ยามลมวสันต์หวนคืนสู่ใจ
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : คุณชายน้อยเหนือกำแพงวังหลวง
My.iD :
https://my.dek-d.com/azooii/writer/
ตอนที่ 11 : บทที่ 3.2
ดวงจันทร์ข้างแรมสีขาวนวลตา สาดส่องแสงลงมาทั่วทุกหนระแห่งไม่ต่างไปจากช่วงเวลากลางวัน ขั้นบันไดหินลดเลี้ยวไปตามไหล่เขา เปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำค้างยามดึก เกือบสุดทางปรากฏสองเงาร่างเดินเคียง ด้านหลังมีเจ้าหมีน้อยสองตัวตามติดอยู่เรื่อยไป จวบจนถึงเรือนไม้ยอดภูผา
ในความเงียบงันนั้นมีเพียงหัวใจที่เต้นไหวสั่น ถ้าไม่ได้ยินเสียงร้องเรียกของแม่นิลดำ เมื่อมันได้กลิ่นลูกน้อยเข้ามาใกล้ ทั้งเขาและนางอาจจะวางตัวไม่ถูก
ซานอินเดินเลี่ยงขึ้นไปข้างบนก่อน ปล่อยให้เผิงอวี้อุ้มเจ้าตัวป่วนส่งคืนให้แม่ของมัน จะว่าไปแล้วครอบครัวเจ้านิลน้อยกลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนในหุบเขา ไม่มีสิ่งใดให้น่าเป็นห่วง ภายหลังจากแผลถูกรักษาจนหาย มันก็วนเวียนอยู่ในโพรงหลังเดิมที่ทางฝ่ายเผิงอวี้สร้างขึ้น
หญิงสาวหยุดมองเรือนไม้บนผาหินเพียงครู่หนึ่ง ตรวจดูสภาพห้องขนาดกระถัดรัด คืนกลับมาเป็นเหมือนคราวแรกที่เห็น ไม่ใช่สิ...น่าจะหนักกว่าเดิมสองเท่า ซึ่งดูคล้าย ๆ เจ้าของห้องจงใจให้รกเสียมากกว่า
ถ้าหากนางมองไม่ผิด นั่นอาจเป็นกางเกงถูกถอดพาดวางไว้ระเกะระกะ ม่านไม้ไผ่ถูกม้วนสลับทิศทาง ทางด้านขวามีรองเท้าหนังสามคู่คว่ำหน้าคว่ำหลังอยู่บนโต๊ะตัวยาว แล้วนั่นอะไรกัน...เตียงหรือรังนกหัวขวานกันแน่? ไยจึงขมุกขมุยไปด้วยเศษผ้ามากมายเพียงนั้นเล่า ซานอินวางตะกร้าผ้าลง พลันเท้าสะเอวสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ทั้งอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ในคราวเดียวกัน ถ้าเกิดนางไม่มา เขาก็คงทนนอนอยู่แบบนี้สินะ หรือนึกอยากสร้างรังหมีอยู่ร่วมกับแม่นิลดำกระมัง?
ดาวเคราะห์พุ่งมาตกอยู่ที่นาง อยากรับปากเขาไว้ก็ต้องรับผิดชอบ แล้วจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี แค่มองก็ตาลายไปหมด ก่อนอื่นนางรีบนำผ้าที่เอาไปซักทั้งหมดเก็บเข้าชั้น แยกส่วนที่เย็บปะชุนพับไว้ต่างหาก สองมือแข็งขันจัดการทุกอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งกาน้ำหยด เก็บกวาดปัดถูจนเรียบร้อย พอได้ลงแรงทำก็พานลืมเจ้าของเรือนไม้ไปชั่วคราว ถึงเพิ่งรู้ว่าเขานั่งรอมองนางอยู่นานแล้ว
สิ่งที่น่าแปลก เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดใด ๆ ออกมา แต่นางกลับสัมผัสได้ถึงพันร้อยถ้อยคำ บรรยายความนึกคิดของตนผ่านสายตาคู่นั้น ทั้งความห่วงหาปนหวงแหนระคนยินดี สำคัญกว่านั้นคือสิ่งที่สื่อถึงความรัก วางบ่วงลวงจิตวิญญาณนางไว้ไม่ให้หลบลี้
จู่ ๆ ซานอินก็มือไม้อ่อน กลัว...กลัวว่าเขาจะพูดในสิ่งที่นางมิอาจต้านทานได้
“ท่านมานั่งทางนี้สิ” ซานอินยกยิ้มบาง ๆ เป็นฝ่ายทำลายความเงียบชวนอึดอัด นางฟังอันหยงเล่าเรื่องหญิงชายมาไม่น้อย จุดใดที่ควรเว้นว่างห้ามให้ย่างใกล้ ช่วงเวลาใดสุ่มเสี่ยงต่ออารมณ์อ่อนไหวเป็นที่สุด แต่เห็นทีว่านางคิดน้อยไป กระทั่งได้พบกับตนเองต่อจากนี้
ร่างสูงสง่าหยัดกายนั่งลงบนเตียงกว้าง นางก็เดินสวนไปด้านหลังหยิบสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าติดมือมา พลางเอ่ยปากสั่งห้ามขยับ แกมบังคับให้เขาหลับตาลง จากนั้นนางก็ลองทาบวัดเสื้อผ้าฝ้ายบุหนังบนเรือนร่างสูงใหญ่ กะเกณฑ์ขนาดให้พอดี ถึงนำด้ายติดเข็มเย็บไปตามรอยขีดที่วงไว้ เสื้อตัวแรกที่นางเรียนรู้วิธีทำมาจากถิงซูก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
“ท่านลองสวมดูก่อน ข้าเว้นระยะเผื่อช่วงแขนไว้เล็กน้อย กันคับแน่นเกินไป หากมันยังขาด ๆ เกิน ๆ ไปบ้าง สามารถขยับเข้าออกได้อีกหน่อย” ซานอินไม่รู้ว่าเผิงอวี้ได้ยินนางพูดกับถิงซู ถึงความพิเศษของเสื้อตัวนี้ แต่เขาจำได้ดีเลยทีเดียว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดจมูกของดอกเถาฮัวป่า สามารถกันแมลงได้หลายชนิด ทว่าต้องแลกมาด้วยผื่นคันตามผิวกายของอีกคน ด้วยสัดส่วนของร่างกายที่ต่างกัน เขานั่งอยู่ที่สูง นางนั่งอยู่ที่ต่ำ เผิงอวี้จึงมองเห็นรอยผื่นแดง ๆ ยังต้นแขนเล็ก ช่วงคอระหงอีกสองจุด หรืออาจจะมีมากกว่านั้นก็เป็นได้
เผิงอวี้ซ่อนงำอารมณ์บางอย่างไว้มิให้ปะทุออกมา พลันแกะเชือกรั้งรังดุมของตนออกจนหมด ยอมเป็นหุ่นให้นางทดลองเสื้อแต่โดยดี ผิดไปจากนัยน์ตาแข็งกร้าวจับจ้องมองคนตัวเล็กกว่าอยู่เบื้องหน้า ตรงกันข้ามกับอีกฝ่าย ซานอินรู้สึกเริ่มเสียความเป็นตัวเอง ปากบอกเพียงแค่ให้เขาลองสวมเสื้อ มิใช่ให้ถอดออกหมด จึงไม่รู้จะทำเช่นใดต่อ
ซานอินหลับตาปี๋ สั่งใจไม่ให้คล้อยตามสิ่งที่เห็นอยู่ก่อน แต่ภาพในหัวผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แผงอกกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นขนัด ชักจูงให้คนหลงทางไปไกลนัก สมองน้อย ๆ หวนนึกจุดที่ต่ำกว่าร่องอกเรื่อยไปจรดขอบกางเกง รั้งให้นางหยุดอยู่ที่ไรขนอ่อน ๆ ขึ้นเรียงเป็นระเบียบเหนือหน้าท้อง
เผิงอวี้กัดฟันข่มกลั้น นัยน์ตาสั่นไหว ใจหนึ่งอยากรู้ อีกใจสั่งห้าม ขณะที่มือน้อยเทียวคุกคามเขาไม่หยุด ริมฝีปากหนาหลุดเสียงวาบหวามออกมาสั้น ๆ เสมือนดั่งคำเตือนภัยครั้งสุดท้ายให้แม่กระต่ายน้อยรู้ตัว ทว่าปลายนิ้วเรียววนเวียนอยู่กับช่วงหน้าท้อง ตามพันเกี่ยวไรขนอ่อนไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังถูกคำบอกเล่าของอันหยงหลอกล่อ หมายเกลี่ยนิ้วลงต่ำไปยังจุดเร้นกาย เสียงแหบพร่าสั่งห้ามในคำรบที่สอง ฉุดกระชากจิตวิญญาณของผู้รุกรานให้ตื่นจากภวังค์ เผิงอวี้สุดจะกลั้นไหว รวบมือยกเอวบางกดทับบนตักร้อนหยุดการคุกคาม พลันแนบหน้าผากชิดใบหน้านวล เป่าลมหายใจกระเส่ารดพวงแก้มนาง โดยไม่ยอมเป็นทาสอารมณ์ เมินต่อความหอมหวานที่รออยู่ แก่นกายที่มิเคยแตะต้องหญิงใดตื่นจากการหลับใหลยากสงบลง สุดท้ายเผิงอวี้เปล่งเสียงแหบพร่าด้วยความทรมาน ไรหนวดสากระคายถูสะเปะสะปะไปตามกรอบหน้าของแม่กระต่ายน้อยจอมซน แล้วก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น
“หะ...ห้าม...ห้ามขยับ...นะ..หะห้าม”
ซานอินทำอะไรไม่ถูก ความอายสะกดเช่นไรหลักฐานอยู่ที่มือของนางนี่เอง สิ่งที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่านั้น นางลืมตาอยู่ตลอดหาใช่หลับตาไม่ อีกทั้งมันมิได้เป็นภาพลวง แต่นางทำมันจริง ๆ นางทำมันจริง ๆ
หญิงสาวซุกหน้าอยู่กับอกกว้างทำตามทุกคำสั่งห้าม รอให้อารมณ์วาบหวามเจือจางลง หูได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหอบเล็ก ๆ ปนเสียงนับขาไก่หนึ่งเล้าวนลูปไม่รู้กี่สิบครั้ง ผ่านไปเช่นนี้ถึงยามสอง ความร้อนที่ดึงดันอยู่กลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อยนิด
ซานอินนึกสงสารเขาจับใจ ออกปากเป็นฝ่ายเสนอหาทางช่วย เผิงอวี้เบือนหน้ามองคนในอ้อมกอด พลันค่อย ๆ กระชับวงแขนดึงร่างบางเข้าหาตัว กักไม่ให้นางลุกหนีไปไหนก่อนได้ลงมือทำ แล้วพูดขึ้นว่า...
“ขะ..ขะ..ขนาดพอดี ข้าชอบ”
ถ้อยคำเหล่านี้หมายถึงอะไรกันแน่ เขาหยอกเอินนางอย่างงั้นรึ?
ซึ่งกว่าซานอินจะได้คำตอบ นางก็ถูกพ่อเสือตัวใหญ่ตะล่อมเข้าบทเรียนครั้งใหม่ เทียวโน้มศีรษะลงเปิดตำราชิมความหวานล้ำอยู่ร่ำไป ก่อเกิดเป็นความสุขนอกกายตลอดทั้งครึ่งค่อนคืนที่เหลือ เผิงอวี้ทำให้นางรู้จักอีกมุมหนึ่งของชายหนุ่มพูดน้อย ครั้นได้พูดขึ้นมา คนฟังกลับมิอาจปักใจต้านไหว โดยเฉพาะคำร้องขอให้นาง ‘ช่วย’ อยู่บ่อยครั้ง น้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไว้ซึ่งคำออดอ้อนเหลือคณา
ถ้ารู้แบบนี้แล้ว...นางจะไม่คะยั้นคะยอให้เขาเอ่ยคำใดออกมาเลยยังจะดีเสียกว่า
.....................................
ทิ้งท้ายบท
-------------
ไม่มี nc น้าาาแต่จะเป็นลองเขียนในเชิง ปลุกระดมความน่ารักของพระเอกนิด ๆ ให้เป็นสีสัน หวังว่าจะชอบ
เช่นเคยนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม ฝากกดให้กำลังใจกันเช่นเคย ทุกคอมเม้นต์มีค่ามากจริง ๆ
มโนกันวนไป ไรท์นะไรท์
นี่พ่อหมีขี้อายใช่ไหม๊
หวานละลายเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ