ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) THE CHOICE.

    ลำดับตอนที่ #2 : 0 1 | ก่อนที่เราจะกลายเป็นเป้าหมาย (M - TEAM)

    • อัปเดตล่าสุด 1 ม.ค. 58







    HASH TAG : #ล่าท้าตาย



      MASTER   



      MEMBER   

                


    ก่อนที่เราจะกลายเป็นเหยื่อ (M - TEAM)


     

              ค่าจ้างงานนี้ 20 ล้าน ถ้าจ่ายไม่ได้ ผมก็ไม่ทำ

     

                สีหน้าท้าทายบวกด้วยรอยยิ้มมีเล่ห์เหลี่ยมของร่างสูง ทำให้ฝ่ายที่ถูกยื่นข้อเสนอต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างหนัก ส่วนฝ่ายเสนอกลับยืนดูดบุหรี่อย่างสบายอกสบายใจ

     

                ตกลง !”

                “งั้นก็รอฟังข่าวดีในโทรศัพท์ได้เลย ไม่เกิน 2 ชั่วโมงหรอก !”

     

                บุหรี่ในปากถูกทิ้งลงบนพื้น ก่อนที่ร่างสูงจะใช้เท้าเหยียบซ้ำเพื่อให้ไฟดับสนิท เสียงมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คู่ใจของร่างสูงดังขึ้นก่อนจะทำหน้าที่นำพาเจ้าของไปยังจุดหมายตามการบังคับ ก่อนจะมาหยุดยังสถานที่หนึ่ง

               

                สกปรกชะมัด

     

                ตรอกซอยแคบๆที่ถูกความมืดปกคลุม ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวและชวนสะอิดสะเอียนมากขึ้นไปอีก ตลอดสองข้างทางของซอยนี้เต็มไปด้วยแอ่งน้ำขนาดย่อมที่เกิดจากฝนที่ตกลงมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

                ร่างสูงก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเกือบจะสุดซอยถึงได้พบกับห้องแถวห้องหนึ่งที่ถูกเปิดไฟทิ้งไว้เพียงหลังเดียว

               

                กว่าจะหาเจอ

     

                ร่างสูงคิดในใจแบบเซ็งๆ เขาเสียเวลาเดินเข้ามาเกือบ 10 นาทีกว่าจะเจอที่หมาย ครั้นจะเอามอเตอร์ไซค์เข้ามาก็เกรงว่าจะลำบาก บวกกับเสียงของรถคู่ใจเองก็ดังเสียมากๆจนเกรงว่าจะทำความรำคาญให้คนในละแวกนั้น

                ไม่ต้องรอให้เสียเวลา เขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องแถวที่เปิดไฟทิ้งไว้ พร้อมกับปืนคู่ใจในมือที่ถูกติดตั้งที่เก็บเสียงไว้อย่างดี พร้อมสำหรับการลงมือทำงานตามหน้าที่อาชีพการงานของเขา

                คริส หรือ อู๋อี้ฟาน หนุ่มโสดวัย 24 ปี ลูกครึ่งจีน แคนาดา ที่เติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่มีฉากหน้าเป็นบอดี้การ์ดรับจ้างของแก๊งมาเฟียแก๊งหนึ่ง แต่กลับมีเบื้องหลังเป็นนักฆ่ารับจ้างที่จัดว่าอยู่ในกลุ่มนักฆ่าค่าตัวแพงเมื่อเทียบกับอายุอันน้อยนิดของเขา แต่ทว่าประสบการณ์ไม่ได้น้อยไปตามอายุแต่อย่างใด

                ชายหนุ่มยืนมองประตูบ้านที่มีป้ายชื่อติดอยู่ไว้จนแน่ใจว่านี่คือสถานที่ที่เขาต้องมาทำงานในค่ำคืนนี้ ก่อนที่มือหนาจะจัดการทดสอบเปิดประตูบ้าน และแล้วโชคก็เข้าข้างคริสอีกครั้ง เมื่อเจ้าของบ้านผู้ไร้ซึ่งความรอบคอบลืมล็อกมันเอาไว้จากด้านใน ทำให้ชายหนุ่มแทบไม่ต้องเสียเวลาล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อควานหากุญแจผีแต่อย่างใด

                เฮ้ย !!!!!”

                เสียงร้องจากด้านในของบ้านดังขึ้นทันทีที่เขาเปิดประตู แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มสะเทือนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำ ใบหน้าซีดเผือดของเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนของหวานหลังมื้ออาหารที่ทำให้มือปืนหนุ่มยิ่งรู้สึกอยากจะลั่นไกปืนเร็วขึ้นไปอีก

                จริงๆผมก็อยากปล่อยให้พวกคุณได้มีเวลาร้องขอชีวิตจากผม แต่ขอโทษที วันนี้ผมไม่มีเวลาเล่นด้วย…”

                “อยอย่า…” เจ้าของบ้านสูงวัยพยายามร้องขอชีวิตจากยมทูตในคราบเด็กหนุ่ม

                ลาก่อน…”

                “อย่าอย่า !!!!”

     

                อ๊ากกกกกกกกกกก !!!! ’

     

              เสียงกรีดร้องของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายดังโหยหวน ก่อนที่จะลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้นด้วยกระสุนเพียงนัดเดียวที่ถูกเก็บเสียงจากอุปกรณ์ชั้นดีที่ติดอยู่ปลายกระบอก คริสค่อยๆยื่นมือไปอังบริเวณจมูกเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายตายสนิท แล้วจึงหยิบโทรศัพท์ต่อสายไปยังผู้จ้างวาน

     

                ‘ Mission Complete ’

     

                “เยี่ยมมาก 20 ล้านเข้าบัญชีของนายเรียบร้อยแล้ว ตามที่ตกลงไว้

                “ขอบคุณ

     

                ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดต่อ คริสก็ตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะรีบเดินออกมาจากสถานที่ที่น่าขยะแขยงนี้ให้เร็วที่สุด แต่เมื่อมาถึงที่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดอยู่ด้านนอก เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบบุคคลไม่คุ้นหน้ากำลังยืนอยู่อีก 1 คน แต่คริสเองก็ไม่ได้สนใจบุคคลในความมืด

                ทว่า เหมือนมีแรงบางอย่างตรึงให้คริสหยุดอยู่กับที่ ร่างสูงพยายามจะก้าวขาเดินต่อ แต่กลับเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถเดินได้

                บัดซบ…” คริสสบถออกมา เขาไม่มีเวลามาทำอะไรไร้สาระในตอนนี้ แต่เขาก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเดินต่อไปไม่ได้ รู้แต่ว่าขาทั้งสองข้างรู้สึกหนักเหมือนมีตะปูมาตอกให้ติดกับพื้น

                สวัสดีคริสชายปริศนาที่ใช้ความมืดอำพรางใบหน้ากล่าวทักทายหน้าตาเฉย ยิ่งทำให้คริสรู้สึกหงุดหงิดมากเป็นเท่าตัว

                แกเป็นใคร ต้องการอะไร ??

                “นายนี่เป็นพวกใจร้อนน่าดูเลยแฮะ ตอนนี้นายคงกำลังคิดในใจอยู่ล่ะสิว่าฉันทำอะไร ทำไมนายถึงเดินไม่ได้

                “แก…” เสียงของคริสกดต่ำราวกับคำราม ดวงตาคมจ้องเขม็งไปที่บุรุษที่เห็นเพียงแค่เงามืดตรงหน้า มือหนากำหมัดแน่นเพื่อระบายความโมโหออกมา

                ไม่เอาน่า ฉันจะบอกนายให้ก็ได้ว่าทำไมฉันถึงหยุดการเคลื่อนไหวของนายได้ อืมอาจจะคล้ายๆว่ามีเวทมนต์ล่ะมั้ง ฟังดูดีมั้ยล่ะ ?ชายปริศนายังคงพูดจากำกวม ยิ่งทำให้คริสรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

                “…”

                “ทั้งฉันและนายก็มีเวลากันไม่มาก เอาเป็นว่าฉันจะขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน คริสไม่สิ อู๋อี้ฟาน ฉากหน้าเป็นบอดี้การ์ดแต่เบื้องหลังเป็นมือปืน…”

                “จะอวดว่ารู้จักฉันเหรอ แล้วไง ?คริสพูดพลางยิ้มเยาะ

                จะให้ฉันอวดอีกมั้ยว่ารู้จักนายดีแค่ไหน นายถูกญาติที่แคนาดาทิ้งไว้ที่จีนตอนอายุ 12 ไล่ปล้นคนอื่นเขากินไปทั่ว แต่สุดท้ายก็ได้มาเป็นมือปืนของแก๊งมาเฟีย ฉันยังรู้ด้วยนะว่าเพราะอะไรที่ญาติของนายถึงทิ้งนายไว้ที่นี่ แล้วก็รู้ด้วยว่าตอนนี้นายกำลังคิดอะไรและจะทำอะไร

               

              ‘ เซอร์ไพรส์มากพอหรือยังล่ะ ?

     

                “แก !!!!”

                “โกรธฉันเพราะฉันรู้เรื่องของนายทั้งๆที่ตัวเองยังไม่รู้ งั้นสินะ ?

                “หุบปาก !”

                “นายพูดจาแย่มากกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ เอาเถอะ วันนี้ฉันจะไม่ถือสานายสักวันก็แล้วกัน จริงๆฉันมีเรื่องที่อยากจะคุยกับนายเยอะแยะเลย ดูจากหน้าของนายแล้วยอมรับมาเถอะว่านายอยากรู้จนตัวสั่นเลยล่ะ

                “…” คริสพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเอง ดวงตาคมยังคงจ้องมองไปที่ชายในเงามืดไม่วางตา

     

                ใช่สิ่งที่บุรุษแปลกหน้าคนนั้นพูดเป็นความจริงทุกอย่าง ทั้งเรื่องในอดีต และสิ่งที่เขาอยากจะรู้ เพราะอะไร ทำไมคนๆนั้นถึงได้รู้เรื่องราวของเขาจนเรียกได้ว่าแทบจะมากกว่าตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำ

     

                “วันนี้ฉันมีเวลาไม่มากพอ เอาเป็นว่า ถ้าอยากคุยกับฉันอีก…”

     

                อ่านในนามบัตรนี่ได้เลย

     

                นามบัตรใบเล็กถูกวางไว้บนมอเตอร์ไซค์ของคริส ก่อนที่บุรุษแปลกหน้าจะเดินหายลับไปโดยใช้หมอกและความมืดอำพราง กว่าจะรู้ตัวอีกที คริสก็หลุดออกจากภวังค์ เมื่อรวบรวมสติได้ ชายหนุ่มจึงรีบวิ่งไปที่รถมอเตอร์ไซค์ และพบว่ามีนามบัตรวางอยู่จริงๆ

               

                ที่ผ่านมาเมื่อกี๊นี้ไม่ใช่แค่ความฝัน

               

    XXXXXXXXXX

     

                โครม !!!!!

     

              ปัง !!!!

     

              เพล้ง !!!

     

                ข้าวของนับสิบชิ้นถูกใช้เป็นที่ระบายอารมณ์ ทั้งความโกรธ เสียใจ เคียดแค้น น้อยใจ เศษกระเบื้องของแจกันที่กระจายอยู่รอบห้อง กรอบรูปนับสิบกรอบที่ตกแตกเต็มพื้น ก่อนที่ต้นเหตุของการทำลายข้าวของจะค่อยๆลงไปนั่งทรุดกับพื้น มือสองข้างที่สั่นเทาค่อยๆจิกลงไปบนต้นขาอย่างสุดแรง

     

                ทำไม…” คำพูดที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสียงที่แผ่วเบา น้ำเสียงสั่นเครือ และฟังดูเยือกเย็นในเวลาเดียวกัน

     

              ทำไม ทำไม !! อึก… ’

     

              โครม !!!

     

                มือข้างหนึ่งผลักโต๊ะกลมข้างตัวลงโดยไม่สนใจว่าข้าวของด้านบนจะเป็นอย่างไร โทรศัพท์มือถือที่วางไว้จึงตกลงมาตรงหน้า สมาร์ทโฟนเครื่องสีขาวที่หน้าจอเต็มไปด้วยรอยกระจกแตกถูกเจ้าของหยิบขึ้นมา ก่อนที่มือจะสไลด์เพื่อปลดล็อก

     

                20 missed call

              :: SUHO ::

     

                “…”

     

                ตึง !!

     

                โทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวถูกขว้างออกไปอีกครั้ง เศษกระจกบนหน้าจอกระเด็นออกมาปะปนกับเศษแก้วเศษกระเบื้องบนพื้น ห้องที่เป็นทั้งบ้านและห้องนอนที่เคยดูสะอาดเรียบร้อย บัดนี้กลายเป็นห้องที่เละเทะและไม่มีความน่าอยู่แม้แต่น้อย

     

                ก๊อก ก๊อก !

     

              “…”

                อี้ชิง อยู่ในห้องรึเปล่า ??

                “…”

                อี้ชิง นี่ลู่หานเอง เปิดประตูให้หน่อย

                “อือ รอแป๊บนะ

     

                เจ้าของห้องที่ถูกเรียกว่า อี้ชิง เช็ดหน้าเช็ดตาแบบลวกๆ พอให้ไม่เหลือคราบน้ำตาบนใบหน้า ก่อนจะค่อยๆเดินไปเปิดประตูอย่างระมัดระวัง จึงพบว่าแขกกำลังยืนรออยู่พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระสองสามใบ

     

                “…”

                “อี้ชิงเกิดอะไรขึ้น ?

     

                ผู้มาเยือนถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เจ้าของห้องที่ยืนตาบวมและสภาพโทรมเหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน อีกทั้งเมื่อมองเข้าไปด้านในก็พบกับสภาพห้องที่เละเทะไม่มีชิ้นดี แต่กระนั้นลู่หานก็ยังคงควบคุมสติให้เยือกเย็นภายใต้ใบหน้านิ่งๆที่เป็นห่วงเป็นใยเพื่อน

     

                “พอดีมีอุบัติเหตุในห้องนิดหน่อย ก็เลยเละเทะอย่างที่เห็น วันนี้เราคงให้ลู่หานเข้าห้องไม่ได้นะอี้ชิงพยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

                เล่ามาให้หมด…” ลู่หานไม่ได้สนใจรอยยิ้มที่อี้ชิงพยายามฝืนยิ้มให้ ดวงตากลมโตที่ใครๆต่างก็บอกว่าน่ารักกำลังจ้องอี้ชิงนิ่งๆเพื่อรอฟังคำตอบ

                แล้วนั่น นายจะไปไหน ?อี้ชิงพยายามเบี่ยงเบนไปด้วยทำทีชี้กระเป๋าสัมภาระของลู่หาน

                อี้ชิง อย่าเปลี่ยนเรื่อง เล่ามา…”

                “…”

                “…”

     

                เราเลิกกับพี่ซูโฮแล้วนะ

     

                “ว่าไงนะ ??ไร้ซึ่งการตะโกนเอะอะโวยวาย ลู่หานถามเบาๆและยังคงนิ่ง ทว่าในใจจริงๆแล้วกลับรู้สึกงงและสับสนขึ้นมา

                เลิกกันเมื่อวาน…”

                “…”

                “พี่ซูโฮโทรมาหาอึกเค้าบอกว่า…”

     

                เรากับเค้า ไม่มีวันเข้ากันได้ เลิกกันไปตั้งแต่ตอนนี้ยังดีกว่าจะต้องมาเสียใจกันทีหลัง พี่เค้าบอกว่าแค่รักกันมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ระยะทางระหว่างเรามันทำให้พี่เค้าระแวง อยู่แบบไม่สบายใจ แล้วพี่เค้าก็คิดว่าเราไปมีคนอื่น

     

                “…”

                “ลู่หานเรา…”

                “อี้ชิง ไปเก็บกระเป๋าลู่หานถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้องโดยไม่สนใจคำทัดทานที่เจ้าของห้องปฏิเสธตั้งแต่แรก กระเป๋าสัมภาระถูกวางไว้ด้านหน้า ก่อนที่แขกผู้มาเยือนจะปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปในห้องเสมือนเป็นห้องตัวเอง

                ลู่หาน…”

                “เราให้เวลา 30 นาที เก็บกระเป๋าสำหรับไปเกาหลี 1 อาทิตย์ เดี๋ยวเราจะโทรจองไฟลท์บินให้

                “เดี๋ยวสิ อะไรของนาย ???

                “เรื่องที่อี้ชิงถามเมื่อกี๊ตอนแรกเราตั้งใจจะมาลาอี้ชิง พอดีจะไปเกาหลี 1 อาทิตย์ ว่าจะไปหาเซฮุน แต่พอมาเห็นอี้ชิงสภาพนี้ เราคงปล่อยให้อยู่คนเดียวไม่ได้

                “…”

                “เรารู้ว่าเรื่องต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ เราเชื่อว่าคนแบบอี้ชิงไม่มีทางพังห้องให้เละได้ขนาดนี้เพราะเรื่องที่เลิกกับคุณซูโฮ แต่เราจะยังไม่ถาม เรารู้ว่าสภาพจิตใจอี้ชิงยังไม่พร้อมจะตอบ เอาเป็นว่าตอนนี้อี้ชิงเก็บกระเป๋าเร็วๆนะ เราจะนั่งรอ

                “อะไรของนายเนี่ยลู่หา…”

                “ให้ไวเลย ถ้าเราตกเครื่อง อี้ชิงต้องรับผิดชอบนะ

                “…”

     

                อี้ชิงมุ่ยหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธที่เพื่อนมัดมือชก ลู่หานเป็นคนอารมณ์ดีและนิสัยดี เป็นเพื่อนที่รู้จักอี้ชิงดีมาก จนบางทีมากกว่าตัวอี้ชิงเองเสียด้วยซ้ำ สมกับที่คบหากันมาหลายปี อี้ชิงเดินไปพับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าลากตามคำสั่งของเพื่อน ในขณะที่ลู่หานกำลังโทรของไฟลท์บิน ผ่านไปไม่ถึง 20 นาที ข้าวของของอี้ชิงก็ถูกเก็บใส่กระเป๋าจนหมด

     

                พาสปอร์ต บัตรเครดิต ไม่ลืมใช่มั้ย ?ลู่หานถามเพื่อความแน่ใจ

                อยู่ในกระเป๋าเป้แล้วล่ะ

                “ว่าแต่โทรรายงาน คุณหญิงแม่ ของนายรึยัง ? ฮ่าๆลู่หานพูดถึงใครบางคน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ทำให้อี้ชิงหน้ามุ่ยอีกครั้ง

                ค่อยโทรตอนถึงเกาหลีก็แล้วกัน

                “นั่นสิเนอะ ขืนโทรไปตอนนี้ มีหวังทริปทัวร์เกาหลีของเราพังแน่…” ลู่หานแอบกัดเล็กน้อย แต่อี้ชิงก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เพราะลู่หานเองก็รู้จักแม่ของเขาเป็นอย่างดี

     

                แม่ที่หวงอี้ชิงจนลืมไปว่าอี้ชิงคือลูกชาย อาจเป็นเพราะว่าเขาคือลูกคนเดียว อีกทั้งเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งทำให้แม่รักและหวงเขามากขึ้นไปอีก ถึงจะเลี้ยงแบบตามใจ เอาเงินเอาทองมากองตรงหน้า แต่ถ้าเทียบกับเรื่องอิสรภาพแล้ว เป็นเหมือนนกในกรงที่ถูกขังไว้ ซึ่งแน่นอนว่ากว่าการที่เขาได้ออกมาอยู่คอนโดคนเดียวได้ ก็ทะเลาะกันเกือบพังไปข้างหนึ่ง

     

                และถ้าแม่ของเขารู้ว่า เขาเลิกกับซูโฮแล้วล่ะก็

     

              แฟนเก่าของเขามีสิทธิ์ถึงตาย… !

     

                .

                .

                .

     

                “ตอนนี้ที่จีนหนาวมาก~~”

                งั้นก็ดูแลตัวเองดีๆด้วย เข้าใจมั้ย !?! ’

                “นี่กำลังจะขึ้นเครื่องกลับแล้ว คงถึงคืนนี้ประมาณ 2 ทุ่ม ไว้เจอกันนะ มารับพี่ที่สนามบินด้วย เข้าใจมั้ย !”

                รอเวลานี้มานานแล้ว ไว้เจอกันนะ

                “พี่จะเช็คอินละนะ ไว้เจอกัน บ๊ายบาย !”

     

                อี้ชิงและลู่หานกำลังนั่งรอที่สนามบิน ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง เที่ยวบินของพวกเขาออกประมาณสี่โมงเย็น ทำให้ลู่หานยังพอมีเวลาเปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตเพื่อคอล Skype กับ เซฮุน แฟนเด็กที่อยู่เกาหลีได้นิดหน่อย

               

                “แคร์เราสักนิดก็ดีนะลู่หาน

                “เอาน่า เข้าใจว่าเพิ่งเลิกกับแฟน แต่เราก็คิดถึงเซฮุนนะ อย่าเอามาเกี่ยวกันสิ

                “...”

                “เอากระเป๋าสัมภาระไปเช็คที่ด่านตรวจกันเถอะลู่หานลากกระเป๋าพร้อมสะกิดให้เพื่อนลุกขึ้น ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกมาจากล็อบบี้เพื่อไปยังจุดตรวจสัมภาระ กระเป๋าทุกใบถูกนำไปเช็ค และพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ รอไม่กี่อึดใจ กระเป๋าก็ถูกไหลมาตามรางเลื่อนโดยไร้รอยขีดข่วน

               

                “Let’s go to Korea !”

     

                .

                .

                .

     

                “พี่ลู่หาน ทางนี้ๆ~

                “เซฮุนอา~~

     

                เปรียบเสมือนอี้ชิงกำลังดูหนังหนึ่งเรื่องที่พระเอกนางเอกวิ่งโผเข้ากอดกันหลังไม่ได้เจอกันหลายเดือนจนเกือบปี ยิ่งเห็นสองคนนั้นหยอกล้อกันยิ่งทำให้อี้ชิงรู้สึกอยากเอาตัวเข้าไปขวางเป็นก้างขวางคอในตอนนี้ทันที

     

                นั่นใครเหรอ ?เซฮุนชี้ไปทางผู้ชายตัวเล็กที่เขารู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตา

                เพื่อนพี่เองชื่ออี้…”

                “ชื่อ เลย์ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักอี้ชิงแนะนำตัวแทรกขึ้นมาด้วยชื่อที่เขาใช้สมัยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่อเมริกา ก่อนจะโค้งทักทายแฟนของเพื่อนที่อายุน้อยกว่าเขา

                อะไรกัน มาเกาหลีทั้งทีดันใช้ชื่อนานาชาติซะงั้นลู่หานเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา

                “พอดีไม่ค่อยอยากใช้ชื่อจีนในเกาหลีเท่าไหร่น่ะ

                แล้วไหนล่ะ พี่รหัสที่นายบอกว่าเขาจะมาเป็นเพื่อน ?ลู่หานหันไปถามเซฮุน

                “พอดีพี่เค้าติดงานที่บ้านก็เลยมาไม่ได้แล้ว แต่ผมยืมรถของเค้ามาแล้วล่ะ ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงแรม

                “แต๊งกิ้ว~ เซฮุนอาน่ารักที่สุดไม่พูดเปล่า ลู่หานฉีกยิ้มจนตาปิดพลางเอามือไปหยิกแก้มแฟนเด็กของตัวเองโดยไม่ได้สนใจเพื่อนรักที่เพิ่งโดนหักอกมาหมาดๆ

                “อะแฮ่ม !!!” อี้ชิงขัดขึ้นมา ก่อนที่เซฮุนจะยกกระเป๋าลากทั้งสองใบของลู่หานและอี้ชิงเดินนำหน้าไปที่รถยนต์ โดยมีสองหนุ่มชาวจีนเดินตามหลังไปติดๆ

     

                .

                .

                .

     

                ระหว่างทางไปโรงแรม ทั้งสามนั่งบนรถโดยมีเซฮุนเป็นคนขับ ลู่หานนั่งข้างหน้า และอี้ชิงนั่งเบาะหลัง เปิดเพลงคลอไปเบาๆ แต่ดูเหมือนสองคนหน้าจะไม่ได้ตั้งใจฟังเพลงเท่าไหร่นัก เพราะดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเริ่มเปิดบทสนทนาที่ชวนให้อี้ชิงรู้สึกอิจฉาจนอยากเดินลงจากรถอีกรอบ

               

                “พี่ลู่หานพรุ่งนี้ผมอาจจะพาพี่ไปเที่ยวที่โซลทาวเวอร์ไม่ได้แล้วล่ะ

                “ทำไมล่ะ ??

                “พอดีผมติดนัดนิดหน่อย เราไปวันอื่นแทนได้มั้ย ?

                “อะไรกันพี่อุตส่าห์มาเกาหลีเพื่อนายเลยนะ

                อาผมถึงได้รู้สึกผิดอยู่นี่ไง นะนะ ไปมะรืนนี้แทนนะ อยากไปไหนลิสต์รายชื่อมาเลย เดี๋ยวผมพาเที่ยวทั้งวันเซฮุนพยายามง้อลู่หานที่กำลังตั้งท่าจะงอนด้วยการตื๊อแบบเด็กๆ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เซฮุนทำไม่เสียเปล่า เพราะตอนนี้ลู่หานกำลังนั่งอมยิ้มอยู่

                ก็ได้ งั้นมะรืนนี้ห้ามเบี้ยวนะ ?

                “สัญญาด้วยเกียรติทั้งชีวิตของโอเซฮุนเลย

     

                ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง รถรับส่งโดยสารที่มีเซฮุนเป็นสารถีก็จอดหน้าโรงแรม ก่อนที่พนักงานขนกระเป๋าจะวิ่งมาขนสัมภาระไปบนห้องพักก่อนเจ้าของห้อง

     

                ขอบใจนะเซฮุน

                “พี่แน่ใจนะว่าโรงแรมนี้ปลอดภัย…?”

                “อย่าห่วงจนโอเวอร์ได้มั้ย ?ลู่หานที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่กับอี้ชิงเริ่มง้องแง้งใส่เซฮุน

                ก็บอกว่าให้ไปพักที่บ้านผมก็ไม่เชื่อ

                “เซฮุนนั่นแหละที่น่าเป็นห่วง ขับรถกลับดีๆนะเข้าใจมั้ย ? ถ้าถึงบ้านแล้วโทรมารายงานด้วย โอเค้ ??

                “คร้าบ~เซฮุนรับคำแบบน่ารักๆ ก่อนจะสตาร์ทรถขับออกไป

                “ไปเถอะอี้ชิง ข้างนอกมันหนาว เข้าไปอาบน้ำก่อนดีกว่า

     

                เมื่อเห็นว่าเซฮุนขับรถออกไปพ้นระยะสายตาแล้ว ลู่หานจึงรีบดันอี้ชิงเข้าไปในโรงแรมเพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศหนาวๆของเกาหลี เมื่อขึ้นมาถึงบนห้องพัก ต่างคนต่างก็จัดการกับกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง ในขณะที่สองเพื่อนรักก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องพักเงียบเหงา

     

                ว่าแต่ อี้ชิงทำไมถึงไปแนะนำตัวกับเซฮุนว่าชื่อ เลย์ ล่ะ ??

                “เวลาไปต่างประเทศ เราใช้ชื่อนี้ตลอด ไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อจีนเท่าไหร่

                “…”

               

    ในบรรดาคนต่างชาติทั้งหมด ชื่ออี้ชิงมีแค่พี่ซูโฮเรียกคนเดียว

     

    เฮ่อ~ เลิกคิดได้แล้วน่า เราอุตส่าห์พานายมาเกาหลีทั้งทีนะ

    นายลืมไปแล้วเหรอว่าพี่ซูโฮเป็นคนเกาหลี !”

    อ๊ะ…”

     

    ลู่หานนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาแบบเจื่อนๆ เขาลืมไปเสียสนิทว่าแฟนเก่าของเพื่อนเป็นคนเกาหลี แถมดันพาเพื่อนรักมาเหยียบถิ่นแฟนเก่าถึงที่ บอกทีเถอะว่าเขาไม่ได้ทำบาปครั้งใหญ่อยู่

     

    บางทีความหวังดีแบบผิดที่ผิดเวลาก็ทำให้รู้สึกผิดเหมือนกัน

     

    ไม่ต้องคิดมากหรอก ถือว่ามาเที่ยวก็แล้วกัน…” เหมือนอี้ชิงจะรู้ว่าลู่หานรู้สึกผิดอยู่ เลยพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้เพื่อนสนิทคิดมาก

    เราขอโทษจริงๆนะ

    ไม่เป็นไรจริงๆ

    งั้นพรุ่งนี้เราจะพาไปเที่ยวชดเชยละกันนะ

    ขอบใจ…”

     

    เสื้อผ้าสำหรับ 1 สัปดาห์ถูกแขวนเข้าตู้เสื้อผ้าของโรงแรม เครื่องใช้ส่วนตัวก็ถูกวางในตำแหน่งที่ถูกจัดไว้ให้จนหมด กระเป๋าลากใบใหญ่กำลังถูกเจ้าของรูดซิปปิดเพื่อเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า เพื่อจะได้เปลี่ยนไปทำธุระอื่นๆต่อ

     

    อี้ชิง…”

    ว่าไง ??

     

    มีจดหมายอะไรอยู่ในกระเป๋าเราก็ไม่รู้… ’

     

                “หืม ??คำพูดของลู่หานทำให้อี้ชิงที่อยู่อีกเตียงต้องเดินมาหา ก่อนจะพบว่ามีซองจดหมายสีขาวเสียบอยู่บริเวณช่องจิปาถะของกระเป๋าเดินทาง

                เราว่าเราไม่เคยทิ้งอะไรแบบนี้ไว้ในกระเป๋านะลู่หานพึมพำแบบงงๆ

                หรือว่าจะติดมาตอนที่พวกเราเช็คกระเป๋าที่สนามบิน ??อี้ชิงพยายามนึกย้อนกลับไปถึงตอนอยู่ที่สนามบิน

                “แต่กระเป๋าของพวกเราไม่ได้ถูกเปิดนะ

                “ไม่แน่หรอก ตอนที่เราอยู่สนามบินเราก็ไม่เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตรวจอะไรบ้างเพราะมัวแต่ยืนคุยกันนะ

                “…”

                “ลองเปิดดูก่อนมั้ย เผื่อจะมีชื่อที่อยู่ บางทีอาจจะเป็นของผู้โดยสารคนอื่นก็ได้อี้ชิงเสนอ ทำให้ลู่หานต้องดึงซองจดหมายออกมา ใจหนึ่งก็อยากเปิดดูเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร และเป็นของใคร แต่อีกใจก็ไม่อยากเปิด เพราะถ้าสิ่งของในจดหมายเป็นของผิดกฎหมาย จะพาลซวยกันทั้งสองคน

                ซองมันแบนๆ เราว่าน่าจะเป็นกระดาษมากกว่า ไม่น่าจะมีอะไรหรอกอี้ชิงหยิบซองจดหมายขึ้นมาคลำๆดู และพบว่าซองเรียบสนิทราวกับไม่มีอะไรอยู่ด้านใน

                อี้ชิง !!”

                “อะไร ?? จะตะโกนทำไม ??

                “บนซองมีชื่อของเราสองคนอยู่…”

     

                ลู่หานจับข้อมือของอี้ชิงไว้ และพลิกอีกด้านให้ดู จึงพบว่าบนซองจดหมายสีขาวมีชื่อของทั้งสองคนปะหน้าอยู่บนซอง ลู่หานและอี้ชิงสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง

               

                “งั้นก็เปิดแบบไม่เกรงใจล่ะนะไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสองคนตัดสินใจฉีกซองจดหมายออก และพบว่ามีกระดาษใบเล็กๆสองใบหลุดออกมาจากในซอง

                อะไรกัน แค่บัตรเชิญเองเหรอ ??ลู่หานบ่นอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย

                ลู่หาน ไม่เอะใจหน่อยเหรอว่าทำไมซองจดหมายที่มีชื่อเราสองคนมาอยู่ในกระเป๋าเดินทาง…”

                “…”

                “ช่างเถอะ อ่านนามบัตรนี่ก่อนดีกว่า…”

     

                เมื่ออ่านจบ ทั้งอี้ชิงและลู่หานต้องก็เงียบไปทั้งคู่ นามบัตรที่เขียนนัดสถานที่และเวลาเอาไว้อย่างชัดเจนราวกับว่าเป็นบัตรเชิญงานอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทั้งคู่จะเงยหน้าขึ้นมานามบัตรดังกล่าว

               

                ข้อความของลู่หานเหมือนกับของเราเลย…”

                “จะว่าไป พรุ่งนี้พวกเราก็ว่างกันอยู่แล้ว จะลองไปดูมั้ย ?ลู่หานถาม

                ถ้าลู่หานไป เราก็ไป

                “แต่บางทีเป็นมุขของพวกมิจฉาชีพรึเปล่า ?ลู่หานเริ่มลังเลขึ้นมา เมื่อลองคิดดูแล้ว จดหมายที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เขียนนัดสถานที่และเวลาเอาไว้อย่างดีแบบนี้ น่าจะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลบ้าง

                กลัวอะไร เรามีกันตั้งสองคน อีกอย่างลองไปหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ยังไงซะ สถานที่นัดหมายก็คือโรงแรมอยู่แล้ว แถมยังเป็นย่านที่คนเดินเล่นตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลย

                “ช่วยไม่ได้…”

     

                งั้นพวกเราลองไปหน่อยก็ไม่เสียหายนี่เนอะ… ’

     

    XXXXXXXXXX

     

                มีเท่าไหร่เอามาให้หมด !!! ’

               

                เสียงตวาดดังขึ้นจากมุมอับด้านข้างอาคารเรียน สองมือหนากระชากคอเสื้อของเหยื่อตรงหน้า ใบหน้าหวาดผวาของเหยื่อผู้โชคร้ายที่พยายามยกมือขอโทษขอโพยกลับถูกเมินอย่างไม่ใยดี

     

                “กูไม่มีแล้วกูไม่เหลือเงินแล้ว กูให้พวกมึงไปหมดแล้ว…”

                “…”

     

              ‘ มึงปล่อยกูเถอะ จจื่อเทา… ’

     

    เสียงตอบรับที่ดังขึ้นแบบขาดๆหายๆราวกับพยายามตอบคู่สนทนาด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ ใบหน้าของนักเรียนชายอับโชคที่มีคราบเลือดบริเวณมุมปากและจมูก ดวงตาที่ค่อยๆพร่าปรือขึ้นทุกทีกำลังพยายามประคองสติมองคนที่กำลังกระชากคอเสื้อตน

     

    ตุ้บ !

     

    ร่างของนักเรียนชายที่เป็นเหยื่อของเขาถูกโยนลงมาบนพื้นโดยที่คนโยนไม่ได้สนใจว่าอีกคนจะเป็นอย่างไร ก่อนจะยืนนับเงินทั้งหมดที่ได้จากเด็กหนุ่มที่ลงไปนอนหายใจพะงาบๆบนพื้น

     

    มึงพกเงินมาโรงเรียนเยอะเหมือนกันนี่ สามหมื่นวอนแน่ะ…”

    เฮ้ย เทาดูข้างๆตัวมัน…” หนึ่งในผู้ร่วมกลุ่มชี้ไปที่เหยื่อของพวกเขา และพบว่ามีกระเป๋าสตางค์หลุดออกมาจากด้านในของเสื้อในนักเรียน

    กระเป๋าตังค์นี่ หืม…?” ร่างสูงเจ้าของชื่อที่ถูกเรียกว่า เทา หรือ หวง จื่อเทา คลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะลดตัวลงนั่งข้างๆนักเรียนชายร่วมรุ่นที่เพิ่งถูกเขาปล่อยลงไปนอนบนพื้นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน

     

    มือหนากระชากกลุ่มผมของเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายขึ้นมา สีหน้าและแววตาที่แสดงถึงความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มที่พยายามจะขัดขืน แต่กลับสู้คนตัวโตกว่าที่มีดีกรีเป็นนักเทควันโดของโรงเรียนไม่ได้แม้แต่น้อย

     

    ไหนมึงบอกว่าไม่มีเงินแล้วไง แล้วนี่คืออะไร ?น้ำเสียงเย็นเฉียบของเทาถามขึ้น

    นั่นค่าขนมของน้อง... มึงอย่าเอาไป

    ถ้าเป็นของน้อง แล้วมันอยู่ที่มึงได้ยังไง ?

    เอาคืนมา…”

    โทษฐานที่มึงโกหกกู เพราะฉะนั้น ทุกอย่างในกระเป๋านี้จะกลายเป็นของกู แล้วก็…”

     

    พวกมึงสั่งสอนไอ้คนขี้โกหกด้วย ! ’

     

    เข้าใจแล้ว !”

     

    เสียงขานรับของเพื่อนร่วมกลุ่มที่มีสถานะเป็นลูกน้องดังขึ้น ก่อนที่เทาจะลุกขึ้นยืนมองคู่กรณีที่พยายามจะยันตัวขึ้น เทาจึงใช้เท้ากดอีกคนลงไปกับพื้น ก่อนที่ฝ่าเท้าจะค่อยๆขยี้ซ้ำบนตัวเด็กหนุ่มที่นอนดิ้นพล่านบนพื้นที่มีแต่หินกรวดและทราย

     

    ปล่อยกู !! ปล่อยกู !!!”

    กูไปก่อนล่ะ จัดให้หนักๆ แต่อย่าให้ตาย เอาแค่สั่งสอนให้รู้ว่าเวลาโกหกกูมันจะเจออะไร

     

    เทาสะพายกระเป๋านักเรียน ก่อนจะเดินออกไปจากมุมอาคารเรียนที่พวกเขาใช้เป็นที่รวมพลสมาชิกในกลุ่ม โดยไม่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์หนังสีดำติดมือมาด้วย

    ร่างสูงยืนนับเงินทั้งหมดที่ได้มาในวันนี้ ธนบัตรหลายสิบใบถูกนับเพื่อสรุปรายได้ประจำวันแบบคร่าวๆ และแน่นอนว่าวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่รายได้ของเขาเยอะพอสมควร เมื่อเห็นจำนวนธนบัตร รวมไปถึงสมาร์ทการ์ดหลายใบที่เหน็บอยู่ตามช่องต่างๆของกระเป๋า เทายกยิ้มออกมาอย่างพอใจ ก่อนจะแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อของใช้และอาหารมื้อเย็น แล้วจึงเดินกลับหอพัก

    การใช้ชีวิตเป็นเด็กต่างชาติในเกาหลีตลอด 4 ปีทำให้เทารู้สึกเหงาในบางครั้ง แต่เมื่อสองปีเขากลับพบวิธีคลายเหงาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญ ทำให้มีรายได้เข้ากระเป๋าเป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งๆที่ฐานะทางบ้านในจีนก็ไม่ได้ขัดสนเสียเท่าไหร่

    การใช้ชีวิตเบื้องหน้าเป็นหัวหน้าสภานักเรียน คอยตรวจตราดูแลความเรียบร้อยและทำหน้าที่หลายๆอย่างเพื่อแบ่งเบาภาระของอาจารย์ สร้างความน่าเชื่อถือและความน่าไว้วางใจให้กับบุคลากรเกือบทุกคนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือแม้กระทั่งผู้ปกครองของนักเรียน หากแต่เบื้องหลังของเขากลับกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มนักเรียนอันธพาลเสียเอง และเรื่องนี้ก็เป็นที่รับรู้กันในหมู่นักเรียนแทบทั้งโรงเรียน ทว่า เมื่อหักลบกับหน้าที่หัวหน้าสภานักเรียนแล้ว ทำให้เทาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนได้อย่างปกติ และส่วนหนึ่งนี้ก็มาจากบารมีของพ่อแม่เขาที่ทำให้โรงเรียนนี้มีความน่าเชื่อถือในประเทศจีน ทำให้โรงเรียนที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นมีลูกหลานของเศรษฐีในแผ่นดินใหญ่เข้ามาเรียนเป็นจำนวนมาก และกลุ่มนักเรียนจีนเหล่านี้ก็กลายเป็นแขนขาของเทาในการขูดรีดนักเรียนชาวเกาหลีผู้เคราะห์ร้ายทั้งหลายนั่นเอง

     

    สี่หมื่นวอน บัตรเครดิต 2 ใบ เอทีเอ็มอีก 2 ใบไม่เลวธนบัตรทุกใบ รวมไปถึงบัตรต่างๆที่เขาได้มาในวันนี้ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าสตางค์สีดำ ไม่น่าแปลกใจที่มูลค่าทรัพย์สินที่เขาได้มาในวันนี้จะมากมายเมื่อเทียบกับสถานะนักเรียน ในเมื่อผู้โชคร้ายที่ถูกแจ็กพ็อตของเทาในวันนี้เป็นถึงลูกชายเภสัชกรชื่อดังในย่านโรงเรียน และเขาก็มั่นใจว่าไม่มีใครสามารถเอาเรื่องเขาได้อย่างแน่นอน ทั้งตำแหน่งสภานักเรียนที่ค้ำคออยู่ รวมถึงภาพลักษณ์นักเรียนตัวอย่างที่ปรากฏในสายตาผู้ปกครองนับพันของโรงเรียน และยังมีอำนาจของคนจากแผ่นดินใหญ่ภายในโรงเรียนที่พร้อมจะหนุนหลังเขาอีกเป็นจำนวนมาก ก็อย่างว่า

     

    ในสังคมทุนนิยม ใครมีเงินมากกว่า อำนาจมันก็แปรผันตรงตามค่าของเงิน

     

    ฟึ่บ

     

    กระดาษนามบัตรขนาดเล็กหล่นลงมาบนพื้นห้อง ทำให้เทาชะงักไปครู่หนึ่ง เดาได้ว่าคงหลุดออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ร่างสูงหยิบขึ้นมานั่งพลิกดู ก่อนจะเพ่งสายตาลงไปบนแผ่นกระดาษที่เขียนนัดหมายสถานที่และเวลาเอาไว้ราวกับบัตรเชิญ

     

    ไร้สาระ…”

     

    ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่นามบัตรที่ไม่ได้เป็นของเขากลับทำให้เขารู้สึกสนใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของคนอื่นก็ตาม แต่ใครสนล่ะ

     

    ลองไปดูสักหน่อยก็ไม่เลว

     

    XXXXXXXXXX

     

                ถ้างั้น ผมขอปิดการประชุมแค่นี้นะครับ

     

                เสียงทุ้มต่ำหนักแน่นของผู้เป็นประธานบริษัทที่นั่งอยู่หัวโต๊ะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดแฟ้มเอกสาร ก่อนที่พนักงานทุกคนจะทยอยลุกขึ้นออกจากห้องประชุม เหลือเพียงแค่ผู้เป็นประธานบริษัทกับเลขานุการสาวเท่านั้น

     

                คุณจงแด มีอะไรจะสั่งดิฉันมั้ยคะ ?

                “ไม่เป็นไรครับ วันนี้ดึกแล้ว คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ

     

                คิมจงแด ชายหนุ่มวัย 25 เจ้าของตำแหน่งประธานบริษัทอายุน้อยถอดแว่นสายตาออก ก่อนจะกุมขมับด้วยใบหน้าคร่ำเคร่ง หลังเห็นว่าเลขาสาวออกจากห้องประชุมไปแล้ว ความเงียบของห้องประชุมทำให้จงแดรู้สึกอึดอัดจนอยากปลดปล่อยความเครียดออกมา

     

                บัดซบ…”

     

                ถึงในใจอยากจะตะโกนแค่ไหน แต่ตอนนี้เขากลับทำได้แค่เพียงสบถออกมาเบาๆ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของประธานบริษัทเอาไว้ และต้องไม่ทำให้ลูกน้องในบริษัทเสียขวัญกำลังใจ เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มทยอยกันกลับบ้านแล้ว จงแดเดินกลับไปที่ห้องทำงานส่วนตัว มือของชายหนุ่มคว้ารีโมทโทรทัศน์ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งดูข่าวสารจากจอทีวีบนโซฟา

     

                สำหรับข่าวต่อไป ยังคงเกี่ยวข้องกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง CHEN’s GROUP ที่ล่าสุด บริษัทคู่กรณีเริ่มเคลื่อนไหว เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เตรียมดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากที่ทางบริษัทดังกล่าวได้ออกมาร้องเรียนว่า CHEN’s GROUP ได้ทำการลอกเลียนแบบผลงานการวางแปลนหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมหลายแห่ง…. ’

     

                รีโมทถูกกดปิดโทรทัศน์ ก่อนจะถูกเจ้าของขว้างออกไปอย่างแรง จงแดยืดตัวลงนอนบนโซฟาพร้อมเอามือก่ายหน้าผากอีกครั้ง เพราะข่าวดังกล่าว ตลอดสามวันที่ผ่านมาทำให้จงแดแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน อีกทั้งต้องเรียกลูกน้องเข้าประชุมทั้งวันด้วยเรื่องที่หาสาเหตุไม่ได้

    CHEN’s GROUP บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของเกาหลีใต้ บริหารงานโดย คิมจงแด วิศวกรจบใหม่ไฟแรงอายุ 25 ปี โดยรวบรวมวิศวกรและสถาปนิกชั้นยอดจากเกาหลีที่เพิ่งจบจากรั้วมหาลัย มีรุ่นราวคราวเดียวหรือใกล้เคียงกับจงแด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าหัวสมัยใหม่ที่ต้องการดีไซน์ร่วมสมัย และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้ CHEN’s GROUP กลายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์และรับเหมาก่อสร้างแนวหน้าของเกาหลีได้ในเวลาอันรวดเร็ว

    แต่ทว่า เมื่อสามวันก่อน กลับเกิดข่าวใหญ่แพร่สะพัดไปทั่วประเทศเกาหลีใต้ กับกรณีที่บริษัทของเขาถูกกล่าวหาจากบริษัทคู่แข่งว่าก็อปปี้แพลนงานทั้งหมด และข่มขู่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งทำให้หุ้นของบริษัทตกลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงมีซองขาวลาออกจากพนักงานเป็นจำนวนมาก ไหนจะลูกค้าหลายคนที่ขอยกเลิกสัญญาต่างๆนานา

     

    “…”

     

    จงแดหยิบเสื้อโค้ทออกจากห้องทำงานเตรียมไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัท ถึงแม้จะไม่มีกะใจจะกลับบ้านเพราะความเครียดจากเรื่องที่ทำงาน แต่ในเวลานี้ สถานที่ที่จะทำให้เขาฟุ้งซ่านได้น้อยที่สุดก็คงไม่พ้นที่บ้านอยู่ดี

    ขณะนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มเศษๆ บริษัทก็เริ่มเงียบสงบเพราะพนักงานกลับบ้านกันไปหมดแล้วมีเพียง รปภ.หน้าบริษัทเท่านั้นที่ยังคงอยู่เพื่อรอให้เขากลับบ้าน ก่อนจะปิดประตูบริษัท นิ้วมือค่อยๆกดลงไปที่ปุ่มลิฟท์บนปุ่มลูกศรชี้ลง รอเพียงไม่กี่อึดใจ ลิฟท์ก็หยุดอยู่ตรงหน้าของเขา ก่อนที่ประตูจะเปิดออก ตัวเลขด้านบนแสดงเป็นเลข “9” ซึ่งบ่งบอกถึงชั้นที่จงแดกำลังอยู่ในตอนนี้ ประตูลิฟท์ค่อยๆปิดลง ก่อนจะนำพาเขาลงไปยังชั้น B ซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน แต่จู่ๆลิฟท์กลับหยุดที่ชั้น “7” ก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก

    ผู้ชายในชุดสีดำก้าวเข้ามาในลิฟท์ โดยมีหมวกปีกกว้างใบใหญ่ปิดใบหน้าของเขาจนหมดราวกับจงใจอำพรางใบหน้า จงแดยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อย เวลานี้ไม่ควรมีพนักงานเข้ามาเพ่นพ่านในบริษัทแล้ว

     

    ขอโทษที่เสียมารยาท…”

     

    เสียงของชายชุดดำทักขึ้นก่อนที่จงแดจะเป็นฝ่ายพูด บรรยากาศในลิฟท์ดูอึดอัดขึ้นมาทันตา แต่แล้วจงแดก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเมื่อเหลือบไปมองตัวเลขบอกตำแหน่งของลิฟท์ด้านบนที่ค้างอยู่ชั้น 6 โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน

     

    ไม่ใช่ฝีมือของฉันนะ

    นายเป็นใคร ?

     

    จงแดไม่ได้สนใจคำพูดของอีกฝ่าย หากแต่เขาเป็นฝ่ายเริ่มทักทายก่อนเสียเอง ใบหน้าของประธานบริษัทดูเรียบเฉย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

     

    ผู้ชายคนนี้คือใคร ?? สามารถเข้ามาในบริษัทในเวลาค่ำมืดได้อย่างไรถ้าหากไม่ใช่พนักงาน ?? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับลิฟท์ในตอนนี้ ?

     

    ไม่มีอ้อมค้อมเลยนะ

    “…”

    ฉันแค่เห็นว่านายกำลังเครียดจากข่าวสองสามวันมานี้

    นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ นายเป็นใคร ?จงแดเริ่มกดเสียงต่ำลง

    บอกไปนายก็ไม่รู้จักอยู่ดี

    “…”

    แต่ฉันรู้จักนายดีเลยนะ…”

     

    คิมจงแด อายุ 25 เจ้าของบริษัท CHEN’s GROUP ที่โด่งดังของเกาหลีใต้ CEO คนเก่งที่สามารถไต่เต้าขึ้นมาจากเด็กรับใช้บ้านเศรษฐีจนกลายเป็นผู้บริหารได้ด้วยมันสมองอันแสนฉลาด หน้าจืดๆแบบนี้แต่ความสามารถไม่จืดตามหน้าตาเลยนะ

     

    “…”

     

    จงแดถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเรื่องราวของเขาจากปากของอีกฝ่าย คนๆนั้นพูดเรื่องราวของเขาถูกทุกอย่าง ทั้งอายุที่ถูกต้องเป๊ะ ตำแหน่งหน้าที่การงาน สถานะครอบครัว อดีตความเป็นอยู่ที่ไม่น่าจดจำ

     

    รู้เรื่องของฉันได้ยังไง ?

    ฉันก็อยากจะบอกหรอกนะ แต่ฉันมีเวลาไม่มากเท่าไหร่ แต่โชคดีที่เรื่องที่ฉันพูดมันทำให้นายเริ่มสนใจในตัวของฉันขึ้นมาบ้าง

    “…”

    ถ้าอยากรู้ไปตามที่อยู่นี่ก็แล้วกัน

     

    ไม่พูดเปล่า นามบัตรสีขาวใบเล็กที่ระบุสถานที่และเวลาเอาไว้ถูกหยิบยื่นให้จงแด ซึ่งซีอีโอหนุ่มก็รับมาแบบไม่ปักใจเชื่อเรื่องราวเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ว่าเรื่องที่เพิ่งได้ยินจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที ก่อนที่ลิฟท์จะถูกหยุดอยู่ที่ชั้น B ซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน ผู้ชายแปลกหน้าที่เพิ่งคุยกันจึงเดินออกจากลิฟท์ไปโดยไม่ได้กล่าวลาอะไรแม้แต่คำเดียว

    จงแดกวาดสายตาอ่านนามบัตรอย่างละเอียดถี่ถ้วนตามประสานักธุรกิจที่ต้องอ่านนามบัตรเป็นมารยาทจนเคยชิน ความรู้สึกลังเลเริ่มเข้ามาในใจ อยากไปหาเพราะความอยากรู้ แต่ก็ไม่อยากไปเพราะลางสังหรณ์รอบๆตัวของเขามันรู้สึกได้ถึงกลิ่นแปลกๆจากผู้ชายคนนั้น

     

    แต่ในวงการธุรกิจนั้น ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีความเสี่ยง

     

    XXXXXXXXXX

     

                ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆเที่ยงคืน ในซอยเปลี่ยวแคบๆที่มีน้ำขังตลอดเส้นทาง อีกทั้งแสงไฟสลัวๆและหมอกในยามดึก เป็นบรรยากาศที่ชวนขนลุกและอึดอัดใจที่จะยืนอยู่ต่อ แม้ว่าจะรีบก้าวเท้าเดินเท่าไหร่ แต่กลับทำให้เขารู้สึกว่าเส้นทางกลับบ้านในคืนนี้ช่างยาวไกลยิ่งกว่าทุกวัน

     

                เมื่อไหร่จะถึงบ้านสักที

     

                คิมมินซอก ทำได้แค่เดินกอดอกแล้วคิดในใจ หันซ้ายหันขวามองรอบข้างเพื่อความสบายใจ ความรู้สึกที่เหงา เปลี่ยว กลัว และอึดอัดใจ ยิ่งทำให้เขาอยากจะรีบๆเดินให้ถึงบ้านเสียที ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชาย แต่อย่างไรเสีย ทุกคนก็ย่อมกลัวเป็นเหมือนกันทั้งนั้น

                คิมมินซอก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ที่วันนี้เขาจำเป็นต้องอยู่ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆและรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย และต้องอยู่ทำโปรเจคต์นักศึกษา แม้ว่าเขาจะกลับบ้านดึกเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ก็คงเป็นวันที่เขากลับดึกที่สุด ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและมีความรู้สึกไม่ชอบมาพากลจนต้องรีบเร่งความเร็วในการเดินเพื่อให้ถึงบ้านไวๆ

                บ้านของเขาอยู่เกือบท้ายๆซอย เดินเข้ามาลึกพอสมควรจึงเริ่เห็นแสงไฟจากหน้าต่างบ้านสว่างขึ้นมาในระยะสายตา มินซอกจึงใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจึงรีบวิ่งเพื่อให้ถึงบ้านเร็วขึ้น แต่แล้วก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าประตูบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ อาจจะเป็นเพราะความขี้ลืมของพ่อของเขา มินซอกจึงได้แต่ส่ายหัวแล้วเดินเข้าบ้านพร้อมปิดประตู

     

                พ่อ ผมกลับมาแล้ว…” มินซอกทักทายพลางถอดรองเท้า แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงขานกลับของคนเป็นพ่อเหมือนทุกๆวัน

     

                หลับไปแล้วเหรอ…?

     

                “พ่อ หลับแล้วเหรอครับ ?มินซอกเพิ่มระดับความดังของเสียงขึ้นอีก

                “…”

                “มินจี พี่กลับมาแล้ว

                “…”

                “หลับกันหมดแล้วเหรอเนี่ย

     

                มินซอกได้แต่ส่ายหัวอีกครั้งก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาแขวน เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนจะหลับไปหมดแล้ว นักศึกษาหนุ่มจึงเดินตรงเข้ามาในห้องครัวเพื่อจะหาอะไรกินรองท้องเป็นมื้อเย็นและมื้อดึกควบคู่กัน แต่เมื่อเดินเข้ามาถึงในห้องครัว ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาแทบสิ้นสติ

     

                “พ่อ !!!!!!!!!!!!”

     

                ร่างของผู้เป็นพ่อที่อาบไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโพลงราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง เลือดสีแดงที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ และศพที่เริ่มเย็นและแข็ง บ่งบอกได้ถึงเวลาของการตายของพ่อ

     

                ไม่จริงพ่อ !!!!” มินซอกค่อยๆทรุดลงไปนั่งข้างๆศพของผู้เป็นพ่อ น้ำตาของลูกผู้ชายที่ไม่ได้ไหลลงมาแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับแตกเป็นเสี่ยงๆราวกับถูกฆ่าทั้งเป็น ยิ่งมองเห็นศพมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนถูกฆ่าตามไปด้วยเช่นกัน

                พ่อ !!! พ่อตื่นสิ พ่อ !!!”

                “…”

                “อึก มินจีล่ะ มินจี !!!!” เมื่อนึกถึงอีกหนึ่งชีวิตที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวแท้ๆในสายเลือดของเขาขึ้นมาได้ มินซอกจึงรีบตะโกนหาคนเป็นน้องสาว แต่กลับได้รับความเงียบเป็นคำตอบ

                มินจี !!!! ตอบพี่หน่อย มินจี !!!”

               

                มินซอกตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือ ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองที่เป็นห้องนอนของน้องสาวของเขา ก่อนจะพยายามเคาะประตูห้องเรียกผู้เป็นน้องสาว

     

                มินจี !!!! เปิดประตูให้พี่หน่อย !!”

                “…”

                “มินจี !!!!”

                “…”

     

                เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดๆกลับมา ชายหนุ่มจึงอดสังหรณ์ใจไม่ดีไม่ได้ น้ำลายอึกใหญ่ที่ถูกกลืนลงคอ ใบหน้าซีดเผือด และมือที่สั่นเทา มินซอกได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องสาวของเขา ก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกด้วยมือของเขาเอง

     

                และเขาก็ได้รับรู้ว่า สิ่งที่เขาภาวนาในใจไม่สมหวัง

     

                ร่างของเด็กสาววัย 18 ปีที่โชกไปด้วยเลือดทั้งบริเวณจมูกและปาก ข้อมือ และหว่างขาที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ ในมือของน้องสาวของเขามีมีดคัตเตอร์อยู่หนึ่งอัน  สภาพศพที่น่าสยดสยองแต่กลับทำให้มินซอกต้องหลั่งน้ำตาออกมา ร่างกายของชายหนุ่มที่ชาไปทั้งตัวราวกับถูกฉีดยานับพันเข็ม

     

                มินจี !!!!!!”

                “…”

                “มินจี ตื่นสิ !!! มินจี !!!!”

     

                มินซอกเขย่าร่างบางของน้องสาว แต่กลับได้ความเงียบกลับมาเป็นคำตอบ และเมื่อชายตาไปมองจึงพบยาหนึ่งขวดที่ไม่มีฉลากใดๆติดไว้เลย มินซอกจึงหยิบลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะอุ้มร่างของน้องสาวลงมาชั้นล่าง ก่อนที่อีกไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายก็มาพร้อมกันที่บ้านของเขาตามที่มินซอกได้โทรแจ้งไป

                บริเวณบ้านของเขาถูกกั้นด้วยสายเทปสีเหลืองเหมือนกับในหนังฆาตกรรมที่เขาเคยดูบ่อยๆ แต่ใครจะคิดว่าวันนี้ฉากนั้นจะกลายเป็นบ้านของเขาไปเสียเอง ศพของพ่อกับน้องสาวถูกส่งไปชันสูตรที่โรงพยาบาล ส่วนมินซอกถูกพาตัวไปยังโรงพักเพื่อสอบปากคำเพราะเป็นคนแรกที่เห็นศพ และบนวัตถุรอบๆตัวก็มีรอยนิ้วมือของเขา ทำให้เขาตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย

     

                คุณ…”

                “คิมมินซอกครับมินซอกได้แต่ก้มตาหลบสายตาพนักงานสอบปากคำ เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยคราบเลือด และมือไม้ที่ยังสั่นไม่หยุด ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แต่มองเขาด้วยความเวทนา

                เมื่อครู่นี้ทางเราได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล เรื่องผลชันสูตรศพแล้วนะครับ

                “…”

                “จากการชันสูตรเบื้องต้นพบว่า คุณคิมเสียชีวิตจากการถูกยิงบริเวณช่วงตัว และกระสุนยิงถูกจุดสำคัญ ทำให้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากสภาพศพแล้ว คาดว่าเสียชีวิตมาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง

                “ครับ…”

                “ส่วนน้องสาวของคุณ มีรอยมีดตั้งแต่ช่วงท้องแขนจนถึงข้อมือ บาดแผลค่อนข้างลึก เอ่อผมขอถามอะไรคุณสักนิดได้มั้ยครับ ?

                “ครับ

                “ช่วงนี้น้องสาวของคุณได้ติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับใครบ้างมั้ยครับ ?

                “ผมไม่ค่อยทราบหรอกครับเราไม่ค่อยคุยเรื่องส่วนตัวกันเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าน่าจะมีคนที่เธอคุยด้วยบ้างครับ

                “จากผลการชันสูตรเพิ่มเติมนะครับ น้องสาวของคุณมีอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ทำให้เสียเลือดมาก และคาดว่าน่าจะมีอาการแพ้ยาที่ใช้ขับเลือดออกมา เลยทำให้ช็อก และเสียชีวิตครับ

                “ตกเลือด เหรอครับ ??

                “ครับ ถ้าให้พูดตรงๆเลยก็คือ น้องสาวของคุณทานยาเพื่อทำแท้ง แต่เกิดอาการแพ้ยาอย่างรุนแรงครับ

                “ทำแท้ง…?”

     

                มินซอกทวนคำพูดอย่างไม่เข้าใจ น้องสาวของเขาเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง พูดน้อยคำ วันๆหนึ่งเขาสามารถนับคำพูดของน้องสาวออกมาได้เลย แต่คำพูดของตำรวจที่ยืนยันหนักแน่นก็ทำให้มินซอกไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่น้อย

     

                ทางเราได้ส่งขวดยาที่คุณให้มาไปให้ทางโรงพยาบาลตรวจสอบด้วย ซึ่งพบว่ายาชนิดนั้นเป็นยาที่ใช้ขับเลือดครับ

                “…”

                “ตอนนี้ทางเราได้ลงบันทึกประจำวันไว้แล้วนะครับ แล้วเดี๋ยวทางเราจะเรียกคุณมาสอบปากคำอีกครั้ง ขอบคุณที่สละเวลามานะครับ

                “ครับ ขอบคุณมากนะครับ

     

                มินซอกลุกขึ้นพร้อมโค้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในโรงพัก ก่อนจะเดินออกมาจากสถานีตำรวจอย่างไร้จุดหมาย เวลาตีสองกว่าๆทำให้บรรยากาศรอบข้างสงบเงียบ แม้ว่าจะมีแสงไฟหลากสีตลอดเส้นทางเนื่องในวันเทศกาลสิ้นปี แต่มินซอกกลับรู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างมันช่างมืดมนและเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา

                ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าลงกับฟุตบาทข้างทาง ใบหน้าเล็กซุกลงกับแขนของตัวเอง อากาศหนาวๆรอบข้างไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อเขาอีกต่อไป มินซอกนั่งนิ่งเฉยอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่าราวกับไม่ขอรับรู้เรื่องราวรอบข้างใดๆอีก แต่เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็พบว่า ยังมีคนอยู่หน้าบ้านของเขาอีกคนหนึ่ง

     

                ขอโทษนะครับ คุณตำรวจเหรอครับ ?มินซอกพยายามเพ่งไปที่หน้าบ้านของเขาที่ถูกล้อมไปด้วยเทปสีเหลืองพร้อมตะโกนถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเทปกั้นบริเวณ

                เปล่า ไม่ใช่หรอกเสียงทุ้มต่ำตอบกลับมาเบาๆ โดยมีหมวกปิดบังใบหน้าอยู่

                “…”

                “อย่าทำหน้าเหมือนจะถามว่า คุณเป็นใครกันเหรอ ? ฉันฟังคำนี้มาตั้ง 11 ครั้งแล้วนะ มันน่าเบื่อนะกับการที่ต้องมาฟังอะไรซ้ำๆซากๆน่ะ

                “แล้วคุณ…”

                “ถ้านายอยากรู้ว่าฉันเป็นใคร นายก็ต้องหาทางสืบเอาเอง เพราะถ้าฉันบอกนาย มันก็จะไม่ยุติธรรมกับฉันที่อุตส่าห์สืบเรื่องราวของนายมาอย่างดีเชียวนะ คิมมินซอก

                “คุณรู้ชื่อของผม…?” มินซอกขมวดคิ้วพร้อมมองอีกคนที่อาศัยความมืดในการพรางตัว

                อาไม่ใช่แค่ชื่อหรอกนะ

                “…”

     

    คิมมินซอก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 อาศัยอยู่กับพ่อและน้องสาว ส่วนแม่หนีไปแต่งงานใหม่เมื่อหลายปีก่อน ฐานะค่อนข้างย่ำแย่พอดูเพราะเคยถูกโกง ชีวิตนายนี่รันทดยิ่งกว่าละครน้ำเน่าอีกนะ เคยเป็นลูกคุณหนูอยู่คฤหาสน์สบายๆ แต่สุดท้าย… ’

     

    คุณรู้ได้ยังไง !?!” มินซอกนิ่งสนิทเมื่อได้ยินเรื่องราวของตัวเองจากชายแปลกหน้า

    นี่ ฉันยังรู้อะไรอีกเยอะเลยนะ

    “…”

    แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ จริงๆแล้วฉันสนใจในตัวของนายอยู่ ถ้ายังไง…”

     

    ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาหามินซอกโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาแม้แต่น้อย นามบัตรสีขาวถูกยัดใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ตของมินซอก ก่อนที่จะตบไหล่สองสามทีเบาๆแล้วเดินผ่านมินซอกไป

     

    ถ้าอยากรู้ มาตามที่อยู่ในนามบัตร ฉันไม่ได้บังคับ…”

     

    แต่ถ้านายมาตามนัด นายอาจจะเจอคนที่ฆ่าพ่อของนาย รวมไปถึงคนที่เคยโกงครอบครัวของนายในอดีตด้วยนะ

     

    XXXXXXXXXX

     

                30 Dec 20XX

     

                ขณะนี้เป็นเวลา 3 ทุ่ม เหลือเวลาอีกไม่ถึง 30 ชั่วโมง ก็จะย่างเข้าสู่วันปีใหม่ วันที่ได้เริ่มต้นใหม่ของปี วันที่ทุกคนต่างรอคอยเพื่อเฉลิมฉลองและนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่

                ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ บรรยากาศหน้าสถานที่นัดหมายช่างอึดอัดเสียเหลือเกิน ผู้ชายทั้งหกคนที่ยืนอยู่คนละมุมต่างจ้องกันและกัน ราวกับสงสัยในตัวของแต่ละคน ความเงียบที่เข้าปกคลุมทั้ง 6 คน ยิ่งสร้างบรรยากาศความอึดอัดมากขึ้นไปอีก อีกทั้งบุคลิกของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติสองคนที่สื่อสารกันด้วยภาษาจีน ผู้ชายร่างสูงเกินมาตรฐานผู้ชายเกาหลีปกติ นักเรียนมอปลายที่มีท่าทีเหมือนอันธพาล ชายหนุ่มมาดนักธุรกิจ และนักศึกษาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง

     

                นี่ พวกคุณ…” จู่ๆบรรยากาศความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงของผู้ชายที่คุยด้วยภาษาจีน

                เดี๋ยวสิลู่หาน เที่ยวไปทักสุ่มสี่สุ่มห้าน่า…”

                “ว่าไง ?ผู้ชายที่ตัวสูงที่สุดหันมามองด้วยหางตา

                พวกคุณมาตามนามบัตรพวกนี้ใช่มั้ย ?

                “ก็ใช่น่ะสิ เสียเวลาชิบ…” เด็กหนุ่มนักเรียนมอปลายตอบด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด

                นึกว่าจะมีแค่พวกเราซะอีกแฮะ งั้นขอแนะนำตัวนะ ผมชื่อลู่หาน มาจากประเทศจีน ส่วนนี่เพื่อนของผม ชื่ออี้ชิง

                “เรียกเลย์จะดีกว่า…”

                “ฉันชื่อคริสร่างสูงตอบสั้นๆ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้อีกสามคนที่เหลือเป็นเชิงให้พูดต่อ

                “หวงจื่อเทาคนที่ดูอายุน้อยที่สุดพูดแบบห้วนๆ

                ผมชื่อคิมจงแด

                “คิมมินซอกครับ

                “เอาล่ะ แนะนำตัวกันครบแล้วใช่มั้ย ขอถามอะไรพวกคุณหน่อยสิ พวกคุณได้นามบัตรแปลกๆแบบนี้เหมือนกันใช่มั้ย ?ลู่หานเริ่มทำลายบรรยากาศความเงียบด้วยการชวนทุกคนพูดคุยถึงเรื่องราวแปลกๆที่พวกเขาเพิ่งพบเจอกันมา

                ฉันเจอแบบไม่ได้ตั้งใจ มันติดอยู่ในกระเป๋าสตางค์ของเพื่อนเทาตอบแบบไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่นัก

                เราสองคนเจอมันในกระเป๋าเดินทาง แล้วพวกคุณสามคนล่ะ ?ลู่หานหันไปถามอีกสามคนที่เหลือ

                มีผู้ชายท่าทางแปลกๆเอามาให้น่ะจงแดตอบพร้อมพลิกนามบัตรดูไปมา

                เหมือนกันคริสตอบสั้นๆ

                ผมก็ด้วยครับมินซอกเองก็เช่นกัน

                งั้นพวกคุณพอจะจำหน้าตาของคนๆนั้นได้มั้ย ?อี้ชิงถามต่อเมื่อได้ยินคำตอบ

                มองไม่เห็นหน้าของมันเลย แถมยังพูดจากวนประสาทด้วยคริสพูดแบบไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

                ทุกคน ผมขอดูนามบัตรหน่อยได้มั้ย ?จงแดทำท่าแบมือขอนามบัตรจากทุกคน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี

                โคตรไร้สาระ เหอะ…” ถึงจะบ่นแบบนั้น แต่เทาก็ยื่นนามบัตรให้จงแดแต่โดยดี ชายหนุ่มยืนกวาดสายตาอ่านนามบัตรทุกใบจนครบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

                ดูเหมือนว่านามบัตรทุกใบจะเขียนเหมือนกันหมดเลยนะ

                “ขอผมลองอ่านหน่อยได้มั้ยครับ ?มินซอกค่อยๆชะโงกไปมองนามบัตรทั้ง 6 ใบ ก่อนจะค่อยๆไล่อ่านข้อความบนนามบัตร

     

    ฉันรู้ว่าพวกนายทุกคนกำลังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก และฉันคิดว่ามันก็ไม่เลว ถ้าเราจะได้สังสรรค์ร่วมกันในวันสิ้นปีนี้สักหน่อย และแน่นอนว่า ถ้าพวกนายมาตามข้อเสนอของฉัน พวกนายจะได้รับสิ่งตอบแทนที่คุ้มค่า ถ้าหากพวกนายเป็นผู้ชนะ

     

    ถ้าสนใจล่ะก็ มาเจอกันที่โรงแรมหน้าสถานีรถไฟตอน 3 ทุ่มของวันที่ 30 ธันวาคม ประตูทางเข้า B

     

    ฉันหวังว่า เราจะได้พบกัน… ’

     

                เหมือนจดหมายลูกโซ่มากกว่าเลยอี้ชิงขมวดคิ้ว

                ก็บอกแล้วว่าไร้สาระ ไม่น่าเสียเวลามาเลย ให้ตาย…”

     

                เอาล่ะ ดูเหมือนว่าทีม M ก็จะมากันครบแล้วสินะ… ’






    สวัสดีปีใหม่ 2558 ค่า
    ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะดองฟิคได้ถึง 1 ปีเต็มๆ ! #น่าภูมิใจมั้ย
    เนื่องจากอะไรหลายๆอย่าง ทั้งปัญหาส่วนตัว ปัญหาติ่ง บลาบลาล้านแปด
    ต้องยอมรับว่าการแต่งเรื่องนี้มีอุปสรรคมากค่ะ
    แก้บทประมาณ 6 - 7 รอบได้
    เพราะพาร์ทของซิ่วหมินมีปัญหาเยอะมาก
    ตอนแรกบทซิ่วหมินจะดาร์คกว่านี้มากค่ะ
    แต่เนื่องจากดองไว้นาน มันเลยไปซ้ำกับบทของ Hormones The Series
    (พล็อตจริงๆคือซิ่วหมินทำสาวท้องค่ะ มีฉากทำแท้งด้วย
    ฮาร์ดคอร์มาก)
    เลยต้องแก้บทกันยาวเลย แก้หลายรอบมาก เลยลงด้วยอีหรอบนี้
    แถมงานเยอะมาก เพราะปีนี้ไรท์เตอร์อยู่ ม.6 แล้ว
    สอบมหาลัยเอย แกทแพทเอย เจ็ดวิชาเอย โอเน็ต ปลายภาค มิดเทอม
    อูยยยยย สยองกว่าอะไรดีเลยค่ะ T T
    แต่สัญญากับตัวเองไว้ว่า ปีนี้จะไม่ดองฟิคอีกต่อไปแล้ว /กราบขอโทษงามๆ

    ปล. เจอกันได้ที่แท็ก
    #ล่าท้าตาย นะคะ

     
    ©
    Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×