คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านผ้าม่านสีเขียวลายการ์ตูนน่ารักล้อมกรอบหน้าต่างภายในห้องนอนขนาดกลาง เครื่องตกแต่งเป็นสีเขียวอ่อนเสียส่วนใหญ่ ไม่เว้นแม้กระทั่งเครื่องนอนบนเตียงนุ่ม บนพื้นมีของเล่นวางกระจัดกระจายตามมุมห้อง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ รถแข่ง หรือเกมเพลย์สเตชั่น บ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าของห้องต้องเป็นเด็กผู้ชายวัยกำลังซนแน่นอน บนโต๊ะอ่านหนังสือชิดริมหน้าต่างมีสมุดการบ้านเปิดค้างอยู่สองสามเล่ม ข้างๆกันคือกระเป๋านักเรียนสะพายหลังใบเล็กพร้อมที่จะไปโรงเรียนทุกเมื่อ หากเจ้าของของมันยังคงนอนฝันหวานใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงนุ่มอย่างสบายอารมณ์
“มิกกี้ตื่นได้แล้ว เช้าแล้วนะ” เสียงคุ้นเคยกับแสงแดดอุ่นยามเช้าที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างปลุกให้เด็กชายตื่น ร่างกลมในชุดนอนลายหมีสีฟ้าค่อยๆขดตัวซ้ายทีขวาที หากไม่ยอมลุกจากเตียง
พีรญาจัดการผูกปมผ้าม่านทั้งสองข้างเรียบร้อย จึงเดินไปนั่งบนเตียงนุ่มข้างหลานชายซึ่งยังแกล้งทำเป็นหลับสนิท
“นี่มิกกี้ ตื่นได้แล้ว!” เอ่ยเสียงดังชิดใบหูเล็ก
เด็กชายสะดุ้ง สปริงตัวขึ้นนั่งอย่างตกใจ “โอ๊ย บอกกันดีๆก็ได้นี่ครับน้าน้ำตาล แก้วหูมิกจะแตกแล้ว” มือสองข้างยกขึ้นอุดหูตนเองอัตโนมัติ บ่นอุบอิบ
“ก็เพราะบอกดีๆแล้วไม่ยอมฟังน่ะสิ น้าถึงต้องทำแบบนี้” พีรญาลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าใบเล็ก หยิบชุดนักเรียนเตรียมให้หลานชายตัวดี
“ทายซิว่าเมื่อเช้าน้าเจอใคร?” เสียงใสร้องถามหลานชายที่นั่งกระพริบตาปริบๆอยู่บนเตียง แค่ประเมินจากสายตาก็พอดูรู้ว่าวันนี้พีรญาสดใสกว่าทุกวัน ท่าทางจะไปเจอเรื่องดีๆมาแน่เลย
“แร็คคูนกับผองเพื่อนใช่ไหมฮะ” มิกกี้ตอบพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท และก็ต้องรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงวิ่งหลบฝ่ามือพิฆาตมารของพีรญาเข้าห้องน้ำทันที “น้าน้ำตาลไปวิ่งทุกเช้าแต่ไม่เคยวิ่งชนะมิกซักที ฮ่าๆ” คนชนะตะโกนล้อสนุกสนาน
พอรู้สึกว่าปลอดภัยหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะเจ้าเด็กบ้า! “อย่าเผลอออกมานะ แม่จะจับตีก้นซะให้เข็ด” คนแพ้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับประตูห้องน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนเดินออกจากห้องไปเตรียมอาหารเช้า แต่ไม่วายได้ยินเสียงแว่วๆ
“โอเคฮะ มิกจะไม่ออกไป วันนี้จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน เย้!!”
หญิงสาวส่ายศีรษะอมยิ้มขัน อุตส่าห์จะเล่าเรื่องดีๆให้ฟังแท้ๆ กลับมาแกล้งกันซะนี่ คอยดูนะจะแกล้งทอดไข่ดาวไหม้ๆให้กินซะเลย
วันนี้อากาศดี ท้องฟ้าสดใส แดดไม่ร้อนจนเกินไป ถนนหนทางก็โล่งสะดวก มองไปทางไหนก็มีความสุข เด็กชายตัวอ้วนในชุดเครื่องแบบนักเรียนประถมบนเบาะนุ่มข้างคนขับฮัมเพลงเบาๆอย่างสบายใจ ทว่าคำถามที่เอ่ยออกจากปากของน้าสาวซึ่งประจำตำแหน่งคนขับทำให้บทเพลงนั้นเป็นอันต้องหยุดชะงักลง
“มิกกี้ยาพ่นเราอยู่ไหน พักหลังมานี้น้าไม่เห็นเราพ่นยาเลยนะ” ถามขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ยขณะชะลอความเร็วรถจอดริมฟุตบาทข้างทางบริเวณประตูหน้าโรงเรียนประถมเอกชนชื่อดัง
มิกกี้ชะงักนิดหนึ่ง คลายเข็มขัดนิรภัยที่คาดอยู่ออก มือเล็กเอื้อมไปเตรียมพร้อมจะเปิดประตูหนี หากอีกฝ่ายเร็วกว่า
“กึก” เสียงล็อกประตูรถอัตโนมัติดังขึ้น
“อด
หนีไม่ได้” ยิ้มอย่างเหนือกว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “ว่าไงมิกกี้ ตกลงเราเอายาพ่นไปซ่อนไว้ที่ไหน?”
สายตาหวาดหวั่นหันมาเผชิญหน้ากับน้าสาว เมื่อจนทางหนี จึงจำต้องยอมรับไป “เปล่าซ่อนนะฮะ มันหมดตั้งแต่เดือนที่แล้วต่างหาก มิกก็แค่
”
“ตั้งใจไม่บอกน้า” เสียงดุเสริมความให้ เด็กชายตัวลีบเหลือแค่นิ้วเดียว จะว่าอย่างนั้นก็ถูก ก็เขาไม่ชอบรสชาติของยาพ่นเอามากๆ ทำไมพวกหมอไม่ทำยาพ่นรสช็อคโกแลตหรือไม่ก็สตอเบอร์รี่บ้างล่ะ ใช่สิ คุณหมอไม่ต้องพึ่งยาพวกนี้ไปตลอดชีวิตเหมือนกับเขานี่
“น้าน้ำตาล
มิกขอโทษนะฮะ” เด็กชายเงยหน้ามองพีรญาตาละห้อย
เขารู้ตัวว่าตัวเองงี่เง่ามาก ทั้งๆที่เราก็มีกันแค่น้าหลานสองคนเท่านั้น ไม่ใช่สิ มีคุณยายพิชญ์อีกคน แต่เขาก็ยังดื้อกับคนที่รักเขามากที่สุด
“มิกผิดไปแล้ว มิกขอโทษ
นะฮะ” เด็กชายกล่าวซ้ำเสียงสั่นสำนึกผิด หากผู้เป็นน้ายังคงเงียบงันอยู่อย่างนั้น ความอดทนที่มีอยู่น้อยนิดจึงค่อยๆพังทลายลง ตากลมเริ่มจะมีน้ำตาระรื้นขึ้นมาบ้าง แต่ก่อนที่มันจะไหลอาบแก้มยุ้ยทั้งสองข้างพีรญาก็คว้าหลานชายไปกอดไว้แน่น
เธอไม่เคยลืมภาพของเด็กทารกตัวเล็กในเปลสีหวาน กับรอยยิ้มใสซื่อน่ารักที่เธอเห็นครั้งแรก ใครจะเชื่อว่าทารกบอบบางน่าทะนุถนอมคนนั้น จะเติบโตเป็นเด็กชายอ้วนถ้วนสมบูรณ์ร่าเริง และน่ารักน่าหยิกได้ขนาดนี้ หากเธอก็รู้อยู่ในใจลึกๆว่าภายใต้ความร่าเริงนั้น มิกกี้ซ่อนอารมณ์ที่เรียกกันว่าเหงาหรือน้อยใจในโชคชะตาเอาไว้ ความเงียบนั่นละคือคำตอบ เด็กนั้นบริสุทธิ์เกินกว่าจะยิ้มรับฝืนทนกับปัญหาได้อย่างผู้ใหญ่ตัวโตๆทั่วไป และเธอก็ไม่ขอให้หลานชายต้องอดทนถึงเพียงนั้น เมื่อใดที่เด็กชายเหงาหรืออยากได้ที่พักพิง เธอพร้อมเสมอที่จะเป็นที่พักแห่งนั้น
“แค่มิกรู้ว่าผิด แล้วสัญญาว่าจะไม่ทำอีกน้าก็พอใจแล้ว น้าไม่ได้โกรธอะไรมิกสักหน่อย” รอยยิ้มอ่อนโยนระบายจางๆ ฝ่ามือเรียวลูบผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเบามือ เธอรู้ว่ามิกกี้เป็นเด็กดี แต่ก็ต้องอบรมสั่งสอนให้เชื่อฟัง
“มิกสัญญาฮะว่าจะไม่ดื้อ” พึมพำกับไหล่บาง
“ถ้าอย่างนั้นหลังเลิกเรียนเราไปหาลุงหมอชาญชัยกัน” เด็กชายในอ้อมกอดพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาเข้าเรียนได้แล้วจ้ะ มัวแต่อู้เดี๋ยวโดนคุณครูตีนะ” ว่ายิ้มๆ ก่อนคลายอ้อมกอดหลานชาย
“เย็นนี้เจอกันฮะ ตั้งใจทำงานนะครับ” มือเล็กโบกลาหยอยๆ แล้ววิ่งตัวปลิวผ่านประตูโรงเรียนไป
พีรญามองตามจนลับตา จึงเลี้ยวรถคันสวยสู่ถนนใหญ่ที่ไม่แออัดมากนัก อาจจะเพราะยังเช้าอยู่หรือเพราะอะไรก็ตาม แต่วันนี้เธอมีความสุขมากกับถนนว่างๆ และฮัมเพลงไปด้วย จะว่าไปแล้วอาจจะตั้งแต่เมื่อเช้ามากกว่าที่ทำให้เธอมีความสุขจนถึงตอนนี้ เมื่อเช้าที่เธอได้พบกับใครคนหนึ่ง ซึ่งใครคนนั้นก็
‘ รักแท้รักที่อะไร ตับไตไส้พุงหรือรักกางเกงที่นุ่ง ก็ดูสวยดี รักที่นามสกุล รักยี่ห้อรถยนต์ รักเพราะว่าไม่จนมีสตางค์ให้จ่าย
‘
คิ้วเรียวเลิกขึ้น รีบควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าใบสวยข้างตัว
“ฮัลโหล” เสียงหวานกรอกไปตามสาย
“ยัยน้ำตาลตอนนี้แกอยู่ไหน?” ปลายสายถามรัวเร็วเร่งรีบ
“แถวๆโรงเรียนมิกกี้ เพิ่งมาส่งมิกกี้ที่โรงเรียน แล้วก็กำลังจะไปทำงาน แกมีอะไร?” เสียงเหนื่อยหน่ายพอสมควร ด้วยเดาออกว่าอีกฝ่ายโทรถึงเธอทำไม
“มารับฉันไปส่งที่โรงพยาบาลทีสิ รีบๆด้วยล่ะแก” เหมือนจะขอร้องแต่ก็ออกคำสั่งอยู่ในที นี่เธอต้องคอยรับส่งยัยเพื่อนคนนี้ไปตลอดชีวิตเลยหรือยังไงกัน
“แล้วทำไมแกไม่ให้บรรดาคุณหมอหนุ่มๆของแกมารับล่ะ ทีมาส่งยังมาได้เลย เชอะ!” เถียงงอนๆไปอย่างนั้น หากรีบเลี้ยวรถกลับสู่ถนนเส้นเดิมที่เพิ่งขับผ่านมาเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายไปรับยัยเพื่อนตัวดี
“เออน่า ก็ฉันอยากให้แกมารับนี่ อุตส่าห์ให้ความสำคัญนะยังจะมาบ่นอีก แกก็รู้นี่ว่าที่โรงพยาบาลคุณหมอนิธิมนน่ะป็อบปูล่ามากแค่ไหน” น้ำเสียงทีเล่นทีจริงกลั้วหัวเราะมาตามสาย
“พอเลยแก เดี๋ยวฉันจะได้อ้วกแต่เช้า อีกห้านาทีถึงหน้าบ้าน ออกมารอเลยนะ“ ว่าแล้วก็ตัดสายโทรศัพท์ ระบายยิ้มจางอ่อนใจ
พีรญาและนิธิมนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนซี้ตลอดกาล ทั้งคู่มีภูมิลำเนาเดิมเดียวกัน และได้เข้ามาศึกษาที่โรงเรียนในตัวเมืองแห่งเดียวกันอีก ตลอดจนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในสายคณะที่ใฝ่ฝันได้สำเร็จ พีรญาเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เพราะเธอใฝ่ฝันจะเป็นครีเอทีฟสาวผู้มากความสามารถ ขณะที่นิธิมนเลือกเรียนสายแพทย์ตามรอยคุณพ่อคุณแม่และพี่สาวของเธอ สองสาวสองบุคลิกกับมิตรภาพอันยาวนาน ไม่มีวันใดเลยที่ทั้งคู่จะไม่ได้พูดคุยกัน ถึงจะยุ่งมากแค่ไหนก็ต้องหาเวลาโทรศัพท์ถึงกันให้ได้ ถ้าไม่เพราะว่าทั้งสองยังชอบพอผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ คงมีคนคิดไปไกลแน่นอนว่าสองสาวคู่นี้เป็นคู่เลสเบี้ยนรักหวานช่ำ
นิธิมนพักอยู่ที่บ้านของคุณเพียงใจผู้เป็นป้าแท้ๆ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคอนโดที่พีรญาพักอาศัยอยู่ ดังนั้นการเทียวรับเทียวส่งเพื่อนสาวจึงถือเป็นเรื่องปกติประจำวัน เพราะเจ้าตัวไม่ยอมขับรถเองเสียที ด้วยเหตุผลนี้ทำให้พีรญาได้ฝากเนื้อฝากตัวเป็นหลานสาวของคุณเพียงใจอีกคนหนึ่ง
ไม่นานนักบ้านหลังใหญ่คุ้นตาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า พร้อมกับร่างระหงของหญิงสาวสวยสวมเสื้อกราวด์สีขาวสะอาดที่หน้าประตูรั้ว ใบหน้าขาวผ่องถูกแต่งแต้มสีสันอย่างลงตัวไม่ให้ดูขาวซีดจนเกินไป ดวงตากลมโตสวยมีแววความทะเล้นน้อยๆไม่ต่างจากรอยยิ้มน่ารักบนริมฝีปากสีระเรื่อ เรือนผมดำสยายยาวถูกรวบขึ้นเรียบร้อยตามแบบฉบับคุณหมอ นิธิมนเร่งจรดปลายเท้าบนส้นสูงสีเบจคู่สวยอย่างสาวมาดมั่นพลางก้าวขึ้นรถของเพื่อนสาวอย่างรวดเร็ว
“ตอนเย็นฉันจะพามิกกี้ไปหาอาหมอชาญชัย แกจะกลับพร้อมกันไหม?” พีรญาเอ่ยถามขณะเคลื่อนรถออกห่างจากบ้านหลังใหญ่
“อ้าว นี่แกไม่รู้เหรอว่าหมอชาญชัยย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลต่างจังหวัด” นิธิมนบอกเพื่อนพลางหยิบตลับแป้งพับในกระเป๋ามาเติม
“ย้ายไปได้ซักพักแล้วนะแก”
“จริงดิ?” พีรญาถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ
“จริงสิยะ ฉันจะหลอกแกทำไม” พูดตัดรำคาญเล่นๆ แต่เมื่อเห็นคิ้วเรียวสวยของเพื่อนสาวขมวดเข้าหากันก็ต้องรีบเสริมความทันที “อาหมอแกคงโอนเคสของมิกกี้ไปให้หมอคนอื่นแหละ แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หมอเด็กในโรงพยาบาลเก่งๆทั้งนั้น ฉันรับรอง” นิธิมนออกตัว เพราะรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ขี้กังวลขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องของหลานชายเพียงคนเดียว
เธอเคยสงสารพีรญาจับใจสมัยที่ต้องรับภาระดูแลกิจการของครอบครัว และยังเรื่องเรียนกับงานประจำของตัวเอง รวมถึงหน้าที่ดูแลมิกกี้หลานชายตัวน้อยอีก หากทั้งหมดนี้พีรญาก็สามารถจัดการได้อย่างดีเยี่ยม กิจการรีสอร์ทที่ต่างจังหวัดกลับมาทำกำไรสวยงามอีกครั้ง รวมถึงงานครีเอทีฟก็กำลังไปได้สวย และที่น่าภาคภูมิใจที่สุดก็คือหลานชายตัวน้อยที่เติบโตเป็นเด็กดีน่ารัก จนบางครั้งเธอยังแอบทึ่งและอิจฉาลึกๆในความสามารถของเพื่อนสาวคนนี้เลย
“ขอบใจนะแกที่มาส่ง ตั้งใจทำงานล่ะ” นิธิมนเอ่ยยิ้มๆเมื่อรถคันสวยจอดเทียบฟุตบาทข้างตึกฉุกเฉินของโรงพยาบาลประจำจังหวัด
“อืม แกก็เหมือนกัน” พีรญายิ้มตอบ มองเพื่อนสาวลงจากรถไป “เอ้อ! นี่ยัยมน ตกลงแกจะกลับบ้านพร้อมกันไหม?” รีบลดกระจกตะโกนถาม
“วันนี้ฉันน่าจะต้องอยู่ ER* ดึก เดี๋ยวฉันติดรถพี่ยะกลับบ้านได้ ไม่รบกวนแกหรอก” อมยิ้มขำกับท่าทีเจ้าระเบียบของเพื่อนคนนี้ ทำอย่างกับว่าเธอเป็นหลานสาวอีกคนที่ต้องคอยรับคอยส่งอย่างนั้นแหละ
“จะว่าไปฉันยังไม่ได้แนะนำพี่ยะให้แกได้รู้จักเลยนี่เนอะ” เอ่ยถึงลูกพี่ลูกน้องฝ่ายพ่อของเธอ “ไว้ว่างๆ ฉันจะแนะนำให้นะ ขอบอกว่าหล่อมาก แกต้องกรี๊ดแน่นอน” คุณหมอสาวสวยบอกด้วยความภาคภูมิใจ ทว่าเพื่อนสาวส่ายหน้าระอา
“พอเลยแก ไม่ต้องมาทำเป็นแม่สื่อแม่ชักแถวนี้” เธอเคืองกับนิสัยข้อนี้ของนิธิมนจริงๆ คนอะไรหาเรื่องให้เพื่อนได้ทุกวี่วัน “แล้วจะทำงานไหมคะคุณหมอ คนไข้เต็มโรงพยาบาลเลยเนี่ย นี่หรืออนาคตแพทย์ไทย” บ่นเบาๆ ไม่จริงจัง ทว่าถูกกำปั้นเล็กที่เคยลงมีดผ่าตัดมาแล้วหลายครั้งทุบเข้าให้
“รู้แล้วน่ะ งั้นฉันไปนะ ขับรถดีๆล่ะ” นิธิมนโบกมือลา ก่อนก้าวเข้าไปในตึกอย่างมาดมั่นท่ามกลางสายตานับสิบๆคู่ที่มองมาทางเธอ คุณหมอสวยสง่าอย่างนี้นี่เอง คนไข้ถึงแน่นขนัดโรงพยาบาลอย่างนี้
“อืม
” พีรญาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนถอยรถออกไป เมื่อส่งแพทย์สาวคนสวยที่โรงพยาบาล เธอก็รีบมุ่งหน้าสู่บริษัททันที ชีวิตคนทำงานมันมีความสุขตรงนี้นี่เอง ตรงที่เราได้ทำอะไรที่รักและมีความสุข
เข็มยาวเข็มสั้นบนหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาเก้าโมงตรง ยศวัฒน์เดินกลับไปกลับมาภายในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้าแผนกงานครีเอทีฟราวกับคนหัวเสีย หยุดที่มุมหนึ่งของห้องซึ่งเป็นกระจกใสดีไซน์สวยทันสมัย มองผ่านไปที่โต๊ะทำงานตัวหนึ่งเป็นรอบที่สิบนับจากที่เขามาถึงบริษัท จนป่านนี้พนักงานคนเก่งของเขาก็ยังไม่มาสักที
‘ ยศวัฒน์ ’ หัวหน้าแผนกงานครีเอทีฟประจำบริษัท ชายหนุ่มอนาคตก้าวไกล เขาเพียบพร้อมทั้งความรู้ความสามารถในสายอาชีพนี้ ครอบครัวฐานะร่ำรวยเป็นหน้าเป็นตาในแวดวงสังคมเมืองไทย รวมถึงใบหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน และรูปร่างสมส่วนอย่างคนสุขภาพดีย่อมทำให้เขาเป็นที่ดึงดูดสายตาใครต่อใครได้มากมายทีเดียว
ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา คิดอย่างชั่งใจ
จะโทรตามดีไหมนะ? หรือว่ารอจนกว่าเธอจะมาดี ถ้าเขาโทรไป เธอจะคิดว่าเขาจู้จี้จุกจิกเกินไปหรือเปล่า? คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
ขณะที่ยศวัฒน์กำลังคร่ำเครียดกับความคิดอยู่นั้น ใครคนหนึ่งซึ่งเขากำลังมองหาเป็นรอบที่สิบเอ็ดก็โผล่หน้าเข้ามาทางประตู ส่งยิ้มหวานเป็นประกายทักทาย ตามด้วยร่างผอมแบบบางในชุดเดรสคลุมเข่าสีครีมสวยเรียบแต่ดูดี
“สวัสดีค่ะพี่ยศ กำลังมองหาใครอยู่เหรอคะ?” พีรญาล้อเล่นไม่จริงจัง หากคนถูกล้อหน้าแดงกลั้นไม่อยู่ กระแอมกระไอนิดหนึ่งคลายความประหม่า
“วันนี้มาทำงานช้านะเราน่ะ”ปั้นเสียงให้ขรึมๆเข้าไว้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้านาย ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวเด็ดขาด
“ขอโทษค่ะคุณบอสจอมเฮี้ยบ สายห้านาทีถูกลดโบนัสกี่เปอร์เซ็นต์คะ?” เอ่ยกลั้วหัวเราะ
ชายหนุ่มมองใบหน้าหมดจดของสาวรุ่นน้องแล้วอมยิ้มตาม
“ว่าแต่พี่ยศมีอะไรหรือคะถึงเรียกพบน้ำตาลแต่เช้า แถมยังจับผิดเวลาทำงานด้วย” นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่เธอถูกเรียกมาพบ
“หืมม์? พี่หรือเรียกเรา?” ชายหนุ่มทวนคำอย่างงงๆ ตาคมมองผ่านออกไปที่โต๊ะทำงานเรียงรายนอกห้อง วิชุดากับเปรมสินีพนักงานสองสาวเจ้าแผนการยิ้มกว้างส่งมาที่เขา ขยิบตาให้อย่างรู้ทัน ทั้งคู่คงจะเห็นเขามองหาพีรญาตั้งแต่เข้ามา จึงสนองให้โดยการโกหกเธอว่าเขามีเรื่องจะพูดด้วย
“ให้ตายเถอะ” ชายหนุ่มสถบเบาๆไม่จริงจัง ทว่าอีกคนแกล้งทำเป็นสนอกสนใจ
“อะไรตายคะ?”แกล้งถามซื่อเลียนแบบมิกกี้
“เปล่าๆ พี่แค่จะบอกน้ำตาลว่าเย็นนี้มีงานเลี้ยงรับโปรเจคใหม่กับบริษัทลูกค้าน่ะ” ลื่นไหลไปได้อย่างไม่ผิดสังเกต “ไปได้ใช่ไหม?” หันกลับมาจ้องรอคำตอบ
“วันนี้ขอบายได้ไหมคะ เผอิญน้ำตาลมีนัดแล้ว” หญิงสาวตอบซื่อๆอย่างเคย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำพูดของตนทำให้ใครบางคนใจหายวาบ
“น่ะ นัด? นัดอะไร?” ตะกุกตะกักเหมือนใจที่เริ่มหวั่น
“นัดกับมิกกี้ค่ะ จะไปโรงพยาบาลกัน”
ได้ยินอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ถอนหายใจโล่งอก “ให้พี่เลื่อนงานเลี้ยงให้ไหม?” เสนออย่างคนใจกว้าง “เป็นวันพรุ่งนี้หรือมะรืนดีล่ะ?”
“อย่าเลยค่ะ ขาดแค่น้ำตาลคนเดียวเอง คนอื่นเขาจะอดสนุกกันหมด” ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว รู้สึกเกรงใจผู้ร่วมงานและเจ้านายคนนี้อย่างบอกไม่ถูก “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นน้ำตาลขออนุญาตไปทำงานก่อนะ ขอให้งานเลี้ยงวันนี้สนุกสุดๆนะคะ” อวยพรตบท้าย โค้งศีรษะเล็กน้อย ก่อนผลักประตูออกจากห้องไปประจำตำแหน่งโต๊ะทำงาน เพื่อสะสางงานของตน
ชายหนุ่มในห้องกระจกมองตามร่างเล็กอย่างคาดเดาไม่ถูก บางทีเขาก็รู้สึกว่าพีรญารู้ความในใจของเขาแล้ว แต่ด้วยท่าทีซื่อๆตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้เขาคิดไปอีกแง่ว่าเธอไม่ได้รับรู้ถึงความรักของเขาเลย อาจจะเพราะความขี้ขลาดไม่กล้าเอ่ยปากสารภาพออกไป ทำให้ความรักครั้งนี้ต้องยืดเยื้อกินเวลานาน
ยศวัฒน์ยังจำได้ดีกับภาพความประทับใจครั้งแรก
หญิงสาววัยรุ่นในชุดนักศึกษากระโปรงพีชคลุมเข่า ใบหน้าเนียนเป็นสีชมพูระเรื่อน่ารัก เพิ่มความอ่อนหวานด้วยดวงตาสีน้ำตาลสดสวย และที่ดึงดูดสายตาใครต่อใครรวมถึงเขาได้มากที่สุดเห็นจะเป็นใบหน้าแย้มยิ้มสดใสตามแบบฉบับของเธอ ดึงดูดมากมายชนิดที่ประทับลงไปในใจเขายากจะลบเลือนทีเดียว
ชายหนุ่มทิ้งร่างบนเก้าอี้พลางถอนหายใจยาว ไม่รู้ว่าเขาจะต้องถอดถอนใจอย่างนี้ไปจนถึงเมื่อไร เมื่อไรความรักจะสื่อถึงเธอเสียที ฝ่ามือหนายกขึ้นก่ายหน้าผาก พยายามรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิง หันเหความสนใจมาที่กองเอกสารบนโต๊ะทำงานอย่างยากเย็น
“ช่วยเขียนประวัติผู้ป่วยที่โต๊ะทางด้านโน้นก่อนนะคะ” พยาบาลสาวหน้าห้องตรวจชี้แจงโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
“อ้าว! คุณน้ำตาล น้องมิกกี้ด้วย” รอยยิ้มเหนื่อยๆปรากฏที่ใบหน้าอ่อนล้าของนางพยาบาลประจำวอร์ดกุมารเวช
ปกติการตรวจรักษานอกเวลาราชการของทางโรงพยาบาลมักจะมีคนไข้บางตากว่าในเวลามาก ทว่าวันนี้คนไข้กลับเยอะพอๆกับเวลาราชการปกติ สังเกตง่ายๆจากร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของนางพยาบาลสาวตรงหน้านี้
“สวัสดีฮะพี่หยก” มือเล็กประนมเป็นรูปดอกบัวสวย ยิ้มกว้างให้ ‘ พนิตา ‘ พยาบาลสาว
“วันนี้คนไข้เยอะหรือคะ?” พีรญาเอ่ยทักตามสภาพการณ์
“ช่วงนี้เยอะทุกวันเลยค่ะ ไข้หวัดกำลังระบาด เด็กๆติดกันเยอะ” พูดพลางค้นซองเอกสารในตู้ ยื่นใบประวัติของมิกกี้ส่งให้พีรญา “คุณน้ำตาลทราบหรือยังคะว่าคุณหมอชาญชัยย้ายไปเป็นผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลอื่น”
“พอจะทราบมาแล้วค่ะ” กวาดตาดูข้อมูลในใบประวัติอย่างรวดเร็ว “แล้วเรื่องคุณหมอคนใหม่ของมิกกี้
”
“อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ คุณหมอชาญชัยแกจัดการไว้หมดแล้วก่อนที่จะย้ายไป” พนิตารีบชี้แจง พูดแล้วก็อดชื่นชมความรอบคอบของหมออาวุโสผู้นี้ไม่ได้ “มิกกี้รู้ไหมจ๊ะ หนูโชคดีมากๆเลย” ว่าแล้วก็อดชื่นชมคุณหมอคนใหม่ไม่ได้เช่นกัน
“โชคดียังไงฮะ?” เด็กชายถามซื่อๆ “หมอคนใหม่ฉีดยาเก่งกว่าลุงหมอชาญชัยเหรอครับ?”
พนิตาหัวเราะนิดหนึ่ง “ก็ไม่เชิงหรอกจ้ะ คุณหมอคนนี้เขาเรียนจบเกียรตินิยมจากเมืองนอกเชียวนา หน้าตาก็ดี แถมยังโสดอีกต่างหากนะคะคุณน้ำตาล” ประโยคสุดท้ายนางพยาบาลสาวตั้งใจพูดกับพีรญาโดยตรง น้ำเสียงกระตือรือร้นมากกว่าคนฟังหลายร้อยเท่า
“มิกไม่เห็นจะสนเลยฮะ ขอแค่ฉีดยาเก่งก็พอ”
สองสาวหัวเราะกับคำพูดไร้เดียงสา
เด็กชายจำประสบการณ์การฉีดยาครั้งแรกได้ดี ลุงหมอบอกเขาว่าเจ็บเบาๆเหมือนมดกัด แต่ที่ไหนได้ เจ็บสุดๆเสียจนน้ำตาเล็ดเลยล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณน้ำตาลกับน้องมิกกี้นั่งรอสักครู่นะคะ เดี๋ยวหยกจะไปดูคุณหมอให้” ว่าแล้วก็เดินจากไป
ไม่ถึงสิบนาทีพนิตาก็กลับออกมาพร้อมกับนำทางไปห้องตรวจซึ่งพีรญาและมิกกี้คุ้นเคยดีอยู่แล้ว จะไม่คุ้นก็แต่คุณหมอคนใหม่เจ้าของไข้เท่านั้นเอง
_____________________________________________________________________________________
ตอนหน้าถึงคราวคุณพระเอกออกโรงแล้ว (มั้ง!)
ติดตามกันให้ได้นะคะ
ใครผ่านเข้ามาก็คอมเม้นกันหน่อยนะจ๊ะ เผื่อคนแต่งจะมีกำลังใจมากขึ้นนิดนึง อิอิ
ขอบคุณค่ะ^^
ความคิดเห็น