ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Baramos :Another Story (Fan Fic)

    ลำดับตอนที่ #3 : สู่เอดินเบิร์ก

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 60



    -          สู่เอดินเบิร์ก -


     



    ตลาดกลางเมืองยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยมากแล้ว เสียงพ่อค้าแม่ขายตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้าเจื้อยแจ้วเช่นทุกวัน หากจะมีบางสิ่งที่ต่างออกไปบ้าง คงไม่พ้นเสียงโหวกเหวกของหญิงร่างท้วมที่พยายามพาร่างอันอุดมสมบูรณ์ของนางแหวกผ่านกลุ่มคนที่เดินไปมา

     

    เจ้าข้าเอ๊ย ขโมย ขโมยมันขโมยไก่ข้าปายยยยยเสียงนางร้องตะโกนดังลั่น ดวงตาหยีเล็กของนางเขม้นมองไล่หลังของเด็กหนุ่มที่วิ่งเร็วจี๋เบื้องหน้า เสียงของนางเรียกความสนใจชาวบ้านอีกสองสามคน มีหลายคนตัดสินใจช่วยนางวิ่งไล่หลังเขาไป หากฝีเท้าเจ้าหัวขโมยหนุ่มนั้นไวยิ่งนัก ทั้งยังวิ่งหลบซ้ายป่ายขวาเสียจนคนที่ไล่ตามมางุนงงจนตามต่อไม่ถูก

     

    ในพริบตา ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มก็หายไปจากครรลองสายตาของพลเมืองดี

    เฮ้ย หายไปไหนแล้ววะ วิ่งเร็วชะมัดยาด เอ็งลองไปหาทางนู้น ข้าจะไปทางนี้เองชายชาวบ้านกล่าวกับเพื่อนอีกสองคน ก่อนจะแยกย้ายกันไปหา โดยไม่รู้ว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องอยู่จากบนหลังคาร้านค้าไม่ห่างกันนัก

    นัยน์ตาสีน้ำตาลพราวระริกแฝงไว้ด้วยความสนุกสนานเฝ้ามองร่างท้วมที่แม้กำลังหยุดยืนหอบหากปากของนางยังคงพร่ำบ่นด่าทอไม่หยุด ปากของเขาขยับยกยิ้มด้วยความพึงใจ ขณะกระชับถุงใหญ่ในมือข้างหนึ่ง อีกข้างก็อุ้มเจ้าไก่ตัวที่เพิ่งฉกจากร้านสด ๆ ร้อน ๆ

    ขอโหสิเถอะนะท่านป้า แต่ข้าขอไก่ตัวนี้ไปก่อนล่ะเด็กหนุ่มกระซิบเสียงเบาก่อนจะหายตัวไปราวกับสายลมที่พัดมา

     

      

    ...

      

     

    ตะวันเคลื่อนคล้อยจนเกือบลับขอบฟ้าแล้วเมื่อเฟริน เดอเบอร์โรว์กลับมาถึงเกวียนที่จอดห่างออกมาบริเวณชายป่านอกเมือง มือข้างหนึ่งอุ้มไก่ที่เพิ่งฉกจากแม่ค้าในตลาด อีกข้างคือถุงใบใหญ่ซึ่งเจ้าตัวยกพาดบ่า ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอสะบัดไปตามจังหวะก้าวเดินและแรงลมยามพัดผ่าน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จุดขึ้นบนใบหน้าคร้ามแดดจากการอาศัยกลางแจ้งมาหลายปีหากไม่ได้หยาบกร้านอย่างเด็กหนุ่มทั่วไปนัก เมื่อเห็นศีรษะที่เกือบล้านคุ้นตาผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่หลังเกวียนโกโรโกโส

    จากที่เดินก้าวยาว ๆ เด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นสืบเท้าอย่างแผ่วเบาราวกับแมวย่อง กระทั่งเข้าใกล้พอจึงได้ตะโกนเรียก

    “พ่อ!!!”

    ร่างท่วมของมาดัส เดอเบอร์โรว์สะดุ้งสุดตัวตามเสียงเรียกจนแทบล้มคะมำ หากพอตั้งสติได้ว่าเป็นฝีมือใคร ชายผู้ขนานนามตัวเองว่าหัวขโมยผู้ยิ่งใหญ่หันมาสรรเสริญ ลูกชายคนเดียวของตน

    “บรรพบุรุษเอ็งเถอะ ไอ้ลูกทรพี เอ็งจะฆ่าคนแก่รึยังไง จะไปจะมาไม่รู้จักให้ซุ่มให้เสียง” หากลูกทรพีกลับยังหัวเราะหน้าชื่น ตอกกลับด้วยรอยยิ้มเผล่ที่คนมองมองแล้วรู้สึกคิ้วกระตุกชอบกล

    “มีขโมยที่ไหนจะไปจะมาให้ซุ่มให้เสียงเล่า ท่านสอนข้าเองไม่ใช่หรือ” ไม่พูดเปล่ายังยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนจนมาดัสอดไม่ได้ หมายแจกมะเหงกให้เจ้าตัวดีสักหน หากลูกศิษย์คิดย้อนครูของเขาผู้นี้ไวเสียยิ่งกว่าปรอท เพียงแค่ขยับจะยกมือ เจ้าตัวแสบก็รีบขยับห่าง พ้นระยะที่แขนอ้วน ๆ ของหัวขโมยรุ่นใหญ่จะเอื้อมถึงเสียแล้ว มะเหงกที่หมายจะมอบให้จึงเขกได้เพียงลม หัวขโมยรุ่นใหญ่จึงได้แต่ฟึดฟัด

     

    “เออ ข้าสอนเอง จนวันนี้ได้แต่ถามตัวเองว่าคิดถูกหรือผิดที่สอนไอ้ตัวแสบอย่างเอ็ง ว่าแต่ทำไมไปนานจังวะ ไอ้หนู ข้าแค่ให้ไปหาของในตลาด เจ้าไปนานเสียจนข้านึกว่าเจ้าไปปลูกผักจับปลาแทนเสียแล้ว

     

    ถึงอายุท่านจะเยอะแล้ว แต่ก็อย่าบ่นมากได้ไหมพ่อ หากอยากได้เร็ว ๆ คราวหลังก็ออกไปช่วยกันทำมาหากินหน่อยสิคราวนี้เจ้าตัวดีตัดบทไม่พอ ยังย้อนกลับเสียจนคนมีอาวุโสกว่าชักเคือง พาลให้คันไม้คันมือขึ้นมายิบ ๆ หากไม่ติดว่าเป็นคนตรงหน้า มาดัสคงได้ลุกขึ้นมาไล่เตะเด็กหนุ่มเข้าจริง ๆ

    บ๊ะ ไอ้เด็กนี่ นับวันยิ่งปากกล้าขึ้นทุกที ใครมันช่างสั่งสอน...เออ ก็ข้าอีกนั่นล่ะ มาดัส หนอมาดัส” ในเมื่อทำไม่ได้อย่างใจคิด ชายร่างท้วมจึงได้แต่บ่นกระปอดกระแปด บ่นไปบ่นมาดัสก็เริ่มจะสำนึกเสียใจขึ้นมาจริง ๆ ว่าเขาชักจะสั่งสอนเจ้าลูกชายกำมะลอดีเกินไปหน่อยเสียแล้ว “เถอะ ไว้ก่อน ตอนนี้ข้าหิวเต็มที ไหนดูสิว่าเอ็งได้อะไรมาบ้างชายกลางคนไม่พูดเปล่า มือคว้าถุงใหญ่มาเปิดดู เสียงพึมพำของมาดัสดังขณะมือของเขาคว้าของภายในถุงขึ้นมาสำรวจ

     “ชะชะ รอบนี้ได้ของดีมาไม่น้อยนะเอ็ง ทั้งขนมปัง ทั้งเนย เจ้าไก่ตัวนี้ก็อ้วนพีดี แต่จะดีกว่านี้มากถ้าเจ้าจะจัดการมันให้เสร็จแทนที่จะเอามาทั้งเป็น ๆ เช่นนี้ แล้วนี่อะไร...เฮ้อ ผัก ผัก ผัก และผัก เฮ้ย เฟริน พ่อเจ้าไม่ใช่ลานะ มาดัสบ่นยาวเหยียดพลางโยนบรรดาพืชผักผลไม้ที่มากมายราวกับเด็กหนุ่มเหมาปล้นมาทั้งตลาด

    ท่านไม่ชอบก็อย่ากินสิ รู้ทั้งรู้ว่าข้าไม่กินเนื้อเฟรินว่าพลางคว้าแอปเปิลที่ถูกโยนออกมาก่อนมันจะตกถึงพื้น ก่อนจะยกขึ้นกัดกร้วมคำใหญ่ รู้ดีทีเดียวว่ามาดัสบ่นไปอย่างนั้นเอง

    สองพ่อลูกใช้เวลาไม่นานนักในการจัดการอาหารสำหรับมื้อเย็น หากเฟรินรอกระทั่งมาดัสเริ่มอารมณ์ดีหลังจากอาหารเข้าปากจึงเอ่ยถาม

    แล้วนี่เราจะไปไหนต่อดีล่ะ

    ทำไม แกเบื่อเมืองนี้แล้วเหรอ ไอ้หนูมาดัสถามทั้งที่ในปากยังเต็มไปด้วยอาหาร เฟริมมองพลางส่ายหน้าให้กับมารยาทบนโต๊ะอาหารของชายผู้นี้ ก่อนเอ่ยสิ่งที่คิด

     

    ...ก็ไม่เชิง ข้าเพียงไม่อยากอยู่ที่ไหนนาน ๆ พ่อเองก็เคยบอก เป็นขโมยต้องทำตัวให้เหมือนสายลมพูดจบก็เสมองขึ้นไปบนท้องฟ้า อันเป็นกิริยาที่เด็กหนุ่มทำเสมอยามว่างหรือไม่ต้องการตอบคำถาม

                ทั่งคู่ตกอยู่ในความเงียบที่มีเพียงเสียงเคี้ยวอาหารของมาดัสอยู่เพียงครู่ ก่อนมาดัสจะเอ่ยในที่สุดหลังจากกลืนน่องไก่ชิ้นสุดท้ายลงคอ

    “...เอดินเบิร์ก

    หือ?” เฟรินหันมาด้วยความสงสัย ขณะมาดัสขยับเอามือเปื้อนอาหารเช็ดกับชายกางเกงของตนก่อนลุกขึ้นยืน แสงไฟจากกองฟืนสะท้อนให้เห็นรอยยิ้มมากเล่ห์ของจิ้งจอกเฒ่า

     

    เมืองต่อไป เราจะไปเอดินเบิร์กกัน ไอ้หนู

     

       

    ...

     

     

    กว่าที่เกวียนเก่าของมาดัสซึ่งสภาพห่างไกลจากคำว่า ดี ราวอสงไขยจะพาพ่อลูกเดอเบอร์โรว์มาถึงหน้าด่านเมืองเอดินเบิร์กก็ล่วงเข้าบ่ายวันที่ห้า ที่นั่นเอง พวกเขาพบว่ามีขบวนคาราวานและรถ ทั้งรถม้าเทียมม้าและรถม้าเทียมมังกรมากมายที่มุ่งหน้าตรงเข้าสู่เมืองเช่นเดียวกัน

    ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นลุกลง มองบรรดาขบวนยาวเหยียดด้วยความตื่นเต้น ด้วยนับตั้งแต่ออกเดินทางไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นขบวนจำนวนมากเช่นนี้ โดยเฉพาะรถม้าเทียมมังกร มิหนำซ้ำรถม้าบางคันยังตกแต่งอย่างสวยงาม บอกถึงฐานะของคนที่นั่งอยู่ข้างในได้เป็นอย่างดี

    กระทั่งชายร่างท้วมที่วันนี้รับเวรเป็นสารถีเริ่มบ่นนั่นล่ะ เฟรินจึงหยุดมุดเข้ามุดออก และเปลี่ยนไปยึดหลังคาเกวียนอันเป็นที่นั่งประจำของเขาแทน

               

    “ว่าแต่ พ่อยังไม่บอกเลยว่าเรามาทำอะไรที่เอดินเบิร์ก” ถามเพราะที่ผ่านมาตลอด 5 ปีที่รอนแรมขึ้นเหนือล่องใต้ทั่วเอเดน ไม่มีสักครั้งที่มาดัสจะพามาเอดินเบิร์ก ราวกับพยายามเลี่ยงอะไรบางอย่าง กระนั้นมาดัสก็ยังตอบแบบขอไปทีว่าเดี๋ยวเข้าไปแล้วจะรู้เอง

    “ที่สำคัญกว่านั้น ไอ้หนู... ทำไมคราวก่อนไม่ขโมยอาหารมาเยอะ ๆ ห๊ะ นี่ไม่ทันชนอาทิตย์ก็หมดแล้ว มาดัสโวยวายขณะโบกถุงที่เคยเต็มไปด้วยอาหารที่เฟรินขโมยมาเมื่อคราวก่อน แต่บัดนี้กลับมีแต่ความว่างเปล่า

    อ้าว ก็ใครใช้ให้ท่านกินไม่บันยะบันยังแบบนั้น เด็กหนุ่มเถียง

    ดู ดูพูดเข้า ไอ้ตัวแสบ รู้ไหมว่าตั้งแต่ข้าต้องมาดูแลเจ้าเนี่ย ต้องเสียค่าอาหารเปลืองกว่าเดินตั้ง 5 เท่า 10 เท่า พูดพลางทำสีหน้าสะพรึงกลัวเมื่อคิดย้อนกลับไปครั้งแรกที่ค้นพบว่าทายาทจ้าวปีศาจนั้น แท้จริงแล้วมีสี่กระเพาะ

                ...ใครจะไปคิดว่าเด็กเพิ่งอายุครบ 10 ขวบปี ตัวรึก็บางจะกินอาหารในปริมาณเท่าบุรุษโตเต็มวัยถึง 2 คน!

                มาดัสจำได้ว่าตนเองแทบจะแล่นพาตัวไปคืนเสียบัดนั้น

    ท่านอย่ามาทำเป็นพูดเลย ก็ขโมยเขาเอาทุกที ยิ่งพักหลังมานี่ท่านมีแต่ใช้ให้ข้าออกไปลงมือ ตัวท่านเอาแต่นอนเล่นรออยู่ที่เกวียน จนข้าเริ่มจะสงสัยว่าพ่อเป็นหัวขโมยมือหนึ่งจริงรึเปล่า

    บ๊ะ ไอ้นี่ ปากเสียมาดัสตะโกนเสียงดัง

    ก็เหมือนพ่อนั่นแหล่ะเฟรินกล่าวพร้อมรอยยิ้มร่า ก่อนจะถกเถียงโหวกแหวกกันไปตลอดทาง เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ไม่น้อย แต่มีหรือสองพ่อลูกจะสนใจ ยังคงต่อปากต่อคำกระทั่งเหนื่อยและเลิกกันไปเอง

    กระทั่งเมื่อใกล้จะถึงประตูเมืองนั่นเอง ก็ปรากฏเหยี่ยวประหลาดตัวหนึ่งบินถลามาเกาะที่หลังคาเกวียนซึ่งเจ้าตัวดีนั่งๆ นอน ๆ เล่นอยู่ เสียงร้องของมันเรียกความสนใจให้เด็กหนุ่มหันไปมอง ก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าลักษณะเหยี่ยวเต็มตา เขารีบกระวีกระวาดคว้าขาเจ้านกก่อนที่มันจะโผบินหนี มือเรียวบรรจงแกะกระบอกเล็กที่ผูกติดขา ก่อนหยิบกระดาษม้วนเล็กที่บรรจุในกระบอกนั้นออกมา มือสั่นน้อย ๆ ยามคลี่ออกดู ในนั้นปรากฏตัวอักษรงดงามเป็นระเบียบคุ้นตา

                แน่แล้ว นี่คือจดหมายลับจากบิดาบังเกิดเกล้าที่ไม่เคยติดต่อกันตลอด 5 ปีที่เขารอนแรมไปทั่วแผ่นดินเอเดน

                ดวงตาสีน้ำตาลปรากฏแวววูบไหว ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นระรัวขณะก้มลงอ่านข้อความในมือ

     

                       ลมเปลี่ยนทิศ ใบไม้วูบไหว

                       คิดซ่อนใบไม้ ย่อมซ่อนไว้ในป่า

     

    ข้อความนั้นสั้นกระชับ หากสื่อความหมายชัดเจน จ้าวปีศาจกำลังเตือนเขา แต่ที่เฟรินยังไม่เข้าใจ คือเหตุใดจึงเป็นตอนนี้ แล้วสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การซ่อนอยู่ในป่าแล้วหรอกหรือ

    สมองของเฟรินหมุนเร็วรี่ขณะล้วงหยิบเศษขนมปังก้นถุงส่งให้เหยี่ยวสีดำที่ทำหน้าที่พิราบจำเป็น มันส่งเสียงคล้ายประท้วงว่าสินจ้างไม่คุ้มค่าแรง ตอนนั้นเองที่มาดัสเอ่ยขึ้นมา

    “ข้าบอกเจ้ารึยังว่าที่เอดินเบิร์กมีโรงเรียน”

    “โรงเรียน?”

    “ใช่แล้วเจ้าหนู โรงเรียนพระราชา” พูดพลางหัวเราะพลาง เขาชอบจริง ๆ เวลาได้เห็นสีหน้างงงวยของลูกชายตัวดี “โรงเรียนพระราชา โรงเรียนที่สอนให้ราชาเป็นพระราชา อา ช่วงนี้เป็นช่วงรับสมัครนักเรียนใหม่พอดี เจ้าสนใจไหมล่ะ” พูดจบมาดัสก็หลิ่วตายิบหยีให้ก่อนหันไปทำหน้าที่สารถีต่อเมื่อเกวียนใหญ่คันหน้าเคลื่อน

    ความเข้าใจฉายชัด นี่เอง ป่าของจ้าวปีศาจ

    “อ้อ เฟริน ข้าจะเล่าเรื่องสนุก ๆ เกี่ยวกับโรงเรียนพระราชาให้ฟังสักเรื่อง” เพราะมาดัสเอ่ยต่อโดยไม่ได้เหลียวกลับมา ดวงตาจับจ้องเพียงเบื้องหน้า เด็กหนุ่มซึ่งยังนั่งบนหลังคาจึงไม่ได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนปนอ่อนใจของคนได้ชื่อว่าเป็นบิดาบังหน้า

    ...มันกงการอะไรของข้ากันนะ แต่เอาเถอะ

    “...ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง เหล่าราชาแห่งเอเดนได้ทำข้อตกลงว่าจะต้องส่งรัชทายาทของตนมาทดสอบที่โรงเรียนพระราชาอย่างไม่มีข้อแม้ หากผ่านการทดสอบก็จะต้องร่ำเรียนที่นั่นจนจบเสียก่อนจึงจะกลับไปครองบัลลังค์ได้ ไม่เว้นแม้แต่พระธิดาในไฮคิงแห่งบารามอส

    น่าสนใจดีใช่ไหมล่ะ”

     

    หัวใจกระตุกยามได้ยิน พระธิดาในไฮคิงแห่งบารามอส

    แม้เฟรินจะไม่เคยร่ำเรียนประวัติศาสตร์ของเอเดนมาก่อน แต่พระธิดาในไฮคิงองค์ปัจจุบันนั้นมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น

     

    เกวียนของตระกูลเดอเบอร์โรว์หยุดอีกครั้งตามขบวนหน้า เหยี่ยวสีดำแปลกตากางปีกโผบินไปในท้องฟ้า

    มือเรียวกำกระดาษแผ่นเล็กแน่น

     

     

    ...ท่านแม่

     

     

    ...

     

     

    แม้เอดินเบิร์กจะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่นัก หากด้วยจำนวนเกวียนและรถเทียมม้าที่มากมายกระทั่งถนนกว้างซึ่งนำไปสู่ปราสาทยังแคบไปถนัดตา ระยะทางที่ควรจะใกล้กลายเป็นไกลโดยปริยาย พ่อลูกเดอเบอโรว์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจอดเกวียนโกโรโกโสของตนเองไว้ชานเมืองก่อนเดินเท้าเข้าไปในเมืองชั้นใน หากกระทั่งเดินมาถึงหน้าปราสาทใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนพระราชา เฟรินและมาดัสก็มิวายต้องเผชิญกับคนจำนวนมากที่ต่างแออัดยัดเยียดเพื่อจะเข้าไปกรอกใบสมัคร

    ให้ตายเหอะ ทำไมคนมันถึงมากมายขนาดนี้เฟรินสบถอย่างหัวเสีย การต้องมาเบียดเสียดอยู่กับคนเป็นแสนอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาชมชอบแม้แต่นิดเดียว

     

    ใคร ๆ ก็อยากเข้าโรงเรียนพระราชาทั้งนั้นแหล่ะ ไอ้หนู” มาดัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะกับลูกชาย ดวงตาของชายหัวเกือบโล้นจับจ้องยังแถวยาวขณะอธิบาย

    “เจ้าคิดดูสิ ทั้งเจ้าชาย เจ้าหญิงจากทุกเมืองในเอเดนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ นี่ยังไม่รวมบุตรสาวบุตรชายขุนนางคนสำคัญมากมายขนาดนี้ มันเป็นจุดรวมอำนาจของเอเดนเลยทีเดียว โอกาสเข้าใกล้บุคคลสำคัญขนาดนี้จะมีที่ไหนได้อีก ที่สำคัญ โรงเรียนพระราชาแห่งนี้ คือ สถานที่ทำให้ขอทาน กลายเป็นขุนนาง หรือแม้แต่กษัตริย์ได้ แล้วใครบ้างจะไม่อยากมา

    ไหน ๆ เจ้าก็จะเข้าเรียนที่นี่ อย่างไรก็หาโอกาสขโมยเจ้าชาย รึเจ้าหญิงมาสักคนสองคนล่ะไอ้หนู จะได้ไม่เสียเที่ยว ท้ายประโยคลดเสียงให้ได้ยินกันเพียงสองคนหากเด็กหนุ่มฟังแล้วแทนที่จะตื่นเต้น กลับปรากฏสีหน้าระอาแทน

    ...นี่ก็ขโมยมาตั้งคนแล้วไม่ใช่หรือ 

    มาดัสมองสีหน้าสีตาของเด็กชายก็นึกรู้ หัวขโมยรุ่นใหญ่จึงส่งเสียงหัวเราะในคอดัง หึหึ หากเมื่อมาดัสหันกลับไปสอดส่ายสายตาประหนึ่งหาเหยี่อ ประกายไหววูบอ่านยากกลับปรากฎบนดวงตาสีน้ำตาลของหัวขโมยรุ่นลูก

    ...จุดรวม อำนาจเช่นนั้นรึ

    มุมปากเด็กหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยจนคล้ายรอยยิ้มเหยียด หากปรากฎเพียงชั่วครู่ก็เลือนหายไป

     

    เฟรินละความสนใจจากแถวยาวเหยียดพลางมองสำรวจคนรอบกาย ภาพผู้คนที่เบียดเสียดยัดเยียดกันเช่นนี้ถือเป็นภาพแปลกตาสำหรับเด็กหนุ่ม แม้ที่ผ่านมาเขาจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ รอนแรมมาหลายที่ แต่ไม่มีที่ใดที่ผู้คนแห่แหนมากันเช่นนี้ ถึงไม่ชอบที่ตนเองต้องมาเป็นหนึ่งในนั้นนัก หากมอง ๆ ไปก็เพลินดี

    พลันสายตาของหัวขโมยก็สะดุดเข้ากับเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ดูเพียงปราดเดียวก็แน่ใจว่าหากไม่ใช่เจ้าชายก็คงไม่พ้นท่านชายจากตระกูลขุนนางใหญ่สักแห่ง ด้วยทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ แม้จะดูธรรมดาหากเนื้อผ้าและฝีเข็มละเอียดปานนั้นคงแพงระยับ ไหนจะผิวพรรณ ขาวราวกับชีวิตนี้ไม่เคยออกแดด อันเป็นคุณสมบัติโดยทั่วไปของบรรดาชนชั้นสูง

    กระนั้น สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มผู้นี้สะดุดตากลับเป็นท่าทางสงบนิ่งและบรรยากาศรอบกายทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นดูโดดเด่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้คะเนอายุกันแล้วไม่น่าจะแตกต่างจากตนมากนักหากบรรยากาศรอบกายกลับดูสงบและสุขุมเกินอายุนัก

    คล้ายจะรู้ตัวว่าถูกมอง เจ้าของเรือนผมสีเงินหันมาสบตากับเขาพอดี ดวงตาสีฟ้าดูเย็นชาปะเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลก่อนจะเมินไปอีกทางอย่างไม่สนใจ ความไม่พอใจแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ ด้วยขัตติยะที่มีมาในสายเลือด เผลอลืมไปว่าตนเองเป็นฝ่ายแอบมองก่อน

    แต่กระนั้น เขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอย่างประหลาด

    หากพอจะหันไปถามมาดัส เด็กหนุ่มคนนั้นก็กลืนหายไปกับฝูงชนซะแล้ว

     

     

    ...


     

     

    กว่าจะถึงลำดับของหัวขโมยหนุ่ม เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบเย็นย่ำ ดังนั้นพอกรอกใบสมัครเสร็จ เฟรินก็ตรงไปที่ตลาดในเมืองทันที ทว่าพอล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง กลับพบว่าเงินจำนวนน้อยนิดที่เขาติดตัวมานั้นหายไปซะแล้ว

    ...สงสัยอีตามาดัสตัวดีจะล้วงไปอีกแล้ว มิน่า ถึงได้รีบกลับก่อน... เด็กหนุ่มคิดอย่างหัวเสีย

    ในเมื่อไม่มีเงิน ก็ต้องอาศัยวิชาหัวขโมยหากินเอาล่ะ

    เด็กหนุ่มเดินดูลาดเลาหนึ่งรอบก่อนจะเริ่มปฏิบัติการ เฟรินเล็งเป้าหมายที่แผงแอปเปิลแผงหนึ่ง หวังจะลอบหยิบมาสักสามสี่ลูก แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร ร่างสูงใหญ่ของชายฉกรรจ์สองคนก็เข้ามาขนาบข้าง ก่อนสองแขนของหัวขโมยจะถูกเกาะกุม เครื่องแต่งกายรูปแบบเดียวกัน และดาบเล่มโตที่ห้อยข้างเอว บอกเฟรินว่าชายสองคนนี้เป็นทหาร

                เฮ้ย พวกเจ้ามาจับข้าทำไมเนี่ย ข้ายัง เอ๊ย ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดนะ หัวขโมยร้อนตัวโวยวายดังลั่นขณะพยายามบิดกายให้พ้นจากการเกาะกุม หากมือของทั้งสองแข็งราวคีมเหล็ก ซ้ำยังทำสีหน้าไร้อารมณ์ราวรูปปั้น ไม่เพียงไม่ปล่อย แต่ยังพาเดิน...หรือจะเรียกให้ถูกคือลากเฟรินไปด้วยโดยไม่สนใจว่าหัวขโมยจะขืนตัวหรือโวยวายเสียงดังอย่างไร

    “ปล่อยยยยย” สองเท้าขืนตัวสุดฤทธิ์ หากนายทหารทั้งสองอาศัยร่างกายที่สูงใหญ่กว่ามาก ยกเด็กหนุ่มตัวลอย ถูลู่ถูกังกันจนกระทั่งถึงรถม้าคันหนึ่ง ประตูถูกเปิดออกก่อนร่างโปร่งของหัวขโมยจะถูก โยนเข้าไป และทันทีที่เด็กหนุ่มเข้าไปอยู่ในรถม้า รถก็แล่นออกไปทันที

    นี่จะพาข้าไปไหนเนี่ย!!”

    ตะโกนก็แล้ว ทุบเรียกก็แล้ว หากยังไม่มีเสียงตอบจากคนขับรถม้า หัวคิ้วของหัวขโมยมุ่นเข้าหากันพลางเดาะลิ้น อย่างขัดใจ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ

    ...รนหาที่นัก

    เฟรินพลิกกายโดยใช้เพียงแรงจากท่อนแขนส่ง ก่อนยกเท้าถีบหลังคารถม้ากระทั่งไม้ที่ปิดเป็นหลังคาแตกจึงใช้แรงกระแทกจนทะลุเป็นช่อง หัวขโมยปีนออกมาจากช่องนั้นและเขาก็พบว่า รถม้ากำลังแล่นออกจากเอดินเบิร์ก คะเนจากทิศที่รถม้ามุ่งไปก็พอจะเดาได้ลาง ๆ ว่าเป็นฝีมือใคร หากยังไม่ปักใจนัก

    ทางที่ดีกว่า คือ เค้นจากคนขับรถม้า

    คิดได้เช่นนั้น เด็กหนุ่มคว้ามีดที่เหน็บอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเข้าประชิดคนขับรถม้า มีดคมจ่ออยู่ที่คอของคนขับ

    หยุดรถเสีย แล้วตอบมาดี ๆ ว่าเจ้าจะพาข้าไปไหน ทางที่ดีเจ้าควรจะตอบข้ามาให้เร็วนะพี่ชาย ไม่งั้นมีดนี่ ปาดคอหอยเจ้าแน่

    คนขับตกใจกลัวจนหน้าซีด เขารีบดึงบังเหียนบังคับให้รถหยุด ละล่ำละลักตอบ อย่างตะกุกตะกัก

    เอ่อ โธ่เอ๋ย น้องชาย ข้าไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มีชายผู้หนึ่งจ้างข้าให้ข้าขับรถม้าไปทุ่งทางตะวันตกของเอดินเบิร์กเท่านั้น ข้ารู้เพียงเท่านี้จริง ๆ น้องชายอย่าทำอะไรข้าเลย

    ใครเฟรินถามเสียงเย็น ใบมีดนาบเข้ากับลำคอของชายคนขับรถม้าบอกให้รู้ว่าเขาทำจริง

    เงามืดของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือขึ้นไปทำให้เฟรินชะงักมือที่กำลังถือมีดจรดลำคอของสารถีผู้โชคร้าย ปีกกว้างของมันที่ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะทำให้เกิดเสียงดังพึ่บพั่บ พร้อมสร้างลมกรรโชกแรงก่อนร่างของมังกรใหญ่จะโฉบผ่านรถม้าที่กำลังวิ่ง

    การปรากฏตัวของมังกรสร้างความตื่นตระหนกให้กับม้าที่ถูกเทียมรถไม่น้อย พวกมันเอาแต่โผนกระโจนด้วยความตกใจจนรถม้าเกือบพลิกคว่ำ ดีว่าคนขับยังพอมีสติ ดึงสายบังเหียนคุมไว้ได้ ส่วนเจ้ามังกรตัวปัญหานั้น หลังจากบินโฉบผ่านรถม้าจนทำม้าเตลิดจนเกือบพลิกคว่ำทั้งคัน มันก็พาร่างใหญ่ยักษ์ของมันมายืนอยู่เบื้องหน้าหัวขโมย

     

    และบนหลังมังกรตัวเขื่องนั่นเอง

     

    เจ้านี่ เป็นแค่หัวขโมยแท้ ๆ ทำไมต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากด้วยนะ





    2017-04-26  2.54PM

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×