คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : คุณธรรมข้อ 4 : นางช่างเป็นสตรีน่าชัง
ทันทีที่บุรุษรูปร่างใหญ่โตโถมเข้ามาหาซือเย่วก็ใช้เคล็ดวิชาฝ่าเท้าล่องเมฆาทะยานขึ้นบนอากาศก่อนจะตวัดส้นเท้าฟาดเข้าที่ท้ายทอยพวกมันจนหน้าคว่ำไปตามๆกัน
จากนั้นก็ถีบตัวกลางอากาศพุ่งเข้าหาคนที่เหลืออย่างรวดเร็ว ปล่อยพลังจากฝ่ามือกระแทกเข้าหาจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง
แต่ทว่าไม่น่าเชื่อแม้รูปร่างของพวกมันจะดูเทอะทะใหญ่โตเช่นนั้น
แต่การเคลื่อนไหวกลับคล่องแคล่วอย่างยิ่ง
ไม่เพียงแต่รับมือนางได้ยังโต้กลับได้อย่างสูสีเช่นกัน
ไม่ได้การแล้ว พวกมันมีจำนวนมากเกินไปมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเอาตัวเข้าแลก
แล้วนางก็มีแค่มือเปล่าเท่านั้น
หากมีกระบี่สักเล่มด้วยจำนวนคนมากเพียงนี้นางย่อมรับมือไหว
แต่ยามนี้นางต้องหนีไปก่อน
“คิดหนีหรือ!! ตามไป!!”
‘ข้าไม่ได้หนีโว้ย แต่ข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะอยู่เป็นกระสอบทรายให้พวกเจ้ารุมซ้อมต่างหากเล่าเจ้าพวกวัวหนิว[1]ทั้งหลายเอ๊ย!!’
ซือเย่วรวบรวมพลังไปที่ฝ่าเท้าเพื่อให้วิ่งหนีได้เร็วขึ้น
นางเองก็ไม่คาดคิดว่าหัวหน้าพรรคผู้มีเกียรติจะทำตัวต่ำช้าเรียกพวกมารุมเอาคืนนางเช่นนี้
ทว่านางวิ่งไปได้ไม่ไกลกลับต้องเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด
นี่สินะเขาเรียกว่าหนีเสือปะจระเข้ที่แท้จริง เมื่อจู่ๆถังซือกุ่ยและพวกในพรรคราวสามสิบสี่สิบคนกรูกันเข้ามาขวางหน้านางไว้เช่นกัน
บัดซบ!! ไอ้พวกหมาหมู่!!
“จะไปไหน มาให้ข้าจัดการเสียดีๆ เสียทั้งเงินเสียทั้งหน้า
หากจัดการเจ้าให้ลงไปกองกับพื้นไม่ได้ข้าไม่มีทางกลับ!!”
ซือเย่วถึงกับกลอกตามองฟ้าด้วยความเหนื่อยใจ ‘ถามจริงๆเถิด
หากพวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นเพียงสตรีแต่ดันล้มหัวหน้าพรรคผู้เลื่องชื่อทั้งสองได้จะไม่ยิ่งขายขี้หน้ามากกว่าหรือ!’
“เรื่องอันใดข้าจะอยู่ให้พวกเจ้ารุมรังแกเล่า ฝันไปเถอะ!!”
นางจัดการคนที่ขวางหน้าให้พ้นทางก่อนจะวิ่งหนีไป
ขึ้นชื่อว่าจอมยุทธ์มิใช่เพียงแต่ยึดมั่นในศักดิ์ศรียอมสู้จนตัวตาย
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางขอทิ้งศักดิ์ศรีลงชั่วคราวเพราะไม่อยากถูกท่านพ่อดุว่าก่อแต่เรื่องแต่ราวให้ปวดเศียร
ทำร้ายคนไม่ดีไปสักคนสองคนยังพอแก้ตัวได้
แต่นี่มากันร่วมร้อยนางจะแก้ตัวว่าอันใดเล่า
ไอ้เรื่องที่อยากเป็นหนึ่งในใต้หล้านั้นก็มิใช่ว่าไม่อยากเป็น
แต่มันยังไม่ใช่ยามนี้
โทษที่หนีออกจากจวนมารบยังไม่สะสางหากต้องมาเพิ่มโทษทำร้ายผู้คนนับร้อยเข้าไปอีกนางคงถูกจับขังในหอบรรพชนไปครึ่งปีเป็นแน่แท้
ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือนางต้องหนีเอาตัวให้รอดก่อน
เสียงอื้ออึงยังดังไล่หลังมาติดๆ ซือเย่วก็วิ่งหนีจนเหงื่อท่วม
แต่พวกมันก็ยังทำตัวเป็นเงาตามมาไม่ลดละ
ทำเช่นไรจึงจะสะบัดมันหลุดได้นะ!!
ว่าแล้วนางก็พุ่งขึ้นกลางอากาศคิดจะซ่อนตัวบนต้นไม้สูง
อย่างน้อยความมืดมิดในรัตติกาลคงจะพอบดบังร่างเล็กๆของนางได้
แต่ก็ไม่คาดว่าฉางมู่กังหัวหน้าพรรคอินทรีทองกลับคว้าข้อเท้าของนางเอาไว้แล้วดึงกระชากตัวนางลงมาจนกระแทกกับพื้นจนจุก
“อูย...ไอ้พวกหมาหมู่ แน่จริงสู้กันตัวต่อตัวกับข้าสิ”
นางโอดครวญสีหน้าเหยเกเป็นที่สุด
แรงกระชากอันมหาศาลเมื่อครู่คงทำให้ข้อเท้าของนางระบมเป็นแน่
นี่คนในร่างยักษ์หรืออย่างไรกันแรงเยอะปานนี้
“คิดจะหนีคนอย่างข้ารึไม่ง่ายปานนั้นหรอก
ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาไยจึงได้หนีหัวซุกหัวซุนเช่นนี้ได้เล่า”
‘ไม่หนีก็ม้วยน่ะสิ
มากันมากมายปานนี้กะจะฆ่ากันให้ตายหรือไง!’
“ฮึ เป็นถึงหัวหน้าพรรคกันทั้งนั้นแต่กลับมารุมรังแกข้าเพียงคนเดียว นี่ยังยืนยันไม่ได้อีกหรือว่าพวกเจ้ามันกระจอก”
หัวหน้าพรรคทั้งสามได้ยินเช่นนั้นก็เลือดขึ้นหน้า ลุแก่โทสะจนหน้ามืด
ชักทั้งกระบี่และดาบออกมาหมายจะสังหารคนตรงหน้าให้สิ้นชื่อ
“หนอยเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
หากวันนี้เลือดไม่กลบปากก็คงไม่เลิกจองหอง เตรียมตัวตาย!”
ซือเย่วรีบม้วนกายกลับหลังพลิกตัวลุกขึ้นยืนเพื่อหลบการปะทะ
พลันนั้นข้อเท้าซ้ายข้างที่ถูกกระชากก็ปวดแปลบขึ้นมา
หรือนางจะจัดการให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดี
เอาล่ะ ในเมื่อหนีไม่ได้แล้วก็สู้ไปเลยก็แล้วกัน
หางตาเหลือบไปเห็นท่อนไม้ขนาดเหมาะมือยังคว้าขึ้นมาแทนอาวุธ
ซือเย่วรวบรวมปราณเอาไว้ที่จุดเดียว พยายามลงน้ำหนักที่ข้อเท้าซ้ายให้น้อยที่สุด
ทั้งตั้งรับและโต้กลับ
แต่ไม่ว่านางจะจัดการพวกมันไปเท่าใดก็ดูเหมือนจะไม่จบไม่สิ้น
ฝีมือของฉางมู่กังและคนในพรรคไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
ซ้ำร้ายยังมีคนเล่นขี้โกงโปรยพิษบางอย่างใส่ดวงตานางจนตอนนี้ดวงตาพร่ามัวมองไม่เห็น
สุดท้ายนางก็พลาดท่าล้มลงไปนอนกับพื้นเพราะอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าและมองไม่เห็น
มู่กังยกยิ้มเหี้ยมโหดพลางว่า “นับว่าฝีมือเจ้าดีจริงดังที่น้องชายของข้าว่าไว้
ล้มลูกศิษย์ข้าไปได้เกินครึ่ง แต่ก็มาได้เท่านี้แหละนะ” มู่กังเงื้อมือข้างที่ถือดาบขึ้นหมายจะฟันอีกฝ่ายให้ตาย
ซือเย่วนึกโกรธตนเองนัก รู้เช่นนี้ไม่หนีให้เสียเวลาหรอก
นางน่าจะรู้ว่าคนพวกนี้ไม่เคยทำสิ่งใดนอกจากความชั่วช้า วันหนึ่งเถิดหากนางได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าเมื่อใดนางจะจัดการล้มพรรคกระจอกทั้งหลายเสียให้สิ้นซาก
คนเลวพวกนี้จะได้ไม่ไปรังแกคนบริสุทธิ์คนใดได้อีก
พวกชอบเล่นสกปรกอย่างนี้ต้องจับมัดขึงกับไม้กระดานแล้วใช้อีโต้สับๆๆให้หมื่นๆท่อน!
ทว่าในจังหวะที่มู่กังกำลังจะสังหารคนตรงหน้าเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับสายลมวูบหนึ่งก่อนจะโอบร่างของซือเย่วขึ้นมาจากพื้นดิน
ปลายดาบของมู่กังตวัดโดนผ้ารัดผมของนางจนเส้นผมที่รวบตึงสยายคลอเคลียเต็มหลัง
เงาร่างนั้นพยุงนางหายวับไปในความมืดมิดราวกับเงา พวกมู่กัง
รุ่ยหานและซือกุ่ยพยายามจะตามไปแต่ยังไม่ทันก้าวขาก็ถูกคนผู้หนึ่งที่สวมหมวกฟางจัดการอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมิดเสียงร้องโหยหวนดังไปสะเทือนไปทั่วผืนป่าราวกับปีศาจร้ายที่กำลังคำราม
เดิมทีต้าเจิงไม่ได้คิดจะตามมาช่วยคนในอ้อมกอดเพื่อผดุงความยุติธรรมเยี่ยงวีรบุรุษแต่อย่างใด
ความตั้งใจก็เพียงแต่คิดว่าจะแอบไปดูหน้าหญิงที่กำลังจะเป็นฮองเฮาของตนที่กองทัพของแม่ทัพใหญ่หลิวซือหยางสักหน่อยก่อนจะกลับเมืองหลวง
ก็ไม่คาดว่าจะผ่านมาพบแม่นางขวัญกล้าผู้นี้ถูกรุมทำร้ายอย่างไร้ซึ่งความยุติธรรม
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้จึงตัดสินใจเข้าช่วยโดยไม่ลืมจะใช้ผ้าปิดบังหน้าตาเอาไว้เพื่อป้องกันเรื่องวุ่นวายในภายหลัง
และภาพที่เห็นยามนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่านางเป็นหญิงไม่ใช่บุรุษอย่างที่เขาเข้าใจจริงๆ
รูปร่างบอบบางไม่พอยังมีนิสัยวู่วามใจร้อน
ไม่แปลกเลยที่จะถูกตามมาราวีเช่นนี้
ตัวอย่างก็ดูเรื่องที่เกิดขึ้นในหอลี่จวี๋นั่นเป็นไรมีอย่างหรือขวัญกล้าไปมีเรื่องกับบุรุษเช่นนั้น
ดูท่าคงแสบพอตัวเลยสินะ
“เป็นหญิงแท้ๆแต่ชอบหาเรื่องใส่ตัว เจ้าชื่นชอบความเจ็บปวดนักหรือ”
เขาถามขณะปล่อยให้นางได้นั่งพักข้างต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
รูปร่างหน้าตาหรือก็งดงามชวนมองไม่แพ้บุตรสาวคนนางในเมืองหลวง
ดีไม่ดีอาจจะงามกว่าด้วยซ้ำแล้วเหตุใดจึงได้ทำตัวราวกับบุรุษผู้ชื่นชอบเรื่องต่อยตีไปได้
“บ้าแล้ว ผู้ใดจะชื่นชอบความเจ็บปวดกัน
พวกมันแค่แค้นที่ข้าทำให้พวกมันขายหน้าผู้คนจึงได้ตามมาดักทำร้ายเอาต่างหาก”
นางแย้งกลับแม้จะมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายแต่ก็พอรู้ว่าคงไม่ได้มาร้าย
ส่วนมือก็คอยนวดเฟ้นข้อเท้าที่บวมช้ำของตนไปมา
“นั่นเจ้าบาดเจ็บรึ”
นางไหวไหล่อย่างไม่แยแส “เล็กน้อย
คงระบมตอนที่ถูกเจ้ายักษ์นั่นกระชาก”
ไม่รู้นึกอย่างไรคนที่ปกติหาได้สนใจผู้ใดนอกจากตนเองอย่างต้าเจิงฮ่องเต้กลับนั่งชันเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับจะช่วยนางถอดรองเท้าออกเพื่อดูอาการ
“ให้ข้าดูหน่อย”
“มะ...ไม่ต้อง!!” นางปัดมือของอีกฝ่ายออก ในชาตินี้นอกจากหลี่ลู่เหอแล้วนางก็ไม่เคยให้บุรุษคนใดใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อน
ขนาดหยางจิวหลางเองอย่างมากก็จับมือบ้างเล็กน้อย
คงเพราะเขาจำใจทำด้วยความฝืนทนจึงไม่เคยคิดล่วงเกินนางไปมากกว่านั้น
พูดถึงขึ้นมาแล้วก็เจ็บแปลบในอกจี๊ดๆ
“จะดื้อไปไยกัน ตารึก็มองไม่เห็น เจ็บขนาดนี้แล้วยังอวดเก่ง
หากข้าไม่ช่วยป่านนี้คงได้นอนคุยกับรากต้นไผ่แล้วกระมัง”
ซือเย่วหันไปทางบุรุษตรงหน้า เบ้ปากใส่ด้วยความไม่พอใจ
น่าเสียดายนักที่นางมองไม่เห็น
นอกจากซุ่มเสียงที่เผยถึงความเย่อหยิ่งทะนงตนของเขาแล้วนางก็ไม่อาจเห็นโครงหน้าชัดๆของอีกฝ่ายได้
ไม่อย่างนั้นนางจะได้จดจำบัญชีความหมั่นไส้นี้เอาไว้ในใจให้แม่นๆ
“ถ้าจะมาทับถมกันเช่นนี้ แล้วมาช่วยข้าทำไมเล่า ไม่ได้ขอเสียหน่อย!”
หางคิ้วของต้าเจิงกระตุกหงึกๆ
หมดอารมณ์จะช่วยดูอาการให้จึงลุกขึ้นยืนตัวตรงตามวิสัยของผู้เป็นใหญ่ในแคว้น
ก่อนจะหันหลังให้อย่างหงุดหงิด
“เหอะ อวดดี!”
หญิงผู้นี้ช่างเป็นสตรีที่น่าชังนัก! แค่เขายอมลดตัวมาช่วยก็ดีเท่าใดแล้วผู้ใดได้เป็นคู่ครองคงได้เสียใจไปชั่วชีวิต!
“ท่านช่วยข้าไว้ข้าย่อมตอบแทนแน่
ข้าไม่ใช่คนเนรคุณผู้ใดขอเพียงบอกข้ามาข้ายินดีทำทั้งนั้น
แต่อย่างไรเรื่องวันนี้ขอบคุณท่านมาก
หากข้าไม่บาดเจ็บเสียก่อนคงไม่ต้องลำบากให้ท่านช่วย”
ต้าเจิงเหลือบมามองนางแค่นหัวเราะคำหนึ่งก่อนจะล้วงขวดยาเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือนาง
“ข้าช่วยไม่ได้หวังผลตอบแทน เพียงแค่ไม่อยากเฉยเมย
ยานี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้เก็บไว้ใช้เสีย ส่วนดวงตาเจ้าเพียงโดนพิษอ่อนๆเท่านั้นอีกไม่นานคงกลับมาเป็นปกติ
ถึงยามนั้นหาทางกลับเรือนเอาเองก็แล้วกันข้ามีธุระต้องไปแล้ว”
“ขอบ...” ไม่ทันได้พูดจนจบต้าเจิงก็พุ่งกายหายไปเสียแล้ว “อะไรกัน
คนอุตส่าห์จะขอบคุณอย่างจริงใจสักหน่อยกลับไม่อยู่ฟัง พิลึกคนนัก”
ซือเย่วบ่นพึมพำอยู่เพียงลำพังพลางลูบคลำขวดยาในมือด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจที่นางเองก็ไม่รู้ว่าคืออันใด
นางนั่งอยู่เช่นนั้นราวครึ่งเค่อดวงตาของนางก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ
พลันนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของลู่เหอ นางจึงร้องตอบไป
ไม่นานลู่เหอและทหารราวๆเจ็ดแปดคนก็วิ่งตรงมาหานางด้วยความเป็นห่วง
หลังจากกลับไปที่หอลี่จวี๋เขาก็ไม่พบนางอยู่ที่นั่นทั้งยังได้ฟังวีรกรรมอันเลื่องลือไปทั่วอีกด้วย
เพราะเหตุนี้เขาจึงได้เร่งตามนางมา
ก่อนจะได้เห็นกองมนุษย์ครึ่งร้อยนอนร้องโอดโอยอยู่ห่างจากตรงนี้ไปราวสองหลี่
ใจของเขาหายวาบด้วยคิดว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนางจึงเร่งให้คนช่วยกันออกตามหาจนมาพบ
“เย่วเอ๋อร์!!”
ลู่เหอรีบโผเข้าไปดูน้องสาวต่างแซ่ของตนด้วยความห่วงใยสุดแสน
สีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างที่สุด
“ท่านพี่”
“คนที่นอนเจ็บมากมายนั่นฝีมือเจ้าหรือ”
“หา”
นอนเจ็บมากมายงั้นหรือ? อย่างนั้นเขาก็ไม่ได้มาผู้เดียวน่ะสิแล้วการที่จัดการคนมีวรยุทธ์ร่วมร้อยลงได้ต้องเป็นคนที่เก่งกาจมากๆในระดับหนึ่ง
ตกลงเขาเป็นผู้ใดกันแน่
“ว่าอย่างไร ใช่ฝีมือเจ้าหรือไม่”
“แฮะๆ ก็...นิดหน่อย” ซือเย่วไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
จะบอกว่าไม่ใช่เขาก็คงไม่เชื่อ แต่จะบอกว่าใช่เขาก็คงไม่เชื่ออีกเพราะจากสภาพนางที่เป็นอยู่ดูก็รู้ว่าไปมีเรื่องมา
อีกอย่างนางไม่ต้องการให้ลู่เหอรู้เรื่องบุรุษกวนโมโหผู้นั้น
“ยังจะมาตีหน้าทะเล้นใส่ข้าอีกหรือ
รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปมันมีผลมากมายเพียงไรกัน”
“ท่านพี่ อย่าดุข้านักเลยเจ้าค่ะ ข้าสำนึกผิดไม่ทันแล้ว
ดูสิข้าบาดเจ็บอยู่นะ” ซือเย่วพยักเพยิดให้พี่ชายดูที่ข้อเท้าอันบวมเป่งของตน
คราแรกตั้งใจจะดุนางให้หลาบจำแต่พอเห็นว่าซือเย่วบาดเจ็บจริงจึงถอนใจออกมาคำหนึ่ง
“เจ้านี่นะ จริงๆเลย”
หญิงสาวยิ้มหวานพลางนึกในใจว่า ‘รอดแล้ว’
ใช่ นางรอดที่ลู่เหอเลิกตำหนินางแล้ววุ่นวายอยู่กับการหายามาประคบให้มือเป็นระวิง
แต่บิดาของนางกลับเป็นฝ่ายสั่งลงโทษให้นางคุกเข่าสำนึกผิดหนึ่งชั่วยามแทน
เพราะถึงแม้ลู่เหอจะไม่ได้เล่าเรื่องที่คนของสามพรรคมาดักรุมทำร้ายนางกลางทาง
แต่นางก็ยังมีความผิดที่ไปก่อเรื่องวุ่นวายในหอลี่จวี๋อยู่ดี
เฮ้อ หนีก็โดน ไม่หนีก็โดน
รู้อย่างนี้นางจัดการสามพรรคนั่นให้สาแก่ใจเสียยังจะดีกว่า
เรื่องครานี้นางขาดทุนย่อยยับจริงๆ โธ่เอ้ย เซ็ง...
ความคิดเห็น