คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คุณธรรมข้อ 3 : แค้นอายนี้ต้องชำระ
“เฮอะ! ไอ้หนุ่มหน้าหวาน ช่างไม่เจียมเอาเสียเลยนะ
รูปร่างบอบบางอย่างเจ้าน่ะรึจะจัดการพวกข้าให้สาสม คำคุยสิไม่ว่า”
จบคำของซือกุ่ยทั้งสองพรรคก็พากันหัวเราะครืนส่งเสียงเอ็ดอึงไปทั่วบริเวณ
ยัง พวกมันยังไม่สำนึก
ต้องให้นางจับทุ่มลงกับพื้นให้ได้เสียก่อนใช่หรือไม่ ซือเย่วกำหมัดแน่น
ไยบุรุษจึงได้ชอบดูถูกคนที่ดูบอบบางกว่านัก
“ดี ดี ในเมื่อข้าพูดดีดีแล้วพวกเจ้ากลับไม่สำนึก
เช่นนั้นก็เตรียมรับมือ”
จบคำนางก็ไม่ปล่อยให้พวกมันได้เตรียมตัว
ถีบตัวขึ้นกลางอากาศก่อนจะกระโดดขึ้นไปชั้นสองฝั่งของพรรควานรเหินนภา
จัดการกระชากคอเสื้อของถังซือกุ่ยขึ้นแล้วจับเขาโยนลงไปที่ชั้นล่าง
จากนั้นก็พุ่งไปอีกฝั่งทำเช่นเดียวกันกับรุ่ยหานจนตอนนี้พวกเขาทั้งสองนอนพังพาบเผชิญหน้ากันอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ย!!”
ทั้งสองอุทานขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะผงะออกจากกันดูน่าขบขัน
บรรยากาศรอบข้างพลันลดความตึงเครียดลง
ครู่ต่อมาซือเย่วก็กระโดดลงมาจากชั้นสองด้วยท่วงท่าที่สง่างามยิ่ง
บรรดาสาวงามต่างก็พากันจ้องมองไปที่นางกันตาไม่กระพริบ
“หากจะทะเลาะกันไยต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
พวกเจ้าทั้งสองมีปัญหากันก็จัดการตกลงกันแค่สองคนไปสิ
ผู้อื่นไม่ได้มาร่วมรับรู้ปัญหากับพวกเจ้าด้วยเสียหน่อย เอ้า ข้าให้โอกาสอีกที
ว่ามา จะรับผิดชอบเรื่องของข้าอย่างไร”
ซือเย่วยืนกอดอกมองทั้งสองรอคอยคำตอบ
แขกคนอื่นๆบ้างก็นึกชื่นชมนางอยู่ในใจ
บ้างก็ซุบซิบพูดคุยกันว่านางเป็นบุตรชายตระกูลใดจึงได้อาจหาญต่อกรกับหัวหน้าพรรคมีชื่อของเมืองถงเซียงได้
พลันนั้นนายหญิงใหญ่แห่งหอลี่จวี๋อันเลื่องชื่อก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาดูสถานการณ์หลังจากได้รับคำรายงานจากเสี่ยวเอ้อคนสนิท
ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำเอานางหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก
“โธ่...นายท่านทั้งสาม หยุดทะเลาะกันเถิดนะเจ้าคะ
เห็นหรือไม่ว่าแขกของข้าตกใจกันหมดแล้ว พวกท่านทำเช่นนี้ข้าเดือดร้อนนะเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่อ้อนวอนน้ำตารื้น อุตส่าห์คิดว่าวันนี้ลูกค้ามากมายนักคงจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแล้วเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“อ๊ะๆ ข้าไม่ได้เริ่มเสียหน่อย เขาต่างหากที่เป็นเจ้าของอาวุธพวกนั้น
เช่นนั้นเจ้าก็ไปทวงกับเขาก็แล้วกัน” ซือกุ่ยบุ้ยบ้ายความผิดทั้งหมดไปที่รุ่ยหาน
“อ้าวๆ เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าซัดอาวุธไปหาเจ้าก็จริง
แต่เป็นเจ้าต่างหากที่ปัดมันไปทางคุณชายท่านนี้!”
“หยุด!” ซือเย่วโกรธจนควันออกหู
ไยสองคนนี้จึงได้ดื้อด้านไม่ยอมรับผิดกันเช่นนี้นะ “ได้
ในเมื่อพวกเจ้ายืนยันที่จะไม่รับผิดชอบเช่นนั้นแม่นางท่านมาหาข้าตรงนี้หน่อยเถิด”
คนที่ถูกเอ่ยถึงชี้นิ้วเข้าหาตนเองเชิงถาม ซือเย่วพยักหน้ายืนยันว่าใช่นางจึงเดินเข้าไปหา
ครู่ต่อมาซือเย่วก็จับมืออีกฝ่ายขึ้นมาแบไว้จากนั้นก็ล้วงถุงเงินสองถุงใหญ่ออกมาวางใส่มือนาง
ซือกุ่ยและรุ่ยหานที่ยืนมองอยู่พลันตาโตเมื่อเห็นแล้วว่าถุงเงินทั้งสองถุงนั่นเป็นของผู้ใด
“นั่นมันของข้า เจ้า! เอาไปตั้งแต่เมื่อใดกัน!!”
ผู้คนที่ดูเหตุการณ์มาตั้งแต่แรกส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
“คราแรกก็กะจะให้พวกเจ้ายอมรับผิดแล้วเอ่ยปากว่าจะรับผิดชอบจึงจะคืนให้
แต่ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างที่ข้าคิดเช่นนั้นข้าก็คงต้องถือวิสาสะ”
ซือเย่วหันไปหานายหญิงใหญ่ก่อนจะสั่งว่า “ค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ล้วงออกไปได้เลย
ที่เหลือค่อยเอาไปคืนเจ้าตัวเสีย
หากพวกเขามีปัญหาอีกเจ้าไปร้องทุกข์ที่ศาลต้าหลี่ได้ทุกเมื่อ
พวกข้าและแขกคนอื่นๆพร้อมจะเป็นพยานให้เจ้า”
จบคำของซือเย่วทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย
เรื่องครั้งนี้ทั้งสองพรรคผิดเต็มๆ การชดเชยค่าเสียหายให้เจ้าของสถานที่ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร
อีกอย่างคนที่นี่ล้วนรู้จักอุปนิสัยของหัวหน้าพรรคทั้งสองคนนี้เป็นอย่างดี
“หนอย...เจ้าเด็กเมื่อวานซืน
กล้าทำให้พวกข้าขายหน้าต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ คงอยากเจ็บตัวล่ะสินะ ได้!
ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งเองว่าการมาลบหลู่ผู้อื่นเช่นนี้จะได้ผลเช่นไร!!”
จากนั้นพวกเขาก็กระโจนใส่นางด้วยความเดือดดาล
สีหน้าเขียวคล้ำด้วยความโกรธอย่างที่สุด
ค่าเสียหายไม่ใช่ปัญหาแต่เรื่องเสียหน้าหัวหน้าพรรคผู้ยิ่งใหญ่ยอมไม่ได้จริงๆ
และไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ซือกุ่ยและรุ่ยหานร่วมแรงร่วมใจกันเล่นงานบุรุษรูปร่างอ้อนแอ้นเพียงคนเดียว
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เป็นห่วงเกรงว่านางจะถูกรุมทำร้าย
บ้างก็หยิบของใกล้มือหมายจะนำมาเป็นอาวุธช่วยเหลือ
บ้างก็ให้คนไปตามเจ้าหน้าที่ทางการมาห้ามปราม
แต่ผู้ใดจะไปคาดว่าเจ้าหนุ่มหน้าหวานรูปร่างอ้อนแอ้นกลับรับมือบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ทั้งสองได้อย่างง่ายดาย
นางไม่เพียงรับมือได้ทุกกระบวนท่าแต่ยังสวนกลับได้อย่างหนักหน่วง
ทั้งๆที่ทั้งสามไม่มีอาวุธในมือเพราะกฎของที่นี่คือห้ามพกอาวุธเข้ามาด้วย
ทั้งสามจึงสามารถใช้ได้เพียงแขนขาและฝ่ามือ แต่ซือเย่วกลับทั้งตั้งรับและโต้กลับได้ทุกกระบวนท่า
คนที่ได้ชื่อว่าเป็นถึงหัวหน้าพรรคอย่างซือกุ่ยและรุ่ยหานทั้งเจ็บทั้งอาย
เรื่องเช่นนี้รู้ไปถึงที่ใดก็อายไปถึงที่นั่น
หากพวกเขาแพ้วันนี้คงไม่มีคนมาขอเป็นศิษย์อีกแน่ๆ
บัดซบยิ่งนัก!!
ต้าเจิงฮ่องเต้ที่นั่งมองนางอยู่ตลอดเผลอยกยิ้มที่มุมปากไม่รู้ตัว
ส่วนต้าเหลียนนั้นหาได้สนใจสิ่งใดไปมากกว่าหญิงงามตัวต้นเรื่องทั้งหมดอย่างอวี้ซิน
ท่าทีหวาดกลัวของนางทำเอาอ๋องหนุ่มใจละลายเหลวเป็นขี้ผึ้ง
มารยาของอวี้ซินนับได้ว่าเป็นหนึ่งในหอลี่จวี๋นี้
ไม่มีบุรุษคนใดที่อยู่ใกล้นางแล้วจะไม่หลงใหล
แต่ทำไมจึงใช้กับบุรุษรูปงามผู้นั้นไม่ได้ผลเล่า!!
“ท่านพี่ ในนี้อันตรายนัก เราออกไปกันเถิด”
ต้าเหลียนว่าขณะที่ยังโอบกอดอวี้ซินเอาไว้อย่างปกป้อง
ต้าเจิงปรายตามามองน้องชายไม่ได้เรื่องของตนครู่หนึ่งก่อนจะมองอวี้ซินแล้วจึงเอ่ยว่า
“เจ้าอยากไปก็ไปเถอะ เอาตัวต้นเหตุนั่นไปด้วย
แล้วสั่งสอนนางด้วยว่าเลิกใช้มารยาทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้แล้ว”
พริบตาเดียวใบหน้าขาวลออของอวี้ซินก็แดงก่ำ ร่างบอบบางชาดิก
ไม่เคยมีบุรุษคนใดด่านางต่อหน้าเช่นนี้มาก่อนเลยเมื่อถูกตำหนิตรงๆเช่นนี้นางจึงรับไม่ได้และรู้สึกโกรธจนร่ำไห้ออกมา
สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวลุกหนีไปดื้อๆ
ส่วนต้าเหลียนมีหรือจะปล่อยหยกงามหลุดลอยไปง่ายๆ
ร่างสูงจึงลุกตามนางไปอย่างรวดเร็วหวังสานต่อสัมพันธ์กับนางอีกครั้งหนึ่ง
ปล่อยให้พี่ชายผู้แปลกประหลาดของตนนั่งชมเรื่องสนุกๆตรงหน้าต่อไป
ยามนี้สภาพของซือกุ่ยและรุ่ยหานทั้งสะบักสะบอมร่างกายบอบช้ำและชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ในขณะที่ซือเย่วกลับยังดูดีทุกกระเบียดนิ้ว
บรรดาลูกศิษย์ในพรรคคนอื่นๆเริ่มหน้าเสียไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้พากันวิ่งกรูลงมาดูแลหัวหน้าพรรคตนเองอย่างทุลักทุเล
“เรื่องอาหารของข้าข้าจะไม่ถือสาก็ได้
แต่อย่างน้อยๆเจ้าต้องเอ่ยคำว่าขอโทษทุกคนที่นี่เสีย” ซือเย่วว่าสีหน้าจริงจัง
นางเกลียดคนที่ทำผิดแต่ไม่รับผิด ฉะนั้นนางจะไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเด็ดขาด “เอ้า
ว่าอย่างไรเล่าหัวหน้าพรรคทั้งสองจะขอโทษทุกคนในที่นี้ดีๆหรือไม่”
ทั้งซือกุ่ยและรุ่ยหานกัดฟันกรอด
เก็บความแค้นและอับอายครั้งนี้เอาไว้ในใจ แม้จะอยากจัดการคนตรงหน้าใจจะขาดแต่เพราะสู้ไม่ไหวจำใจต้องค้อมศีรษะลงอย่างเสียมิได้
ทว่าถึงกระนั้นก็ยังไม่มีถ้อยคำขอโทษเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากของพวกเขาแม้สักนิด
ซ้ำแล้วทั้งสองพรรคยังสะบัดกายจากไปด้วยอารมณ์ที่ยังคุกรุ่นไม่จางหาย
“คุณชาย ท่านทำเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ
พวกเขาทั้งสองมิใช่คนจะยอมความง่ายๆอย่างที่ท่านคิดหรอกนะเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่แห่งหอลี่จวี๋บอกนางด้วยความเป็นห่วงและหวังดี
“แม่นาง เจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกนะเจ้าก็คงเห็นว่าข้าก็พอมีฝีมือพอตัวอยู่
แต่ข้าอยากจะแนะนำให้ท่านจ้างคนมีฝีมือดีๆไว้ใช้งานบ้าง หากมีเหตุการณ์เช่นนี้อีกจะได้พอห้ามคนจองหองพวกนั้นได้
ถุงเงินนั่นหลังจากหักค่าเสียหายทั้งหมดท่านก็เก็บเอาไว้ก่อน
วันหน้าค่อยคืนพวกเขาไปก็แล้วกัน
เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คงจะกลับมาใช้บริการที่นี่อีกแน่นอน
วันนี้ข้าคงไม่มีอารมณ์จะทานอาหารต่อแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
จบคำซือเย่วก็ยื่นถุงเงินให้นางพร้อมกับจากไปโดยมีต้าเจิงฮ่องเต้มองตามหลังอย่างไม่ละสายตา
จากนั้นเพียงพริบตาเดียวภาพของบุรุษรูปงามเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่เคยนั่งชมดนตรีที่โต๊ะข้างๆกันก็หายวับไปโยไม่มีผู้ใดทันสังเกต
บรรยากาศครึกครื้นของเมืองถงเซียงยังคงดำเนินต่อไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
ในขณะเดียวกันด้านนอกเมืองกลับเงียบสงัดวังเวงไม่ต่างกับป่าช้า
หากเป็นผู้อื่นคงจะเลี่ยงที่จะออกมาเดินเพ่นพ่านในยามนี้แต่สำหรับซือเย่วนางกลับไม่รู้สึกรู้สา
เคล็ดวิชาต่างๆที่นางพร่ำฝึกฝนตามลำพังในยามค่ำคืนมิใช่ด้อย ถึงนางจะเสียตำราทั้งหมดให้กับบุรุษโฉดชั่วอย่างหยางจิวหลางหัวหน้าพรรคมารโฉดชั่วผู้นั้นไป
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่มีวันรู้ก็คือความลับบางอย่างที่จะสามารถใช้เคล็ดวิชาเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่ที่สุดและทรงพลังอย่างที่สุด
อย่างมากพวกเขาก็อาจจะฝึกได้สำเร็จแต่ก็ยังเป็นรองนางที่เป็นเจ้าของตำราที่สืบทอดมาจากมารดาโดยตรงอยู่ดี
ในขณะที่นางทอดน่องเดินผ่านความมืดมิดในคืนที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์นวลอย่างสบายอารมณ์
มือข้างหนึ่งกระพือพัดลายเรียบๆไปมา
รอบกายมีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมเป็นระยะๆชวนให้จิตใจสงบยิ่ง
“ออกมา อย่าทำตนราวกับสุนัขลอบกัด ข้าไม่ชอบ”
จู่ๆนางก็เอ่ยแทรกความวังเวงรอบกายขึ้นมา
พลันนั้นก็ปรากฏร่างสูงของบุรุษหลายสิบคน
ข้างๆคนที่ดูน่ากลัวที่สุดจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้เลยนอกจากคู่ปรับหมาดๆของนางอย่างรุ่ยหาน
ดูจากการแต่งกายที่เครื่องหมายคงจะเป็นคนจากอีกพรรคกระมัง หากให้เดาพวกเขาคงเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทว่าสิ่งที่พวกเขาทั้งสองพรรคแตกต่างกันก็คือกลิ่นอายสังหารที่มากมายจนนางรับรู้ได้
คนพวกนี้ไม่ธรรมดาผิดกับหัวหน้าพรรคกระจอกนั่นหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว
“เจ้าหนุ่มนี่น่ะหรือที่เอาชนะเจ้าได้ นี่มันเรื่องตลกร้ายอันใดกัน”
ฉางมู่กังยืนกอดอกจ้องมองซือเย่วสีหน้าเย้ยหยันเต็มที่
“ท่านพี่อย่าได้ดูถูกมันทีเดียว ฝีมือมันร้ายกาจนักขอรับ”
“เฮอะ รูปร่างอ้อนแอ้นปานสตรีในห้องหอไม่คณามือข้าหรอก”
“ขอโทษด้วยพวกท่านทั้งหลาย
ไม่ทราบว่าพวกเจ้ายังมีธุระอันใดกับข้างั้นหรือ” นางแสร้งหันไปหารุ่ยหานก่อนจะแสร้งทำตาโตคล้ายนึกอันใดออก
ก่อนจะว่า “อ้อ หรือว่าเจ้าจะมาทวงถุงเงินคืนมันไม่ได้อยู่กับข้าหรอกนะ
เจ้ามาตามผิดคนแล้วล่ะ”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันไม่ได้คิดจะมาทวงถุงเงินอันใดนั้นเลยสักนิด
แต่นางก็ทำเสแสร้งว่าไม่รู้เรื่องอันใดไปก่อน ระหว่างเอ่ยซือเย่วลอบมองไปรอบๆเพื่อนับจำนวนคู่ต่อสู้เท่าที่พอจะนับได้
เท่าที่เห็นก็ราวๆสามสิบหรืออาจจะมากกว่านั้น
อาวุธใดนางก็ไม่ได้พกติดกายมาเสียด้วย จำนวนมากขนาดนี้คงตึงมือนัก
อย่างไรนางก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆซ้ำยังมาผู้เดียว
อย่างนั้นก็จัดการลงไปกองกับพื้นสักยี่สิบแล้วค่อยเผ่นกำลังดี
“ถุงเงินนั่นมันก็แค่เศษเงินของข้า
ข้าจะถือว่าจ่ายให้นายหญิงใหญ่ไปเพื่อชดเชยค่าเสียหาย
แต่กับเจ้าข้าต้องคิดบัญชีให้สาสมเสียก่อน ไม่อย่างนั้นใจข้าคงสงบไม่ได้แน่!”
จบคำพวกมันก็พากันสาวเท้าเข้าหานางหนึ่งก้าว
ซือเย่วใช้พัดในมือชี้หน้าอีกฝ่ายยิกๆ “อ๊ะ! นี่ๆ
พวกท่านทำเกินไปหรือไม่ ข้าคนเดียวจะรับมือพวกท่านทั้งหมดได้หรือ
เอาเปรียบกันเกินไปแล้ว”
“ข้าไม่สน
ท่านพี่มู่ทำให้มันได้รู้ว่าพรรคอินทรีทองของท่านเก่งกาจเพียงไร!”
“ได้! อยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดี จัดการมัน!!”
ความคิดเห็น