คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
บทที่ 2
ประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับฝ่ามือของนางพยาบาลสาวที่ผายไปด้านหน้าเชื้อเชิญให้สองน้าหลานก้าวเข้าไปในห้อง
“หยกขอแนะนำก่อนนะคะ คุณหมอคนนี้คือ คุณหมออิทธิกร” กล่าวถึงชายหนุ่มซึ่งนั่งคอยท่าอยู่แล้วบนเก้าอี้สีครีมอ่อน รอยยิ้มรับแขกแย้มให้ทั้งคนไข้และญาติของคนไข้ตามปกติวิสัย หากเด็กชายที่ยืนอยู่ไม่ห่างกลับรู้สึกไม่ชื่นชอบรอยยิ้มแบบนี้เอาเสียเลย มันแลดูเจ้าเล่ห์ยังไงชอบกล แล้วยังแววตาแปลกๆที่มองมาเหมือนจะจ้องจับผิดนั่นอีก
ดวงตาคมมองผ่านกรอบแว่นสีเงินหนาพินิจหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเด็กชายวัยไม่น่าจะเกินสิบขวบ
สวยมากทีเดียว
“สวัสดีค่ะ” พีรญาประนมมือไหว้อย่างคนมีมารยาทอยู่เสมอพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน
ชายหนุ่มรับไหว้ กล่าว “สวัสดีครับ”
“สวัสดีฮะ” อีกหนึ่งชีวิตในห้อง... เด็กชายมิกกี้รีบยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าเร็วๆด้วยท่าทางขอไปทีอย่างไม่สบอารมณ์
“วันนี้หมอกรมาตรวจแทนคุณหมอประจำตัวของน้องมิกกี้ค่ะ เผอิญมีเคสผ่าตัดด่วนเข้ามา หมอ ยะเลยต้องรีบเข้าห้องผ่าตัดค่ะ” อธิบายอย่างชำนาญ ก่อนขอตัวไปประจำวอร์ด ปล่อยให้เป็นหน้าที่คุณหมอคนใหม่ในการแสดงฝีมือรักษา
“ไหนเด็กชายพลวีร์มานั่งข้างหมอสิครับ” ว่าพลางตบฝ่ามือลงบนเก้าอี้นุ่มข้างตัว
มิกกี้เดินลากเท้าไปนั่งตุบบนเก้าอี้ตามคำสั่ง ส่วนพีรญาเลือกที่นั่งตรงกันข้ามกับอิทธิกร หญิงสาวมองอาการหมดอะไรตายอยากของหลานชายแล้วนึกขัน ท่าทางคุณหมอคนใหม่จะเจอคนไข้ชนิดที่รับมือยากซะแล้ว
“เป็นอะไรมาเอ่ย? วันนี้ถึงต้องมาหาหมอ” เสียงนุ่มเอ่ยถามทักทาย ใบหน้ายิ้มแย้มตามปกติ คาดหวังคำตอบที่น่าฟัง
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ถ้าหมออยากรู้ก็อ่านในใบประวัติผมได้ฮะ” ตอบหน้าตาย หันหน้าพรืดเชิดไปทางอื่น
อิทธิกรมองมิกกี้อย่างทึ่งๆ ก่อนสบตาพีรญาซึ่งส่งความเห็นใจมาให้เขา มือหนาหยิบใบประวัติที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาอ่านอย่างเสียไม่ได้ เขาผิดเองที่ไม่ศึกษาประวัติคนไข้ให้รอบคอบเสียก่อน จึงต้องโดนหักหน้าเพราะเด็กวัยไม่เกินสิบขวบอย่างนี้
“โรคหอบหืด
” ชายหนุ่มเงยหน้าจากเอกสารในมือ สบตาพีรญา “ครับ แล้วมีปัญหาอะไรหรือ?”
“ไม่มีปัญ
” มิกกี้รีบตอบแทบจะในทันที ทว่าเสียงเล็กถูกแทรกขึ้น
“คืออย่างนี้ค่ะ มิกกี้ไม่ได้พ่นยามาครบหนึ่งเดือนแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้าให้เธอพูดต่อ ไม่สนใจอาการงอนตุ๊บป่องของเด็กชายที่ถูกพูดแทรก
“ฉันอยากให้คุณหมอช่วยตรวจดูอาการเขาหน่อยค่ะ” หญิงสาวกล่าวอย่างมีมารยาททดแทนส่วนที่มิกกี้ล่วงเกินไป
“ได้สิครับ ผมยินดีอยู่แล้ว” ยิ้มพรายเสน่ห์ส่งให้คนตรงข้าม หมุนเก้าอี้มาประจันหน้ากับคนไข้กิตติมศักดิ์ซึ่งทำหน้าบอกบุญไม่รับรอเขาอยู่แล้ว
“หมอขอตรวจนิดๆหน่อยๆนะครับน้องมิกกี้” เอ่ยขออนุญาตอย่างระมัดระวัง
“ได้สิครับ ผมยินดีอยู่แล้ว” ล้อเลียนทันทีที่สบโอกาส ยิ้มอย่างสะใจ
พีรญานั่งมองคุณหมอผู้น่าสงสารกับคนไข้กวนประสาทสลับกันซ้ายทีขวาที ท่าทางเกมนี้มิกกี้จะชนะใสๆ ลองเด็กชายไม่ถูกชะตากับใครขึ้นมาแล้ว รับรองว่าคนๆนั้นไม่รอดแน่นอน และก็เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อการตรวจสิ้นสุดลง มิกกี้นั่งยิ้มร่าอย่างผู้กำชัยชนะ ส่วนอิทธิกรปั้นยิ้มแห้งๆให้พีรญา ก่อนเริ่มลงมือเขียนใบสั่งยาพลางทำหน้ายุ่งราวกับกำลังคิดว่าจะส่งคนไข้รายนี้ไปแผนกตรวจเชคประสาทต่อดีไหมหนอ
หลังจากรับประทานอาหารเย็นง่ายๆฝีมือของพีรญาเสร็จเรียบร้อย สองน้าหลานก็ช่วยกันจัดการกับจานชามใส่อ่างล้างจานในห้องครัวเพื่อรอเวลาให้แม่บ้านประจำคอนโดมาทำความสะอาดในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อโต๊ะอาหารสะอาดเอี่ยมเป็นที่น่าพอใจแล้ว มิกกี้ก็ผลุบหายเข้าไปในห้องนอนของตัวเองทันที ส่วนพีรญาเดินไปรับลมที่ระเบียง นั่งพักอย่างสบายอารมณ์ ผมยาวสยายปลิวไปตามสายลมระใบหน้าขาวเนียนสว่างท่ามกลางค่ำคืน เพราะคอนโดแห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ทำให้เวลากลางคืนสามารถมองเห็นแสงไฟสีต่างๆน้อยใหญ่ตามท้องถนนและอาคารรอบๆกระพริบพราวราวกับมีชีวิตขึ้นมา
ดวงตาคู่สวยสว่างมองผ่านเหลี่ยมตึกราอาคารสูงเสียดฟ้า มองเลยไปยังแผ่นฟ้ายามราตรีกาลที่ประดับประดาด้วยดวงดาวประจำค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบสงบที่มีเพียงสายลมพัดหวิวๆบนนี้ หากเบื้องล่างที่ท้องถนนนั่นหลากหลายชีวิตกำลังดำเนินไปไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตคนเมืองเต็มไปด้วยความเร่งรีบ และแข่งขัน ผู้คนมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามาในชีวิต เริ่มตั้งแต่รู้จัก สนิทสนม และผ่านเลยไป จะมีใครซักคนไหมหนอที่จะก้าวเข้ามาในชีวิตเธอ แต่ไม่ต้องผ่านเลยไปเช่นคนอื่นๆ คิดถึงตรงนี้ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมนุ่มสยายก็ส่ายไปมา คงไม่มีหรอก
“ยังไม่นอนอีกเหรอมิกกี้ ดึกแล้วนะ” พีรญาถามพลางปิดประตู เดินเข้ามาในห้องนอนสีเขียวอ่อน
เด็กชายเงยหน้าขึ้นจากสมุดการบ้าน “ทำการบ้านเสร็จพอดีเลยฮะ” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นนั่งบนเตียงนุ่ม ซุกหน้ากับหมอนใบใหญ่ มือเรียวเลิกผ้าห่มขึ้นคลุมให้หลานชาย ก่อนนั่งลงบนเตียงนุ่มข้างร่างเล็กใต้ผ้าห่มผืนหนา
“ทำไมวันนี้มิกถึงไปแกล้งคุณหมอเขาละ” ถามถึงเหตุการณ์ตอนเย็นที่โรงพยาบาล
มิกกี้พลิกตัวหันมาจ้องหน้าน้าสาว ตอบเต็มปากเต็มคำ “ก็มิกไม่ชอบหมอคนนี้อ่ะ”
“เหตุผลแค่ไม่ชอบเนี่ยนะ เกินไปหน่อยหรือเปล่าจ๊ะ”
“ก็เค้าชอบมองน้าน้ำตาลแบบเนี้ย” เด็กชายแสร้งทำแววตาหวานเยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่พีรญาเลียนแบบอิทธิกรไม่ผิดเพี้ยน “คงคิดจะจีบน้าน้ำตาลแน่ๆ มิกรู้” น้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
“โอ๊ยยย หยิกมิกทำไมอ่ะ” มือเล็กลูบแก้มขวาป้อยๆ
“ก็ทำโทษเด็กแก่แดดน่ะสิ พูดอะไรไม่เข้าท่าเลย” น้าสาวบ่นเข้าให้ ไม่อยากเชื่อเลยว่ามิกกี้จะเพ้อเจ้อได้ขนาดนี้ เด็กสมัยนี้โตเร็วเกินคาดจริงๆ อยากจะรู้นักว่าเด็กคนอื่นเขาเป็นกันอย่างนี้หรือเปล่า
“น้าน้ำตาลดูไม่รู้หรอก แต่ผู้ชายด้วยกันดูกันออกครับ” มิกกี้ยังยืนยันคำเดิม ไม่กลัวที่จะโดนหยิกแก้มซ้ายอีกข้าง
“พอเลยมิกกี้ เลอะเทอะใหญ่แล้วนะเรา” ส่ายหน้าระอา ลุกจากเตียงไป “น้าจะปิดไฟแล้วนะ นอนได้แล้ว” จบคำ แสงไฟก็ดับลง เหลือเพียงดาวเรืองแสงดวงเล็กตามเพดานและฝาผนังห้องเท่านั้นที่ยังส่องแสงเรืองรองอยู่
“ฝันดีฮะ” เสียงเบาหวิวของเด็กชายเอ่ยขึ้น ก่อนจะผล็อยหลับไป
“จ้ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” เสียงหวานเอ่ยบอกเด็กชายนิทราบนเตียงพร้อมกับเสียงปิดประตูห้องนอนแผ่วเบา หญิงสาวไล่ปิดไฟทุกดวงของทุกๆห้อง และไม่ลืมที่จะล็อคประตูหน้าให้เรียบร้อย
พีรญากลับเข้าห้องนอนของตัวเอง จัดการอาบน้ำสวมชุดนอนเสร็จสรรพ มองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาอย่างชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเปิดแลปทอปทำงานต่อ เวลาผ่านไปสักสามชั่วโมงเห็นจะได้ อาการง่วงงุนจึงกำเริบ หญิงสาวเอนกายบนเตียงกว้างด้วยท่าทางสบายๆ หลับตาสนิทเกือบจะเผลอหลับไปแล้วหากไม่มีเสียงดนตรีบรรเลงขึ้นเสียก่อน
มือเรียวคว้าโทรศัพท์มือถือข้างหัวเตียงขึ้นมา ดวงตาหรี่ลงอ่านข้อความ
‘ ปิดไฟนอนได้แล้ว ฝันดีนะครับ ’
ไม่ต้องบอกเธอก็รู้ว่าใคร ยศวัฒน์มักจะส่งข้อความหาเธอก่อนนอนแทบทุกคืน ราวกับเขารู้ว่าเธอเข้านอนเวลาไหนเมื่อไหร่อย่างนั้นแหละ หากไม่มีครั้งใดเลยที่พีรญาคิดจะส่งข้อความกลับไป เธอพร่ำบอกกับตนเองเสมอว่าชอบที่จะอยู่แบบนี้มากกว่า ทว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกลึกๆในจิตใจคือ เธอไม่พร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงนั้น
ท้องฟ้าสลัวของเช้าวันใหม่ อากาศดียามฟ้าสาง มีคนเคยบอกไว้ว่า ‘ การตื่นแต่เช้าถือเป็นกำไรของชีวิต ‘ พีรญาเคยละเลยกับคำพูดเหล่านี้ หากปัจจุบันหรือแม้แต่ ณ วินาทีนี้เธออยากจะตะโกนบอกใครต่อใครที่ยังหลับอุตุบนเตียงนุ่มๆให้ตื่นขึ้นมารับอากาศบริสุทธิ์อย่างในวันนี้เหลือเกิน เห็นทีใครคนนั้นที่ว่าคงจะหนีไม่พ้นหลานชายตัวกลมของเธอแน่นอน
“มิกกี้ครับ ไปออกกำลังกายกับน้าไหม?”
เอ่ยชวนเท่านั้นร่างใต้ผ้าห่มก็พลิกตัวหนี เป็นเหตุให้เธอต้องมาวิ่งออกกำลังกายคนเดียว วันนี้ผู้คนหนาตากว่าทุกวัน เพราะเป็นวันหยุด หลายคนที่ไม่ต้องปฏิบัติภารกิจจึงมีโอกาสเอาใจใส่สุขภาพบ้าง
สวนสาธารณะแห่งนี้บรรยากาศดีมาก ร่มรื่นด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ที่ขึ้นรอบบึงขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ใจกลางบริเวณ เหมาะแก่การออกกำลังกายอย่างมาก รอบริมบึงมีถนนสายเล็กตัดผ่านสำหรับให้คนวิ่งหรือเดิน และอีกสายหนึ่งสำหรับคนขี่จักรยาน ทำให้บรรยากาศเป็นกันเองและอบอุ่น คนส่วนมากที่มาออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำมักจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะอย่างน้อยบรรยากาศดีๆและอากาศยามเช้าที่สดใสย่อมทำให้แต่ละคนยิ้มทักทายกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูดจาใดๆ
พีรญาก็เช่นกัน เธอกลายเป็นขาประจำของสวนสาธารณะแห่งนี้ไปเสียแล้ว เพราะติดใจในรสธรรมชาติและบรรยากาศสดชื่นโดยรอบ ผู้คนก็มีอัธยาศัยดียิ้มแย้มทักทายราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน และที่สำคัญที่สุดสวนแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับคอนโดของเธอ ทำให้ไปมาได้อย่างสะดวก เรียกได้ว่ามีปอดขนาดใหญ่ของเมืองตั้งอยู่ใกล้ๆเลยทีเดียว
หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีฟ้าใสกับกางเกงวอร์มตัวหลวมสบายๆ ผมยาวถูกรวบขึ้นสูงอย่างลวกๆ พ่วงด้วยผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตาพาดบ่า ดูอย่างไรก็เป็นแค่นักออกกำลังกายธรรมดาๆคนหนึ่ง หากรอยยิ้มสว่างสดใสราวแสงแดดอุ่นนั่นล่ะที่ทำให้ใครต่อใครต่างพากันรู้สึกพิเศษกับเธอคนนี้
“คุณครับ” เสียงนุ่มดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับร่างสูงของใครบางคนก้าวยาวๆมาเดินเคียงข้างเธอ
“คะ?” พีรญารีบดึงหูฟังที่ใส่อยู่ออก เอียงคอมองชายหนุ่มข้างกาย
“เชือกรองเท้าคุณหลุดครับ”
ทันทีที่สองตาสบกันความรู้สึกคุ้นเคยก็แล่นสู่ส่วนเสี้ยวในสมอง เพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างเธอก็สามารถจดจำเขาได้ในทันที ผู้ชายที่ร้านรูปถ่ายวันนั้น!
“คุณ!” พีรญาเผลอหลุดอุทานเสียงดัง ทำเอาคนข้างกายสะดุ้งตามเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้ากลับมาสงบราบเรียบตามเดิม
“ขอโทษค่ะ ฉันตกใจนิดหน่อย” ระดับเสียงลดลงมาก หากหน้าเนียนกลับแดงก่ำลามไปถึงใบหูเพราะความอับอาย รีบยิ้มแห้งแก้เก้อออกไป
“สวัสดีครับ” อติยะทักขึ้นก่อนหวังคลายความประหม่าให้หญิงสาว
“เอ่อ
สวัสดีค่ะ บังเอิญจังนะคะ”
“นั่นสิครับ”
พีรญาลอบมองใบหน้าของชายหนุ่มซึ่งมีหยาดเหงื่อขึ้นผุดพราย ขับให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นไปอีก เธออดชมในใจไม่ได้จริงๆ ผู้ชายอะไรหน้าตาดีชะมัด นอกจากจะหล่อแล้วยังสูงชนิดที่เธอซึ่งนับว่าเป็นผู้หญิงที่มีส่วนสูงเกินมาตรฐานแล้วยังต้องเงยหน้าคุยกับเขาเลย แถมหุ่นก็ดีอย่างคนดูแลสุขภาพสม่ำเสมอ มีกล้ามเนื้อพอสวยงามสมชายชาตรี
“แล้ววันนี้มิกกี้ไม่มาด้วยกันเหรอครับ?” อติยะถามถึงเด็กชายตัวอ้วนน่ารักคนนั้น เขายังจำภาพเหตุการณ์วันเกิดเรื่องได้ดี เกือบจะโดนข้อหาขโมยแล้วไหมล่ะ
“รายนั้นยังไม่ตื่นเลยค่ะ นานๆทีจะยอมมาออกกำลังกายซักครั้ง” บ่นยาวให้หลานชายอย่างกับคนแก่ อติยะหัวเราะเบาๆ อมยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
“แสดงว่าคุณพักอยู่แถวนี้?” นี่คือคำถามที่เขาพอจะนึกออกเพื่อชวนพีรญาคุย แต่เมื่อถามออกไปแล้ว กลับนึกอยากจะต่อยหนักๆที่ปากตัวเองจริงๆ ถามอย่างนี้
เธอจะคิดว่าเขาเป็นผู้ชายประเภทถึงบ้านถึงช่องหรือเปล่านะ?
“ใช่ค่ะ ฉันพักที่คอนโดริมบึงไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่” ผิดคาด หญิงสาวตอบซื่อพร้อมรอยยิ้ม ไม่เคลือบแคลงใจใดๆ
“บังเอิญอีกแล้วครับ บ้านผมก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน”
สองคนชายหญิงเดินเคียงคู่กันไปตามถนนสายเล็กๆ พูดคุยกันอย่างสนุกสนานถูกคอ ก่อนแยกย้ายกันไปเมื่อเดินวนครบรอบหนึ่ง น่าแปลกใจที่ทั้งสองสามารถพูดคุยกันได้โดยที่ไม่รู้ชื่อกันและกัน จนกระทั่งแยกกันไปแล้วนั่นล่ะถึงนึกออกว่าลืมถามชื่อของอีกฝ่าย
_______________________________________________________________________________
อ่านบทที่สองจบก็อย่างลืมติดตามบทที่สามต่อนะจ้า
ใครหลงเข้ามาอ่านก็เม้นๆกันหน่อยน้าาาา
ขอบคุณค่าาา
ปล.ช่วงนี้ใกล้สอบ เด๋วสอบเสร็จจะมาอัพต่อนะคะ ฝากติดตามด้วยน้าาาา
ความคิดเห็น