ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานเทพสตรีนพเคราะห์

    ลำดับตอนที่ #3 : พระพุธ : อิลา ชายาพระพุธ ๒/๓

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 52



     

    กล่าวถึงการณ์ครั้งหนึ่งที่ผ่านมานานแล้ว

    กล่าวถึงพระพฤหัสบดี ผู้เป็นเทพาแห่งอาจารย์

    องค์พระพฤหัสบดีมีชายาเลอโฉมอยู่นางหนึ่ง

    นามว่า ดารา

    ความงามของนาง เปรียบดั่งดวงดาวที่เจิดจรัสอยู่บนนภาก็ไม่ปาน

    อยู่มาวันหนึ่ง

    ขณะที่พระพฤหัสบดีเข้าประชุมเทพยสภา

    นางดาราซึ่งตามมาด้วยเฝ้าคอยสวามีอยู่ในศาลาหน้าสภา

    นั่งร้อยพวงมาลาคอยท่าสามี แวดล้อมด้วยนางอัปสรที่เฝ้าปรนนิบัติ

    ครั้นนั้น

    พระจันทร์เทวบุตรรูปงาม

    เข้าประชุมล่วงเลยเวลามานานนัก

    ทรงรถเทียมม้าขาวปลอดอย่างเร่งรีบเพื่อเข้าประชุมให้ทัน

    จันทร์รูปงามประทับรถเทียมม้าขาว 10 ตัว ที่กระโจมเข้าสู่เทพยสภา

    ครั้นแล้วสายตาของเทวบุตรรูปงาม

    ไปประสานเข้ากับร่างของดาราผู้เลอโฉม

    แม้อัปสรงามมากมาย

    แต่ไฉนจะสู้ดาราเจิดจรัสได้

    พระจันทร์ตกตะลึงในความงามของนางดารายิ่งนัก

    ทรงหยุดรถเทียมม้า จ้องมองนางมิรู้เบื่อ

    จนเวลาล่วงเลย การประชุมเทพาลุล่วงไปจนเสร็จสิ้น

    พระจันทร์มิได้เข้าประชุม แต่ก็หาได้โทมนัสไม่

    ใคร่เข้าไปหานางดารา

    แล้วเอ่ยวาจาเกี้ยวนาง

    ฝ่ายนางดารา

    เห็นพระจันทร์รูปงาม

    ก็ให้รู้สึกกำหนัดใจยิ่งนัก

    แต่ติดที่นางมีคู่ครองแล้ว

    จึงหาได้นำพาตามใจตน

    จำต้องปฏิเสธไป

    ฝ่ายพระจันทร์หาได้เลิกรา ยังเกี้ยวพาราสีนางต่อ

    จนนางดาราอ่อนใจ ปันใจให้กับเทวบุตรรูปงาม

    บัดนั้นพระพฤหัสมาถึง

    เห็นพระจันทร์เกี้ยวพาชายาตน

    ให้รู้หึงหวงยิ่งนัก

    ตรงเข้าด่าทอพระจันทร์อย่างมิไว้หน้า

    พลางฉุดกระชากนางดาราจากไป….

    สิ้นเหตุการณ์วันนั้น

    พระพฤหัสก็ไม่ไว้ใจดาราชายารัก

    จับนางขังไว้ในวิมานบุษราคัมที่ประทับแห่งตน

    ส่วนพระจันทร์ก็หาได้เลิกราไม่

    ยังคงติดตรึงใจในมโนภาพนางดารา

    ยามกินนอนฉันใด มิได้ทำอย่างสุขใจหรรษา

    เพ้อพกถึงแต่ดารา ว่านางนั้นอยู่แห่งใด

    ทำให้พระจันทร์รูปงาม ร่างกายสูบผอม

    นับวันจากจรเป็นเดือน ปี

    จนร้อนถึงอาชาทั้ง 10 บริวารม้าเทียมของพระองค์

    เห็นนายทุกข์ใจก็ให้สงสาร

    จึ่งมีความเห็น ร่วมใจกัน ขึ้นกราบทูลพระจันทร์ว่า

    พวกตนร่วมใจช่วยพระองค์ชิงนางดารา

    พระจันทร์ได้ฟังจึงค่อยคลายทุกข์โศกไป

    ค่อยวางแผน ร่วมมือกับบริวารตน ขโมยนางดารา

    จนกระทั้งวันหนึ่งสบโอกาส

    เมื่อพระพฤหัสไม่อยู่ในที่ประทับ

    พระจันทร์จึงเข้าไปหานางดารา

    แล้วลักพานางมาอยู่กับตน

    เสพสุขสมทุกเช้าค่ำ ทุกวันคืน…..

     

    แต่เหตุการณ์ไม่จบแต่เพียงเท่านั้น

    เมื่อพระพฤหัสทราบการหายไปของนางดารา

    ซ้ำยังรู้ว่าพระจันทร์เป็นผู้กระทำ

    ให้ยิ่งโกรธแค้นอับอายยิ่งนักที่ถูกหักใจเสียไม่มีชิ้นดี

    พฤหัสเกรียงไกรทรงสั่งจัดทัพทันใด

    แล้วกรีฑาทัพไป

    ทวงหานางดาราคืนจากพระจันทร์

    ฝ่ายพระจันทร์ คนหนุ่มรูปกวี

    หลงสาวงามจนไม่คิดจะคืนให้

    ออกมาปฏิเสธทันใด ว่าหาได้เอามาไม่

    สร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับพระพฤหัสยิ่งนัก

    ทรงประกาศให้ประจักษ์

    ว่าจะรบแตกหักกับพระจันทร์

    ทั้งคู่จึงรบฆ่าฟันกัน มิรู้หยุด มิรู้หย่อน

    เพื่อจุดประสงค์ครอบครองนางดารา

    สงครามเริ่มยืดเยื้อยืนนาน นับศตวรรษ

    จนเกิดเป็นตำนาน….

    ตารกามัย

    สวรรค์ปั่นป่วน หาความสงบมิได้

    จนพระพรหมจากพรหมโลก

    ต้องลงมาห้ามทัพ

    ให้เลิกแล้ว รากันไป

    แล้วบัญชาให้

    พระจันทร์คืนนางดารา

    เทวบุตรรูปงามจึงจำต้องทำตาม

    คืนนางดาราให้กับสามีเดิม

    ครั้นนางดารากลับมาอยู่กับพระพฤหัส

    สร้างความเปรมปรีดิ์ให้กับพระพฤหัสยิ่งนัก

    แต่ก็ต้องโทมนัส

    เมื่อทราบว่า นางตั้งครรภ์ลูกพระจันทร์

    สั่งกักขังนางไว้ในปราสาทแต่เพียงผู้เดียว

    เวลาผ่านไป จนครบกำหนดคลอด

    นางดาราคลอดบุตรเป็นชาย ผิวสีเขียวแก้วมรกตสดใส ให้นามว่า พุธ

    พระพฤหัสทราบข่าว

    ก็สั่งให้สังหารบุตรชู้ ผู้มิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขตน

    ฝ่ายนางดารารู้คำสั่งสวามี ก็ตระหนกยิ่ง

    เกรงสามีจะมาเอาบุตรจากอกตน

    จึงขอช่วยเหลือจากนางมนตา ชายาอีกองค์ของพระพฤหัส

    นางมนตาได้ช่วยอ้อนวอนพระพฤหัสอีกแรง

    แต่ไม่สำเร็จ….

    พระพฤหัสยังดึงดัน สังหารพระพุธให้ได้

    ร้อนถึงพระอิศวร

    ต้องออกหน้าไกล่เกลี่ย

    เพราะพระพุธเป็นหนึ่งใน เทพนพเคราะห์

    พระพฤหัสจึงยินยอมด้วยเห็นแก่พระอิศวร

    แต่ก็มิยอมให้พระพุธอยู่อย่างเทพ

    ทรงสาปให้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ไปเกิดในท้องช้าง

    ให้บำเพ็ญเพียร สะสมบุญ ตามความสามารถของตนเอง

    เรื่องจึงจำเป็นอันจบลง….

     

    ฝ่ายพระพุธในท้องนางช้างเมียพญาช้าง พอครบกำหนดคลอด ก็ออกมาเป็นเด็กชาย

    และได้เป็นใหญ่เหนือช้างทั้งปวง

    ได้รับการเลี้ยงดูโดยเทพารักษ์ในป่าจนเติบโต

    ต่อมาเมื่อรู้ความพระพุธ ผู้ถูกตราว่าลูกชู้

    ได้บวชบำเพ็ญศีลอยู่ในไพร

    เพื่อบำเพ็ญพรต สะสมบุญ….

    จนกระทั้งกาลเวลาผ่านไปหลายร้อยปี

    พระพุธหาได้แก่อย่างฤาษีอื่นไม่!!!

    เพราะมีเชื้อเทพในตัว

    โตขึ้นเป็นหนุ่มรูปงาม

    ผิวสีมรกต แลดูน่าเกรงยิ่งนัก

    ทรงเปี่ยมไปด้วยเมตตา

    สิงสาราสัตว์น้อยใหญ่ต่างเคารพ ย่ำเกรง

    รวมไปถึงเทพารักษ์

    เมื่อไปไหนก็มีคชสารเป็นผู้พาไป

    พระพุธสู้บำเพ็ญพรตในป่า

    เพื่อสะสมบุญ กลับขึ้นสู่สวรรค์อีกครั้ง

     

    หลังจากมหาสงครามตารกามัย ผ่านไปหลายร้อยปี

    เมืองมนุษย์เริ่มเข้าสู่ความสงบ

    อารยธรรมแห่งผองชนเริ่มกลับมา

    วงศ์กษัตริย์หลายเมือง

    เริ่มฟื้นฟูเมืองตนจนกลับสู่สภาพเดิม ก่อนเกิดสงคราม

    และจะกล่าวถึง นครพลหิรกา

    เมืองที่พระเจ้ากรรทมพรหมบุตรทรงปกครอง

    พระองค์ทรงมีโอรสและธิดารักอยู่ 2 องค์

    องค์แรกเป็นธิดา นามว่าอิลา

    องค์สุดท้องเป็นโอรส นามว่าอิลราช

    ทั้งสองเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก

    ยามจะเสวยสิ่งใดก็แบ่งปันกัน

    ยามจะประสบภัย ยังออกรับแทนกันได้

    ความรักฉันพี่น้องของทั้งสองเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมือง

    ความลับสิ่งใดทั้งสองก็บอกแก่กัน

    น้ำใจทั้งสองแบ่งกัน จนกระทั้งทั้งสองเติบใหญ่

    นางอิลาเติบใหญ่เป็นสาวแรกรุ่นที่งามเช่นอัปสรลงมาจุติ

    กริยาอ่อนหวาน เสียจนได้รับการอุปมาว่า

    ว่างามเพียงลักษมีเทวี

    ฝ่ายพระอิลราชเติบโตเป็นบุรุษหาญ ชำนาญทั้งรบรา และเชิงกลอน

    ใบหน้าคมสัน สง่ามีราศีราวพระอินทร์ก็มิปาน

    พระเจ้ากรรทมพรหมบุตรทรงภูมิใจในตัวโอรสและธิดามาก

    ตามธรรมเนียมของรัชทายาทนครพลหิรกา

    เมื่อดำรงชนมายุเข้าสู่รุ่นหนุ่ม

    จะต้องเดินทางเข้าป่าไปล่าสัตว์ใหญ่มาด้วยตนเอง

    เพื่อแสดงถึงความเข้มแข็งในตน

    พระอิลราชจึงจำต้องจากเมืองเข้าป่า

    ทำตามธรรมเนียมที่โบราณกล่าวไว้

    นางอิลาองค์เชษฐภคินีมาส่งอนุชาด้วยความอาวรณ์

    เมื่อร่ำลากันแล้ว

    พระอิลราชเดินทางเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ใหญ่ด้วยตนเอง

    หลายวันเข้า ก็หาพบสัตว์ใหญ่ เช่น เสือ สิง กระทิง ช้าง ไม่!!!

    จึงทรงเดินเข้าไปในป่าลึก

    จนล่วงล้ำเขตรโหฐานแห่งอุมาเทวี

    ซึ่งในขณะนั้น

    พระอิศวรผู้เป็นใหญ่

    กำลังแปลงกายเป็นสตรีหยอกล้อกับพระอุมาอยู่นั้น

    สิ่งใดๆ ในอาณาบริเวณจำต้องเป็นสตรีไปเสียหมด

    อิลราชผู้โชคร้าย

    ต้องสาปกลายเป็นสตรีไป

    และหลงอยู่ในทางอยู่ในเขตขององค์อุมาพร้อมด้วยบริวาร

    ครั้นเวลาต่อมา

    พระอุมาทรงทราบถึงการล่วงเลยโดยพลการนั้น

    ทรงพิโรธยิ่งนัก

    จึงสาปอิลราชและบริวารซ้ำ

    ให้ตายโหงโดยสัตว์ใหญ่

    ฝ่ายอิลราชและบริวารให้หวาดกลัวยิ่งนัก

    รีบหนีตายออกนอกเขตรโหฐานแห่งองค์อุมา

    เร่ร่อนหลงทางเข้าไปในป่าลึกยิ่งกว่าเดิม

    เคราะห์กระหน่ำ กรรมซ้ำ

    คำสาปของเทวีแห่งสวรรค์สัมฤทธิ์ผล

    เหล่าบริวารของพระอิลราช ต่างต้องตายด้วยสิงสาราสัตว์ในป่านั้น

    คนแล้วคนเล่า….

    จนเหลือพระอิลราชแต่เพียงผู้เดียว

    รัชทายาทผู้อาภัพเดินทางรอนแรมในป่า

    ลึกเข้าไปจนเข้าใกล้อาศรมของพระพุธ

    กระนั้นอายุขัยของอิลราชก็หมดสิ้น

    เมื่อเกิดกระหายน้ำจนสุดจะทานทน

    จึงเข้าไปวักน้ำในรอยเท้าช้างขึ้นดื่ม

    โดยหารู้ไม่ว่า

    ที่นั้นเป็นดงช้างตกมัน

    อิลราชจึงถูกช้างตกมันสังหารจนสิ้นพระชนม์

    พระพุธผู้เป็นใหญ่แห่งช้างโขลงนั้น

    บำเพ็ญเพียรอยู่

    ก็สะกดรู้ด้วยญาณ

    จึงรีบรุดมายังที่เกิดเหตุ

    พระพุธผู้เมตตา ให้สงสารอิลราชผู้ประสบเคราะห์ยิ่งนัก

    แลพระองค์ยังเป็นดั่งราชาของโขลงช้าง จำต้องรับผิดชอบ

    เมื่อคชสารบริวารในพระองค์ฆ่าคนตาย

    พระพุธทรงเก็บพระศพของพระอิลราชเอาไว้ในอาศรมตน

    รักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย

    เพื่อรอญาติมิตร ที่อาจออกตามหามารับไป….

     

    กล่าวถึงนางอิลาผู้เป็นเชษฐภคินี

    ให้เป็นห่วงอนุชาที่จากไปนานผิดปกติยิ่งนัก

    ทั้งกระวนกระวายใจ

    เพราะมิได้รับข่าวสารจากอิลราชแม้แต่นิดเดียว

    เมื่อนานวันเข้า

    นางอิลาจึงตัดสินใจเข้าป่าเพื่อตามอิลราชด้วยตัวเอง

    แม้ใครๆจะทัดทาน นางก็หาฟังไม่

    สุดท้ายพระเจ้ากรรทมพรหมบุตรก็อ่อนใจจึงประชดนางว่า

    หากเจ้าอยากไป ก็ไปเถิด แต่อย่าได้นำบริวาร ข้าใต้พระบาทพ่อไปแม้แต่คนเดียว!!!”

    นางอิลาใจคอเด็กเดี่ยว ในใจมีเพียงเรื่องตามหาน้องชายจึงรับคำ

    หม่อมฉันจักไปตามหาอิลราชและจะไม่นำบริวารตามไปแม้แต่คนเดียว

    นางอิลาทูลบิดา แม้มารดาอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่ฟัง

    สุดท้ายนางอิลาออกเดินทางไปเพียงลำพังตามเส้นทางที่อิลราชเดินทางไป

    นางจ้างพรานป่านอกนครเป็นผู้นำทาง

    พรานป่าพานางแกะรอยไปหาอนุชา

    จนกระทั้งเข้าสู่ป่าลึกไปเรื่อยๆ

    ใกล้เข้าสู่อาณาบริเวณของพระพุธ ที่อยู่ในส่วนของป่าลึก

    ฝ่ายพรานป่าทราบว่า

    ป่าในช่วงนี้ สัตว์ป่าดุร้ายชุกชุม

    ไข้ป่าก็มาก

    จึงไม่ยินยอมพาดรุณีอิลาเข้าไป

    เมื่อนางอิลาดึงดันจะเข้าไป

    เพราะเห็นว่าเป็นทางเดียวของอนุชา

    พรานป่าระอาจึงกล่าวตัดพ้อ

    สิงสาราสัตว์มากมี ทรงเข้าไป อาจมิได้ออกมา

    เราไม่หวั่น

    อิลาตอบอย่างหนักแน่น

    แม้น้องเราตายในเถื่อน เขาย่อมเป็นผีเฝ้าป่า

    อย่างน้อยที่เราจะทำให้น้อง ก็นำศพเขากลับไปทำพิธีให้สู่สุขคติก็ยังดี

    ถ้าอย่างนั้น องค์ก็เข้าเองเถิด กระหม่อมยังมีลูกเมียต้องเลี้ยงดู

    พรานกล่าวขอถอนตัว

    นางอิลาก็มิว่าสิ่งใด ทรงให้พรานป่ากลับไป

    ส่วนตัวนางก็ตรงเข้าไพร ตามยถากรรมตน

    ด้วยนางมิเคยเข้าป่า

    ทั้งอาหารก็หาเคยหากินเองไม่

    ทั้งลำบากกาย ทำให้นางแสนทรมาน

    แต่ก็ไม่เคยคิดจะถอยกลับ

    เหล่าเทพารักษ์ และนางไม้

    เห็นใจในความเพียรพยายาม

    ทั้งชอบใจในความงามของนางอิลา

    จึงคิดให้นางได้พบกับพระพุธผู้อ่อนโยน

    จึงพากันช่วยเหลือนาง

    ยามอิลาจะเด็ดผลไม้ กิ่งก็โน้มลงมาให้

    จะดื่มน้ำที่ใด น้ำก็จะใสขึ้นทันตา

    ยามเจ้าหญิงจะทรงบรรทม กิ่งไม้ก็โน้มบังตัวนาง ไม่ให้เป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย

    ยามอิลาเดินทาง นั่งลงพักทีใด แมกไม้พึงโน้มลงบังแสงสุรีให้

    เป็นเช่นนี้หลายวันคืนผ่านไป จนนางอิลามาถึงอาศรมของพระพุธ

    ดรุณีผู้รักอนุชาปานดวงใจ หวังถามทางจากเจ้าของอาศรม

    นางร้องเรียกเจ้าของอาศรมด้วยถ้อยคำสุภาพ

    ไม่ถือวิสาสะนั่งบนชานเรือนหากเจ้าของไม่อนุญาต

    หญิงสูงศักดิ์นั่งบนพื้นกรวดแข็ง

    รอจนเจ้าของอาศรมออกมา….

    พระพุธที่กำลังนั่งบำเพ็ญญาณอยู่นั้นได้ยินเสียงเรียก

    ทรงเสด็จเดินออกมาหน้าอาศรม….

    เพียงทั้งสองสบตากัน

    ความผูกพันธ์อุปมาเหมือนเส้นใยบางๆก็บังเกิดขึ้น

    ใจในอกทั้งสองเต้นระรัวอย่างมิเคยเป็นมาก่อน

    พระพุธผู้เคยเห็นนางไม้ที่ว่างามในป่ามามาก

    แต่ยังไม่เคยเห็นหญิงใดงามด้วยจริตอ่อนหวานเช่นนี้มาก่อน

    ฝ่ายนางอิลาเคยเห็นบุรุษมามาก

    แต่ยังมิเคยเห็นบุรุษใดสง่าด้วยความเมตตา และอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน

    สาวแรกแย้มประหม่าเพียงครู่ ก่อนจะจรดปลายนิ้วเรียวดังลำเทียนก้มลงกราบบรรพชิตหนุ่ม

    ท่านผู้ทรงศีลอิลากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียหากแต่กังวานดังระฆังแก้ว

    ผู้น้อย นามว่าอิลา เป็นเจ้าหญิงแห่งพลหิรกา เดินทางรอนแรมมาไกล เพื่อตามหาน้องชาย

    เขานามว่า อิลราช เป็นรัชทายาทแห่งพลหิรกา

    น้องชายของผู้น้อยผู้นี้ได้เดินทางออกล่าสัตว์ใหญ่ตามธรรมเนียมของนครเรา

    แต่อนิจจาเขาได้หายตัวไป โดยไม่ได้ส่งข่าวคราวใดๆมาเลย

    เป็นตายร้ายดีเช่นใดไม่รู้

    ผู้น้อยจึงขอรบกวนผู้ทรงศีล

    ว่าท่านได้พบบุรุษหนุ่ม ทรงอาภรณ์ดี พร้อมหมู่บริวารติดตามบ้างหรือไม่?”

    สิ้นคำสตรีอิลาแล้ว

    พระพุธได้แต่ก้มพระพักตร์สีมรกตนิ่ง ก่อนตรัสตอบกลับ

    เราจักเก็บร่างคนผู้หนึ่งได้ในป่า

    จงขึ้นมาบนอาศรมเถิด นางอิลา

    มาดูว่าร่างนี้ใช่น้องชายของเจ้าหรือไม่?”

    ว่ากระนั้นนางอิลา ด้วยความเป็นห่วงน้องชาย

    นางก้าวขึ้นอาศรมและเสด็จตามคนเพศฤาษีไป

    พระพุธได้เปิดให้ดูร่างของอิลราชให้นางผู้เป็นพี่สาวเห็น

    เพียงอิลาเห็นร่างอนุชาก็รู้ว่าน้องอันเป็นที่รักได้จากนางไปเสียแล้ว

    นางตรงเข้าโอบกอดร่างน้องชาย

    ร่ำไห้ กันแสง เพียงจะขาดใจ

    รำพันถึงกาลเก่าที่เคยเล่าหัว หยอกล้อกันมา
    จนสลบ สิ้นสติไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×