คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คุณธรรมข้อ 1 : โชคชะตา
เมืองถงเซียง แคว้นลู่ รัชศกหยวนหมิง ปีที่สอง
ภาพของบุรุษหน้าตาคมคายรูปร่างสูงใหญ่ดูองอาจกับบุรุษรูปงามราวอิสสตรีรูปร่างสูงโปร่งปราดเปรียวเดินเคียงคู่กันในตลาดสดใจกลางเมืองถงเซียงเรียกความสนใจจากเหล่าหญิงสาวและบุรุษหลายคนต้องหยุดมองพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
และคนที่ถูกผู้คนกล่าวถึงมากที่สุดคงเป็นหลิวซือเย่วที่ยามนี้ออกอาการตื่นเต้นดีใจจนออกนอกหน้า
วิ่งเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น
รอยยิ้มสดใสของนางดึงดูดให้ทุกคนต้องหยุดมองด้วยความสนใจ
ผ่านมาห้าปีแล้วที่จินฟางหรูมาเกิดใหม่ในร่างของคุณหนูผู้งดงามแต่อ่อนแอหลิวซือเย่วผู้นี้
คราแรกที่นางตื่นลืมตาขึ้นมานางก็สับสนงุนงงไปหมด นางเข้าใจว่านางนั้นตายไปแล้วที่ริมแม่น้ำซิวฮุ่ยและไม่ได้คาดหวังว่าคำขอที่นางพร่ำสวดมนต์อ้อนวอนต่อเง็กเซียนฮ่องเต้จะเป็นจริงได้
แต่ภาพที่คนในตระกูลหลิวล้อมหน้าล้อมหลังนางที่เพิ่งผ่านพ้นความตายห่วงใยนางจากใจจริงก็เป็นสิ่งยืนยันแล้วว่าพระองค์ยังทรงเมตตานางอยู่บ้าง
และยิ่งนางได้รู้จักพวกเขานางก็ยิ่งรู้สึกผูกพันราวกับนางเป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของพวกเขาจริงๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมานางมีความสุขอย่างมาก แม้พวกเขาจะไม่ใคร่ให้นางออกจากเรือนไปที่ใดนักก็ตามที
แต่สุดท้ายนางก็ยังแอบหนีออกไปจนได้อยู่ดีนั่นแหละ
พวกเขามีความพยายามอย่างมากที่จะเลี้ยงดูนางให้อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
ร่ำเรียนตำรายอดหญิงเช่นนั้นเช่นนี้ เรียนรู้การบ้านการเรือน ฝึกฝนกิริยามารยาทให้งดงามอยู่เสมอ
และสุดท้ายคือการครองเรือนหลังจากพบคนที่ถูกใจ
หารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในสายตานางอีกเลยนับตั้งแต่ถูกบุรุษจิ้งจอกอย่างหยางจิวหลางทรยศหักหลังอย่างเลือดเย็น
จริงอยู่ว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่หญิงสาววัยปักปิ่นควรกระทำเพื่อเตรียมจะออกเรือน
แต่แล้วอย่างไรเล่า ทำดีให้ตายสุดท้ายสามีที่เรารักเทิดทูนบูชาก็นำอนุน่าชังเหล่านั้นเข้าจวนอยู่ดี
หากต้องทนทุกข์ระทมกับเรื่องเช่นนี้มิสู้อยู่เป็นโสดจนตายไม่ดีกว่าหรือ
นับว่ายังดีที่นางจดจำเคล็ดวิชาที่ได้จากตำราสามเล่มของท่านอาจารย์ในชาติก่อนได้อย่างแม่นยำ
มาในชาตินี้ไม่มีผู้ใดขัดขวางนางจึงสามารถฝึกฝนมันได้จนเชี่ยวชาญ ยิ่งได้อาจารย์ที่ดีฝีมือไม่เป็นรองผู้ใดในใต้หล้าอย่างบิดาซึ่งอีกไม่กี่วันอาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นกั๋วกงและพี่ชายต่างสายเลือดผู้แสนดีอย่างหลี่ลู่เหอมาช่วยสั่งสอน
นางก็ยิ่งพัฒนาฝีมือไปได้เร็วมากขึ้นอีก
หากจะติดอยู่ก็เพียงเรื่องเดียวที่แคว้นลู่นี้ได้ชื่อว่าสตรีอย่างไรก็ต้องตกเป็นรองบุรุษอยู่วันยังค่ำ
หัวโบราณ! คร่ำครึ!
คอยดูเถอะ อีกไม่นาน นางนี่แหละจะกลายเป็นยอดหญิงหนึ่งในใต้หล้าให้ดู!
“ช้าหน่อยซือเย่ว ประเดี๋ยวจะหลงทางเอาได้” น้ำเสียงของรองแม่ทัพหลี่ลู่เหอฟังดูคล้ายจะดุ
ทว่าสายตาและสีหน้าของเขากลับไม่ได้มีท่าทีตำหนินางที่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
ซือเย่วกรอกตา “โธ่ พี่ลู่เหอ ข้าโตแล้วนะเจ้าคะ มิใช่เด็กสองสามขวบ
จะห่วงอันใดกันนักเล่า” นางย้อนก่อนจะกางแขนออกกว้างให้อีกฝ่ายเห็น “แล้วท่านดู
แต่งกายรัดกุมไม่ต่างจากบุรุษปานนี้ พวกนักเลงคงไม่กล้าคิดไม่ดีกับข้าหรอก”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเก่ง อย่างไรก็ระมัดระวังตัวบ้างเถิด”
ใช่ นางเก่งเขาไม่เถียง แต่ดูสิเล่า ขนาดนางสวมใส่อาภรณ์บุรุษยังรูปงามขนาดนี้
หากมองด้วยสายตาของบุรุษที่โชกโชนเรื่องสตรีเขามั่นใจเลยว่าต้องดูออกแน่ๆ
นางเป็นพวกง่ายๆไม่คิดมากแต่เขาคิด ไม่ว่าจะสตรีหรือบุรุษ
เขาก็หวงทั้งนั้น เรื่องอันใดจะยอมให้คนอื่นมาแตะต้องหรือชื่นชมน้องสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาแต่เล็กกัน
“ถึงเมืองถงเซียงนี้จะเล็กกว่าเมืองหลวงแต่ก็นับว่าครึกครื้น
สาวงามก็มากมาย บุรุษก็องอาจหล่อเหลา ดี ดี เจริญหูเจริญตานัก”
คนหนึ่งคอยตักเตือนไม่ให้นางซุกซน
แต่อีกคนกลับไม่เคยเชื่อฟังซ้ำยังทำไขสือไปเรื่อยเปื่อยช่างน่าปวดหัวยิ่ง
“ซือเย่ว เจ้าเป็นสตรี จะพูดจะจาก็เพลาๆบ้างเถอะ สวมชุดบุรุษแต่ก็ไม่ต้องกลายเป็นบุรุษจริงจังถึงเพียงนี้ก็ได้”
“ไม่ได้สิเจ้าคะ หากสวมชุดเช่นนี้แล้วทำท่าทางอ้อนแอ้น
ประเดี๋ยวสาวงามก็คิดว่าเราทั้งคู่เป็นต้วนซิ่วขึ้นมา เกิดท่านต้องขึ้นคานเพราะข้า
ข้าไม่รับไม่รู้ด้วยนา”
“นี่!! เย่วเอ๋อร์! เจ้านี่นะ!” ลู่เหอไม่ไหวจะตักเตือนนางแล้ว
เหตุใดยิ่งเติบโตจึงได้ยิ่งปากร้ายไร้ซึ่งความอ่อนหวานได้ถึงปานนี้
ทั้งๆที่เมื่อครั้งยังเล็กนางน่ารักน่าทะนุถนอมกว่านี้นี่นา
พลันนั้นผู้ติดตามอย่างลั่วหลิวอินก็ขำออกมา จนลู่เหอต้องรีบหันไปตำหนิ
ซือเย่วถอนหายใจให้พี่ชายผู้ไม่เคยเล่ห์สายตามองหญิงใดของตน “ท่านพี่ จะโมโหไปทำไมกันนะ
ก็ข้าพูดเรื่องจริงนี่ ท่านก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว
ท่านป้าก็เปรยให้ข้าฟังอยู่ตลอดว่าอยากจะอุ้มเจ้าซาลาเปาตัวน้อยจะแย่
แต่ท่านก็อิดออดทำเฉไฉไปเรื่องอื่นทุกที”
“กะ...ก็ข้ายังไม่อยากเอาตัวไปผูกติดกับใครนี่ เป็นอย่างนี้ก็อิสระดี”
จบคำเขาก็เหลือบมองคนข้างกาย ‘ข้าจะได้อยู่กับเจ้าอย่างนี้ไปอีกนานๆ’
“โถ...ท่านพี่ อิสระน่ะมันก็ดี
แต่ข้าว่าการที่ได้มีใครสักคนที่จะคอยอยู่เคียงข้างและดูแลท่านได้มันก็ดีกว่ามิใช่หรือ”
“รู้แล้วล่ะน่ะ เลิกพูดเรื่องนี้เสียที หากเป็นคู่กันสักวันนางก็คงโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นเองนั่นแหละ”
เขาตอบเพื่อตัดความรำคาญไปเสีย
ส่วนซือเย่วจู่ๆก็ตีหน้าเครียดขึ้นมาเสียเฉยๆเพราะอยู่ดีๆเรื่องบางเรื่องที่รบกวนจิตใจนางมาหลายวันผุดขึ้นมาในหัว
“ว่าแต่พอพูดถึงเรื่องแต่งงาน พี่ลู่เหอ ที่ท่านพ่อพูดเมื่อหลายวันก่อนเรื่องสัญญานั่น
หากไทฮองไทเฮาทรงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาตรัสต่อหน้าทุกคนแล้วข้าจะทำเช่นไรดี”
“สัญญา?” ลู่เหอทวนความจำตนเองก่อนจะนึกออกว่านางหมายถึงเรื่องใด
ก่อนที่สีหน้าอ่อนโยนของเขาจะแปรเปลี่ยนไปเป็นจริงจัง “อย่ากังวลไปเลย
สัญญานั่นมันนานมากแล้วตั้งแต่เจ้ายังไม่ถือกำเนิดด้วยซ้ำ ไทฮองไทเฮาคงจะทรงลืมไปหมดแล้วล่ะ
อีกอย่างข้าคิดว่าฮ่องเต้ก็ไม่มีทางยอมอภิเษกกับเจ้าหรอก พระองค์มีสตรีที่รักอย่างหวงกุ้ยเฟยอยู่แล้ว”
ซือเย่วทอดถอนหายใจ “เฮ้อ ข้าผิดเองที่ดันมือไวสังหารชินอ๋องจอมโฉดผู้นั้นโดยไม่ทันคิด
แต่ที่ทำลงไปก็เพราะข้าห่วงท่านพ่อนี่นา”
ลู่เหอยิ้มอ่อนโยนให้คนตรงหน้าก่อนจะเอื้อมไปลูบศีรษะของนางอย่างนึกเอ็นดู
“มีท่านลุงกับข้าอยู่ เจ้าอย่าได้กังวลเลย
วันนี้ตั้งใจจะมาชมดนตรีที่หอโคมแดงมิใช่หรือ รีบไปกันเถอะ ประเดี๋ยวโต๊ะไม่ว่างอย่ามาโอดครวญทีหลังไม่ได้แล้วนะ”
“อืม” ซือเย่วพยักหน้าทว่ายังไม่คลายกังวลลง
ไม่ว่าอย่างไรกลับเมืองหลวงครานี้นางคงต้องเผชิญหน้ากับไทเฮาและฮ่องเต้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
นางก็คงได้แต่หวังว่าไทฮองไทเฮาจะทรงลืมเรื่องนี้ไปเสีย
อย่างมากก็แค่มอบข้าวของมีค่าเล็กๆน้อยๆให้นาง เท่านั้นแหละที่นางต้องการ
อีกฟากฝั่งถนนบุรุษผู้มีเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบในมือข้างหนึ่งโบกพัดลวดลายวิจิตรไปมากำลังเดินอย่างสบายอารมณ์
ขวามือมีบุรุษรูปงามท่าทางเจ้าชู้อีกคนเดินเคียงข้าง
ส่วนซ้ายมือของเขามีบุรุษรูปร่างปราดเปรียวสวมหมวกฟางถือกระบี่ยาวก้มหน้าเดินตามไม่ห่าง
“ท่านพี่ เหตุใดท่านต้องอยากพบนางด้วยเล่า
รออีกเพียงสองสามวันก็ได้พบหน้านางแล้วนี่ มิสู้เรากลับที่พักกันก่อนมิดีกว่าหรือ”
แม้ว่าความงามของหญิงสาวที่นี่จะพอทำให้เขาพึงใจได้บ้าง
แต่เขาก็ไม่ชอบทิ้งตำหนักอันสุขสำราญของเขามานานๆเลยนี่นา
ร่างสูงหยุดฝีเท้าลงก่อนจะหุบพัดในมือลงฉับแล้วจับมันหวดไปที่หน้าผากของน้องชายแรงๆ
“โอ๊ย!! ฝ่า...!” เหลียนอ๋องเกือบจะหลุดปากเรียกผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินออกมาแต่พอนึกได้ก็รีบยั้งปากตนเอาไว้ได้ทันพอดี
“ท่านพี่!! ข้าเจ็บนะ หัวแตกไหมนี่ โธ่...”
ยังไม่วายจะร่ำร้อง
“หุบปากไปเสียต้าเหลียน ผู้ใดบังคับเจ้ามาด้วยกัน
เป็นเจ้าเองต่างหากที่ควบม้าตามข้ากับถงเหยียนมา”
“ก็ข้าอยากรู้เหมือนกันนี่ว่าคุณหนูซือเย่วอันใดนั่นิจะอัปลักษณ์หรืองดงามกันแน่”
ต้าเหลียนเถียงกลับ
ต้าเจิงแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ
ไม่ว่าเมื่อใดน้องชายของเขาคนนี้ก็ไม่เลิกนิสัยเจ้าสำราญได้เลยสักที
“เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าอีกสองสามวันก็ได้พบนาง แล้วจะตามมาเพื่ออันใด
อ้อ...ข้ารู้แล้ว ทำเป็นกลบเกลื่อนเพราะได้พบคนที่ถูกใจเข้าแล้วล่ะสิ”
ต้าเหลียนเหลือบมองตาพี่ชายร่วมมารดาก่อนจะยิ้มแหยๆ
“ท่านพี่นี่ช่างรู้ใจข้าไปหมด แต่มันก็ผิดอยู่นิดหน่อย”
“เฮอะ ผิดอย่างไร ไหนลองว่ามา”
“ก็...ข้าเคยได้ยินสหายบอกว่าที่นี่มีหอโคมแดงชื่อดังอยู่ที่หนึ่ง
ข่าวว่าสตรีที่นั่นล้วนงดงามนัก ดนตรีก็ไพเราะ ได้ร่ำสุราไป ฟังดนตรีไป
สุขหาใดเปรียบ อย่างไรเรื่องหลิวซือเย่วก็พับเก็บไปก่อนเถิด
เราไปฟังดนตรีชมหญิงงามให้สบายใจกันก่อนเถอะนะท่านพี่ นะๆ”
ต้าเหลียนทำเสียงเว้าวอนเท่าที่จะทำได้
จริงๆเขาจะมาโดยไม่มีพี่ชายก็ย่อมมาได้แต่เพราะเมื่อใดที่อีกฝ่ายมาด้วยเหยื่อดีๆก็จะติดกับมากกว่าปกติน่ะสิ
พี่ชายของเขาผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาปานเทพเซียนขนาดนี้ สตรีคนใดบ้างจะไม่สนใจ
แค่กระดิกปลายนิ้วยกมุมปากพวกนางก็อ่อนระทวยกันหมดแล้ว
“เจ้านี่นะ เมื่อใดจะตัดสินใจรับปากท่านแม่แต่งงานไปเสียที
เอาแต่ทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆอยู่ได้
ข้าคร้านจะฟังทั้งท่านย่าและท่านแม่บ่นเจ้าเต็มทีแล้วนะ”
“โธ่...ท่านพี่ ก็ข้ายังไม่อยากมีพันธะ
ชีวิตอิสระเช่นนี้ดีออกจะตายไปนี่นา” ต้าเจิงฮ่องเต้พรูลมหายใจ
สุดท้ายน้องชายตัวดีของเขาก็พ้นเรื่องสุรานารีเลยจริงๆ
เขาล่ะเบื่อนิสัยทำตัวเรื่อยเฉื่อยของต้าเหลียนเหลือเกินแล้ว
ยังดีที่อีกฝ่ายมีความสามารถหลายอย่างเป็นผู้ช่วยคู่คิดให้เขาได้ในหลายๆเรื่อง
ก็พอกลบเรื่องน่าปวดหัวไปได้บ้าง
และที่เขาเดินทางมาถึงเมืองถงเซียงวันนี้เขาก็เพียงอยากจะพบหน้านางสักครั้งดูเท่านั้น
เขาอยากรู้ว่าคนที่โหรหลวงยืนยันหนักแน่นว่าถือกำเนิดมาเพื่อเป็นฮองเฮานั้นหน้าตาจะเป็นเช่นไร
พอถามเสด็จย่าพระองค์ก็ทรงจดจำไม่ได้เสียแล้วเพราะครั้งสุดท้ายที่พบกันยามนั้นนางอายุได้เพียงสิบขวบปี
เขาเองก็ไม่เคยพบนางมาก่อนเลยสักครั้ง ป่านนี้ก็คงเปลี่ยนไปมากโข
เอาเถอะ วันนี้เขาก็มาเสี่ยงดวงดูเท่านั้น
อยากรู้แค่ว่าเขากับนางมีวาสนาต่อกันมากจริงดังคำโหรหลวงว่าหรือไม่หากได้พบกันนับเป็นวาสนา
หากไม่ได้เฉียดกันแม้แต่ปลายเส้นผม เขาก็จะคิดว่าคำพูดของโหรผู้นั้นเชื่อถือไม่ได้
“ได้ ไปสิ ข้าเองก็อยากรู้ว่าข่าวที่เจ้าว่ามาจะจริงเท็จเพียงไรกัน”
“ดี! เช่นนั้นไปกันเลย
นี่ก็ใกล้จะได้เวลาที่ดนตรีกำลังจะเริ่มแล้วกระมัง”
ต้าเหลียนกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
ในขณะที่ทั้งต้าเจิงฮ่องเต้และองครักษ์อย่างถงเหยียนได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
หอโคมแดงลี่จวี๋แห่งเมืองถงเซียงนี้ขึ้นชื่อเรื่องหญิงงามจริงดังคำว่า
เพียงผู้คนได้เดินผ่านด้านหน้าความกว้างขวางใหญ่โตและโอ่อ่าของที่นี่ก็ล้วนแต่ทำให้พวกเขาต้องหยุดมองด้วยความตกตะลึง
ส่วนหนึ่งก็คงเพราะต้องการดึงดูดให้ผู้คนเข้าไปด้านในนั่นเอง
ซึ่งภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าเหล่านี้ก็ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าตั้งแต่เปิดกิจการมาก็สร้างกำไรให้เจ้าของเป็นกอบเป็นกำ
ไม่แปลกที่พวกเขาจะสามารถคัดสรรแต่ของสวยๆงามๆมารวมไว้ที่นี่เพื่อให้เหล่าบุรุษผู้ใฝ่หาความสุขได้ชื่นชมเสียจนอิ่มหนำสำราญ
และลูกค้าที่มาใช้บริการก็มิใช่ด้อย ส่วนใหญ่ล้วนมีฐานะและหน้าตาในสังคมคนชั้นสูง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนธรรมดาๆเข้ามาเสพสุขสำราญที่นี่
ทว่าอย่างน้อยๆพวกเขาก็ต้องมีเงินมากพอจะจ่ายค่าสุราและอาหาร
และไม่รู้วันนี้เป็นวันวิปโยคอันใดเมื่อจู่ๆพวกพรรคพยัคฆ์คำรามอันพอจะมีชื่อของแคว้นลู่เกิดมารวมตัวกันที่นี่นับสิบคน
ซึ่งนั่นยังไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจเมื่อพรรควานรเหินนภาก็ดันเลือกมาใช้บริการที่นี่ในวันเดียวกัน
และที่สำคัญคือสองพรรคนี้ไม่กินเส้นกันมานานนับสิบปีแล้ว
แม้ทั้งสองพรรคจะอยู่กันคนละฟากฝั่งแต่อย่างไรก็สามารถเหล่มองกันได้อยู่ตลอด
คนที่ต้องตกอยู่สภาพกดดัน
หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็คงเป็นกลุ่มลูกค้าที่นั่งกันอยู่ที่โถงกลางนั่นเอง
และตอนนี้เองที่ทั้งลู่เหอและซือเย่วมาถึงหน้าหอลี่จวี๋แล้ว
ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขาเข้าไปด้านใน
นายทหารคนสนิทของลู่เหอก็รีบร้อนเดินตรงเข้ามาหา
“ท่านแม่ทัพขอรับ”
“ว่าอย่างไรซีจือ”
ครู่ต่อมาซีจือก็กระซิบบางอย่างข้างหูนายตนก่อนที่สีหน้าของลู่เหอจะเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น
“มีอันใดหรือพี่ลู่เหอ” ซือเย่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มีข่าวพวกเผ่าอานเล่อที่ลักลอบเข้ามาทางชายแดนแล้ว
คนของเรารอรายงานเรื่องนี้อยู่ที่นอกเมือง” ลู่เหอตอบนางอย่างไม่คิดจะปิดบัง
เพราะถึงปิดไปนางก็ต้องหาทางรู้จนได้อยู่ดี
“เช่นนั้นให้ข้าไปด้วย”
“ไม่ต้อง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ ชมการแสดงให้สบายใจเถอะ
เรื่องพวกนี้เจ้ารู้เพียงผิวเผินก็พอ”
“แต่ว่า...” นางอ้าปากจะแย้ง
ทว่าพอถูกอีกฝ่ายมองด้วยสายตาดุๆก็จำต้องยอม “ก็ได้”
คนตัวโตกว่ายิ้มอบอุ่นพลางใช้นิ้วชี้จิ้มกลางหน้าผากของนางอย่างคุ้นเคย
“แล้วข้าจะรีบมา ดูแลตัวเองดีๆ อย่าไปก่อเรื่องเข้าใจหรือไม่”
“รู้แล้วล่ะน่า ข้าไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่ต้องให้ผู้ใดมาดูแลล้อมหน้าล้อมหลังเสียหน่อย”
“ฮึๆ เข้าใจแล้วๆเจ้าตัวดี ข้าไปล่ะ”
ซือเย่วพยักหน้าพลางส่งยิ้มหวานยืนมองร่างสูงใหญ่ของพี่ชายต่างสายเลือดของตนเดินลับหายไป
ก่อนจะยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “เรื่องเหล่านั้นหากข้าอยากจะรู้มีหรือจะรอดพ้น
เพียงแต่ข้ามีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่าก็เท่านั้นแหละท่านพี่”
ซือเย่วโบกพัดในมืออย่างสบายอารมณ์ก้าวเท้าเข้าหอโคมแดงไปด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับคุณชายเจ้าสำอางผู้หนึ่งก็มิปาน
และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นเองต้าเจิงฮ่องเต้และเหลียนอ๋องก็มาถึงที่หมายเช่นกัน
ส่วนองครักษ์คนสนิทอย่างถงเหยียนรั้งรอถวายการอารักขาอยู่ด้านนอกตามหน้าที่เพราะไม่อาจให้ผู้คนเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
“อ๊ะ! นายท่านทั้งสองเชิญเลยขอรับยังมีโต๊ะว่างเหลืออีกหนึ่งที่พอดีขอรับ”
เสี่ยวเอ้อกุลีกุจอมารับหน้าอย่างรู้ความ
ด้วยความเชี่ยวชาญในการมองคนเขาย่อมมองออกว่าคุณชายรูปงามสองคนนี้ต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่
หากต้อนรับขับสู้ให้ถึงใจคาดว่าวันนี้นายหญิงใหญ่ของเขาจะต้องได้ค่าตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ
“ดี เช่นนั้นมัวรออันใดอยู่รีบนำทางข้ากับพี่ชายไปเร็วเข้า”
“ขอรับๆ เชิญทางนี้ขอรับ”
พอมือผายออกบุรุษทั้งสองก็ก้าวย่างอย่างองอาจสง่างามสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งแต่กำเนิดเข้าไปด้านใน
ก่อนที่ครู่ต่อมาฮ่องเต้หนุ่มและน้องชายร่วมมารดาจะนั่งลงที่โต๊ะว่างข้างๆกันกับโต๊ะของหลิวซือเย่วนั่นเอง
ความคิดเห็น