ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [จบแล้ว/มี E-BOOK] ฮองเฮาตัวร้าย จอมใจจักรพรรดิ

    ลำดับตอนที่ #17 : คุณธรรมข้อ 16 : ระหว่างเสน่ห์และมารยาของสตรี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.23K
      319
      16 มี.ค. 64


         

    เพล้ง!!

    เสียงแจกันลายครามตกกระแทกพื้นดังก้องไปทั่วตำหนัก ใบหน้าที่เคยอ่อนหวานบริสุทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึง มือทั้งสองข้างสั่นสะท้านเพราะความโกรธ จะมีก็เพียงนางกำนัลที่ใกล้ชิดรวมถึงซวงเหมยเหรินที่เป็นดังลิ่วล้อให้นางจิกใช้มาตลอดเท่านั้นที่รู้ดีว่านี่แหละคืออุปนิสัยและตัวตนของจางม่านลี่

    “พระทัยเย็นก่อนเถอะเพคะ อ๊ะ!” ซวงเหมยเหรินถูกฝ่ามือเล็กฟาดเข้าที่ข้างแก้มจนเป็นรอยแดง “หะ...หวงกุ้ยเฟย” ร่างของซวงเหิงเย่วสั่นระริก

    ทว่า ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เป็นเพราะความโกรธ

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกอีกฝ่ายทำร้าย เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มากนักนางยังพอรับไหว 

    แต่นับตั้งแต่ฮองเฮาเข้ามาอยู่ในวังหลวง อารมณ์ของอีกฝ่ายก็ดูจะรุนแรงมากขึ้น บอกตรงๆหากไม่เพราะบิดาของนางเป็นหนี้บุญคุณตระกูลจางจนชดใช้ในชาตินี้ไม่หมดนางไม่มีทางยอมให้อีกฝ่ายข่มเหงได้ถึงเพียงนี้แน่ และต่อให้อีกฝ่ายเคยเป็นสหายสนิทมาก่อนก็เถอะ จะให้นางต้องทนอยู่ในสภาพรองมือรองเท้าทุกครั้งที่หงุดหงิดมันจะเกินไปหน่อยหรือไม่

    “ทำไม! บังอาจมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นคิดจะหือกับข้างั้นรึเหิงเย่ว!!

    “มิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงอยากให้พระองค์พระทัยเย็นลงสักหน่อยเท่านั้น” ซวงเหิงเย่วเบี่ยงหน้าหนี นางไม่อาจบังคับสายตาตนเองไม่ให้มองอีกฝ่ายด้วยความเกลียดชังไม่ได้จริงๆ

    “ฮึ ใจเย็นงั้นรึ เจ้าน่ะพูดง่าย มาลองเป็นข้าดูหน่อยเป็นไร ต้องทนให้ฮองเฮาหยามเหยียดให้อับอายอยู่ทุกวันเช่นนี้ผู้ใดจะไปทนได้กัน นางคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด ข้าต่างหากเป็นสตรีที่ฝ่าบาททรงรักมากที่สุด”

    ซวงเหมยเหรินสูดลมหายใจตั้งสติระงับอารมณ์ของตนเองก่อนจะว่า “ใช่แล้วเพคะ ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทก็ยกให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในพระทัยเสมออยู่แล้ว เหตุใด...พระองค์ไม่ลองนำเรื่องวันนี้ทูลแก่ฝ่าบาทดูเล่าเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องกำราบฮองเฮาแทนพระองค์ได้แน่ หม่อมฉันเองก็จะ...”

    “ไม่ต้อง! ข้าจัดการเองได้ อีกอย่างฝ่าบาทไม่ใช่คนโง่ การกระทำไร้สาระเช่นนั้นไม่อาจทำให้ฝ่าบาทสนพระทัยได้หรอกนะ เจ้ากลับไปได้แล้ว ข้าเหนื่อยอยากนอนพัก” จบคำจางม่านลี่ก็สะบัดกายเข้าห้องบรรทมไปปล่อยให้ซวงเหมยเหรินนั่งอยู่เพียงลำพังราวกับคนไร้ค่า

    “พระองค์ทรงทำเช่นนี้ซวงเหมยเหรินอาจจะกระด้างกระเดื่องเอาได้นะเพคะ” ซูเจียวนางกำนัลคนสนิทของจางม่านลี่เอ่ยขึ้น

    “ฮึ อย่างเหิงเย่วน่ะไม่มีทางกล้าแข็งข้อกับข้าหรอก บิดาของนางอยู่ในกำมือบิดาของข้า หากนางคิดหือเมื่อใดตระกูลซวงของนางจบสิ้นอย่างแน่นอน”

    “ว่าแต่ว่า...ไม่น่าเชื่อเลยนะเพคะว่าฮองเฮาจะทรงจำพระองค์ไม่ได้จริงๆ”

    ม่านลี่ลูบปลอกเล็บบนนิ้วของตนเล่น “นั่นสิ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ”

    “หรือว่าพระนางทรงแสร้งทำ...”

    “ไม่หรอก เรื่องเช่นนั้นหากเป็นข้าย่อมไม่มีทางลืมแน่ ดูท่าแล้วนางคงจะลืมข้าจริงๆ”

    “แต่หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ไม่ควรวางพระทัยเรื่องนี้ เท่าที่หม่อมฉันเฝ้าสังเกตท่าทีของฮองเฮามาร่วมสัปดาห์หม่อมฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างของพระนางที่เปลี่ยนไป”

    “อืม เจ้าคิดเช่นเดียวกับข้า เมื่อก่อนนางเป็นพวกหัวอ่อนเชื่อฟังมากกว่านี้ แต่พอได้พบหน้านางอีกครั้งข้ากลับรู้สึกว่าแววตาของนางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนทีเดียว”

    “หม่อมฉันก็เห็นเช่นเดียวกันกับพระองค์เพคะ”

    “นี่ยามใดแล้ว”

    “ใกล้ยามซวี[1]แล้วเพคะ”

    “ดี ข้าจะให้นางรู้ซึ้งว่านางไม่ใช่คู่แข่งของข้า”

     

    คืนนั้นหลังจากเสร็จสิ้นราชกิจที่มากมายก่ายกอง ต้าเจิงฮ่องเต้ก็ไปพบจางหวงกุ้ยเฟยที่ตำหนักเหมยอิงอย่างเช่นทุกวัน และสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวานแสนบริสุทธิ์ของจางม่านลี่ไม่ว่าเมื่อใดก็ทำให้คนมองเคลิบเคลิ้มได้เสมอ

    “สนมรัก”

    “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”

    ต้าเจิงรีบเข้าไปประคองร่างบอบบางให้ลุกขึ้น “ลี่เอ๋อร์ ตัวเจ้าเย็นปานนี้ ดูเอาเถิด บอกกี่ครั้งก็ไม่ยอมฟัง เกิดป่วยไข้ขึ้นมาแล้วเราจะทำเช่นไรกัน ชอบให้เราต้องเป็นห่วงอยู่เรื่อย”

    “ลี่เอ๋อร์ผิดไปแล้วเพคะ” เมื่อถูกอีกฝ่ายว่ากล่าวนางก็เศร้าหมองลงเล็กน้อย

    “เอาเถอะ เข้าไปด้านในกันเถิด”

    “เพคะ” จากนั้นทั้งสองก็ตระกองกอดกันเดินเข้าตำหนักไป

    “ทีหลังอย่าให้เราต้องเป็นห่วงเช่นนี้อีก เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าสำคัญกับเรามากเพียงไร” ต้าเจิงกุมมืออันเย็นเฉียบของม่านลี่มาถูเบาๆอย่างทะนุถนอม

    น้ำเสียงและการกระทำที่แสนอ่อนโยนของคนตรงหน้าทำเอาม่านลี่มั่นใจมากขึ้นหลายส่วนว่าในพระทัยของฝ่าบาทอย่างไรก็ยังคงเป็นนาง

    “ลี่เอ๋อร์เพียงอยากให้ฝ่าบาทได้เห็นหน้าเป็นคนแรกหลังจากทรงงานหนักเพคะ”

    ต้าเจิงยิ้มอบอุ่น พร้อมกับยื่นมือไปบีบจมูกแดงๆของนางด้วยความหมั่นเขี้ยว “เจ้านี่นะ ดิ้อดึงราวกับเด็กสามขวบ วันหลังต้องทำโทษให้จำเสียบ้างกระมัง”

    “ฝ่าบาท...ลี่เอ๋อร์โตแล้วเพคะ ไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย”

    แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน บรรยากาศภายในตำหนักเหมยอิงพลันอบอุ่นขึ้นมา ครู่หนึ่งซูเจียวก็ยกถาดน้ำชาและของว่างออกมาถวาย

    “ลี่เอ๋อร์ทราบมาว่าช่วงนี้ฝ่าบาทราชกิจยุ่งมาก ลี่เอ๋อร์จึงชงชาพร้อมทั้งทำขนมไหมฟ้าไว้รอท่า เพราะรู้ว่าพระองค์ทรงชอบนัก”

    “สนมรักของเราช่างรู้ใจยิ่ง”

    “แค่กๆ” ม่านลี่ยกมือขึ้นปิดปากน้อยๆ ยามที่นางไอไหล่ของนางสั่นเทาดูน่าสงสารอย่างยิ่ง

    “เห็นหรือไม่ ไม่สบายเสียแล้ว เพราะเจ้าดื้อรั้นเช่นนี้”

    “ฝ่าบาท...อย่าได้ทรงวิตก หม่อมฉันไม่ได้เป็นอันใดเลยเพคะ เพียงแค่รู้สึกอ่อนเพลียเท่านั้น แค่กๆๆ” ครานี้นางไอจนตัวโยน ต้าเจิงรีบเข้าไปประคองนางไว้แนบอกด้วยความเป็นห่วง

    “ลี่เอ๋อร์! ไปตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!

    “เพคะ” ซูเจียวยอบกายลงรับพระบัญชาก่อนจะเร่งฝีเท้าออกไปตามหมอหลวงประจำตำหนักมา

    ไม่นานหมอหลวงเติ้งก็มาถึง เขาตรวจชีพจรอย่างละเอียดอยู่ครู่ก่อนจะรายงานอาการแก่นายเหนือหัว “ทูลฝ่าบาท พระสนมทรงมีอาการธาตุแปรปรวนเนื่องจากเสวยยาสมุนไพรบางอย่างนอกเหนือจากที่กระหม่อมถวายให้ทุกวันเข้าไป ซ้ำยังทรงมีความเครียดสะสม บวกกับทรงพักผ่อนน้อยจึงเป็นเหตุให้ล้มป่วยพ่ะย่ะค่ะ”

    “พวกเจ้าดูแลลี่เอ๋อร์ของเราเช่นไรกัน! ไยนางจึงได้อาการหนักเช่นนี้!!” เสียงตวาดก้องของนายเหนือหัวดังสะเทือนไปทั่วห้องบรรทมของจางหวงกุ้ยเฟย ไม่ว่าผู้ใดก็พากันโขกศีรษะลงกับพื้นดังตึงด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ซูเจียวที่ค่อนข้างจิตแข็งกว่าทุกผู้ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้

    “ขอฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!

    “มีผู้ใดให้คำตอบเราได้บ้างว่าผู้ใดที่เอายาอย่างอื่นให้นางดื่มจนล้มป่วย ตอบเรามา!!

    “ดะ...ด้วยอาญามิพ้นเกล้า หม่อม...หม่อมฉันมีเรื่องที่จะกราบทูลเพคะ” ซูเจียวเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

    จางม่านลี่ยันกายที่สั่นเทาลุกจากแท่นบรรทมเพื่อห้ามไม่ให้นางกำนัลตนพูดเรื่องไม่ควรพูดออกมา “เจียวเอ๋อร์ อย่านะ”

    “ปล่อยให้นางพูดลี่เอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นเราจะสั่งให้ลงโทษทุกคนในตำหนักเสีย โทษฐานที่ไม่ดูแลเจ้าให้ดี ละเลยหน้าที่ เห็นคำพูดของเราไม่มีความหมายหรืออย่างไร!

    “ฝ่า...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันไม่เป็นอันใดจริงๆ”

    “ซูเจียว พูดไป!

    ร่างเล็กของซูเจียวสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนจะตอบนายเหนือหัว “ทูลฝ่าบาท หลายวันมานี้ ยามที่พระสนมไปถวายพระพรฮองเฮาที่ตำหนักสามฤดู ฮองเฮามักจะเตรียมยาเอาไว้ให้พระสนมวันละถ้วยโดยอ้างว่าพระสนมต้องปรนนิบัติฝ่าบาททั้งวันทั้งคืน แม้พระสนมจะแจ้งว่าไม่อาจดื่มยาขนานอื่นได้นอกจากหมอหลวงเติ้งแต่ฮองเฮาก็ไม่ทรงฟัง พระสนมไม่อาจปฏิเสธความหวังดีได้จึงต้องดื่มมันจนหมดทุกครั้ง จนวันนี้พระสนมทรงอาเจียนตั้งแต่กลางวันจนถึงดึกก็ยังคงมีอาการคลื่นไส้ ซ้ำแล้วช่วงนี้ฮองเฮายังมีรับสั่งให้พระสนมทุกคนตระเตรียมการแสดงในงานเลี้ยงที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เพราะเช่นนี้พระสนมจึงได้ล้มป่วยหนักเพคะ”

    ตึง!!

    กำปั้นหนักๆทุบเข้าที่เสาแท่นบรรทม สีพระพักตร์แดงจัดน่ากลัวอย่างยิ่ง เหล่าข้าราชบริพารไม่มีผู้ใดให้หน้าผากพ้นจากพื้นแม้แต่ผู้เดียว

    “นางช่างบังอาจนัก หวังดีงั้นหรือ หวังร้ายสิไม่ว่า เท่านั้นไม่พอยังกล้าจัดงานเลี้ยงโดยไม่ถามความเห็นเรา นางช่างกล้า...”

    “ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ ฮองเฮาคงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันเป็นเช่นนี้”

    “ลี่เอ๋อร์ ก็เพราะเจ้าจิตใจดีมากเกินไปเช่นนี้” ต้าเจิงประคองสนมรักของตนลงไปนอนบนแท่นบรรทมพร้อมกับดึงผ้านวมขึ้นมาห่มให้ “ไม่ต้องห่วง เราจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้านอนพักเถอะ”

    “ฝ่าบาท...”

    ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเอ่ย “ตู้กงกง ไปตำหนักเหมยฮวา”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    คล้อยหลังพระสวามีไปได้ครู่หนึ่ง จางม่านลี่จึงลุกขึ้นนั่ง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย

    “เจียวเอ๋อร์ เอาถุงเงินที่เตรียมไว้ให้หมอหลวงเติ้งไป”

    “เพคะพระสนม” ซูเจียวล้วงถุงเงินขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กจากแขนเสื้อเพื่อยื่นให้หมอหลวงประจำตำหนัก

    “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะพระสนม กระหม่อมทูลลา” หมอหลวงเติ้งรับเงินถุงนั้นแล้วรีบร้อนออกไปในทันที

    เมื่อไม่มีผู้ใดแล้วซูเจียวจึงรีบเดินไปปิดประตูห้องบรรทมก่อนจะเดินกลับมารินน้ำชาให้นายหญิงของตนได้ดื่มแก้กระหาย

    “ข้าละอยากจะไปตำหนักเหมยฮวากับฝ่าบาทนัก หากได้เห็นสีหน้าของฮองเฮายามที่ถูกกล่าวโทษจะเลวร้ายสักปานใดกันนะ”

    “หม่อมฉันคิดว่าคงไม่กล้าจองหองไปอีกสักพักเลยนะเพคะ”

    “เป็นอย่างนั้นได้ก็ดีสิ เจ้าอย่าลืมว่านางในตอนนี้ร้ายกาจและเฉลียวฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก อย่างไรก็ประมาทไม่ได้เด็ดขาด”

    “เพคะพระสนม”

    “อ้อ จริงสิ ข้ามีเรื่องให้เจ้าไปทำนะเจียวเอ๋อร์”

    “เชิญพระสนมรับสั่งมาได้เลยเพคะ”

    “พรุ่งนี้เจ้าไปตามหลินจวงมาพบข้าด้วย”

    “พระสนมมีอันใดจะใช้งานนางหรือเพคะ”

    “เรื่องนั้นเดี๋ยวเจ้าก็รู้”

    “ทราบแล้วเพคะ”

     

    ซือเย่วยังคงนั่งวางหมากอยู่ตามลำพังที่ศาลาหกเหลี่ยมกลางสวนบุปผารื่นรมย์ ยามที่นางต้องการใช้สมาธิเพื่อคิดอันใดบางอย่างนางมักจะเล่นหมากเช่นนี้ เป้าหมายไม่ได้เพื่อเอาชนะ แต่เพื่อให้สมองมันว่างมากพอจะไม่วอกแวกไปคิดอย่างอื่น

    ตั้งแต่พบว่ามีประตูปริศนาบานนั้นซ่อนอยู่ในตำหนักอันงดงามแห่งนี้นางก็รู้สึกใจไม่สงบเอาเสียเลย มีหลายเรื่องที่นางรู้สึกคาใจ แต่ตราบใดที่ยังเปิดมันไม่ได้นางก็ยังไม่อาจปล่อยวาง

    อีกหนึ่งชั่วยามจะเป็นยามจื่อ นางจะได้รู้เสียทีว่าด้านหลังประตูนั้น...

    “ฝ่าบาทเสด็จ!!

    “หา?”

    หมากสีขาวในมือของซือเย่วร่วงหล่นลงบนกระดานจนหมากที่วางเอาไว้กระเด็นออกไปจากจุดเดิมจนไม่รู้ว่าหมากตานี้จะเดินต่อไปทางใด

    จู่ๆก็โผล่หน้ามายามนี้ นี่เขาว่างมากจนต้องมาก่อกวนมารดาอีกแล้วงั้นหรือ อุตส่าห์ทำให้เกลียดชังปานนั้นก็ไม่น่าจะมีอันใดให้พิศวาสนางได้แล้วนี่ หรือจางหวงกุ้ยเฟยปรนนิบัติไม่ไหวเสียแล้วหรืออย่างไร

    แต่ว่าก็ว่าเถิด เขาช่างเลือกวันที่จะมาก่อกวนนางได้เหมาะเสียจริง คนยิ่งยุ่งๆอยู่ด้วย ให้ตายเถอะ

    “หรือว่าฝ่าบาทจะทรงทราบเรื่องที่เราจะเปิดประตูนั่นเพคะ” กุ้ยอินเอ่ยเสียงเบา ซึ่งมีเพียงสามคนที่อยู่ตรงนั้นที่ได้ยิน

    “อย่าตื่นเต้นไป อาจจะไม่ใช่ก็ได้ พวกเจ้ารักษากิริยาให้ดี อย่าให้เขาสงสัยอันใดเป็นอันขาด”

    สองฝาแฝดค้อมศีรษะ “ทราบแล้วเพคะ”

    ซือเย่วจัดหมากบนกระดานใหม่เล็กน้อย ทำสีหน้าเรียบเฉยและยังจดจ่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่อไป กระทั่งร่างสูงสง่าปรากฎกายขึ้นที่ประตูพระจันทร์[2]นางก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมแม้จะรู้ว่าเขามาถึงแล้วก็ตาม

    ทว่าชั่วขณะหนึ่งยามที่ใบหน้านวลของนางต้องแสงจันทร์กลับตรึงให้ต้าเจิงต้องหยุดมอง หางตาเรียวที่ชี้ขึ้นแสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นมุทะลุไม่ยอมคน คิ้วเชิดสูงที่ดูงดงามแต่แฝงไว้ด้วยความทะนงตนอย่างที่สุด ริมฝีปากกระจับได้รูปที่สามารถเปล่งวาจาพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา นัยน์ตาสีน้ำหมึกสื่อถึงความหนักแน่นมั่นคงไร้ซึ่งมารยาร้อยเล่ห์ที่สตรีพึงมี

    บอกตรงๆว่าองคาพยพบนใบหน้าของหลิวซือเย่วนั้นสมบูรณ์แบบจนเรียกได้งามล่มเมือง ทว่าใบหน้าหยิ่งผยองเช่นนี้แหละที่เขาเกลียดชังนัก เขาเกลียดสตรีที่รู้ทัน เขาเกลียดสตรีที่เก่ง

    แต่เพราะเหตุใดกันนะ เพราะเหตุใดวันทั้งวันเขากลับสลัดใบหน้าที่น่าเกลียดชังของนางออกจากหัวไม่ได้เสียที



    [1] ยามซวี คือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 19.00  - 20.59 น.

    [2] ประตูพระจันทร์ คือ ทางเปิดโล่งลักษณะวงกลมซึ่งเชื่อมต่อจากผนังหรือกำแพงที่ล้อมรอบสวน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×