คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : คุณธรรมข้อ 8 : จำใจจาก
แล้วก็เป็นจริงดังคาดเมื่อเช้าวันต่อมาบรรดากูกูอาวุโสจากตำหนักซู่ไท่นับสิบคนมาเยือนถึงหน้าจวนหลิวกั๋วกง
บรรดาชาวบ้านร้านรวงที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ล้วนแต่พากันตื่นเต้นที่เมืองหลวงกำลังจะมีงานมงคลใหญ่เกิดขึ้นในอีกไม่นาน
นับแต่วันนั้นซือเย่วก็ถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักหน่วง
ยุ่งวุ่นวายอยู่ในจวนหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้น
และอีกสามวันต่อมาหลิวซือหยางและหลี่ลู่เหอต้องเข้าวังหลวงเพื่อรับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นกั๋วกงและรับของกำนัลที่ตำหนักเทียนจิน
เหล่าขุนนางต่างร่วมแสดงความยินดีกันโดยถ้วนหน้า
ซือหยางนั้นแม้จะรู้สึกภูมิใจที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถ แต่ก็มิวายจะต้องทุกข์ใจกับเรื่องมงคลของบุตรสาว
เพราะหลังจากวันที่มีราชโองการนางก็ดูซึมเซาลงอย่างเห็นได้ชัด
พลอยทำเอาฮูหยินและคนในจวนรู้สึกเศร้าหมองไปด้วย
กระทั่งเหลือเวลาอีกเพียงวันเดียวซือเย่วก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสแล้วแต่สีหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว
ไร้ซึ่งความเบิกบานโดยสิ้นเชิง
แม้นางจะบอกว่าทำใจได้แล้ว แต่เอาเข้าจริงก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
นางกลับยิ่งรู้สึกอารมณ์เสียและหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก ยังดีที่วันนี้เหล่ากูกูเพียงแค่มาตรวจสอบความเรียบร้อยเท่านั้น
นางจึงมีเวลามานั่งเศร้าอยู่ที่สวนบุปผาหลังจวนได้ตามลำพัง
“เย่วเอ๋อร์” เสียงอ่อนโยนที่แสนคุ้นหูดังขึ้นคนที่กำลังเซ็งถึงกับผงกหัวขึ้นมอง
“ท่านพี่ลู่!” นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบหกวันที่ผ่านมาที่ซือเย่วยิ้มได้
ก่อนหน้านี้หัวใจของลู่เหอยังแห้งผากพลันได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสของนางเขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
คราแรกเขาไม่คิดจะมาเห็นหน้านางด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่มีทางทำใจได้
แต่เพราะหัวใจมันเรียกร้องจนไม่อาจทานทน
สุดท้ายเมื่อรู้ตัวเองอีกทีเขาก็มาอยู่ตรงนี้เสียแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“จะเป็นเช่นไรเล่าเจ้าคะ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“เบื่อก็ต้องทนให้ได้
ข้าสอนเจ้าอยู่เสมอนี่ว่าอย่ายอมแพ้ต่อสิ่งใดง่ายๆ
หลิวซือเย่วที่ข้ารู้จักไม่ใช่คนอ่อนแอ”
“ข้าทราบดีเจ้าค่ะท่านพี่ แต่นี่มันคือทั้งชีวิตของข้าเลยนะเจ้าคะ
ข้าต้องทนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ข้าไม่รู้จัก ทั้งยังต้องอยู่กับ...”
ซือเย่วพรูลมหายใจเพื่อระบายความอึดอัดก่อนจะว่าต่อ “คนที่ข้าไม่ได้รัก”
ลู่เหอรู้สึกราวกับมีคนปักเข็มลงบนหัวใจเขานับพันเล่ม
มันช่างเจ็บปวดและทรมานยากจะเอ่ย แต่เขาก็เปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องนี้ไม่ได้
ต่อให้ต้องเจ็บเจียนตายก็ได้แต่ทำใจยอมรับและยินดีไปกับนางอย่างที่พี่ชายผู้หนึ่งพึงกระทำ
ร่างสูงล้วงเข้าไปในอกเสื้อก่อนจะหยิบบางอย่างออกมายื่นให้นาง
ซือเย่วก้มลงมองสิ่งของในมือตนก็พบว่ามันเป็นกล่องไม้แกะสลักลวดลายงดงามขนาดเหมาะมือ
ดูจากสายตานางคาดเดาเอาว่าของที่อยู่ด้านในมันน่าจะเป็น...
ปิ่นปักผม
“นี่...”
“ข้าคิดว่าคนช่างสังเกตอย่างเจ้าต้องรู้แน่ว่าของด้านในคือสิ่งใด
จริงๆข้าตั้งใจจะให้เจ้าในวันที่กลับมาถึงเมืองหลวง แต่ก็มีเหตุที่ไม่ได้ให้
ข้าจึงมีเวลามากพอจะทำกล่องไม้สำหรับเก็บของสำคัญนี่ด้วยมือของข้าเองเพราะข้ารู้ดีว่าหลังจากเจ้าเข้าวังเจ้าคงจะไม่ได้ใช้มัน
แต่อย่างน้อยๆก็ให้เจ้าเก็บเอาไว้เพื่อระลึกถึงพี่ชายคนนี้ในยามที่ห่างกัน”
“โธ่ ท่านพี่ลู่ เอ่ยอันใดเช่นนั้น ข้าไม่ได้จากไปไกลถึงต่างแคว้นเสียหน่อย
ท่านเองก็เป็นแม่ทัพแล้ว อย่างไรเราก็ยังต้องได้พบหน้ากันอีกแน่นอน”
นางยิ้มหวานอย่างคนที่ไม่ได้คิดอันใด
แต่คนที่คิดกับนางมากกว่าความเป็นพี่น้องอย่างลู่เหอกลับยิ้มไม่ออกแม้แต่น้อย
ไม่ใช่นางหรอกที่จะไปไกล แต่เขาต่างหากที่ต้องไป
“เช่นนั้นข้าต้องกลับก่อน
ยังมีหลายอย่างที่ข้าต้องไปเตรียมการก่อนเดินทาง”
“เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าขอให้ท่านเดินทางโดยปลอดภัยและมีชัยกลับมานะเจ้าคะ”
ลู่เหอพยายามอย่างมากที่จะฝืนยิ้มให้นาง
พลางจะเอื้อมมือออกไปด้วยความเคยชินแต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตนเองเอาไว้ได้ทัน
“ขอบใจ”
คนที่กำลังจะได้ขึ้นเป็นมารดาของแผ่นดินในอีกไม่กี่ชั่วยามยืนมองแผ่นหลังกว้างของพี่ชายต่างสายเลือดตนด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยแปลกๆ
นางก็คิดเอาว่าคงเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องไปต่างเมืองกระมัง
แต่อีกไม่นานก็กลับมาแล้วนี่นา ไม่เห็นจะต้องเศร้าปานนั้นเลย
นางต่างหากที่ต้องเศร้าน่ะ เฮ้อ...
ขึ้นสิบสามค่ำ เดือนเก้า ถือเป็นฤกษ์ที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้ได้อย่างพอเหมาะพอเจาะราวกับวางแผนไว้ล่วงหน้า
บรรยากาศทั่วเมืองหลวงล้วนครึกครื้นบ้านเรือนร้านค้ามีแต่คำอวยพรมงคลประดับประดาสวยงาม
สองข้างถนนก็ล้วนเต็มไปด้วยเหล่าราษฎรต่างพากันมารอชมพระบารมีของฮองเฮามารดาของแผ่นดินที่อีกเพียงครู่ก็จะเคลื่อนผ่านมา
ส่วนซือเย่วนั้นเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้นอนเพราะนั่งถ่างตาครุ่นคิดหลายเรื่องอยู่ทั้งคืน
พอใกล้จะหลับก็กลับถูกมารดาและเหล่ากูกูมาปลุกตั้งแต่เช้ามืดทำให้ยามนี้นางรู้สึกง่วงงุนเป็นอย่างมาก
เปลือกตาบางของนางแทบจะยกไม่ขึ้น สติของนางก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงแทบจะจดจำไม่ได้เลยว่าถูกเหล่ากูกูพวกนั้นปู้ยี่ปู้ยำอันใดบ้าง
นางจำได้เพียงลางๆว่านางคุกเข่ารับพระราชโองการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการก่อนจะถูกพยุงร่างไปขึ้นเกี้ยวมงคลแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้
สุดท้าย นางก็หลับไปในเกี้ยวหลังนั้นราวกับถูกป้ายยาสลบ ปล่อยให้คนหามเกี้ยวพานางมุ่งไปสู่จุดหมายให้ตรงตามฤกษ์ยาม
ยามที่เกี้ยวเจ้าสาวเคลื่อนผ่านหน้าไปผู้คนล้วนได้แต่ส่งเสียงชื่นชมไม่ขาดปาก
แต่พวกเขาจะรู้ไหมหนอว่าคนในเกี้ยวยามนี้ส่งเสียงกรนครอกๆไปเข้าเฝ้าเง็กเซียนเสียนาน
หากแต่พอมาถึงวังหลวงนางกลับรู้สึกตื่นตัวราวกับอยู่กลางสนามรบ กระทั่งได้ยินเสียงเรียกของกูกูอาวุโสท่านหนึ่งนางจึงขยับลุกออกจากเกี้ยว
ระหว่างที่ถูกพยุงเดินไปตามทางใจก็อยากจะเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวว่าตำหนักหูเทียนของฮ่องเต้นั่นจะกว้างใหญ่และงดงามอย่างที่ได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟังสักเพียงไร
แต่ผ้าคลุมมงคลผืนนี้กลับเกะกะสายตานางยิ่งนัก ไหนจะมงกุฎหงส์ที่หนักราวกับแบกภูเขาทั้งลูกนี่อีก
ถึงห้องบรรทมเมื่อใดนางจะจับเขวี้ยงทิ้งเสียให้สาแก่ใจ
แต่ว่า...พอนึกถึงคำมารดาที่ข่มขู่เอาไว้ก่อนขึ้นเกี้ยวนางก็รู้สึกหดหู่ลงอีกครั้ง
‘หากแม่ได้ข่าวว่าเจ้าทำลายข้าวของหรือทำอันใดที่เสื่อมเสียต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูลละก็
น่าดู!’
แค่คิดก็สยองแล้ว นางนี่แหละที่รู้ดีที่สุดว่ามือเล็กๆของมารดานั้นทรงพลังและหนักเสียยิ่งกว่าไม้ซุงท่อนใหญ่
ผู้ใดอยากลองก็เอาเถิด นางคนหนึ่งละที่ไม่กล้า
ข้าวของน่ะนางรับปากว่าจะไม่ทำเสียหายอย่างแน่นอน
แต่สำหรับอย่างอื่นนั้น ก็ไม่แน่..
ในเมื่อนางหนีการอภิเษกสมรสที่ไม่ได้เต็มใจครั้งนี้ไม่พ้น
นั่นก็หมายความว่านางย่อมหนีเรื่องอื่นไม่พ้นเช่นกัน
ฉะนั้นนางต้องหาทางออกให้ตนเอง เท่าที่นางเลียบๆเคียงๆถามท่านแม่ฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นก็หาได้อยากร่วมเรียงเคียงหอกับนางมาตั้งแต่แรก
ดีไม่ดีเขาอาจจะเกลียดนางและคนตระกูลหลิวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยซ้ำ
จริงๆเหตุผลข้อหลังนางเดาได้เองไม่ยากอยู่แล้ว
บิดาของนางเป็นผู้หนึ่งที่ทุกคนในราชสำนักรวมถึงฮ่องเต้ควรหวาดระแวงที่สุด
ทหารหลายแสนคนที่อยู่ใต้อาณัติของบิดาล้วนแต่เคารพเชื่อฟังเขาราวกับบุตรมีให้บิดาผู้หนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงต้องคอยจับตามองหลิวกั๋วกงเอาไว้ทุกฝีก้าวมาตลอด
เพียงแต่เขาไม่ได้แสดงออกให้เห็นชัดเจนมันก็เท่านั้น
และที่ฮ่องเต้ยอมรับนางมาเป็นฮองเฮาทั้งๆที่ไม่เคยคิดต้องการก็คงเป็นเพราะอยากให้ตระกูลหลิวอยู่ในสายตาตลอดเวลาและสามารถจัดการทุกอย่างได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง
เท่าที่นางรู้เขาเองก็มีสตรีในดวงใจอย่างจางหวงกุ้ยเฟยอยู่แล้ว คงไม่มีวันมาสนใจสตรีที่ไร้ความเป็นสตรีอย่างนางแน่
เช่นนั้นก็น่าจะง่ายหากนางและเขาทำข้อตกลงกันสักสองสามข้อ ดังนั้นนางจึงครุ่นคิดวางแผนเรื่องนี้อยู่ทั้งคืนจนขอบตาดำเป็นสงเมา[1]ตัวอ้วน
ยามนี้ซือเย่วถูกพามาที่ห้องบรรทมเรียบร้อยแล้ว
นางรอจนกูกูผู้นั้นเดินออกไปจึงได้พยายามแกะมงกุฎออกจากศีรษะอย่างทุลักทุเล
“ปัดโธ่ จะแกะยากอันใดนักหนานะ” เพราะไม่เคยต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศซือเย่วจึงตกที่นั่งลำบากอยู่บ้าง
และเพราะนางมัวแต่ตั้งอกตั้งใจที่จะถอดสิ่งใหญ่โตบนศีรษะออกจึงไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบาบางราวขนนกของฮ่องเต้ที่บัดนี้เสด็จมาถึงด้านหน้าห้องบรรทมได้ครู่หนึ่งแล้ว
และเขาก็กำลังยืนมองสตรีที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาด้วยความไม่เข้าใจ
นี่นางกำลังพยายามถอดมันหรือกำลังทะเลาะกับมันอยู่กันแน่
“โอ๊ย เจ็บชะมัด ให้ตายเถอะ ชาตินี้ข้าจะไม่ขอแต่งงานอีกชั่วชีวิต!”
คิ้วกระบี่เลิกขึ้นสูงพลางนึกในใจ ‘ขอโทษทีเถอะ
เจ้าคิดว่าเป็นฮองเฮาของเราแล้ว เจ้ายังคิดจะไปแต่งงานกับคนอื่นได้อีกงั้นหรือ นี่เจ้ายังสติดีอยู่หรือไม่’
ฮ่องเต้หนุ่มยืนเอามือไพล่หลังมองนางทะเลาะกับมงกุฎที่อยู่ศีรษะอยู่นานก็อดรนทนไม่ไหวและเริ่มหงุดหงิด
สตรีอันใดไม่มีความเรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักนิด คราแรกหมายจะเข้ามาดูหน้านางให้ชัดๆสักหน่อย
เห็นเช่นนี้แล้วก็ให้หมดอารมณ์ ชาตินี้ทั้งชาติเขาคงทำใจร่วมหอกับนางไม่ได้ คิดดังนั้นร่างสูงจึงหมุนกายกลับทางเดิม
ตู้กงกงที่ยืนเหงื่อแตกพลั่กอยู่ด้านหลังเห็นว่านายเหนือของตนกำลังจะทำในสิ่งที่ขัดพระบัญชาของไทฮองไทเฮาก็รีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระล่ำระลัก
“ฝ่า...ฝ่าบาท ให้กระหม่อม...”
“ไม่ต้อง คืนนี้เราจะไปตำหนักเหม่ยอิง ลี่เอ๋อร์รอเราอยู่”
“ตะ...แต่ว่า...”
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งเราหรือตู้กงกง”
ขันทีสูงวัยรีบค้อมศีรษะลงต่ำด้วยความหวาดกลัว “กระ...กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี”
สิ้นคำร่างสูงสง่าในชุดมังกรห้าเล็บก็สะบัดชายเสื้อเดินออกจากตำหนักตนเองอย่างไม่ไยดี
ส่วนตู้กงกงก็พยักหน้าให้นางกำนัลปิดงับประตูห้องบรรทมไว้ตามเดิม
ก็พอได้ข่าวมาบ้างว่าคุณหนูหลิวซือเย่วผู้นี้มีอุปนิสัยห้าวหาญราวกับบุรุษ
ซ้ำยังเป็นผู้ที่สามารถสังหารอ๋องต่างแคว้นด้วยมือตนเองทั้งๆที่ไม่ใช่วิสัยของอิสตรีพึงกระทำ
แต่ไม่คาดว่าจะขนาดนี้
เขาติดตามถวายการรับใช้ฝ่าบาทมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ไยจะไม่รู้ถึงอุปนิสัยส่วนพระองค์ว่าชอบสิ่งใดและไม่ชอบสิ่งใด
สตรีประเภทคุณหนูหลิวเช่นนี้แหละที่พระองค์ทรงเกลียดชังมากที่สุด
ดูท่าว่าไทฮองไทเฮาคงได้ปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้ไปอีกนานเสียแล้ว
[1]
สงเมา คือ
หมีแพนด้า
TALK: มีเรื่องจะสารภาพค่ะรีดทุกคน สต็อคนิยายไรท์จะหมด 555 ถ้าหายไปสองสามวันรึนานกว่านั้นคือปั่นนิยายนะคะ อยากให้รอสักหน่อย หลังจากนี้ความบันเทิงจะค่อยๆเริ่มแล้ว ส่วนรีดคนไหนไม่สะดวกใจรอจะอันเฟบไปก่อนได้นะคะ T T (ถึงจะเศร้ามากๆก็เถอะ)
ความคิดเห็น