ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 60



    - ปฐมบท -




     

     

     




    ไออุ่นจากร่างในอ้อมแขนที่กำลังจางหายบอกเขาว่า นางใกล้หมดลมหายใจเต็มที...

     

    มือสั่น ๆ ของชายร่างสูงในชุดดำพยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดโลหิตที่กำลังไหลรินออกจากร่างหญิงสาวในอ้อมแขน หากดวงแสงสีฟ้าเรื่อเรืองเหนือปากแผลฉกรรจ์กลางอกนาง กลับไม่อาจหยุดโลหิตจำนวนมากที่ทะลักออกมา

    เลือดแดงฉาน ย้อมผืนผ้าสีขาวที่รองกายเธออยู่เบื้องล่างให้กลายเป็นสีเดียวกัน

     

    อดทนไว้ อลิเซีย

     

    เขาพร่ำบอกเสียงสั่น หากร่างบางกลับตอบสนองเพียงเสียงไอโขลกด้วยสำลักลิ่มเลือด ยิ่งลมหายใจเธอกระชั้นถี่ขาดห้วง ยิ่งพาให้ร่างสูงลนลาน เขาอ้าปากร้องตะโกนเรียกแพทย์หลวงอีกครั้งดังลั่น หากสัมผัสบางเบาจากมือบางของเธอนั้นเองทำให้เขาชะงัก

    ดวงตาอ่อนแสงนั้นบอกว่าเธอยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี

    ...แม้หัวใจของเขายังไม่อาจยอมรับ

     

    เจ้าของมือบางพยายามอย่างยิ่งที่จะไขว่คว้าหาร่างเล็กที่ทอดกายหลับสนิทอยู่ไม่ห่าง แรงเฮือกสุดท้ายถูกใช้เพียงเพื่อขยับกายให้ได้มองใบหน้ากลม และมือคู่เล็กจ้อย

    มองเนิ่นนาน ราวกับจะให้ประทับตราตรึงในหัวใจก่อนลาจากไปแสนไกล

     

    ฝะ...ฝาก ลูก...เร...า....ด้วย ถ้อยคำถูกเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น เสียงของนางขาดเป็นห้วง ๆ ทั้งแหบแห้งและแผ่วเบา หากสำหรับเขา คำพูดนั้นทั้งดังชัดเจน และหนักหน่วงยิ่งนัก

    มันชัดเสียราวกับมีใครมาตะโกนอยู่ในหัวของเขา และดังก้องสะท้อนไปมาอยู่ในอกซ้าย

    ...ในหัวใจที่ใกล้จะแตกสลาย

     

    เสียงสั่น ๆ ขาดห้วงของนางไม่ใช่เสียงที่เขาต้องการได้ยินตอนนี้ ทว่าเสียงที่เขาต้องการได้ยินมากที่สุดตอนนี้กลับแผ่วลงทุกที

    ...เสียงหัวใจของนาง

     

    มือใหญ่ขยับกุมแน่น หากมือบอบบางของเธอข้างนั้นกลับบีบตอบกลับอย่างอ่อนแรง ดวงตาของอลิเซียละจากใบหน้าลูกน้อยมามองเขาแล้วก็ยิ้ม เธอยิ้มทั้งปากและดวงตา ยิ้มอย่างที่เขารักนักรักหน้า หากร่างสูงของชายหนุ่มรู้สึกชาวาบ

    “มะ..ไม่ อลิเซีย ไม่ อยู่กับข้า ได้โปรด” ชายหนุ่มละล่ำละลัก แม้เชานั่นเองที่รู้ดียิ่งกว่าใครว่าสิ่งที่กำลังร้องขอนั้นเป็นไปไม่ได้ ทว่าหัวใจต่างหากเล่าที่ยังดื้อดึงร้องขอ

    ดวงตาสีน้ำตาลมองตอบกลับอย่างวิงวอนทั้งรอยยิ้ม หากคนมองนั้นสั่นไหวทั้งดวง

     

    และในที่สุด ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็เคลื่อนปิดลง...ตลอดกาล

    เสียงหัวใจที่ดังแผ่ว ๆ ค่อยช้าลง และช้าลง

     

     

    ...และเงียบไปในที่สุด

     

     

    ความเงียบนั้นคล้ายตีแสกหน้าจ้าวปีศาจจนมึนชาไปทั้งสรรพางค์กาย สรรพสิ่งรอบตัวคล้ายจะหยุดนิ่ง ความจริงดูเลื่อนลอยคล้ายความฝัน

    ท่ามกลางความเงียบงันนั้น จ้าวปีศาจภาวนาจากหัวใจเป็นครั้งแรก

    ...ขอให้มันเป็นเพียงฝันร้าย

     

    เขาพร่ำภาวนาขณะมือใหญ่เคลื่อนสัมผัสพวงแก้มนวลที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดโลหิต หากเมื่อปลายนิ้วสัมผัสกายเนื้อเย็นเยียบ ความจริงก็ตอกลิ่มลงใส่หัวใจอีกครา

    เธอจากไปแล้ว...

     

    อลิเซีย เกรเดเวล ราชินีแห่งเดมอส จากไปในความเงียบงันนั้นเอง

     

    หยดน้ำใส ๆ ในคลองดวงตาหยาดหยดลงสัมผัสร่างบางในอ้อมแขน

     

    น้ำตา...ของบุรุษที่กล่าวกันว่า คือ ปีศาจร้ายผู้อำมหิตไร้หัวใจ ไหลรินให้แก่สตรีผู้เป็นที่หนึ่งในดวงฤทัยเพียงลำพังในความเงียบอันเลือดเย็น

     

    จ้าวปีศาจรั้งร่างไร้ลมหายใจเข้ามาแนบอกด้วยหัวใจที่ปวดร้าวราวกับถูกสับเป็นหมื่นชิ้น เสียงร้องราวกับสัตว์ร้ายที่เจ็บเจียนตายใกล้สิ้นลมแล่นลิ่วออกจากลำคอ แหวกม่านหมอกสีหม่นแห่งความเงียบ ราวกับจะปลุกทุกผู้ในดินแดนขึ้นมาให้รับรู้ถึงความโศกเศร้าของตน


    เขาได้เรียนรู้ในบัดนั้น


    ...นี่เอง ที่เรียกว่าความเจ็บปวด......

     

    ร่างสูงใหญ่ของจ้าวปีศาจคงจะนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นอีกนาน หากไม่มีเสียงร่ำไห้ปิ่มขาดใจของเด็กน้อยแหวกอากาศออกมา จะด้วยตกใจเสียงของผู้เป็นบิดา หรือด้วยรับรู้ว่ามารดาของเธอได้จากไปนั้นก็สุดที่จะรู้ หากเสียงร้องนั้นเองที่เรียกสติของเขากลับมาจากห้วงแห่งความโทมนัส


    ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองร่างเล็กจ้อยที่ยังคงแผดเสียงร้องไห้จ้า ตอนนั้นเองที่จ้าวปีศาจตระหนักว่า ลึกลงไปนั้น สิ่งที่กำลังแผดเผาหัวใจของผู้ครองดินแดนแห่งคนบาปนอกเหนือไปจากความเจ็บปวดจากการสูญเสีย คือ เพลิงแค้น


    และเมื่อตระหนักถึงการมีอยู่ เพลิงแค้นที่เต้นเร่าอยู่นั้นก็ยิ่งลุกโชน โหมกระหน่ำยิ่งกว่าพายุใด ๆ มันเต้นระริกร้อนแรงราวกับจะแผดเผาทุกสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

     

    ใบหน้าคมก้มลงประทับรอยจุมพิตบนใบหน้าของผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ กระซิบคำมั่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเอยคำลาแผ่วเบา

     

     

     

    ....

     

     

     

    ร่างสูงใหญ่ปรากฏกายเหนือบัลลังค์ดำ

     

    เสียงสดุดีดังจากบรรดาขุนนางผู้รอเข้าเฝ้า ราชาคนบาปประทับลงบนบัลลังค์ของตน ดวงตาดำสนิทกวาดตามองเหล่าข้าราชบริพารทุกผู้ที่ต่างก้มหน้า จะด้วยความเสียใจหรืออย่างไร จ้าวปีศาจผู้ไร้ญาณหยั่งรู้ไม่อาจทราบ หากในเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ

     

    สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้ มีเพียงเพลิงแค้นที่แผดเผาหัวใจที่กำลังเต้นเร่าดวงนี้ต่างหาก

     

    โกโดมสุรเสียงทรงอำนาจเอ่ยเรียกเสนาบดีคู่บัลลังค์ด้วยน้ำเสียงเรียบ หากดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นกลับวาวโรจน์ด้วยไฟพิโรธ

    พะย่ะค่ะ ฝ่าบาทเสนาบดีร่างจ้อยตอบรับด้วยท่าทางสงบ พลางก้าวมาด้านหน้า

    ส่งคนออกไปลากคอพวกมันมาให้ข้า พวกมันจะได้เรียนรู้ว่าความผิดของมันนั้น แม้แต่ความตายก็ไม่อาจจะชดเชยได้

    รับด้วยเกล้า

     

    “… อีกเรื่อง

     

    พะย่ะค่ะ

     

    “.....” จ้าวปีศาจนิ่งค้างเล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนกำลังจะทำ ขณะโกโดม โคมุสก้มศีรษะเล็กของมันรอคำสั่ง ครั้นเมื่อเห็นราชาแห่งตนไม่เอ่ยสิ่งใดเสียที จึงได้เอ่ยถามซ้ำ

     

    “...ท่านจ้าว?” ร่างสูงบนบัลลังค์ดำสูดลมหายใจลึก ตัดสินใจแน่แน่ว ก่อนจะเปล่งวาจาซึ่งนับจากนี้จะถือเป็นอาญาสิทธิ์


    จงประกาศออกไป ตั้งแต่บัดนี้สืบไป หากชาวเอเดนผู้ใดย่างกรายเข้ามาในดินแดนของข้า มันผู้นั้นจะไม่มีชีวิตกลับไป... ตั้งแต่นี้สืบไป ชาวเรา ชนเผ่าที่พวกมันตราหน้าว่าเป็นคนบาป ไม่ขอต้อนรับมนุษย์ผู้สับปลับ หากพวกมันคนใดยังดื้อดึง มันจะได้รับความตายเป็นรางวัลตอบแทน พวกมันจะต้องเผชิญกับโทสะของกองทัพแห่งเดมอส และสงครามอีกครา แลครานี้ ข้าจะทำลายไม่ให้มันเหลือแม้เพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณ เตือนพวกมัน ครานี้ ข้าจะทำลายเอเดนให้สิ้น!!

     

    คำสุดท้ายดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งโถงท้องพระโรง สายฟ้าคำรามทั่วแผ่นดินราวกับตอบรับคำประกาศนั้นเป็นประกาศิต

     

    รับด้วยเกล้าพ่อมดแห่งเดมอสขานรับเสียงหนักแน่น ก่อนร่างจ้อยจะหายไปในพริบตา

     

    ส่วนพวกเจ้า จงแจ้งไปยังหัวเมืองต่าง ๆ เราให้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้นที่ชนเอเดนจะได้กลับมาตุภูมิ หาไม่ สิ่งที่พวกมันจะได้รับมีเพียงความตาย ที่เหลือจงกลับไปทำหน้าที่เสีย ตอนนี้ข้าต้องการอยู่เพียงลำพัง สิ้นเสียงบัญชา เหล่าข้ารองบาทพากันก้มหัวรับคำสั่งแล้วต่างแยกย้ายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงจ้าวปีศาจประทับอยู่บนบัลลังค์เพียงลำพัง

     

    กระทั่งท้องพระโรงว่าราชการว่างเปล่า แผ่นหลังที่ตั้งตรงจนถึงเมื่อครู่ค่อยงองุ้ม ใบหน้าคมจมอยู่ในฝ่ามือใหญ่สั่นเทิ้ม

     

    สัญญาสุดท้ายยังคงดังก้อง

     

     

     

     

    ฝากดูแลเฟลิโอน่า ฝากดูแลลูกของเราด้วย

     

     

     

     

     

    แน่นอน อลิเซีย แน่นอน

     

     

     

     

     

    ...

     

     

     

     

     

    ตึก ตึก ตึก

     

    เสียงฝีเท้าดังไปทั่วทางเดินปราสาท เหล่านางกำนัลต่างวิ่งกันให้วุ่น เมื่อเด็กหญิงผู้เปรียบดั่งดวงใจของทุกผู้ในเคหาสน์หลวงหายตัวไป

     

    องค์หญิงเพคะ องค์หญิงงงงงเสียงตะโกนดังลั่นจากนางกำนัลผู้ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเจือไปด้วยความร้อนใจ และกระวนกระวาย

    จะไม่ให้ร้อนใจได้ไงเล่า ในเมื่อทั้งที่วันนี้เป็นวันสำคัญของเจ้าตัวแท้ ๆ แต่เจ้าของงานกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตาม

    ตะโกนโหวกเหวกอะไรกันน่ะ พวกเจ้าเสียงทรงอำนาจที่ดังขึ้นทำให้นางกำนัลสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาพลางภาวนาให้เจ้าของคำถามไม่ใช่คนที่ตนคิด หากแต่คำภาวนาก็ไม่เป็นผล

    ฝ่าบาทเป็นร่างสูงของเอวิเดส เกรเดเวล จ้าวแห่งเดมอสปรากฎอยู่ตรงหน้านางดังคาด ใบหน้าคม งดงามราวกับรูปสลักที่ไม่ต่างไปจากเมื่อ 10 ปีก่อนฉายแววรำคาญปนฉงน

     

    เฟลิโอน่าแต่งตัวเสร็จหรือยัง แขกในงานรออยู่นานแล้ว

     

    เอ่อ องค์หญิง ทรงยังไม่พร้อมเพคะ คิ้วเรียวของจ้าวปีศาจเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเมื่อได้ฟัง

     

    ทำไมล่ะ แล้วนี่ลูกข้าอยู่ไหน บรรดานางกำนัลพากันมองตากันเลิ่กลั่ก หากไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ยวาจาตอบ

     

    ว่าอย่างไร สุรเสียงติดจะเข้มขึ้นเมื่อเห็นท่าทางละล้าละลัง จะตอบก็ไม่ตอบเสียที

     

    หม่อมฉัน เอ่อ ไม่ทราบเพคะ นางกำนัลเอ่ยเสียงแผ่วเบาไม่ต่างไปจากเสียงกระซิบ

     

    เจ้าพูดอะไรนะ ข้าไม่ได้ยินคิ้วเรียวของเอวิเดสเริ่มมุ่นเข้าหากัน พลันบรรดานางกำนัลก็ทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนเอ่ยเสียงสั่น

    ท่านจ้าว ขอทรงประทานอภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันละสายตาจากองค์หญิงเพียงแวบเดียวเท่านั้น... ดวงตาสีนิลฉายแววเข้าใจทันที ร่างสูงยกมือขึ้นเกาศีรษะตนอย่างหมดมาดราชาพลางทอดถอนใจ

    ...เป็นอย่างนี้เสียทุกที

     

    เอาเถอะ นางก็เป็นเช่นนี้ ลำบากพวกเจ้าแล้วล่ะ ไป พวกเจ้าไปเตรียมทุกอย่างไว้เสียให้พร้อมแล้วกัน ข้าจะไปหานางเองไม่แม้กระทั่งรอให้นางกำนัลคำนับ ร่างสูงหมุนตัวกลับมุ่งหน้าไปยังที่ ๆ เขาคาดว่า จะได้พบกับลูกสาวตัวดีของเขา

     

     

     

    ...

     

    ร่างเล็กของเด็กหญิงนอนนิ่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้นานาพันธุ์ที่กำลังบานสะพรั่ง ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้ที่จ้าวปีศาจปลูกร่วมกับชายาผู้ล่วงลับไว้ในสวน กล่าวกันว่าด้วยความรักของทั้งสองทำให้ดอกไม้เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสวนสวย และจ้าวปีศาจก็มอบสวนนี้ให้เป็นของขวัญแก่ชายาคนงาม หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนเริ่มเรียกขานสวนแห่งนี้ว่า สวนสมเด็จ

    หนึ่งในสถานที่ต้องห้ามในดินแดนเดมอส

    ...สถานที่แห่งความทรงจำของท่านพ่อ

     

    ดวงตาสีน้ำตาลคู่งามที่มีแต่ผู้ที่ได้พบเห็นกล่าวขานว่า ถอดแบบมาจากพระมารดาไม่ผิดเพี้ยนเหม่อมองไปไกลยังท้องฟ้าที่ค่อยกลายเป็นสีอำพันด้วยแสงตะวันที่กำลังเคลื่อนคล้อย ที่ที่บิดาของเธอเคยกล่าวไว้ว่า ผู้เป็นมารดาทรงประทับอยู่บนนั้น คอยเฝ้าดูจากเบื้องบน

     

    ...ท่านแม่

     

    ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบพักตร์ ด้วยพระองค์ทรงสิ้นไปตั้งแต่ตอนที่ตนยังเล็กเกินกว่าจะจำความได้ จะมีก็เพียงแต่ภาพวาดที่มีจิตรกรวาดไว้เมื่อตอนพระราชพิธีอภิเษกเท่านั้น หากก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เมื่อถามหาเหตุจากบิดา คำตอบที่เธอได้ก็คือ

    เพราะแม่ของเจ้าไม่ชอบเป็นผู้ถูกวาด เธอรักที่จะเป็นผู้ลงพู่กันเองเสียมากกว่า

     

    วังจึงเต็มไปด้วยภาพเขียนฝีพระหัตถ์พระชายาแห่งเดมอส หากภาพเหมือนพระองค์กลับมีเพียงแค่ภาพเดียว

     

    ดวงตาสีน้ำตาลค่อย ๆ เคลื่อนปิดลงอย่างเชื่องช้า หูสดับเสียงดนตรีจากธรรมชาติอันเกิดจากสายลม

    ก่อนดวงตาคู่งามจะลืมโพลงขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบทางด้านหลัง

     

    เฟลิโอน่าเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างอ่อนโยน เจ้าของนามเฟลิโอน่า เกรเดเวล ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความรวดเร็ว พลางหันไปตามเสียง

     

    ท่านพ่อ

     

    เอวิเดสผ่อนลมหายใจยาว ใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ มาหลบอยู่ที่นี่นี่เอง ปล่อยให้พ่อตามหาเจ้าเสียนาน

    ขออภัยเพคะดวงตาสีน้ำตาลหลุบต่ำ

    แล้วดูสิ เจ้ายังอยู่ในชุดมอมแมมนี่อีก ลองอาลูน่าของเจ้ามาเห็นคงได้โดนอบรมไปอีกหลายวัน” จ้าวปีศาจหมายถึงชุดลำลองที่ประกอบด้วยเสื้อทูนิคแขนยาวซึ่งทอจากฝ้าย สวมทับด้วยเสื้อตัวนอกผ้าเนื้อหน้าปักลวดลายเดินด้ายทอง และกางเกงผ้ายาวคลุมแข้ง อันเป็นชุดพื้นเมืองของสามัญชนชาวเดมอส ซึ่งเจ้าตัวดูจะนิยมชมชอบมากกว่าบรรดาชุดกระโปรงตัวยาวปักดิ้นทองและเงินซึ่งเป็นชุด ประจำพระองค์’  

     

    “ถ้าท่านพ่อไม่ตรัสบอก ท่านอาก็ไม่ทรงทราบหรอกเพคะ เด็กหญิงพูดอย่างเอาแต่ใจทีเดียว

     

    “เจ้าพูดเหมือนเจ้าไม่รู้จักอาของเจ้า นางคือราชินีจันทราผู้หยั่งรู้นะ” จ้าวปีศาจหยอกเย้า

     

    “ท่านพ่อ~” เด็กหญิงส่งเสียงกระเง้ากระงอด

     

    “ไปเถอะ ทุกคนรอเจ้าอยู่เอวิเดสเอ่ยชักชวน หากร่างเล็กกลับนั่งนิ่ง ใบหน้าสวยมีร่องรอยความเบื่อหน่าย

     

    แต่ท่านพ่อก็ทรงทราบว่า ลูกเกลียด...ไม่ชอบงานเช่นนี้กล่าวจบก็เบือนหน้าไปอีกทาง เอวิเดสเห็นอย่างนั้นก็เดินมานั่งข้างบุตรสาว พลางเอ่ย

     

    วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของลูกนะ เฟลิโอน่า ทุกคนต่างอยากแสดงความยินดีกับเจ้าทั้งนั้น

     

    แต่ลูกไม่เห็นจะยินดีด้วยเลยเด็กหญิงกล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

     

    เห? ทำไมกันเล่าเอวิเดสเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ็นดู หากบุตรสาวข้างกายยังคงไร้รอยยิ้ม เด็กหญิงอ้ำอึ้งลังเลเพียงครู่ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว

     

    ก็...ก็ในเมื่อวันนี้ เป็นวันที่ท่านแม่สิ้นนี่เพคะ หรือท่านพ่อลืมแล้ว

     

    รอยยิ้มพลันเลือนหายไปจากใบหน้าคม เขามองหน้าสวยหวานที่ถอดออกมาจากมารดาแทบไม่ผิดเพี้ยน ทั้งผมสีน้ำตาลยาว และดวงตาสีเดียวกัน เฟลิโอน่า เกรเดเวล เหมือนอลิเซีย เกรเดเวล ผู้เป็นมารดาราวกับคนเดียวกันทีเดียว หากจะต่างก็เพียงเจ้าลูกแก้วใสคู่ตรงหน้านั้นมิได้สดใสเช่นเดียวกับของมารดาเมื่อยามมีชีวิตอยู่

    ดวงตาของเฟลิโอน่ามีประกายความเศร้าเจืออยู่ทุกครั้งที่เขาได้มอง

     

    ...ความเศร้า ที่เจือไปด้วยความรู้สึกผิด

     

    มันเป็นดวงตาแบบเดียวกัน ยามเขามองเงาสะท้อนในกระจกเงา

    หากว่ากันตามตรง จ้าวปีศาจเองก็รังเกียจงานเลี้ยงอัน “น่ายินดี” เช่นกัน...หรือพูดให้ถูกคือ เขาสะอิดสะเอียนคำยินดี ในวันแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในชีวิตอันยืนยาวของเขานัก

     

    ทว่า...

     

    มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสศีรษะของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน ก่อนเอ่ย พ่อจะลืมได้อย่างไรเล่า ลูกรัก จะลืมได้อย่างไรน้ำเสียงที่ทอดลงในตอนท้ายทำให้เฟลิโอน่าต้องเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีนิลหม่นเศร้าของผู้เป็นบิดาทำให้เด็กหญิงรู้สึกเสียใจขึ้นมา

     

    เพราะเฟลิโอน่าเป็นเด็กฉลาด เธอรับรู้และตระหนักถึงความรักที่จ้าวปีศาจมอบให้ผู้เป็นมารดาเป็นอย่างดีแม้ไม่ต้องมีใครบอกเล่า ในขณะเดียวกันก็เข้าใจเป็นอย่างดีเช่นกันถึงความหมาย เบื้องหลังของการจัดงานวันเกิดของตน

     

    ...แม้เข้าใจ หากใช่ว่าหัวใจจะยอมรับด้วยความยินดี

     

    เพราะว่ายังเด็กนัก เฟลิโอน่าจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงอาการต่อต้าน ด้วยเผลอหลงลืมว่าการต่อต้านนั้นจะทำร้ายหัวใจคนเป็นบิดาได้เช่นกัน

    เมื่อตระหนักได้ เด็กหญิงจึงรู้สึกเสียใจยิ่งนัก ใบหน้างามก้มงุด ดวงตาเริ่มคลอฉ่ำไปด้วยน้ำตา ความรู้สึกเสียใจสับสนปนเปไปหมด

    มือใหญ่ของจ้าวปีศาจสัมผัสศีรษะกลมมนอย่างอ่อนโยน ก่อนค่อยเลื่อนมาประคองใบหน้ามนของบุตรสาวให้ขยับเงยขึ้น พลางใช้ปลายนิ้วสัมผัสไล่หยาดน้ำตา

     

    เฟลิโอน่าที่รัก พ่ออยากให้เจ้าจดจำไว้ แม้การจากไปของแม่เจ้าจะเจ็บปวด และพ่อเจ้ายอมรับว่าเจ็บปวดทุกครั้งที่วันนี้มาถึง หากก็เป็นวันที่จ้าวปีศาจเอวิเดส เกรเดเวลผู้นี้มีความสุขที่สุดเช่นกัน

     

    เพราะวันนี้คือวันที่เราพบกันครั้งแรก เฟลิโอน่า”

     

    เด็กหญิงสะอื้นเล็ก ๆ ให้เอวิเดสได้แต่ถอนใจเบา ๆ

     

    “เอาเถอะ พ่อเข้าใจ เฟลิโอน่า ถ้าเช่นนั้น พ่อจะยกเลิกงานในวันนี้ซะ และเราจะไม่จัดงานเช่นนี้อีก เอวิเดสกล่าวจบก็ลุกขึ้น แต่เฟลิโอน่ากลับดึงมือบิดาของเธอไว้

     

    เดี๋ยวเพคะ ท่านพ่อ

     

    ....ว่าอย่างไรล่ะ

     

     “ไม่...ไม่ต้องยกเลิกหรอกเพคะ ท่านพ่อ” เด็กน้อยพูดไปสะอื้นไป เรียกรอยยิ้มกว้างขวางของจ้าวปีศาจให้ปรากฎ มือใหญ่ยกขึ้นสัมผัสศีรษะกลมมนของบุตรสาวพลางโยกไปมา สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นที่จ้าวปีศาจมีให้แก่บุตรสาวคนเดียวเท่านั้น..

     

     

    อดทนเถิด ลูกรัก ด้วยนี่คือวิถีแห่งผู้ปกครอง

     

     

     

     

    ...

     

     

     

    เสียงจ้อกแจ้กจอแจ ปนกับเสียงดนตรีที่ดังแว่วมาจากโถงจัดเลี้ยงทำให้เด็กสาวต้องแอบเบ้หน้ากับตัวเองขณะเดินตาม ข้าราชบริพาร พลางบ่นพึมพำ

               

    ...ไม่เข้าใจว่าจะต้องมากันเยอะแยะไปทำไม ...

     

    บ่น ทั้งที่เข้าใจเหตุผลดีอยู่แล้ว หากเด็กหญิงก็ยังบ่นอุบอิบอย่างเสียไม่ได้

     

    วันครบรอบวันคล้ายวันประสูติของรัชทายาทหนึ่งเดียวของเดมอส ใครบ้างจะไม่อยากมาร่วมยินดี แม้ไม่น้อยที่มาร่วมด้วยใจหมายมาดสิ่งอื่น

    ตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อครบบรรจบขวบปี เด็กหญิงจะถูกห้อมล้อมไปด้วยบรรดาขุนนางทั้งใหญ่น้อยที่ต่างพยายามหว่านคำหวานที่หาความจริงใจได้ยาก และของขวัญงดงาม หรูหรา หากไร้ค่ายิ่งนักในสายตาขององค์หญิงแห่งเดมอส

    แรกเริ่มเฟลิโอน่าก็ตื่นเต้นดีใจตามประสาเด็ก หากพอเริ่มรู้ประสา องค์หญิงน้อยก็เรียนรู้ว่าภายใต้คำชื่นชมยินดีและรอยยิ้มเหล่านั้นมีอะไรแอบแฝง

     

    ราวน้ำผึ้งหวานเจือยาพิษร้าย

     

    แต่หากไม่จัดงานเช่นนี้ ก็คงเป็นการยากที่จะดูแลหัวเมืองใหญ่น้อยให้อยู่ในสายตา ด้วยงานเลี้ยงนี้นัยหนึ่งเป็นการแสดง “แสนยานุภาพ” แห่งบัลลังค์ดำของจ้าวปีศาจ ทั้งสานสัมพันธ์กับขุนนางและเจ้าเมืองที่ภักดีเพื่อเป็นรากฐานอำนาจให้กับว่าที่ผู้ครองดินแดนต่อไป

     

    อีกนัยหนึ่งคือการหยั่งเชิงท่าทีกับผู้ครองหัวเมืองและชนชั้นสูงอื่น ๆ ว่าจะมีใครคิดกระด้างกระเดื่องหรือไม่

     

    ...ใครว่ามีแต่ชนเอเดนที่เล่นการเมือง

     

    เจ้าหญิงแห่งเดมอสแอบยืนมองเข้าไปในงาน แล้วก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเมื่อเห็นเจ้าเมืองต่าง ๆ ทั้งเมืองเล็กเมืองน้อยต่าง ๆ อยู่ในงานเต็มไปหมด

     

    มีแต่พวกสอพลอทั้งนั้นเฟลิโอน่ารำพึงกับตนเองอย่างเบื่อหน่าย

     

     

     

     

    จ้าวปีศาจเอวิเดส เกรเดเวลกำลังยืนมองเหล่าเจ้าเมืองต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกไม่แตกต่างจากผู้เป็นลูกสักเท่าใด หากใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักของผู้ครองบัลลังค์ดำยังประดับด้วยรอยยิ้ม

    ในอดีตนั้น จ้าวปีศาจคิดว่าการจัดงานเลี้ยงเช่นนี้ไม่ต่างจากการเล่นละครลิงใส่กัน และหัวเราะเยาะว่า คงมีแต่เอเดนเท่านั้นที่ทำได้

     

    หากเมื่อเวลาผ่านไป ราชาปีศาจจึงได้เรียนรู้

     

    ความหลงใหลในอำนาจ เปลี่ยนแปลงได้กระทั่งหัวใจปีศาจ

     

    ยิ่งดินแดนเดมอสนั้นกว้างใหญ่ไพศาล การปกครองจึงไม่อาจพึ่งเพียงพลังอำนาจแห่งจ้าวปีศาจและราชาผู้สืบสายเลือดเดียวกันเช่นบรรพกาล

               

    การเล่นละครลิงเช่นนี้จึงจำเป็นยิ่งนักสำหรับการเมือง

     

    ดวงตาสีนิลที่กวาดตามองไปมาจึงมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับจะมองให้ทะลุร่างของผู้ร่วมงาน

    ท่านกังวลอะไรอยู่หรือ ท่    านพี่เสียงหวานดังขึ้นข้างตัว

     

    ...ไม่มีอะไรหรอก ลูน่าน้องข้า เรื่องเดิม ๆ น่ะ เจ้าก็รู้เอวิเดสกล่าว พลางหันมาสบตากับราชินีจันทรา ลูน่า เกรเดเวล ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นคนที่มักจะติดตามราชินีจันทรามาเยี่ยมเยียนเขาด้วยเสมอ

     

    ว่าแต่ หลานเจ้าไม่มาด้วยเหรอปีนี้

     

    เจ้าเด็กนั่นน่ะเหรอ ปีนี้ดูเหมือนเขาติดธุระที่เอดินเบิร์กน่ะ เลยมาไม่ได้ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย หากดวงตาสีทองของลูน่า เกรเดเวลกลับปรากฎรอยขบขันติดจะวาววับอย่างมาดหมาย คล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง

     

    งั้นหรือท่าทีนิ่งเฉยของพี่ชายทำให้ราชินีแห่งนครจันทราออกจะแปลกใจเล็กน้อย เพราะหากเป็นแต่ก่อน เพียงได้ยินชื่อที่เกี่ยวข้องกับเอเดน พี่ชายอารมณ์ร้อนของนางเป็นต้องโวยวายหัวเสียทุกครั้งไป ปฏิกิริยาเช่นนี้ จึงออกจะเกินความคาดหมายราชินีผู้หยั่งรู้ไปเสียหน่อย

     

    แต่ไม่ทันที่พี่น้องจะได้สนทนาอะไรต่อกันมากกว่านี้ เสียงฮือฮาจากรอบข้างก็ดังขึ้นเสียก่อน

     

    ดูเหมือน เฟลิโอน่า จะมาแล้ว ราชินีจันทราเอ่ยอย่างนึกรู้พลางยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ ดวงตาคมปลาบจับจ้องไปยังประตูใหญ่สีดำ ร่างจ้อยของพ่อมด และเสนาบดีแห่งเดมอสปรากฏขึ้นหน้าบานประตูหนาหนัก ไม้เท้ายาวไม่สมตัวในมือเจ้าโคมุส ถูกยกสูง ก่อนปลายไม้เท้าจะกระทบกับพื้นหินอ่อนก่อเสียงกังวานเป็นสัญญาณให้ทุกผู้เงียบเสียงลง

     

    เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล องค์รัชทายาทแห่งเดมอส เสด็จ

     

    สิ้นเสียงโกโดม ประตูสีดำก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างบางในชุดราตรีสีอ่อนประดับด้วยลูกไม้ปักดิ้นเงินเดินเส้นทองเป็นลายคลื่น ผมสีน้ำตาลยาวถูกตลบขึ้นเป็นมวยสูงทิ้งลูกผมระต้นคอขาว และช่วงไหล่เนียน ดวงหน้ามนสอดรับกับดวงตาสีเปลือกไม้กลมโตแลดูหวานซึ้ง

     

     

    ความงามนั้นงามสมพรซึ่งอำนวยโดยบิดาผู้ยิ่งยงสะกดทุกสายตาในที่นั้น แม้สตรีด้วยกันยังมิวายเผลอกลั้นหายใจ พลางรำพึง

     

    ...อายุเพียงไม่กี่ขวบปียังงามถึงเพียงนี้ หากเติบใหญ่ยิ่งขึ้นไปคงยิ่งงามปานเมืองล่ม แม้ภูติพรายนางไม้คงมิวายได้เร้นกายแอบซ่อนด้วยยอมสยบซึ่งความงามของธิดาแห่งความมืดผู้นี้

     

    เด็กหญิงค่อย ๆ เคลื่อนกายลงบันไดมาอย่างสง่างาม ทุกย่างก้าวแฝงด้วยความเยือกเย็นและนุ่มนวล สมฐานันดรทายาทเพียงพระองค์เดียวแห่งจ้าวปีศาจ

     

    เอวิเดสมองภาพนั้นด้วยหัวใจพองโต ด้วยแม้ในตอนแรกจะอิดเอื้อน หรือแสดงท่าทีต่อต้านสักเพียงไหน แต่สุดท้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาคนนี้ก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังแม้แต่ครั้งเดียว

     

    เฟลิโอน่า มาทางนี้สิเอวิเดสเรียกบุตรสาวพร้อมรอยยิ้มกว้าง ดวงตาสีรัตติกาลนั้นพร่างพราวด้วยประกายแห่งความภาคภูมิอย่างไม่คิดปิดบัง มือใหญ่ยื่นออกไปให้บุตรสาวเพียงคนเดียวจับจูง

     

    ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพ่อสรรพนามที่ใช้เรียกยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวถูกนำมาใช้ขณะร่างบางของเด็กหญิงยื่นมือบางรับมือของผู้เป็นบิดา ขณะก้าวเคียงคู่

     

    “วันนี้เจ้างามนักเฟลิโอน่า” เป็นราชินีจันทราที่เอ่ยชม ดวงตาคมสีทองสะท้อนความภาคภูมิมิแพ้พี่ชาย

     

    “ขอบพระทัยเพคะเสด็จอา ท่านเองก็ยังงามสง่าไม่สร่างเช่นกัน” ราชินีจันทรายิ้มรับคำชมกลับนั้น หากส่งสายตารู้เท่าทันกลับมาให้

     

    “ปากหวานนัก หลานรักของอา แต่คงไม่อาจชดเชยที่เจ้าทำตัวเกเรเมื่อตอนเย็นได้หรอกนะ” ประโยคท้ายเอ่ยให้ได้ยินแต่เพียงคนใกล้ตัวให้คนทำตัวเกเรได้หนาว ๆ ร้อน ๆ เล่น จ้าวปีศาจได้แต่หัวเราะหึ ๆ ในลำคอ ดวงหน้าคมพร่างพรายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะ ยื่นมือช่วย บุตรสาวคนเดียวของเขาด้วยการกล่าวว่า

     

    อา จริงสิ เจ้ากล่าวอะไรกับพวกเขาหน่อยสิ

     

    เพคะ เสด็จพ่อเฟลิโอน่ารับคำ ก่อนจะหันไปกล่าวต้อนรับกลุ่มคนที่ยืนรอเธอ เด็กหญิงเลือกใช้ถ้อยคำสั้น ๆ ง่าย ๆ เพียงแค่บอกขอบคุณและอวยพรให้พวกเขาเหล่านั้นสนุกกับงานเลี้ยง เสียงปรบมือดังขึ้นเมื่อเจ้าของงานกล่าวจบ เธอค้อมตัวให้คนในงานเล็กน้อย แล้วให้สัญญาณนักดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงต่อไป

     

    และนั่นก็เป็นสัญญาณเริ่ม วัฎจักรอันน่าเบื่อของเฟลิโอน่า เกรเดเวล

     

    กล่าวทักทายบรรดาขุนนางใหญ่น้อยที่เธอจำได้บ้างไม่ได้บ้าง รับของขวัญที่ไม่เคยต้องการ และกล่าวคำขอบคุณ แม้ว่าสุดท้ายแล้วเธอก็จะลืมใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดภายในชั่วคืนเดียว

     

    เด็กหญิงได้แต่ภาวนาให้ช่วงเวลาอันน่าเบื่อนี้ผ่านไปโดยเร็ว

     

     

     

     

     

    ...โดยไม่รู้เลยว่า คืนนี้อาจกลายเป็นงานเลี้ยงคืนสุดท้ายของเธอ

     

     

     

     

    .....




    Re-format

    2017-04-20

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×