าวปีศาจเองก็รังเกียจงานเลี้ยงอัน
“น่ายินดี” เช่นกัน...หรือพูดให้ถูกคือ เขาสะอิดสะเอียนคำยินดี
ในวันแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในชีวิตอันยืนยาวของเขานัก
ทว่า...
มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสศีรษะของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
ก่อนเอ่ย “พ่อจะลืมได้อย่างไรเล่า ลูกรัก
จะลืมได้อย่างไร” น้ำเสียงที่ทอดลงในตอนท้ายทำให้เฟลิโอน่าต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตาสีนิลหม่นเศร้าของผู้เป็นบิดาทำให้เด็กหญิงรู้สึกเสียใจขึ้นมา
เพราะเฟลิโอน่าเป็นเด็กฉลาด เธอรับรู้และตระหนักถึงความรักที่จ้าวปีศาจมอบให้ผู้เป็นมารดาเป็นอย่างดีแม้ไม่ต้องมีใครบอกเล่า
ในขณะเดียวกันก็เข้าใจเป็นอย่างดีเช่นกันถึงความหมาย ‘เบื้องหลัง’ ของการจัดงานวันเกิดของตน
...แม้เข้าใจ หากใช่ว่าหัวใจจะยอมรับด้วยความยินดี
เพราะว่ายังเด็กนัก เฟลิโอน่าจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงอาการต่อต้าน
ด้วยเผลอหลงลืมว่าการต่อต้านนั้นจะทำร้ายหัวใจคนเป็นบิดาได้เช่นกัน
เมื่อตระหนักได้ เด็กหญิงจึงรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
ใบหน้างามก้มงุด ดวงตาเริ่มคลอฉ่ำไปด้วยน้ำตา ความรู้สึกเสียใจสับสนปนเปไปหมด
มือใหญ่ของจ้าวปีศาจสัมผัสศีรษะกลมมนอย่างอ่อนโยน
ก่อนค่อยเลื่อนมาประคองใบหน้ามนของบุตรสาวให้ขยับเงยขึ้น
พลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสไล่หยาดน้ำตา
“เฟลิโอน่าที่รัก พ่ออยากให้เจ้าจดจำไว้ แม้การจากไปของแม่เจ้าจะเจ็บปวด
และพ่อเจ้ายอมรับว่าเจ็บปวดทุกครั้งที่วันนี้มาถึง
หากก็เป็นวันที่จ้าวปีศาจเอวิเดส เกรเดเวลผู้นี้มีความสุขที่สุดเช่นกัน
เพราะวันนี้คือวันที่เราพบกันครั้งแรก เฟลิโอน่า”
เด็กหญิงสะอื้นเล็ก ๆ ให้เอวิเดสได้แต่ถอนใจเบา ๆ
“เอาเถอะ พ่อเข้าใจ เฟลิโอน่า ถ้าเช่นนั้น พ่อจะยกเลิกงานในวันนี้ซะ
และเราจะไม่จัดงานเช่นนี้อีก” เอวิเดสกล่าวจบก็ลุกขึ้น
แต่เฟลิโอน่ากลับดึงมือบิดาของเธอไว้
“เดี๋ยวเพคะ ท่านพ่อ”
“....ว่าอย่างไรล่ะ”
“ไม่...ไม่ต้องยกเลิกหรอกเพคะ
ท่านพ่อ” เด็กน้อยพูดไปสะอื้นไป เรียกรอยยิ้มกว้างขวางของจ้าวปีศาจให้ปรากฎ
มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสศีรษะกลมมนของบุตรสาวพลางโยกไปมา
สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่จ้าวปีศาจมีให้แก่บุตรสาวคนเดียวเท่านั้น..
อดทนเถิด ลูกรัก ด้วยนี่คือวิถีแห่งผู้ปกครอง
...
เสียงจ้อกแจ้กจอแจ
ปนกับเสียงดนตรีที่ดังแว่วมาจากโถงจัดเลี้ยงทำให้เด็กสาวต้องแอบเบ้หน้ากับตัวเองขณะเดินตาม
‘ข้าราชบริพาร’ พลางบ่นพึมพำ
...ไม่เข้าใจว่าจะต้องมากันเยอะแยะไปทำไม ...
บ่น ทั้งที่เข้าใจเหตุผลดีอยู่แล้ว
หากเด็กหญิงก็ยังบ่นอุบอิบอย่างเสียไม่ได้
วันครบรอบวันคล้ายวันประสูติของรัชทายาทหนึ่งเดียวของเดมอส
ใครบ้างจะไม่อยากมาร่วมยินดี แม้ไม่น้อยที่มาร่วมด้วยใจหมายมาดสิ่งอื่น
ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อครบบรรจบขวบปี
เด็กหญิงจะถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรดาขุนนางทั้งใหญ่น้อยที่ต่างพยายามหว่านคำหวานที่หาความจริงใจได้ยาก
และของขวัญงดงาม หรูหรา หากไร้ค่ายิ่งนักในสายตาขององค์หญิงแห่งเดมอส
แรกเริ่มเฟลิโอน่าก็ตื่นเต้นดีใจตามประสาเด็ก
หากพอเริ่มรู้ประสา องค์หญิงน้อยก็เรียนรู้ว่าภายใต้คำชื่นชมยินดีและรอยยิ้มเหล่านั้นมีอะไรแอบแฝง
ราวน้ำผึ้งหวานเจือยาพิษร้าย
แต่หากไม่จัดงานเช่นนี้
ก็คงเป็นการยากที่จะดูแลหัวเมืองใหญ่น้อยให้อยู่ในสายตา ด้วยงานเลี้ยงนี้นัยหนึ่งเป็นการแสดง
“แสนยานุภาพ” แห่งบัลลังค์ดำของจ้าวปีศาจ ทั้งสานสัมพันธ์กับขุนนางและเจ้าเมืองที่ภักดีเพื่อเป็นรากฐานอำนาจให้กับว่าที่ผู้ครองดินแดนต่อไป
อีกนัยหนึ่งคือการหยั่งเชิงท่าทีกับผู้ครองหัวเมืองและ
‘ชนชั้นสูง’ อื่น ๆ
ว่าจะมีใครคิดกระด้างกระเดื่องหรือไม่
...ใครว่ามีแต่ชนเอเดนที่เล่นการเมือง
เจ้าหญิงแห่งเดมอสแอบยืนมองเข้าไปในงาน
แล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นเจ้าเมืองต่าง ๆ ทั้งเมืองเล็กเมืองน้อยต่าง ๆ
อยู่ในงานเต็มไปหมด
“มีแต่พวกสอพลอทั้งนั้น” เฟลิโอน่ารำพึงกับตนเองอย่างเบื่อหน่าย
…
จ้าวปีศาจเอวิเดส เกรเดเวลกำลังยืนมองเหล่าเจ้าเมืองต่าง
ๆ ด้วยความรู้สึกไม่แตกต่างจากผู้เป็นลูกสักเท่าใด หากใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของผู้ครองบัลลังค์ดำยังประดับด้วยรอยยิ้ม
ในอดีตนั้น
จ้าวปีศาจคิดว่าการจัดงานเลี้ยงเช่นนี้ไม่ต่างจากการเล่นละครลิงใส่กัน
และหัวเราะเยาะว่า คงมีแต่เอเดนเท่านั้นที่ทำได้
หากเมื่อเวลาผ่านไป
ราชาปีศาจจึงได้เรียนรู้
ความหลงใหลในอำนาจ
เปลี่ยนแปลงได้กระทั่งหัวใจปีศาจ
ยิ่งดินแดนเดมอสนั้นกว้างใหญ่ไพศาล
การปกครองจึงไม่อาจพึ่งเพียงพลังอำนาจแห่งจ้าวปีศาจและราชาผู้สืบสายเลือดเดียวกันเช่นบรรพกาล
การเล่นละครลิงเช่นนี้จึงจำเป็นยิ่งนักสำหรับการเมือง
ดวงตาสีนิลที่กวาดตามองไปมาจึงมองอย่างพินิจพิเคราะห์
ราวกับจะมองให้ทะลุร่างของผู้ร่วมงาน
“ท่านกังวลอะไรอยู่หรือ ท่ านพี่”
เสียงหวานดังขึ้นข้างตัว
“...ไม่มีอะไรหรอก ลูน่าน้องข้า เรื่องเดิม ๆ น่ะ เจ้าก็รู้” เอวิเดสกล่าว พลางหันมาสบตากับราชินีจันทรา ลูน่า เกรเดเวล
ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นคนที่มักจะติดตามราชินีจันทรามาเยี่ยมเยียนเขาด้วยเสมอ
“ว่าแต่ หลานเจ้าไม่มาด้วยเหรอปีนี้”
“เจ้าเด็กนั่นน่ะเหรอ ปีนี้ดูเหมือนเขาติดธุระที่เอดินเบิร์กน่ะ
เลยมาไม่ได้” พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หากดวงตาสีทองของลูน่า
เกรเดเวลกลับปรากฎรอยขบขันติดจะวาววับอย่างมาดหมาย คล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง
“งั้นหรือ” ท่าทีนิ่งเฉยของพี่ชายทำให้ราชินีแห่งนครจันทราออกจะแปลกใจเล็กน้อย
เพราะหากเป็นแต่ก่อน เพียงได้ยินชื่อที่เกี่ยวข้องกับเอเดน พี่ชายอารมณ์ร้อนของนางเป็นต้องโวยวายหัวเสียทุกครั้งไป
ปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงออกจะเกินความคาดหมายราชินีผู้หยั่งรู้ไปเสียหน่อย
แต่ไม่ทันที่พี่น้องจะได้สนทนาอะไรต่อกันมากกว่านี้
เสียงฮือฮาจากรอบข้างก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ดูเหมือน เฟลิโอน่า จะมาแล้ว”
ราชินีจันทราเอ่ยอย่างนึกรู้พลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ
ดวงตาคมปลาบจับจ้องไปยังประตูใหญ่สีดำ ร่างจ้อยของพ่อมด และเสนาบดีแห่งเดมอสปรากฏขึ้นหน้าบานประตูหนาหนัก
ไม้เท้ายาวไม่สมตัวในมือเจ้าโคมุส ถูกยกสูง
ก่อนปลายไม้เท้าจะกระทบกับพื้นหินอ่อนก่อเสียงกังวานเป็นสัญญาณให้ทุกผู้เงียบเสียงลง
“เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล องค์รัชทายาทแห่งเดมอส เสด็จ”
สิ้นเสียงโกโดม ประตูสีดำก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างบางในชุดราตรีสีอ่อนประดับด้วยลูกไม้ปักดิ้นเงินเดินเส้นทองเป็นลายคลื่น
ผมสีน้ำตาลยาวถูกตลบขึ้นเป็นมวยสูงทิ้งลูกผมระต้นคอขาว และช่วงไหล่เนียน ดวงหน้ามนสอดรับกับดวงตาสีเปลือกไม้กลมโตแลดูหวานซึ้ง
ความงามนั้นงามสมพรซึ่งอำนวยโดยบิดาผู้ยิ่งยงสะกดทุกสายตาในที่นั้น
แม้สตรีด้วยกันยังมิวายเผลอกลั้นหายใจ พลางรำพึง
...อายุเพียงไม่กี่ขวบปียังงามถึงเพียงนี้ หากเติบใหญ่ยิ่งขึ้นไปคงยิ่งงามปานเมืองล่ม
แม้ภูติพรายนางไม้คงมิวายได้เร้นกายแอบซ่อนด้วยยอมสยบซึ่งความงามของธิดาแห่งความมืดผู้นี้
เด็กหญิงค่อย ๆ เคลื่อนกายลงบันไดมาอย่างสง่างาม
ทุกย่างก้าวแฝงด้วยความเยือกเย็นและนุ่มนวล
สมฐานันดรทายาทเพียงพระองค์เดียวแห่งจ้าวปีศาจ
เอวิเดสมองภาพนั้นด้วยหัวใจพองโต ด้วยแม้ในตอนแรกจะอิดเอื้อน
หรือแสดงท่าทีต่อต้านสักเพียงไหน แต่สุดท้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาคนนี้ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว
“เฟลิโอน่า มาทางนี้สิ” เอวิเดสเรียกบุตรสาวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ดวงตาสีรัตติกาลนั้นพร่างพราวด้วยประกายแห่งความภาคภูมิอย่างไม่คิดปิดบัง
มือใหญ่ยื่นออกไปให้บุตรสาวเพียงคนเดียวจับจูง
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพ่อ” สรรพนามที่ใช้เรียกยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวถูกนำมาใช้ขณะร่างบางของเด็กหญิงยื่นมือบางรับมือของผู้เป็นบิดา
ขณะก้าวเคียงคู่
“วันนี้เจ้างามนักเฟลิโอน่า” เป็นราชินีจันทราที่เอ่ยชม
ดวงตาคมสีทองสะท้อนความภาคภูมิมิแพ้พี่ชาย
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จอา ท่านเองก็ยังงามสง่าไม่สร่างเช่นกัน”
ราชินีจันทรายิ้มรับคำชมกลับนั้น หากส่งสายตารู้เท่าทันกลับมาให้
“ปากหวานนัก หลานรักของอา
แต่คงไม่อาจชดเชยที่เจ้าทำตัวเกเรเมื่อตอนเย็นได้หรอกนะ”
ประโยคท้ายเอ่ยให้ได้ยินแต่เพียงคนใกล้ตัวให้คนทำตัวเกเรได้หนาว ๆ ร้อน ๆ เล่น จ้าวปีศาจได้แต่หัวเราะหึ
ๆ ในลำคอ ดวงหน้าคมพร่างพรายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะ ‘ยื่นมือช่วย’ บุตรสาวคนเดียวของเขาด้วยการกล่าวว่า
“อา จริงสิ เจ้ากล่าวอะไรกับพวกเขาหน่อยสิ”
“เพคะ เสด็จพ่อ” เฟลิโอน่ารับคำ ก่อนจะหันไปกล่าวต้อนรับกลุ่มคนที่ยืนรอเธอ
เด็กหญิงเลือกใช้ถ้อยคำสั้น ๆ ง่าย ๆ
เพียงแค่บอกขอบคุณและอวยพรให้พวกเขาเหล่านั้นสนุกกับงานเลี้ยง เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อเจ้าของงานกล่าวจบ
เธอค้อมตัวให้คนในงานเล็กน้อย แล้วให้สัญญาณนักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงต่อไป
และนั่นก็เป็นสัญญาณเริ่ม ‘วัฎจักรอันน่าเบื่อ’ ของเฟลิโอน่า เกรเดเวล
กล่าวทักทายบรรดาขุนนางใหญ่น้อยที่เธอจำได้บ้างไม่ได้บ้าง
รับของขวัญที่ไม่เคยต้องการ และกล่าวคำขอบคุณ
แม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอก็จะลืมใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดภายในชั่วคืนเดียว
เด็กหญิงได้แต่ภาวนาให้ช่วงเวลาอันน่าเบื่อนี้ผ่านไปโดยเร็ว
...โดยไม่รู้เลยว่า คืนนี้อาจกลายเป็นงานเลี้ยงคืนสุดท้ายของเธอ
.....
Re-format
2017-04-20
ความคิดเห็น