คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : คุณธรรมข้อ 16 : ระหว่างเสน่ห์และมารยาของสตรี
เพล้ง!!
เสียงแจกันลายครามตกกระแทกพื้นดังก้องไปทั่วตำหนัก
ใบหน้าที่เคยอ่อนหวานบริสุทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง
มือทั้งสองข้างสั่นสะท้านเพราะความโกรธ จะมีก็เพียงนางกำนัลที่ใกล้ชิดรวมถึงซวงเหมยเหรินที่เป็นดังลิ่วล้อให้นางจิกใช้มาตลอดเท่านั้นที่รู้ดีว่านี่แหละคืออุปนิสัยและตัวตนของจางม่านลี่
“พระทัยเย็นก่อนเถอะเพคะ อ๊ะ!”
ซวงเหมยเหรินถูกฝ่ามือเล็กฟาดเข้าที่ข้างแก้มจนเป็นรอยแดง “หะ...หวงกุ้ยเฟย”
ร่างของซวงเหิงเย่วสั่นระริก
ทว่า ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกอีกฝ่ายทำร้าย
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มากนักนางยังพอรับไหว
แต่นับตั้งแต่ฮองเฮาเข้ามาอยู่ในวังหลวง
อารมณ์ของอีกฝ่ายก็ดูจะรุนแรงมากขึ้น บอกตรงๆหากไม่เพราะบิดาของนางเป็นหนี้บุญคุณตระกูลจางจนชดใช้ในชาตินี้ไม่หมดนางไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายข่มเหงได้ถึงเพียงนี้แน่
และต่อให้อีกฝ่ายเคยเป็นสหายสนิทมาก่อนก็เถอะ จะให้นางต้องทนอยู่ในสภาพรองมือรองเท้าทุกครั้งที่หงุดหงิดมันจะเกินไปหน่อยหรือไม่
“ทำไม! บังอาจมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นคิดจะหือกับข้างั้นรึเหิงเย่ว!!”
“มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงอยากให้พระองค์พระทัยเย็นลงสักหน่อยเท่านั้น”
ซวงเหิงเย่วเบี่ยงหน้าหนี
นางไม่อาจบังคับสายตาตนเองไม่ให้มองอีกฝ่ายด้วยความเกลียดชังไม่ได้จริงๆ
“ฮึ ใจเย็นงั้นรึ เจ้าน่ะพูดง่าย มาลองเป็นข้าดูหน่อยเป็นไร ต้องทนให้ฮองเฮาหยามเหยียดให้อับอายอยู่ทุกวันเช่นนี้ผู้ใดจะไปทนได้กัน
นางคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด ข้าต่างหากเป็นสตรีที่ฝ่าบาททรงรักมากที่สุด”
ซวงเหมยเหรินสูดลมหายใจตั้งสติระงับอารมณ์ของตนเองก่อนจะว่า
“ใช่แล้วเพคะ ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ยกให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในพระทัยเสมออยู่แล้ว
เหตุใด...พระองค์ไม่ลองนำเรื่องวันนี้ทูลแก่ฝ่าบาทดูเล่าเพคะ
หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องกำราบฮองเฮาแทนพระองค์ได้แน่ หม่อมฉันเองก็จะ...”
“ไม่ต้อง! ข้าจัดการเองได้ อีกอย่างฝ่าบาทไม่ใช่คนโง่
การกระทำไร้สาระเช่นนั้นไม่อาจทำให้ฝ่าบาทสนพระทัยได้หรอกนะ เจ้ากลับไปได้แล้ว
ข้าเหนื่อยอยากนอนพัก” จบคำจางม่านลี่ก็สะบัดกายเข้าห้องบรรทมไปปล่อยให้ซวงเหมยเหรินนั่งอยู่เพียงลำพังราวกับคนไร้ค่า
“พระองค์ทรงทำเช่นนี้ซวงเหมยเหรินอาจจะกระด้างกระเดื่องเอาได้นะเพคะ”
ซูเจียวนางกำนัลคนสนิทของจางม่านลี่เอ่ยขึ้น
“ฮึ อย่างเหิงเย่วน่ะไม่มีทางกล้าแข็งข้อกับข้าหรอก
บิดาของนางอยู่ในกำมือบิดาของข้า หากนางคิดหือเมื่อใดตระกูลซวงของนางจบสิ้นอย่างแน่นอน”
“ว่าแต่ว่า...ไม่น่าเชื่อเลยนะเพคะว่าฮองเฮาจะทรงจำพระองค์ไม่ได้จริงๆ”
ม่านลี่ลูบปลอกเล็บบนนิ้วของตนเล่น “นั่นสิ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”
“หรือว่าพระนางทรงแสร้งทำ...”
“ไม่หรอก เรื่องเช่นนั้นหากเป็นข้าย่อมไม่มีทางลืมแน่
ดูท่าแล้วนางคงจะลืมข้าจริงๆ”
“แต่หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ไม่ควรวางพระทัยเรื่องนี้
เท่าที่หม่อมฉันเฝ้าสังเกตท่าทีของฮองเฮามาร่วมสัปดาห์หม่อมฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างของพระนางที่เปลี่ยนไป”
“อืม เจ้าคิดเช่นเดียวกับข้า
เมื่อก่อนนางเป็นพวกหัวอ่อนเชื่อฟังมากกว่านี้
แต่พอได้พบหน้านางอีกครั้งข้ากลับรู้สึกว่าแววตาของนางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนทีเดียว”
“หม่อมฉันก็เห็นเช่นเดียวกันกับพระองค์เพคะ”
“นี่ยามใดแล้ว”
“ใกล้ยามซวี[1]แล้วเพคะ”
“ดี ข้าจะให้นางรู้ซึ้งว่านางไม่ใช่คู่แข่งของข้า”
คืนนั้นหลังจากเสร็จสิ้นราชกิจที่มากมายก่ายกอง ต้าเจิงฮ่องเต้ก็ไปพบจางหวงกุ้ยเฟยที่ตำหนักเหมยอิงอย่างเช่นทุกวัน
และสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวานแสนบริสุทธิ์ของจางม่านลี่ไม่ว่าเมื่อใดก็ทำให้คนมองเคลิบเคลิ้มได้เสมอ
“สนมรัก”
“ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
ต้าเจิงรีบเข้าไปประคองร่างบอบบางให้ลุกขึ้น “ลี่เอ๋อร์
ตัวเจ้าเย็นปานนี้ ดูเอาเถิด บอกกี่ครั้งก็ไม่ยอมฟัง เกิดป่วยไข้ขึ้นมาแล้วเราจะทำเช่นไรกัน
ชอบให้เราต้องเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ลี่เอ๋อร์ผิดไปแล้วเพคะ” เมื่อถูกอีกฝ่ายว่ากล่าวนางก็เศร้าหมองลงเล็กน้อย
“เอาเถอะ เข้าไปด้านในกันเถิด”
“เพคะ” จากนั้นทั้งสองก็ตระกองกอดกันเดินเข้าตำหนักไป
“ทีหลังอย่าให้เราต้องเป็นห่วงเช่นนี้อีก
เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าสำคัญกับเรามากเพียงไร”
ต้าเจิงกุมมืออันเย็นเฉียบของม่านลี่มาถูเบาๆอย่างทะนุถนอม
น้ำเสียงและการกระทำที่แสนอ่อนโยนของคนตรงหน้าทำเอาม่านลี่มั่นใจมากขึ้นหลายส่วนว่าในพระทัยของฝ่าบาทอย่างไรก็ยังคงเป็นนาง
“ลี่เอ๋อร์เพียงอยากให้ฝ่าบาทได้เห็นหน้าเป็นคนแรกหลังจากทรงงานหนักเพคะ”
ต้าเจิงยิ้มอบอุ่น
พร้อมกับยื่นมือไปบีบจมูกแดงๆของนางด้วยความหมั่นเขี้ยว “เจ้านี่นะ ดิ้อดึงราวกับเด็กสามขวบ
วันหลังต้องทำโทษให้จำเสียบ้างกระมัง”
“ฝ่าบาท...ลี่เอ๋อร์โตแล้วเพคะ ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
บรรยากาศภายในตำหนักเหมยอิงพลันอบอุ่นขึ้นมา
ครู่หนึ่งซูเจียวก็ยกถาดน้ำชาและของว่างออกมาถวาย
“ลี่เอ๋อร์ทราบมาว่าช่วงนี้ฝ่าบาทราชกิจยุ่งมาก
ลี่เอ๋อร์จึงชงชาพร้อมทั้งทำขนมไหมฟ้าไว้รอท่า เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงชอบนัก”
“สนมรักของเราช่างรู้ใจยิ่ง”
“แค่กๆ” ม่านลี่ยกมือขึ้นปิดปากน้อยๆ
ยามที่นางไอไหล่ของนางสั่นเทาดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
“เห็นหรือไม่ ไม่สบายเสียแล้ว เพราะเจ้าดื้อรั้นเช่นนี้”
“ฝ่าบาท...อย่าได้ทรงวิตก หม่อมฉันไม่ได้เป็นอันใดเลยเพคะ เพียงแค่รู้สึกอ่อนเพลียเท่านั้น
แค่กๆๆ” ครานี้นางไอจนตัวโยน ต้าเจิงรีบเข้าไปประคองนางไว้แนบอกด้วยความเป็นห่วง
“ลี่เอ๋อร์! ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!”
“เพคะ” ซูเจียวยอบกายลงรับพระบัญชาก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปตามหมอหลวงประจำตำหนักมา
ไม่นานหมอหลวงเติ้งก็มาถึง เขาตรวจชีพจรอย่างละเอียดอยู่ครู่ก่อนจะรายงานอาการแก่นายเหนือหัว
“ทูลฝ่าบาท พระสนมทรงมีอาการธาตุแปรปรวนเนื่องจากเสวยยาสมุนไพรบางอย่างนอกเหนือจากที่กระหม่อมถวายให้ทุกวันเข้าไป
ซ้ำยังทรงมีความเครียดสะสม บวกกับทรงพักผ่อนน้อยจึงเป็นเหตุให้ล้มป่วยพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าดูแลลี่เอ๋อร์ของเราเช่นไรกัน! ไยนางจึงได้อาการหนักเช่นนี้!!” เสียงตวาดก้องของนายเหนือหัวดังสะเทือนไปทั่วห้องบรรทมของจางหวงกุ้ยเฟย
ไม่ว่าผู้ใดก็พากันโขกศีรษะลงกับพื้นดังตึงด้วยความหวาดกลัว
แม้แต่ซูเจียวที่ค่อนข้างจิตแข็งกว่าทุกผู้ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้
“ขอฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีผู้ใดให้คำตอบเราได้บ้างว่าผู้ใดที่เอายาอย่างอื่นให้นางดื่มจนล้มป่วย
ตอบเรามา!!”
“ดะ...ด้วยอาญามิพ้นเกล้า หม่อม...หม่อมฉันมีเรื่องที่จะกราบทูลเพคะ”
ซูเจียวเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
จางม่านลี่ยันกายที่สั่นเทาลุกจากแท่นบรรทมเพื่อห้ามไม่ให้นางกำนัลตนพูดเรื่องไม่ควรพูดออกมา
“เจียวเอ๋อร์ อย่านะ”
“ปล่อยให้นางพูดลี่เอ๋อร์
ไม่เช่นนั้นเราจะสั่งให้ลงโทษทุกคนในตำหนักเสีย โทษฐานที่ไม่ดูแลเจ้าให้ดี
ละเลยหน้าที่ เห็นคำพูดของเราไม่มีความหมายหรืออย่างไร!”
“ฝ่า...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นอันใดจริงๆ”
“ซูเจียว พูดไป!”
ร่างเล็กของซูเจียวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนจะตอบนายเหนือหัว “ทูลฝ่าบาท
หลายวันมานี้ ยามที่พระสนมไปถวายพระพรฮองเฮาที่ตำหนักสามฤดู
ฮองเฮามักจะเตรียมยาเอาไว้ให้พระสนมวันละถ้วยโดยอ้างว่าพระสนมต้องปรนนิบัติฝ่าบาททั้งวันทั้งคืน
แม้พระสนมจะแจ้งว่าไม่อาจดื่มยาขนานอื่นได้นอกจากหมอหลวงเติ้งแต่ฮองเฮาก็ไม่ทรงฟัง
พระสนมไม่อาจปฏิเสธความหวังดีได้จึงต้องดื่มมันจนหมดทุกครั้ง จนวันนี้พระสนมทรงอาเจียนตั้งแต่กลางวันจนถึงดึกก็ยังคงมีอาการคลื่นไส้
ซ้ำแล้วช่วงนี้ฮองเฮายังมีรับสั่งให้พระสนมทุกคนตระเตรียมการแสดงในงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เพราะเช่นนี้พระสนมจึงได้ล้มป่วยหนักเพคะ”
ตึง!!
กำปั้นหนักๆทุบเข้าที่เสาแท่นบรรทม สีพระพักตร์แดงจัดน่ากลัวอย่างยิ่ง
เหล่าข้าราชบริพารไม่มีผู้ใดให้หน้าผากพ้นจากพื้นแม้แต่ผู้เดียว
“นางช่างบังอาจนัก หวังดีงั้นหรือ หวังร้ายสิไม่ว่า
เท่านั้นไม่พอยังกล้าจัดงานเลี้ยงโดยไม่ถามความเห็นเรา นางช่างกล้า...”
“ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ ฮองเฮาคงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันเป็นเช่นนี้”
“ลี่เอ๋อร์ ก็เพราะเจ้าจิตใจดีมากเกินไปเช่นนี้”
ต้าเจิงประคองสนมรักของตนลงไปนอนบนแท่นบรรทมพร้อมกับดึงผ้านวมขึ้นมาห่มให้
“ไม่ต้องห่วง เราจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้านอนพักเถอะ”
“ฝ่าบาท...”
ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเอ่ย “ตู้กงกง ไปตำหนักเหมยฮวา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คล้อยหลังพระสวามีไปได้ครู่หนึ่ง จางม่านลี่จึงลุกขึ้นนั่ง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
“เจียวเอ๋อร์ เอาถุงเงินที่เตรียมไว้ให้หมอหลวงเติ้งไป”
“เพคะพระสนม”
ซูเจียวล้วงถุงเงินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจากแขนเสื้อเพื่อยื่นให้หมอหลวงประจำตำหนัก
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะพระสนม กระหม่อมทูลลา”
หมอหลวงเติ้งรับเงินถุงนั้นแล้วรีบร้อนออกไปในทันที
เมื่อไม่มีผู้ใดแล้วซูเจียวจึงรีบเดินไปปิดประตูห้องบรรทมก่อนจะเดินกลับมารินน้ำชาให้นายหญิงของตนได้ดื่มแก้กระหาย
“ข้าละอยากจะไปตำหนักเหมยฮวากับฝ่าบาทนัก
หากได้เห็นสีหน้าของฮองเฮายามที่ถูกกล่าวโทษจะเลวร้ายสักปานใดกันนะ”
“หม่อมฉันคิดว่าคงไม่กล้าจองหองไปอีกสักพักเลยนะเพคะ”
“เป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ เจ้าอย่าลืมว่านางในตอนนี้ร้ายกาจและเฉลียวฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก
อย่างไรก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
“เพคะพระสนม”
“อ้อ จริงสิ ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปทำนะเจียวเอ๋อร์”
“เชิญพระสนมรับสั่งมาได้เลยเพคะ”
“พรุ่งนี้เจ้าไปตามหลินจวงมาพบข้าด้วย”
“พระสนมมีอันใดจะใช้งานนางหรือเพคะ”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวเจ้าก็รู้”
“ทราบแล้วเพคะ”
ซือเย่วยังคงนั่งวางหมากอยู่ตามลำพังที่ศาลาหกเหลี่ยมกลางสวนบุปผารื่นรมย์
ยามที่นางต้องการใช้สมาธิเพื่อคิดอันใดบางอย่างนางมักจะเล่นหมากเช่นนี้
เป้าหมายไม่ได้เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อให้สมองมันว่างมากพอจะไม่วอกแวกไปคิดอย่างอื่น
ตั้งแต่พบว่ามีประตูปริศนาบานนั้นซ่อนอยู่ในตำหนักอันงดงามแห่งนี้นางก็รู้สึกใจไม่สงบเอาเสียเลย
มีหลายเรื่องที่นางรู้สึกคาใจ แต่ตราบใดที่ยังเปิดมันไม่ได้นางก็ยังไม่อาจปล่อยวาง
อีกหนึ่งชั่วยามจะเป็นยามจื่อ
นางจะได้รู้เสียทีว่าด้านหลังประตูนั้น...
“ฝ่าบาทเสด็จ!!”
“หา?”
หมากสีขาวในมือของซือเย่วร่วงหล่นลงบนกระดานจนหมากที่วางเอาไว้กระเด็นออกไปจากจุดเดิมจนไม่รู้ว่าหมากตานี้จะเดินต่อไปทางใด
จู่ๆก็โผล่หน้ามายามนี้ นี่เขาว่างมากจนต้องมาก่อกวนมารดาอีกแล้วงั้นหรือ
อุตส่าห์ทำให้เกลียดชังปานนั้นก็ไม่น่าจะมีอันใดให้พิศวาสนางได้แล้วนี่ หรือจางหวงกุ้ยเฟยปรนนิบัติไม่ไหวเสียแล้วหรืออย่างไร
แต่ว่าก็ว่าเถิด เขาช่างเลือกวันที่จะมาก่อกวนนางได้เหมาะเสียจริง
คนยิ่งยุ่งๆอยู่ด้วย ให้ตายเถอะ
“หรือว่าฝ่าบาทจะทรงทราบเรื่องที่เราจะเปิดประตูนั่นเพคะ”
กุ้ยอินเอ่ยเสียงเบา ซึ่งมีเพียงสามคนที่อยู่ตรงนั้นที่ได้ยิน
“อย่าตื่นเต้นไป อาจจะไม่ใช่ก็ได้ พวกเจ้ารักษากิริยาให้ดี
อย่าให้เขาสงสัยอันใดเป็นอันขาด”
สองฝาแฝดค้อมศีรษะ “ทราบแล้วเพคะ”
ซือเย่วจัดหมากบนกระดานใหม่เล็กน้อย ทำสีหน้าเรียบเฉยและยังจดจ่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อไป
กระทั่งร่างสูงสง่าปรากฎกายขึ้นที่ประตูพระจันทร์[2]นางก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแม้จะรู้ว่าเขามาถึงแล้วก็ตาม
ทว่าชั่วขณะหนึ่งยามที่ใบหน้านวลของนางต้องแสงจันทร์กลับตรึงให้ต้าเจิงต้องหยุดมอง
หางตาเรียวที่ชี้ขึ้นแสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นมุทะลุไม่ยอมคน คิ้วเชิดสูงที่ดูงดงามแต่แฝงไว้ด้วยความทะนงตนอย่างที่สุด
ริมฝีปากกระจับได้รูปที่สามารถเปล่งวาจาพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา
นัยน์ตาสีน้ำหมึกสื่อถึงความหนักแน่นมั่นคงไร้ซึ่งมารยาร้อยเล่ห์ที่สตรีพึงมี
บอกตรงๆว่าองคาพยพบนใบหน้าของหลิวซือเย่วนั้นสมบูรณ์แบบจนเรียกได้งามล่มเมือง
ทว่าใบหน้าหยิ่งผยองเช่นนี้แหละที่เขาเกลียดชังนัก เขาเกลียดสตรีที่รู้ทัน
เขาเกลียดสตรีที่เก่ง
แต่เพราะเหตุใดกันนะ เพราะเหตุใดวันทั้งวันเขากลับสลัดใบหน้าที่น่าเกลียดชังของนางออกจากหัวไม่ได้เสียที
[1]
ยามซวี คือ
ช่วงเวลาตั้งแต่ 19.00 - 20.59 น.
[2]
ประตูพระจันทร์
คือ ทางเปิดโล่งลักษณะวงกลมซึ่งเชื่อมต่อจากผนังหรือกำแพงที่ล้อมรอบสวน
ความคิดเห็น