คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คำถาม
- คำถาม -
เฟรินไม่นึกชอบสถานการณ์ตอนนี้สักเท่าไหร่
เบื้องหน้าเด็กหนุ่ม
คือ มังกรสีน้ำตาลตัวเขื่อง ทั้งชายหนุ่มที่เป็นผู้บังคับมันนั้นก็แสดงท่าทีไม่เป็นมิตรชัดเจนอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว
ไหนจะมือของชายหนุ่มที่จนถึงตอนนี้ยังไม่ละจากด้ามดาบที่สะพายที่เอว ไม่นับรวมทหารติดตามที่แม้จะไม่เห็นด้วยสายตาหากยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศระแวดระวัง
ซ้ำร้าย คนขับรถม้าอาศัยจังหวะที่หัวขโมยจำต้องละมือจากเขาเพื่อประคองตัวไม่ให้ตกไปจากรถเมื่อครู่หนีไปเสียก่อน
หากจะใช้กำลังฝ่าออกไปก็น่าจะกินแรงไม่น้อย
สถานการณ์ที่ตึงมือขนาดนี้
เขาล่ะเกลียดจริง ๆ
นอกจากนี้
เฟรินยังนึกเหตุผลดี ๆ ไม่ออกจริง ๆ ว่า ‘คนสำคัญ’
ระดับนี้จะมาดักคร่ากุม ‘หัวขโมยกระจอก’
อย่างตนในตอนนี้ทำไม นั่นกระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของเขาไม่น้อย
ความอยากรู้ข้อนี้เอง
ที่ทำให้หัวขโมยยังไม่งัดวิชาตีนผีที่มาดัสโอ้อวดว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินเอเดนมาใช้
ด้วยเหตุนี้
เฟรินจึงเลือกเก็บมีดในมือก่อนลุกยืนเหยียดตัวตรงและหันไปประจันหน้ากับชายหนุ่ม
ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เส้นผมยันปลายนิ้ว ก่อนเอ่ยคำถามช้าชัด
“แล้วท่านเป็นใคร”
ดวงตาสีเดียวกับหัวขโมยหรี่ลงเล็กน้อย
ประกายเคลือบแคลงปรากฏชัดทั้งบนใบหน้าและดวงตาเฉยเมย
ร่างสูงยืดกายเหยียดตรงเล็กน้อยก่อนตอบ
“ยูริซิส ฟาโรเวล เจ้าชายแห่งบารามอส” เจ้าชายหนุ่มนิ่งไปนิด ก่อนเอ่ยต่อ “หึ
ปากเจ้าบอกไม่รู้จัก หากกลับไม่มีท่าทางแปลกใจเลยสักนิด เฟริน เดอเบอร์โรว์
เจ้ารู้ตัวหรือไม่
แค่เรื่องนี้เราก็เอาผิดฐานล่วงเกินเชื้อพระวงศ์แห่งบารามอสได้แล้ว”
ยามเอ่ยประโยคนั้น ดวงตาของเจ้าชายแห่งบารามอสวาวโรจน์ทีเดียว หากหัวขโมยกลับทำเพียงส่งยิ้มยียวน
พลางตอบ
“แต่ข้ากลับได้ยินมาว่า
ในอาณาเขตเอดินเบิร์กนี้
ไม่มีกฎหมายหรือราชวงศ์ใดอยู่เหนือไปกว่ากฎหมายที่ตราโดยสภาสูงแห่งเอดินเบิร์ก
และเท่าที่ข้าเห็น เรายังอยู่ในเอดินเบิร์กมิใช่หรือ ‘ฝ่าบาท’ ...ว่าแต่เจ้าชายมีธุระอะไรกับหัวขโมยเล่า
ถึงได้ส่งคนมา ‘ต้อนรับ’ ถึงขนาดนี้”
แกล้งถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่ากำลังยั่วโทสะชายหนุ่ม หากยูริซิสกลับนิ่งเฉย
ซ้ำยังมองหัวขโมยด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ยิ่งขึ้น ชวนให้หัวขโมยรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ
พิกล
เสียงถอนหายใจคล้ายรำคาญของชายหนุ่มทำลายความเงียบ
ดวงตาสีอ่อนฉายแววรู้ทันสานสบกับดวงตาหัวขโมยขณะเอ่ย
“ที่เขาว่าหัวขโมยมักจะรู้มาก
เห็นจะจริง ส่วนธุระของเรา ไม่ใช่เจ้าเองก็รู้ดีอยู่แล้วหรอกหรือ เฟริน
เดอเบอร์โรว์” เจ้าชายหนุ่มกล่าวขณะดวงตาจับจ้องใบหน้าคร้ามแดดของหัวขโมย หากภายใต้ใบหน้าเฉยเมยที่แสดงออก
ยูริซิสต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยเจอขโมยที่มีท่าทีเช่นนี้มาก่อน ทั้งกิริยาที่จะหยาบกระด้างก็ไม่ใช่
จะนุ่มนวลก็ไม่เชิง ถ้อยคำที่กล่าวออกมานั้น แม้จะฟังดูยียวนหากไม่หยาบกระด้าง ‘อย่างที่ควร’ ผิดจากหัวขโมยทั่วไป
หากสุดท้าย
ยูริซิสก็ปัดความสงสัยนั้นทิ้งไป
มือของชายหนุ่มผละออกจากด้ามดาบขณะอีกมือจับสายบังเหียนรั้งเข้าหาตัว มังกรใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งหมอบพลันยืดกายขึ้นยืนเต็มสี่เท้า
“เราไม่มีเวลาเล่นเกมยี่สิบคำถามกับเจ้าหรอกนะ
กลับเข้าไปในรถม้าเสีย เราจะให้คนของเรานำไป” เพียงสิ้นเสียงของชายหนุ่ม ‘คนของเจ้าชาย’ ซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ราว 4 คนบนอาชาสีดำสูงใหญ่ก็ปรากฎกายขึ้นราวกับภูติผี บรรยากาศกดดันและมือหนาที่กระชับอยู่บนด้ามดาบข้างกายของแต่ละคนราวจะบอกว่าเด็กหนุ่มไม่มีสิทธิแม้แต่จะปฏิเสธ
‘คำเชิญ’ นี้
หัวขโมยมองท่าทีข่มขู่ด้วยสายตาประเมิน
พลางค่อนขอดในใจว่าเจ้าชายผู้นี้ช่างเอาแต่ใจ ซ้ำยังตาถั่วยิ่งนัก
เพราะรถม้าที่ว่าแม้แต่เด็กอมมือยังรู้ว่าไม่สามารถใช้การได้อีก
..บ่นพลางทำเป็นลืม ๆ ไปว่าเหตุที่รถม้ามีสภาพยับเยินเช่นนี้ครึ่งหนึ่งเป็นฝีมือของตนเอง
ขณะในใจยังก่นด่า
หากปากกลับเอ่ยเสียงเครือ “โอ เจ้าชาย
ใจคอท่านจะให้ข้านั่งรถม้าไม่สมประกอบเช่นนี้จริง ๆ หรือ
ข้ารึอุตส่าห์คิดว่าชาตินี้จะได้มีเรื่องเล่าให้ลูกหลานฟังว่าครั้งหนึ่งเคยมีบุญได้นั่งบนรถม้าของเจ้าชายแห่งบารามอส
แล้วท่านคิดดูเอาเถิดว่าหากลูกหลานถามว่ารถม้าของเจ้าชายเป็นเช่นไร
ข้าจะตอบพวกเขาได้อย่างไรว่าเจ้าชายจากนครอันดับหนึ่งเช่นบารามอส
กลับให้ข้านั่งรถม้าโกโรโกโสเช่นนี้” ไม่พูดเปล่าเจ้าหัวขโมยตัวแสบยังก้มหน้าทำท่าทำทางสะอึกสะอื้น
โศกสลดประหนึ่งญาติสนิทเสีย
อาการ
‘เล่นใหญ่’ ของหัวขโมยทำลายบรรยากาศกดดันเมื่อครู่เสียสิ้น
ชายทั้ง 4 คนนั้นได้แต่ยืนนิ่งอึ้งตะลึงงัน พลางหันรีหันขวางเหลือบตามองผู้ทรงมังกรที่นิ่งอึ้งไปอย่างนึกไม่ถึงเช่นกัน
เฟรินอาศัยจังหวะนั้นเอง
เอี้ยวตัวไปปลดเชือกที่เทียมม้า ก่อนกระโจนขึ้นหลังม้าในคราวเดียวท่ามกลางความตกใจของเจ้าชายและผู้ติดตามทั้งสี่
ยูริซิสกัดฟันกรอดปล่อยบังเหียนในมือเพื่อเรียกดาบคมออกมาในทันที
หากไม่ทันที่เจ้าชายแห่งบารามอสจะสั่งให้คนของเขาพุ่งไปจับตัว หัวขโมยบนหลังม้ากลับชักม้าให้วิ่งเหยาะ
ๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาก่อนส่งรอยยิ้มยียวนให้
“หากจะให้ข้านั่งรถม้าหมดสภาพเช่นนั้นไป
เกรงจะเป็นที่ ‘เสื่อมพระเกียรติ’ ของเจ้าชาย ฉะนั้นข้าจะไปกับเจ้านี่แทนก็แล้วกัน”
พูดพลางตบแผงคออาชาหนุ่มที่มีท่าทีพอใจที่ได้หลุดจากพันธนาการเบา ๆ
ก่อนจะทำท่าตกใจที่มองอย่างไรก็ดูเสแสร้ง
“โอ้
ขอพระองค์โปรดประทานอภัยที่ ‘กระหม่อม’
เสียมารยาทเสียนาน ไอ้กระหม่อมก็เป็นเพียงหัวขโมยกระจอก ไร้การศึกษา
หวังว่าพระองค์ผู้ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวางจะไม่ถือสาผู้โง่เขลาเช่นกระหม่อม”
ว่าพลางค้อมศีรษะปะหลก ๆ อยู่บนหลังม้า หากอีกฝ่ายมองอย่างไรก็เห็นเพียงท่าทีหยอกเย้าอย่างไม่กลัวเกรง
ดวงตาสีอ่อนจึงดูเข้มจัดด้วยโทสะ
หากติดเพียงคนผู้นั้นยังกำชับนักหนามิให้ใช้กำลังหักหาญกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นอันขาด
ผู้ถือบรรดาศักดิ์เจ้าชายจึงจำต้องกลืนโทสะลงท้อง
“เราเสียเวลาเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับเจ้ามานานพอแล้ว เดอเบอร์โรว์ เจ้าตามมาให้ทันแล้วกัน”
เจ้าชายแห่งบารามอสเอ่ยเสียงห้วนขณะสอดดาบเข้าฝัก สังเกตดี ๆ
จะเห็นเส้นเอ็นปูดขึ้นตามลำคอด้วยแรงโทสะที่ถูกข่มกดให้อยู่ภายใน ภาพชายหนุ่มหน้าตึง
ไหล่หลังเกร็งด้วยแรงโทสะหากทำอะไรไม่ได้เรียกรอยยิ้มบาง ๆ ฉาบขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มบนหลังม้า
อา...
เจ้าชายแห่งบารามอสผู้นี้ น่ารักน่าแกล้งไม่น้อย
คิดแล้วหัวเราะเบา
ๆ อยู่คนเดียว มั่นใจถึงสามส่วนว่าหากยูริซิสได้ยินเสียงในใจหัวขโมยยามนี้
ใบหน้ามืดครึ้มคงยิ่งมืดครึ้มอีกไม่น้อย
หัวขโมยรอกระทั่งมังกรสีน้ำตาลตัวเขื่องโผบินสู่ท้องฟ้าแล้วจึงเอนกายแนบลำตัวกับอาชา
กระซิบเสียงแผ่วเบา อาชาหนุ่มที่เพิ่งได้รับอิสระทำเสียงฟืดฟาดคล้ายเข้าใจ ก่อนทะยานตามมังกรไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้ติดตาม
เพียงพริบตาก็ไล่ตามทัน
ชายหนุ่มบนหลังมังกรเหลือบมองเบื้องล่างด้วยความประหลาดใจในฝีเท้าของมัน
หากแต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงแต่เร่งให้มังกรบินเร็วขึ้น
...
ในที่สุดมังกรก็ถลาลงใกล้
ๆ กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เฟรินที่ควบม้าตามมาค่อยดึงบังเหียนให้ม้าค่อย ๆ
ชะลอฝีเท้าลงจนกระทั่งหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น
เด็กหนุ่มกระโดดลงจากม้าพลางหันไปมองเจ้าชายยูริซิสที่กำลังลงจากมังกรเช่นกัน
“ตามมาสิ”
ยูริซิสเดินนำไปที่กระโจมหลังหนึ่ง ขณะที่หัวขโมยกวาดสายตาสำรวจรอบกาย
เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขายังอยู่ในเขตแดนเอดินเบิร์ก
ด้วยยังพอเห็นแนวเขตที่กั้นระหว่างแดนอยู่ลิบ ๆ
ทั้งยังไม่เห็นทหารรักษาแดนของบารามอส นอกจากต้นไม้ใบหญ้าแล้ว
ที่แห่งนี้ก็มีเพียงกระโจมผ้าหลังใหญ่และร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคนที่ยืนอยู่หน้ากระโจมเท่านั้น
หากทันทีที่เฟรินเห็นธงสัญลักษณ์ที่ประดับเหนือกระโจม ก็นึกรู้ได้ทันที
ว่าบุคคลที่อยู่ในกระโจมนี้เป็นใคร
พลันหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
มันประกอบไปด้วยความยินดียิ่ง
ทั้งประหม่ายิ่ง ทว่าลึกลงไปใต้ความยินดีนั้น
คือความระแวงระแวดระวังภัยอันติดตัวเป็นนิสัยที่ยากจะแปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว
ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้ขาที่เดินก้าวตามยูริซิสชะงักหยุดอยู่เพียงหน้าประตูกระโจมนั้น
“เข้ามา เฟริน เดอเบอร์โรว์” เสียงยูริซิสดังมาจากด้านใน
ทำให้เขารีบสาวเท้าตามเข้าไป ด้วยหัวใจเต้นระรัว
เมื่อเข้าไปข้างในกระโจมใหญ่
เขาก็ได้เห็น ชายชราคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดที่ดูเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าตัดโดยช่างมากฝีมือ
นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ ข้างกายเขาคือเจ้าชายยูริซิส
และชายวัยกลางคนอีกคนที่เด็กหนุ่มจำได้ว่าคือ เจ้าชายชามัล ฟาโรเวล
ผู้เป็นพระอนุชา หากความสนใจทั้งหมดของเขาตกอยู่กับบุคคลตรงหน้า
สายใยสุดท้ายระหว่างเขากับแผ่นดินของมารดา
องค์ไฮคิง
กษัตริย์ผู้ครองเมืองบารามอส และผู้เป็นเสด็จตาของเขา
แม้ใบหน้าของชายผู้อยู่เหนือทุกผู้ในเอเดนจะชราไปกว่าภาพในความทรงจำ
หากยังคงเปี่ยมด้วยความสง่าแห่งขัตติยะสมฐานะ เหนืออื่นใดคือเค้าพระพักตร์าและดวงพระเนตร
หากจะกล่าวว่าเจ้าหญิงอลิเซียถอดแบบมาจากพระบิดาก็คงไม่ผิดไปนัก ดวงใจของผู้เป็นลูกเป็นหลานจึงยิ่งเต้นกระหน่ำประหนึ่งจะแล่นออกจากกายมาเต้นอยู่เบื้องหน้า
ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา
เฟรินไม่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้า ‘เสด็จตา’
ก็จริงด้วยเดมอสตัดสัมพันธ์กับเอเดนนับทศวรรษ หากจ้าวปีศาจผู้เป็นบิดาก็มิได้ไร้น้ำใจกระทั่งตัดบัวไม่เหลือใย
พระฉายาลักษณ์แห่งราชวงศ์ฟาโรเวลซึ่งตั้งอยู่ในห้องบรรทมพระราชินีแห่งเดมอสตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพจึงเป็นสิ่งเดียวที่บอกเล่าความเป็นมาของสายเลือดอีกครึ่งในกาย
การได้พบจึงเปรียบประหนึ่งฝันเล็ก ๆ ของรัชทายาทแดนปีศาจเสมอมา
ยิ่งเห็นดวงหน้าอันละม้ายคล้ายคลึงกับบุคคลที่ห่วงหาแต่ไร้วาสนาได้พบ
ใจของเด็กหนุ่มจึงร่ำร้องอยากจะเข้าไปหาด้วยความห่วงหา กล่าวบอกว่าตนเป็นใคร หากสุดท้ายต้องรีบระงับด้วยต้องปิดเป็นความลับ
ดวงตาสีน้ำตาลของหัวขโมยจึงได้หลุบมองพื้น
“เจ้าคือ เฟริน เดอเบอร์โรว์สินะ” สุรเสียงกังวานทรงอำนาจ
แต่ก็เจือไปด้วยความอ่อนโยนดังขึ้น ดึงให้เฟรินตื่นจากห้วงภวังค์
เด็กหนุ่มรีบค้อมกายลงด้วยท่าทางเก้กัง ทว่าครานี้ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งแต่เกิดจากความประหม่าโดยแท้
“พะ..กระหม่อม”
แม้คำพูดยังตะกุกตะกัก ราวกับเป็นคนละคนกับที่ยียวนคนเป็นเจ้าชายอย่างไม่กลัวเกรงพระราชอำนาจ
“เราเป็นใคร คิดว่าเจ้าคงจะพอรู้แล้ว เพราะเขาว่ากันว่า หัวขโมยมักจะรู้มาก”
ท้ายประโยคนั้นรับสั่งด้วยเสียงกลั้วหัวเราะน้อย ๆ
“เอ้อ กระหม่อม” นี่เรียก ชื่นชมหรือด่ากันแน่นะ
...เออ เพิ่งรู้ว่ากษัตริย์ผู้รักสงบเป็นอย่างยิ่งเช่นไฮคิงก็รู้จักค่อนแคะ
“ต้องขอโทษด้วยที่ต้องใช้วิธีการออกจะรุนแรงไปเสียหน่อย แต่เราเป็นคนแก่ใจร้อน
มีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับเจ้าให้ได้ เจ้าหนุ่ม”
“...เรื่องอะไรหรือกระหม่อม”
“เรื่องของเจ้าหญิงเฟลิโอน่าที่หายสาบสูญไปเมื่อ 5
ปีก่อน เจ้าพอจะรู้จักหรือไม่” เป็นเจ้าชายชามัลที่เอ่ยขึ้น
และดูเหมือนคำถามนั้นเป็นคำถามที่พระอนุชาในไฮคิงไม่ต้องการคำตอบแต่อย่างใด
เพราะผู้สูงวัยกว่าเอ่ยต่อในทันทีด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ตามข่าวที่เราได้มา เจ้าหญิงเฟลิโอน่าถูกลอบทำร้ายในวันครบรอบวันประสูติ
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเจ้าหญิงอีกเลย จนมีข่าวลือว่า
พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”
สิ้นประโยค
คล้ายมีม่านหมอกหนาหนักเข้าปกคลุมบรรยากาศในกระโจมที่ประทับ
“กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม เรื่องนั้นเกี่ยวอะไรกับกระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ”
เฟรินถามทำลายความเงียบ
...ถามทั้งที่รู้แน่แก่ใจแล้วว่ากษัตริย์แห่งบารามอสต้องการอะไร
“เพราะเราได้ข่าวมาว่า หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน มันเป็นวันแรกในรอบ 10 ปีที่เดมอสมีการเคลื่อนไหวติดต่อกับเอเดน และในวันเดียวกันนั้น มีชาวเอเดน
2 คนลอบเดินทางเข้าไปในดินแดนที่ปิดตายตลอด 10 ปี
...นั่นก็คือ เจ้า และบิดาของเจ้า มาดัส เดอเบอร์โรว์” เจ้าชายชามัลกล่าว
“ถึงมาดัสจะเป็นสหายของเรา
แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกับเขามาเกือบสิบห้าปีแล้ว จึงไม่รู้ว่า เจ้าและบิดามีความสัมพันธ์อะไรกับจ้าวปีศาจเอวิเดส”
ประโยคท้าย เฟรินคล้ายเห็นคำถามในดวงพระเนตรขององค์ไฮคิง
ทั้งท่าทีของพระองค์นั้นก็ดูราวกับว่ากำลังรอให้เฟรินตอบ
ทว่าเขาเลือกจะตอบคำถามนั้นด้วยความเงียบแทน
“แต่มันทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง” เจ้าชายชามัลเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ดวงตาสีน้ำตาลไม่ต่างจากพระเนตรของพระเชษฐาจับจ้องร่างโปร่งไม่วางตาราวกับจะมองให้ทะลุ
“เป็นไปได้ว่า เจ้าหญิงเฟลิโอน่าที่ถูกทำร้ายอาจจะบาดเจ็บสาหัส แม้เราจะมั่นใจว่าวิทยาการและมนต์เยียวยาของเดมอสนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเอเดน
หากอย่างไรครึ่งหนึ่งของสายเลือดในร่างนางก็เป็นเอเดน เลยต้องให้พวกเจ้าพ่อลูกพาไปรักษาอย่างลับ
ๆ หรือไม่จ้าวปีศาจอาจจะเห็นว่าเดมอสไม่ปลอดภัยสำหรับนางอีกต่อไป จึงให้หนีไปกับพวกเจ้า
แต่ไม่ว่าจะเรื่องจริงจะเป็นเช่นไร
สิ่งที่เราพอจะแน่ใจได้ก็คือ เจ้าคงจะรู้ว่า ‘ตอนนี้’ เจ้าหญิงเฟลิโอน่าอยู่ไหน ใช่ไหม” ที่ปรึกษาแห่งไฮคิงสรุปในตอนท้าย
พลางจ้องหน้าเด็กหนุ่มที่ยังคงนิ่งเงียบ หัวขโมยได้แต่แอบหลุบตาต่ำเพื่อซ่อนความรู้สึกอันปั่นป่วนในขณะนี้
เฟรินต้องยอมรับว่า
สายสืบของบารามอสนั้นมีฝีมือสมคำเล่าลือจริง ๆ
หากที่เหนือกว่าคือผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าทั้งสองที่สามารถเดาเรื่องราวได้เกือบถูกต้องทั้งหมด
...เว้นเพียงความจริงที่ว่า
ในวันนั้นมีคนเข้าไปในเดมอสเพียงคนเดียวเท่านั้น และคนที่ทั้งสองพระองค์กำลังตามหาก็กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขานี่เอง!
หัวสมองของหัวขโมยจำแลงหมุนเร็วรี่
มันคงไม่แปลกอะไรหากบารามอสเพียงต้องการตามหาพระนัดดาแห่งไฮคิง ทายาทคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์ฟาโรเวลถ้าพระนัดดาที่ว่า
หรือก็คือตัวเขาเองจะไม่ได้มีสายเลือดครึ่งหนึ่งเป็นของจ้าวปีศาจ
ถ้านางจะเป็นเพียงเฟลิโอน่า
ฟาโรเวล มิใช่ เฟลิโอน่า เกรเดเวล
เด็กหนุ่มได้แต่เก็บซ่อนอารมณ์ไหววูบและประกายสับสนสะท้อนผ่านดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่นั้นที่ไม่ทันมีใครสังเกต
ทว่ากิริยาก้มหน้า หลุบตาเช่นนั้นทำให้ผู้สูงศักดิ์ทั้งสามจากบารามอสเข้าใจผิดคิดว่า
เด็กหนุ่มหลบสายตาเพื่อปกปิดความจริง
ดวงเนตรอ่อนโยนของไฮคิงจึงคล้ายจะเข้มขึ้นยามตรัสถามด้วยน้ำเสียงเรียบไม่สื่ออารมณ์
หากกลับทำให้คนถูกถามรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะยันปลายเท้า
“ว่ายังไงเจ้าหนุ่ม หลานข้าอยู่ไหน”
2017-06-29 02.35 PM
ความคิดเห็น