คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : จุดเริ่มต้นแห่งการเดินทาง
- จุดเริ่มต้นแห่งการเดินทาง -
แม้จะอยู่ท่ามกลางเสียงดนตรีอันสนุกสนานของงานเลี้ยง หากผู้ครองอำนาจเหนือทุกผู้บนแผ่นดินคนบาปกลับเลือกปลีกวิเวกอยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางแสงจันทร์สีนวล
จ้าวปีศาจปล่อยตนให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดกระทั่งสัมผัสถึงใครบางคนที่เขากำลังรออยู่จึงได้เรียกสติของตนกลับมา ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน
“ไม่นึกว่าข้าจะมีวาสนาได้เห็นพี่ชายที่รักของข้ามีท่าทีกลุ้มอกกลุ้มใจเช่นนี้อีก ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นท่านเป็นกังวลเช่นนี้น่าจะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว... ถ้าข้าจำไม่ผิด เห็นจะเป็นเมื่อครั้งท่านขออลิเซียแต่งงานกระมัง”
ใบหน้าคมราวรูปสลักที่ไม่เคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลาของจ้าวปีศาจคล้ายจะตึงขึ้นมาสักนิด เมื่อถูกน้องสาวคนเดียวหยอกเข้าให้ หากคราวนี้เอวิเดสเลือกจะปล่อยไป ไม่โต้คารมกับคำหยอกล้อของราชินีจันทราอย่างเคย
...เรื่องที่ค้างคาในใจนั้นสำคัญกว่ายิ่งนัก
“ลูน่า เรื่องที่ข้าจะปรึกษากับเจ้า....”
“ท่านคงหมายถึงเรื่องของเฟลิโอน่าล่ะสิ” ลูน่าเอ่ย ครั้นพี่ชายไม่พูดอะไร เธอจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“ข้าไม่คัดค้านในสิ่งที่ท่านกำลังจะทำหรอก ท่านพี่ ทว่าการเปลี่ยนชะตานั้นไม่อาจทำได้โดยง่าย แม้จะเป็นท่านพี่ก็ตาม”
จ้าวปีศาจถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเอ่ย
“ข้ารู้ ลูน่า...ข้ารู้ดี แต่เพราะรู้ดีนี่ล่ะ ข้าจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้” ลูน่า เกรเดเวลมองพี่ชายผู้ทุกข์ใจของเธอด้วยความเข้าใจ
...เพราะนางรู้จึงเข้าใจ ว่าเหตุใดเอวิเดสจึงไม่อาจอยู่เฉย หากเธอนั้นต่างจากจ้าวปีศาจ
ราชินีจันทราผู้นี้แม้เป็นผู้หยั่งรู้ หากมิได้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ดังเช่นพี่ชายร่วมบิดา ด้วยชะตาของเธอไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกครอง หากเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชี้นำให้ผู้ปกครองไปในทิศทางที่ถูกต้อง
นี่คือวิถีแห่งชนเดมอสที่มีมาช้านาน
“ท่านพี่ แม้ท่านจะไม่ต้องการยอมรับ หากนี่คือชะตาของเฟลิโอน่าที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเข้าแทรกแซง
แต่ถึงกระนั้น ทั้งหมดก็ยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลาน”
จ้าวปีศาจเบือนหน้าไปในทิศทางที่บุตรสาวเพียงคนเดียวของตนที่ยืนสนทนาอยู่กับบรรดาเจ้าเมืองและพ่อค้าด้วยดวงตาสีนิลที่มีประกายเศร้าอันล้ำลึก
“ใช่ สุดท้ายจะเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับนางเพียงผู้เดียว”
.....
กว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เด็กหญิงลากสังขารอันเหนื่อยล้าจากการที่ต้องคอยปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่ความจริงเบื่อหน่าย อยากเบ้หน้าหนีเต็มทน แต่เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีของเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของบิดา ทำให้เด็กหญิงทนคุยเรื่องมีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างกับเจ้าเมืองเกือบทุกคนจนเวลาล่วงเลยเกือบเข้าวันใหม่
เฟลิโอน่าตัดสินใจไล่บรรดานางกำนัลส่วนตัวกลับไปก่อนด้วยเหตุผลที่ว่า ‘แค่เดินกลับที่พัก เราเดินกลับเองได้’ ก่อนจะเดินครึ่งหลับครึ่งตื่นกลับห้องอย่างไม่สนใจเสียงทักท้วง
แต่ยังไม่ทันพ้นทางเดินจากห้องโถง เธอก็สำเหนียกได้ถึงความผิดปกติ
โถงทางเดินกว้างไร้เงาทหารยาม ซึ่งปกติจะต้องยืนยามอยู่ตลอดทาง จะว่าเป็นเพราะทุกคนกำลังสนุกอยู่กับงานฉลองก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะทหารผู้ทำหน้าที่อารักษ์พระราชวังส่วนในจะไม่ละทิ้งหน้าที่ประจำการเป็นอันขาด
สัญชาตญาณระวังภัยของเด็กหญิงลั่นระฆังเตือนลั่น ความผิดปกตินี้มีกลิ่นไม่ชอบมาพากลเกินไป
เธอจึงคิดจะย้อนกลับไปทางเดิม หากทันใดนั้นเอง เด็กหญิงก็สัมผัสได้ถึงกระไอเวทย์แปลกปลอม
แล้วโถงทางเดินทั้งโถงก็ตกอยู่ในความมืด
...มิติปิดตาย
เฟลิโอน่าคิดอย่างตระหนกเมื่อตระหนักว่าโถงทางเดินซึ่งเชื่อมต่อไปสู่พระราชฐานส่วนในกลับไร้ทางออก เห็นเพียงทางเดินไร้ที่สิ้นสุด
รัชทายาทแดนปีศาจตัดสินใจเรียกดาบของเธอออกมาทันที แสงสว่างวาบยามเด็กหญิงเอ่ยนามของมัน ก่อนดาบคมเดียวรูปร่างร่างเพรียวบางจะปรากฏขึ้นในมือ คมดาบสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ลอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างเป็นประกายสีเงินยวง ตัดกับประกายสีฟ้าเรืองแสงของอักขระโบราณที่สลักบนใบดาบ
ทันใดนั้น เด็กหญิงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้านหลัง จึงหันไปดูด้วยความระแวดระวัง ทว่าแสงสลัวยามราตรีทำให้เห็นเพียงเงาตะคุ่ม หากประสาทสัมผัสที่ถูกฝึกจนแหลมคมของเธอทำให้พอจับสัมผัสได้ว่าเป็นกลุ่มคนจำนวนมากทีเดียว
“พวกเจ้าเป็นใคร แล้วต้องการอะไร” เฟลิโอน่ากล่าวด้วยเสียงอันดัง แน่ใจว่าคนพวกนี้มิได้มาเพื่ออวยพรวันเกิดเธอเป็นแน่
เงาตะคุ่มนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้จนเริ่มเห็นชัดขึ้น หากแต่คนเหล่านั้นสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเหลือเพียงดวงตาเท่านั้น
“...พวกข้าเป็นใคร ไม่สำคัญหรอก ธิดาแห่งความมืด เจ้าแค่รับรู้ไว้ก็พอว่า ชีวิตของเจ้าต้องเป็นของพวกข้า” เสียงนั้นสะท้อนก้องไปมาในโถงทางเดินจนยากที่จะบอกได้ว่ามาจากพวกมันคนไหน
โดยไม่รอช้า ร่างเหล่านั้นก็พากันกระโจนเข้าใส่พร้อมดาบใหญ่ในมือทันทีที่สิ้นเสียง คมดาบตวัดผ่าร่างคนตรงหน้าขาดสะบั้น
หากแต่ในพริบตาที่ดูเหมือนชัยชนะและชีวิตของเจ้าหญิงแห่งเดมอสจะตกเป็นของพวกมัน ดาบเรียวก็แทงทะลุร่างในชุดคลุม ก่อนจะกระชากออกในทันที ปล่อยให้ร่างของมือสังหารซึ่งอยู่หน้าสุดล้มลงพร้อมโลหิตมากมายที่ไหลทะลักจนเจิ่งนองไปทั่ว
จุดจบอันรวดเร็วของพี่น้องทำให้พวกมันที่เหลือหยุดชะงักชั่วครู่ ในขณะที่คมดาบเพรียวในมือเด็กหญิงถูกตวัดเพื่อไล่คราบโลหิตที่ติดค้าง เกิดเสียงหวีดหวิดยามใบดาบตวัดผ่านอากาศ
ร่างบางก้าวผ่านร่างไร้วิญญาณของมือสังหารชะตาขาดราวกับมันเป็นเพียงเศษซากที่ไม่มีค่าแม้แต่จะมอง
“สิ่งที่เจ้าต้องการ คือ ชีวิตของเราอย่างนั้นหรือ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” เด็กหญิงผู้ครองฉายาธิดาแห่งความมืดกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
เห็นดังนั้นแล้ว มือสังหารกลุ่มใหญ่ไม่รอช้า เร่งกรูเข้าใส่เด็กหญิง หากไม่ทันจะถึงตัวก็ต้องล้มลงไปกองด้วยคมดาบแห่งเจ้าหญิงรัชทายาทแดนปีศาจ
ไม่นานนัก รอบกายเฟลิโอน่าก็เต็มไปด้วยศพของมือสังหาร
“เอาล่ะ ใครจะเป็นรายต่อไปให้ดาบของเราได้ดื่มเลือด” กระแสเสียงเย็นดังขึ้นจากเด็กหญิง ใบหน้าสวยหวานบัดนี้เรียบสนิท ไร้อารมณ์ หากดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นแข็งกร้าว ราวกับเป็นคนล่ะคนกับองค์หญิงผู้อ่อนหวานในงานเลี้ยง ไอดำทมิฬค่อย ๆ แผ่ขยายตัวออกไป จนครอบคลุมไปทั่วบริเวณ สร้างความตกตะลึงให้แก่เหล่าผู้บุกรุก
‘ไม่น่าเชื่อ’ มือสังหารรำพึงพลางมองร่างเล็กบางของเด็กหญิงด้วยความพรั่นพรึง ไม่ว่ามองเช่นไร คนตรงหน้าก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ทั้งรูปร่างบอบบางและแขนเรียวเล็กที่กุมดาบนั้นก็ดูเปราะบางราวตุ๊กตาแก้วที่หากจับแรงไปสักนิดก็คงจะแตกหัก ทว่ากระไอที่ปกคลุมร่างบางนั้นกลับทำให้พวกเขาได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความกลัว’ ที่ทำให้ร่างกายสั่นเทาไปทั้งร่าง
ยามสบตากับนัยน์ตาสีเปลือกไม้คู่นั้นยิ่งทำให้พวกมันเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบคอพวกเขาอยู่ ยิ่งร่างเล็กสืบเท้าเข้ามาใกล้เท่าไหร่ พวกมันยิ่งรู้สึกว่าอากาศรอบกายนั้นหนาหนักขึ้นทุกที
‘ความกลัว’ ที่เข้ามาเป็นเจ้าเรือนแห่งกายทำให้เหงื่อกาฬของพวกมันแตกพลั่กโดยไม่รู้ตัว ความคิดที่ว่าชีวิตของพวกมันคงต้องปลิดปลิวตามสหายที่นอนเรียงรายไร้ชีวิตอยู่เบื้องหน้านั้นค่อย ๆ กัดกินหัวใจ จนไม่เหลือพลังใจที่จะต่อกรกับ ‘ธิดาแห่งความมืด’ ตรงหน้าอีกต่อไป
พวกมันคงจะทิ้งดาบและล่าถอยไปเสียสิ้นแล้ว หากร่างของคนผู้หนึ่งไม่ปรากฏขึ้นมาก่อน
เฟลิโอน่าหยุดยืนนิ่งด้วยความฉงน หากสัญชาตญาณในตัวร้องเตือนว่า คนตรงหน้านี้เป็นบุคคลอันตราย
ท่ามกลางความสับสนนั่นเอง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นตอนนั้นเองที่เฟลิโอน่ามองผู้บุกรุกคนใหม่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ขึ้น
ผู้มาใหม่เป็นบุรุษรูปร่างสูงกำยำ ผมสีเงินยาวของเขาถูกถักเป็นเปียยาวทิ้งตัวไปจนถึงกลางหลัง เขามีดวงตาสีอำพันเข้มคล้ายดวงตาของสัตว์ร้ายซึ่งมองตวัดไปยังมือสังหารด้านหลังด้วยความไม่พอใจเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนมาสบกับดวงตาเจ้าหญิงแห่งเดมอส
เฟลิโอน่าบอกตนเองในนาทีนั้น ว่านั่นเป็นดวงตาของสัตว์ร้ายที่พบเหยื่อที่ถูกใจ
คิดเช่นนั้นแล้ว เด็กหญิงก็กระชับดาบในมือให้มั่นขึ้น
“พวกเจ้ามากันเสียมากมาย แต่กลับไม่สามารถทำอะไรเด็กหญิงตัวเพียงแค่นี้ได้ พวกเจ้าจงใจทำให้ข้าขายหน้าใช่หรือไม่” ชายคนนั้นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ แม้วาจาจะจงใจตำหนิมือสังหารเบื้องหลัง หากดวงจากลับจดจ้องเพียงร่างบาง
...ช่างเป็นมือสังหารที่น่ารังเกียจเสียจริง
“มิ-มิได้ นายท่าน เพียงแต่...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าถอยไปซะ”
“ขอรับ” สิ้นเสียง ร่างของพวกมันก็หายไปในพริบตา
“ทีนี้ก็เหลือเพียงข้าและท่านแล้วสินะ อ้อ ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ข้ารับใช้อันต้อยต่ำของข้าเสียมารยาทกับท่าน องค์หญิงน้อย” มันกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยียดที่ทำให้ใบหน้าของมันดูบิดเบี้ยวมากกว่าชวนมอง ดวงตาสีอำพันคู่นั้นหรี่เล็กลงจนดูคล้ายอสรพิษเข้าไปทุกที
เฟลิโอน่ามองชายตรงหน้าด้วยสายตาชิงชังไม่ปิดบัง
...ชิงชังทั้งคำพูดยอกย้อนเสียดสี ทั้งรอยยิ้มเหยียดหยามนั่นล่ะ
คำพูดที่ตามมาจึงเต็มไปด้วยโทสะของธิดาแห่งจ้าวปีศาจ
“เก็บคำขอโทษของเจ้าเอาไว้เถอะ เพราะเจ้าเอง ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนของเจ้านัก หากจะมาเอาชีวิตเรา ก็เชิญเข้ามา อย่าเที่ยวใช้วาจาล่อหลอกอ้อมค้อมให้เสียเวลาอยู่เลย”
“หึ ช่างเป็นหนูน้อยที่มั่นใจจริงนะ แล้วท่านจะต้องเสียใจที่ท้าทายข้าเช่นนี้” พร้อม ๆ กันนั้น ดาบรูปร่างคล้ายเขี้ยวสัตว์ก็ปรากฏขึ้นในมือทั้งสองข้างของผู้บุกรุก และเพียงพริบตาเดียว ชายผมเงินก็มาปรากฏตัวด้านหลังเด็กหญิง
“ขอชีวิตท่านให้ข้าเถอะนะ ธิดาแห่งความมืด”
เฟลิโอน่ารีบยกดาบของเธอมากันไว้ทันท่วงที และเบี่ยงตัวหลบพร้อมวาดดาบโต้กลับ เสียงประดาบดังสะท้อนไปมาในโถงทางเดิน ประกายดาบสะท้อนวูบวาบไปมาท่ามกลางความเงียบยามราตรี เด็กหญิงอาศัยร่างที่เล็กกว่า หมุนตัวหลบดาบที่แทงเข้ามาก่อนวาดดาบสวนกลับ หากแต่ชายผมเงินกลับรับไว้ได้ด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ฝีมือสมคำร่ำลือ องค์หญิงทรงปรีชายิ่ง” เสียงเรียบเรื่อยเนิบนาบชวนคลื่นเหียนของชายมือสังหารดังขึ้น
“คำชมจากเจ้า เราไม่ต้องการ” เด็กหญิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็น
“ก็ตามใจ แต่เห็นทีข้าคงต้องเอาจริงแล้วล่ะ” แล้วจู่ ๆ เขาก็หายไปจากการรับรู้ของเด็กหญิง และเพียงเสี้ยววินาที ก็ปรากฏตัวพร้อมวาดดาบหมายสังหารในดาบเดียว แต่เด็กหญิงยังไวพอ ยกดาบเรียวขึ้นมากันไว้อย่างฉิวเฉียด หากคมดาบจากมือสังหารก็ยังสร้างบาดแผลบนร่างของเด็กหญิงได้
ผู้มาใหม่ไม่ทิ้งโอกาส รีบจู่โจมต่อด้วยความรวดเร็ว ทำให้เฟลิโอน่าได้แต่เป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น ดาบคู่ของเขาตวัดไปมาอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังรุนแรงจนมือของเธอชา ดาบแล้วดาบเล่าที่ฟาดฟันลงมาสร้างบาดแผลให้เธอได้ไม่น้อย และทำให้เด็กหญิงอ่อนแรงลงทุกที ชายผมเงินอาศัยจังหวะที่เด็กหญิงอ่อนแรงลงวาดดาบเป็นวงกว้าง เกิดเป็นลมกรรโชกแรง กระแทกเด็กหญิงลอยไปปะทะกับเสาด้านข้างทางเดินเสียงดังสนั่น ก่อนร่างเล็กจะค่อย ๆ ไถลทรุดลงกับพื้น
“เฮ้อ ข้าเบื่อจะเล่นด้วยแล้วล่ะ องค์หญิงน้อย” ร่างสูงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายหากดวงตาพราวระยับ พร้อมกับเดินตรงเข้าหา ร่างบางที่เต็มไปด้วยบาดแผลพยายามลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก ก่อนเด็กหญิงจะยกมือขึ้นแล้วร่ายเวทย์ คลื่นพลังสีดำก่อตัวรอบกายเด็กหญิง ก่อนกลายเป็นศรเวทย์มนตร์พุ่งตรงใส่ร่างมือสังหาร
“ฮึ ฤทธิ์มากเสียจริง” มือสังหารรับศรเวทย์นั้นไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ยื้อยุดกันอยู่เพียงครู่ก่อนที่เขาจะปัดพลังนั้นให้เบี่ยงไป ลูกพลังสีดำกระแทกกับกำแพงเสียงดังสนั่น ก่อนตามด้วยเสียงพังทลายของกำแพง
เด็กหญิงพยายามจะร่ายเวทย์โจมตีต่อ หากจู่ ๆ เฟลิโอน่าก็รู้สึกชาไปทั้งร่างจนไม่สามารถแม้แต่จะประคองดาบไว้ในมือ ได้แต่ปล่อยให้หล่นลงข้างกาย ซ้ำพลังเวทย์ภายในตัวยังปั่นป่วนจนไม่สามารถรวบรวมพลังได้ แม้จะพยายามเค้นสมาธิสักเท่าไหร่ หากพอจะร่ายมนตร์ ก็รู้สึกร้อนไปทั้งกายราวกับถูกไฟเผา
“อึก นะ-นี่เจ้า....”
“พลังรุนแรง สมกับเป็นพลังของธิดาแห่งความมืด เล่นเอามือซ้ายข้าหักไปเลย แต่ท่านคงรู้ตัวแล้วสินะ ใช่แล้ว คมดาบของข้า อาบยาพิษที่ทำให้ท่านไม่สามารถขยับ หรือใช้เวทย์มนต์ได้” ชายนักฆ่ากล่าวพลางหัวเราะ รอยยิ้มเหยียดปรากฏบนใบหน้ายามมองร่างเล็กที่กำลังบิดเร่าด้วยความทรมาน
“ตะ-ต่ำ-ช้านัก” เฟลิโอน่าเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น พลางหอบหายใจอย่างหนัก ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนจนเห็นเป็นเพียงเงาวูบไหวเบื้องหน้าเท่านั้น
“ท่านหวังสิ่งใดจากนักฆ่ากันเล่า ธิดาแห่งความมืด อันนักฆ่ามีหน้าที่เพียงสังหารเหยื่อ ขอเพียงปลิดชีพได้ จะใช้วิธีการใดนั้นไม่สำคัญ จะด้วยการต่อสู้ซึ่ง ๆ หน้าอย่างสมเกียรติหรือลอบกัดอย่างต่ำช้าดังท่านว่า การสังหารก็คือการสังหาร คือการพรากชีวิตฝ่ายตรงข้าม มิเห็นต่างกัน” ร่างสูงของมือสังหารเอ่ยพลางเคลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนเลื่อนคมดาบไปจ่อที่ลำคอของร่างบางที่อ่อนแรงลงทุกที
“ความจริงจะปล่อยให้ท่านค่อย ๆ ลิ้มรสยาพิษของข้าก็ได้” พูดพลางส่งรอยยิ้มพึงใจอันน่ารังเกียจให้แก่ร่างบางที่พยายามอย่างยิ่งที่จะพยุงร่างตนให้ยืนขึ้น หากดูเหมือนร่างกายจะไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย ทำให้เด็กหญิงทำได้เพียงพยุงไม่ให้ล้มนอนลงไปกับพื้นเท่านั้น
“แต่ข้าไม่อยากเสียเวลากับท่านไปมากกว่านี้แล้วล่ะองค์หญิงน้อย จะว่าไปฝีมือท่านก็ไม่เลว เสียดายที่ผู้รับหน้าที่สังหารท่านในครั้งนี้เป็นข้า หากเป็นคนอื่น ท่านคงมีโอกาสมากกว่านี้” น้ำเสียงเยาะหยันนั้นเรียกรอยยิ้มเหยียดให้ปรากฎบนใบหน้างาม
“หากเป็นคนอื่นงั้นหรือ เหอะ อย่ามัวแต่เล่นลิ้นอยู่เลย ลงมือเสียเถิด เราชังน้ำหน้าเจ้าเต็มทนแล้ว” เด็กหญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชังไม่ปิดบัง
“ดีลาก่อน ธิดาแห่งความมืด”
แม้ภาพที่เห็นจะเพียงเงาเลือนราง หากสัมผัสเย็นเยียบอันตรายของโลหะที่นาบอยู่ที่ลำคอก็บ่งบอกถึงสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังของตนเองได้เป็นอย่างดี
เฟลิโอน่าหลับตาลงอย่างยอมรับในชะตากรรม เพราะเธอในตอนนี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับนิ้วมือด้วยซ้ำ
...ท่านพ่อ
คมดาบโค้งเงื้อสูง ก่อนผู้ถือจะฟาดฟันมันลงมาอย่างรวดเร็ว หากก่อนที่คมดาบสังหารจะต้องร่าง ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น พร้อม ๆ กับการพังทลายของเขตแดน
ทันใดนั้น ร่างของเจ้าของดาบก็ถูกพลังอันกราดเกรี้ยวซัดกระเด็น
“....!!!”
มือสังหารเบิกตากว้างขณะปล่อยร่างให้ร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง สติสัมปะชัญญะที่มีรับรู้เพียงแรงกระแทกยามร่างของตนสัมผัสพื้น ก่อนสัมผัสรสเค็มปร่าเต็มลำคอ
ชัยชนะในมือเมื่อครู่ ราวกับหลุดลอยไปกับสายลมเมื่อมือสังหารตระหนักว่าตนกำลังเผชิญกับอะไร
“...เจ้า!!!” สุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้น พร้อม ๆ กับร่างสูงใหญ่ของจ้าวปีศาจที่ปรากฏขึ้นจากความมืด กระไอเวทย์และอากาศรอบกายจ้าวปีศาจนั้นร้อนระอุด้วยเพลิงพิโรธที่ลุกโหม
“...ช่างบังอาจ!!!!” พร้อมกับคลื่นพลังที่ใหญ่และรุนแรงกว่า กระแทกใส่ร่างโชกเลือดที่พยายามยันตัวขึ้นให้อัดกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรงจนกำแพงหินนั้นแตกกระจาย ก่อนร่างของนักฆ่าร่วงหล่นลงมากองกับพื้นราวกับตุ๊กตาผ้าที่รอวันทิ้งพร้อมเศษกำแพงที่แตกทลายลงมาเป็นชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง
ร่างสูงของจ้าวปีศาจยืนตระหง่านเหนือร่างของชายมือสังหารที่หายใจรวยริน นัยน์ตาสีนิลของจ้าวปีศาจวาวโรจน์ราวกับมีเพลิงสุมอยู่ภายใน วินาทีที่เผลอมองสบตาของจ้าวปีศาจ ชายนักฆ่าก็ได้ลิ้มรสความกลัวสุดขีดที่เขาไม่เคยประสบมาก่อนซึ่งตรึงให้ร่างที่พยายามตะเกียดตะกายหนีต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ และสั่นเทาอย่างหยุดไม่อยู่
แล้วน้ำเสียงเย็นเยียบก็เอ่ยประกาศิต
“เจ้าจะต้องได้รับโทษอย่างหนักที่สุด ให้สาสมกับความผิดของเจ้า” เพียงสิ้นวาจาพิพากษา ก็บังเกิดเพลิงกาฬสีดำรอบกายของมือสังหาร
วินาทีนั้นเองที่มือสังหารเช่นเขาตระหนักได้ว่า วาระสุดท้ายของเขามาถึงแล้ว และความตายน่ากลัวเช่นไร
เขาร้องอย่างโหยหวนทันทีที่ถูกเปลวเพลิงมัจจุราจกลืนกิน
ร่างของนักฆ่าบิดเร่าไปมาด้วยความร้อน และเจ็บปวด ก่อนเสียงร้องจะค่อย ๆ เงียบลง และสุดท้ายร่างของชายมือสังหารก็ค่อย ๆ สลายไป
ไม่เหลือแม้เพียงเถ้าธุลี
เอวิเดสมองดูภาพนั้นด้วยสายตาชิงชัง ก่อนจะรีบเข้าไปดูอาการบุตรสาวที่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่กับพื้น
“เป็นอย่างไรบ้าง เฟลิโอน่า”
“ทะ-ท่านพ่อ” เสียงหวานเอ่ยอย่างแผ่วเบา ร่างบางของเด็กหญิงร้อนผ่าวราวกับมีใครเอาเพลิงมาสุมไว้ในตัว ทั้งยังเต็มไปด้วยบาดแผลที่แม้จะไม่ใช่แผลฉกรรจ์ หากมีจำนวนมากมายนัก จนทำให้ชุดสวยที่ใส่อยู่ในงานเมื่อครู่อยู่ในสภาพขาดวิ่น และเปรอะเปื้อนด้วยคราบโลหิต
และนั่นยิ่งทำให้จ้าวปีศาจทวีความโกรธขึ้นไปอีก
…ความอดทนของเขาหมดไปแล้ว
จ้าวปีศาจลั่นสัตย์สาบานกับตัวเองว่าจะต้องจัดการตัวบงการที่ทำให้บุตรสาวของเขาตกอยู่ในสภาพนี้ให้ได้ ด้วยมือของเขาเอง!!!
จ้าวปีศาจอุ้มร่างเล็กขึ้นไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเปล่งเสียงสุรนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่นราวอสุนีบาต
“โกโดมมม!!!”
ร่างเล็กจ้อยของเสนาบดีใหญ่แห่งเดมอสปรากฏกายขึ้นทันทีที่สิ้นเสียง
“เกิดอะไรขึ้นหรือพะย่ะค่ะ ท่านจ้าว” โกโดมกล่าวด้วยความตระหนก ไม่บ่อยครั้งนักที่จ้าวปีศาจจะเรียกมันด้วยวิธีการนี้
“มีคนบุกเข้ามาลอบทำร้ายเฟลิโอน่า!!” เอ่ยพลางกัดฟันกรอด จ้าวปีศาจหมายมั่นในใจ
...เวรยามคืนนี้ล้วนเลี้ยงเสียข้าวสุกนัก มันน่าบั่นคอให้สิ้นเสียเก้าชั่วโคตร
“ฝ่าบาท โปรดสั่งการเถิด กระหม่อมพร้อมรับบัญชา” เสนาบดีใหญ่หากตัวจ้อยกล่าวพลางค้อมกายรอรับคำสั่ง
“ส่งข่าวไปบอกเกรเซอร์ให้เพิ่มกำลังที่เขตชายแดนทุกด้าน แล้วจงไปเตรียมทหารให้พร้อม ข้าจะตามหาคนที่บังอาจทำร้ายลูกข้าด้วยตัวข้าเอง หากใครขวาง จงสังหารมันให้สิ้น!!” สิ้นเสียงประกาศิต โกโดม โคมุสน้อมกายพลางรับด้วยเสียงหนักแน่น
“รับด้วยเกล้า!!”
....
ทันทีที่ทั้งจ้าวปีศาจและร่างสะบักสะบอมขององค์หญิงรัชทายาทในอ้อมแขนปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เหล่านางกำนัลต่างตกใจก่อนกุลีกุจอรีบเข้ามารับร่างบางจากจ้าวปีศาจ แพทย์หลวงถูกเรียกหาในทันที ตลอดเวลานั้น จ้าวปีศาจไม่ออกห่างไปจากบุตรสาวคนเดียวของตนเลย กระทั่งแน่ใจว่าพิษถูกขับออกจนหมด และได้เห็นเลือดฝาดคืนสู่ใบหน้าของเด็กหญิงแล้วนั่นเอง เอวิเดสจึงได้ผละออกมา
ร่างสูงของราชาปีศาจตรงไปยังห้องของตน เครื่องทรงสำหรับออกล่าถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ระหว่างนั้นจ้าวปีศาจเอวิเดสก็เรียกหามหาดเล็กอีกคน
“เจ้ารีบไปตามราชินีจันทรามาพบข้าเดี๋ยวนี้” หากไม่ทันที่มหาดเล็กจะไปพ้นประตู ร่างของราชินีจันทราก็ปรากฏกายตรงหน้าพอดี
“ท่านพี่เรียกหาข้าเร่งด่วนเช่นนี้ คงมีเรื่องร้อนใจนัก”
“เจ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าข้าเรียกมาด้วยเหตุใด ...ข้าตัดสินใจแล้ว และจะไม่รออีกต่อไป”ลูน่า เกรเดเวล มองใบหน้าของผู้เป็นพี่นิ่ง
“…ท่านเป็นเช่นนี้เสมอพี่ชายข้า ไม่ว่าข้าจะทัดทานเช่นไร หากเป็นสิ่งที่ท่านตัดสินใจแล้ว... ไม่แน่ อาจเป็นการดีสำหรับเฟลิโอน่าก็ได้ แต่ท่านจะอธิบายให้หลานฟังอย่างไร” ลูน่ากล่าวด้วยท่าทีสงบหลังจากนิ่งไปอึดใจ
“….ข้าจะจัดการเรื่องนั้นเอง” เอวิเดสกล่าวอย่างเคร่งขรึม
...
“ไปจากเดมอสหรือเพคะ” เฟลิโอน่าถามด้วยท่าทีประหลาดใจระคนตกใจ ด้วยการไปจากเดมอสนั้นไม่เคยอยู่ในความคิดตนเองเลยแม้แต่นิด
“ใช่แล้วลูกรัก ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับลูกอีกต่อไป ศัตรูมีมากหากพวกมันอยู่ในที่ลับในขณะที่เรานั้นอยู่ในที่แจ้ง พ่อจึงอยากให้เจ้าไป ออกเดินทางไปเรื่อย ๆ คงดีกว่าที่เจ้าจะอยู่เป็นเป้าโจมตีนิ่ง ๆ ที่นี่” เอวิเดสกล่าว
“แต่ท่านพ่อก็อยู่” เด็กหญิงประท้วง ในความคิดมั่นใจนัก ตราบใดที่อยู่ใต้ปีกแกร่งของบิดา มิมีผู้ใดทำร้ายตนได้ หากข้อเท็จจริงที่บิดายกขึ้นมา ทำลายความเชื่อมั่นแรกเริ่มของเฟลิโอน่าโดยสิ้นเชิง
“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วลูกรัก พ่อ...ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา เฟลิโอน่า เจ้าเองก็รู้ดีกว่าใคร คราวนี้ยังถือว่าโชคดีที่เขตแดนนั้นไม่ได้บิดเบือนมิติโดยสมบูรณ์ พ่อจึงสามารถตามหาเจ้าจากไอเวทย์ได้ หาไม่แล้ว...”ประโยคท้ายถูกกลืนหายไปในลำคอ ภาพคมดาบที่เงื้อเหนือร่างไร้เรี่ยวแรงของบุตรสาวเมื่อไม่กี่วันก่อนยังติดตา ยิ่งเมื่อนึกว่าหากไม่บังเอิญว่ามีรอยแยก หรือหากเขาเข้าไปช้ากว่านั้นอีกนิด
“อย่างไรลูกไม่อยากไปจากท่านพ่อ อีกอย่างจำเป็นต้องไปจากแผ่นดินเดมอสเลยหรือเพคะ ลูกไปอยู่กับท่านอาลูน่าที่นครจันทราก่อนก็ได้ไม่ใช่หรือ” ร่างเล็กบนเตียงกล่าวอย่างดื้อรั้น หวังให้บิดาเปลี่ยนใจ แต่เล็กจนโตเธอไม่เคยไปจากแผ่นดินเกิด อยู่ ๆ จะให้จากไปโดยไม่รู้จะได้คืนถิ่นเมื่อไหร่ย่อมสร้างความกังวลเป็นธรรมดา
เฟลิโอน่ายังเด็กนัก...
ชั่ววูบนั้น เอวิเดส เกรเดเวลเกิดความลังเลในการตัดสินใจของตน แต่เมื่อจ้าวปีศาจเหลือบมองร่างเล็กที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลนั้น เขาก็ตัดสินใจแน่แน่ว
...พ่อก็ไม่อยากให้ลูกไป ถ้าทำได้ พ่ออยากให้เจ้าอยู่กับพ่อไปตลอดชีวิต
ทว่า...
เอวิเดสสบตาหวานซึ้งของลูกสาว ก่อนตัดใจใช้ไม้แข็ง
“องค์หญิงเฟลิโอน่า เกรเดเวล จงรับบัญชาจากข้า ทันทีที่เจ้าหายดี เจ้าจะต้องออกเดินทางทันที”
“ท่านพ่อ!” ดวงตาของเด็กหญิงเบิกกว้างอย่างตระหนก ไม่คิดว่าบิดาของเธอจะถึงขั้นออกเป็นโองการเช่นนี้
“ข้าได้เตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว เจ้าจะเดินทางไปกับสหายของไฮคิง ท่านตาของเจ้า” ฟังแล้วใบหน้าสวยมีร่องรอยความแปลกใจที่บิดาของเธอยอมติดต่อกับมนุษย์เอเดน ทั้งที่ประกาศตัดสัมพันธ์กับเอเดนไปแล้ว
“สหายของตาเจ้า ชื่อว่า มาดัส เดอเบอโรว์ ฉายาหัวขโมยแห่งบารามอส เขาจะเป็นคนดูแลเจ้า และนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงทิ้งนาม เฟลิโอน่า เกรเดเวล เจ้าหญิงรัชทายาทแห่งเดมอสเสีย”เด็กหญิงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ดวงตาสีเปลือกไม้นั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจระคนตัดพ้อ แน่นอนว่าเอวิเดสสังเกตเห็น แต่จ้าวปีศาจยังคงกล่าวต่อไปพลางหยิบแหวนวงนึงออกมา
“ข้าขอมอบแหวนวงนี้ไว้ให้กับเจ้า มันคือแหวนมายาที่จะแปลงเจ้ากลายเป็นชายเมื่อสวมมัน”เฟลิโอน่ารับแหวนจากเอวิเดสอย่างไม่มีทางเลือก เด็กหญิงมองแหวนในมือก่อนจะกำเอาไว้แน่น แล้วเงยหน้ามาสบตากับผู้เป็นบิดา
“หากเป็นพระประสงค์ของท่านจ้าว หม่อมฉันก็ขอน้อมรับบัญชา”
....
เกวียนเล่มเก่าค่อยๆแล่นออกจากดินแดนคนบาป โจรเฒ่าหัวล้าน พุงยื่น มาดัส เดอเบอโรว์ ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ผิดกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลัง ผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอปลิวตามสายลม ใจของเด็กหนุ่มลอยไปยังปราสาทแห่งเดมอสที่อยู่ลิบตา ถึงตอนนี้เขาเข้าใจถึงความปรารถนาที่ต้องการปกป้องเขา หากก็ยังมีเรื่องอีกมากมายที่เขายังไม่เข้าใจ และคิดว่าคงไม่มีวันเข้าใจตราบเท่าที่เอวิเดสยังคงเก็บงำเอาไว้ไม่อธิบายให้เขาฟัง
...ท่านพ่อ ท่านช่างใจร้ายนัก
เด็กหนุ่มที่บัดนี้ใช้นาม เฟริน เดอร์เบอร์โรว์ถอนใจดังเฮือกใหญ่ก่อนจะเหม่อมองไปยังท้องฟ้า
“นี่ ไอ้หนู ถอนหายใจซะดัง กลัวคนอื่นไม่ได้ยินรึไง” เสียงกวนประสาทจากมาดัส ที่ตอนนี้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขาดังขึ้น
“เปล่าครับ” เกวียนหยุดกึกจนคนตอบแทบจะกระเด็นตกจากเกวียน เด็กหนุ่มหันไปมองอย่างโกรธ ๆ ในขณะที่มาดัสมองเขากลับมาด้วยสายตาหนักใจ
“เฮ้อ เจ้านี่นะ ช่างซื่อบื้อซะจริง ข้าคงต้องจัดคอร์สอบรมการเป็นหัวขโมยให้เจ้าแล้วล่ะ”
“...?”
“ก็ข้ามันเป็นหัวขโมย พ่อปีศาจของเจ้าไม่ได้บอกเจ้ารึ เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าจะเป็นลูกข้า เจ้าก็ต้องเป็นหัวขโมย แล้วหัวขโมยที่ไหนมันสุภาพอย่างนี้วะ แล้วเด็กผู้ชายที่ไหนมันตวัดค้อนอย่างนั้น” ว่าพลางก็ส่ายหน้าอย่างหัวเสีย ดูตาวาว ๆ ของมันเถิด มองอย่างไรก็ไม่ใช่หัวขโมย!
“มานี่เลย เจ้ามานั่งนี่เลย ระหว่างนี้ก็ตั้งใจฟังสิ่งที่ข้าพูดด้วยล่ะ ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นหัวขโมยมือหนึ่งให้ได้ เอาหัวท่านมาดัสผู้นี้เป็นประกันเลย” พูดจบก็หัวเราะเสียงดังเสียจนพุงกระเพื่อม หากคนฟังฟังแล้วอยากจะหนีกลับเดมอสไปซะเดี๋ยวนี้
มีคนสติดีที่ไหน ที่อุตริจะเปลี่ยนให้เจ้าหญิงกลายเป็นขโมย
...นับจากนี้ คงมีแต่เรื่องวุ่นวายแน่
เด็กหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ ขณะที่มาดัสเริ่มร่าย ‘บทเรียนแห่งการเป็นหัวขโมย’ โดยมิได้นำพาว่า ‘นักเรียน’ จะยินดีเรียนหรือไม่ก็ตาม
แล้วเกวียนที่บรรทุกหนึ่งหัวขโมยหนึ่งอดีตองค์หญิงค่อย ๆ เคลื่อนห่างจากประตูแดนปฐมชน สู่ดินแดนที่เรียกขานตนเองว่า ‘เอเดน’
บัดนี้เจ้าหญิงรัชทายาทได้ละทิ้งแผ่นดินแดนเกิดที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นแดนคนบาปไว้เบื้องหลัง
ละทิ้งวิถีชีวิตอันคุ้นเคย สู่การเดินทางครั้งใหม่
ที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อใดและอย่างไร...
0.10 AM 2017-04-21
ความคิดเห็น