คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เฟรินคนเดิม
“เป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มของเพื่อนร่วมห้องอีกคนเอ่ยออกมาขณะเดินออกมาจากขอบกำแพง “วิธีของฉันมันได้ผลใช่ไหมล่ะ” นักฆ่าตัวป่วนยังไม่เลิกแย็บเพื่อนสุดนิ่งของตน
คาโลไม่ตอบอะไรเพียงแต่คลี่ยิ้มบาง ๆ ออกมาที่มุมปากแล้วเดินเลยร่างคิลไป
“เฮ้!” คิลเรียก เจ้าชายน้ำแข็งแห่งคาโนวาลเดินจากไปโดยไม่สนใจคำทักท้วงจากผู้อยากรู้อย่างคิล “โธ่....ไปซะแล้ว”
“อย่าไม่ถามเลย เห็นอย่างนั้นก็รู้แล้วนี่น่าว่าเรื่องมันผ่านไปโดยดี” โรเอ่ยออกมา
“เรื่องนั้นไม่บอกเฟรินมันจะดีเหรอ” คิลเบือนใบหน้ามาถามเพื่อนผู้รอบรู้
โรหลับตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยออกมาว่า “เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของคาโล”
ถึงคิลจะรู้ว่าทุกคนลงมติให้คาโลเป็นคนจัดการเรื่องของเฟริโอน่าแต่เขาเองก็รู้สึกผิดที่ต้องปิดบังความลับกับเฟริโอน่าที่ถือว่าเป็นเพื่อนที่สนิทของตน ถึงมันจะไม่ดีต่อเฟริโอน่าแต่เพื่อปกป้องเฟริโอน่าเอาไว้วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ห้องนอนที่ตอนนี้เหมือนกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง เมื่อผีสาวยังมีท่าทีไม่ยอมให้ว่าที่ราชินีแห่งคาโนวาลในอนาคตแต่งตัวในชุดซอมซ้อ รอยปะ รอยชุน รอยเย็บทับมันดูได้ที่ไหนกัน
“ไม่ได้นะเจ้าคะ นายหญิง” ผีสาวแย่งชุดที่เฟริโอน่าที่กลับกลายร่างเป็นชายอีกครั้งถืออยู่ “แต่งชุดที่ดูดีกว่านี้เถอะเจ้าคะ”
“นั่นมันชุดตัวเก่ง” เฟรินไม่มีท่าทีที่ยอมเหมือนกัน เสื้อผ้าแต่ละตัวย่อมบอกเรื่องราวที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี รอยต่าง ๆ ที่ตราอยู่ในเสื้อผ้าบอกถึงการต่อสู้เรื่องราวร่วมรบที่มีเพื่อนอยู่เคียงข้าง เรื่องที่ผ่านแม้จะหายไปแต่รอยเหล่านี้ยังคงอยู่
“นายหญิง ขอร้องเถอะคะ นายท่านเตรียมชุดนักเรียนตัวใหม่ให้แล้วนะเจ้าคะ” ผีสาวต้องใช้มาตรการสุดท้าย ถึงนายหญิงของหล่อนจะดื้อแค่ไหนถ้าเอาชื่อของเจ้านายของหล่อนขึ้นมาอ้างอาจจะช่วยลดความดื้อของนายหญิงก็เป็นไปได้
และมันท่าทางจะได้ผลด้วยเมื่อมือที่กุมเสื้อแน่นเริ่มอ่อนแรงลง ผีสาวรีบเริ่มรุกก่อน
“นายท่านคงดีใจที่นายหญิงใส่ชุดที่นายท่านเลือกให้นะคะ ไม่อยากเห็นนายท่านดีใจหรือเจ้าคะ” คำพูดของผีสาวใช้ได้ผลแล้ว เฟริโอน่าตัดสินใจเก็บเสื้อตัวเก่งลงแล้วหยิบชุดนักเรียนตัวใหม่ที่เรียบและไร้รอยปะขึ้นมาใส่แทน
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเหล่าเด็กนักเรียนรุ่นพี่กับน้องใหม่ที่กำลังได้เข้ามาเรียนในโรงเรียนพระราชาที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ จากเหตุการณ์ที่ทำให้โรงเรียนพระราชาแห่งนี้ต้องใช้อัยการศึกยุติการเรียนไปเป็นเวลา 1 ปีเต็มตอนนี้ความสงบสุขกลับมา เหล่านักเรียนผู้มุ่งแสวงหาความสำเร็จและการก้าวออกไปเป็นผู้มีคุณวุฒิในด้านต่าง ๆ ของตนเอง ธงสี่ผืนต่างสะบัดอวดความเก่งกาจของหอพักแต่ละหอ ปราสาทขุนนาง ป้อมอัศวิน ปราการปราชญ์ และแผ่นดินประชาชน
“เจ้าเฟริโอน่ามันยังไม่อีกเหรอ” เสียงครี้ดที่ไม่เคยจะอารมณ์ดีหันไปมองแถวหลังสุดของนักเรียนป้อมอัศวินปีสามเพื่อดูว่าคนที่เขาเอ่ยถึงมาถึงยังแต่มันก็ดูจะไร้วี่แวว...
“เดี๋ยวก็มาแหละครับ”กัสชายหนุ่มผู้ดูอ่อนโยนอยู่เสมอเอ่ยออกมา แล้วเหลือบไปดูท่าทีของคนรักของเฟริโอน่าที่ยืนนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อาจารย์ผู้คุมป้อมอัศวินชั้นปีสามเดินกระหืดกระหอบตรงเข้ามายังแถวของนักเรียนชั้นปีสาม สีหน้าของอาจารย์สาวดูว่าเรื่องที่หล่อนร้อนใจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสียด้วย
“เจ้าชายคาโล ช่วยมากับครูหน่อย” อาจารย์คุมป้อมเอ่ยออกมา
สายตาของเหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างมองมาที่ครูเป็นสายตาเดียวกัน
“ได้ครับ” เจ้าชายน้ำแข็งเอ่ย
“รีบมาเถอะจ้ะ” อาจารย์ไม่สนใจสายตาของลูกศิษย์เธอเพราะเรื่องตอนนี้มันสำคัญกว่า หล่อนรีบสาวเท้าเดินออกไป คาโล วาโนบลี เดินตามหลังไปอย่างใจเย็น
“ดูนั้นสิ” อาเธน่าชี้ไปที่บันไดที่ขึ้นไปยังปราสาท
“เจ้าชายโรเวน เจ้าชายอาเธอร์ หัวหน้าหอของแผ่นดินประชาชน กับหัวหน้าหอของปราการปราชญ์” โรเอ่ย
“มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วละมั้ง” อาเธน่าบอก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ครี้ดเอ่ยลอย ๆ
“ไม่ใช่เพียงพวกเราที่คิดแบบนั้นหรอก” เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากข้างหลังของครี้ด เหล่าเพื่อนร่วมห้องหันไปมอง ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนกับดวงตาสีน้ำตาลยืนยิ้มหวานอยู่ด้านหลัง
“เป็นไงบ้าง เฟรินคนเดิมกลับมาแล้ว สาว ๆ” เฟริโอน่าในร่างของเฟรินทำไม้ทำมือทักทายเพื่อน ๆ
“เฟริน...นายกลับเป็นผู้ชายอีกแล้วเหรอ ไปโดนเวทมนต์ของใครเข้าอีก” อาเธน่าถาม
“คิดถึงเหรอ...” เฟรินหรี่สายตาลงป้อนเสน่ห์ให้กับอาเธน่า
“นายหมายความว่าไงที่ว่าไม่ได้มีแต่พวกเราที่รู้สึก” ครี้ดเอ่ยถาม
เฟรินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ
“ถึงทุกคนจะพูดในเรื่องอื่นแต่กลับส่งสายตาไปสบที่บันไดเป็นระยะ ๆ” โรอธิบายออกมา “พวกเสนาฝ่ายขวาและซ้ายของแตะละหอกำลังจับจ้องดูหัวหน้าของตนอยู่อย่างเงียบ ๆ”
“มีอะไรเกิดขึ้นกับเอดินเบิร์กอีกล่ะคะ”เรนอนเจ้าหญิงผู้งดงามแห่งป้อมเอ่ยถามขึ้น
เสียงของเหล่าเพื่อนเงียบลงทันที สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไม่มีใครล่วงรู้ได้ แต่เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แล้ว
“เอาน่าทุกคน” เสียงกวน ๆ ของหัวขโมยแห่งบารามอสเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรถ้าพวกเราร่วมมือกันมันก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรอก”
“อะไรสายตานั้นหมายความว่าไง” หัวขโมยเริ่มอารมณ์ไม่ดี เพราะเพื่อนของเขาต่างมองชายหนุ่มด้วยดวงตาที่เบิ่งอ้าขึ้น
“ฉันไม่คิดเลยนะว่าคำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากของนาย”
“พูดได้ดี” ครี้ดพอกอพอใจ
“ใช่ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรถ้าเราร่วมใจมันก็จะเป็นเรื่องดีได้” กัสเห็นด้วย
“งั้นก็อย่าเครียดไปเลย” โรถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงข้อมูลลับที่เขาจะได้รับมาก่อนหน้านี้จะบอกเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลไว้ก็เถอะ แต่ถ้าตีความข้อความนั้นจริง ๆ อีกครั้งมันก็เป็นแค่การเตือนเท่านั้นเอง อย่าตีตนไปก่อนไข้จะเป็นการดีที่สุด
“แล้วคาโลล่ะ” เฟรินเปลี่ยนเรื่อง
“อาจารย์มาตามตัวไป” คิลตอบ
“อะไรเฟริโอน่า แค่ไม่อยู่ใกล้กันแป๊บเดียวก็ถามถึงแล้วเหรอ” เสียงกวนแบบไม่กลัวตายของรุ่นพี่ผู้ทรงคุณวุฒิที่แม้แต่เฟริโอน่ายังไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งมากนัก
“สวัสดีครับ รุ่นพี่ลูคัส” เฟรินพยายามหลบสายตาหนี
“อะไรกันอย่าทำท่าแบบนั้นสิ” ลูคัสยิ้มหวาน “บาดแผลที่ฝากไว้หายสนิทแล้ว”
“งั้นเหรอครับ ดีแล้วครับ” เฟริโอน่าพยายามยิ้มสู้ วิชาหน้ากากฟาโรที่เรียนมาถึงคราวต้องงัดออกมาใช้แล้ว
“แต่ฉันมันพวกความจำดีเสียด้วย” ลูคัสยังคงไม่มีทีท่าเลิกล้อเล่น
“แหม...พวกผมมันเป็นพวกความจำสั้นน่ะครับ”
“ไม่ต้องกลัว คนหอเดียวกันไม่ต่อสู้กันเอง” ลูคัสเลื่อนแว่นของตนขึ้นเล็กน้อย
“ลูคัส” เสียงเรียกรั้งที่เหมือนระฆังแห่งชีวิต “ไปแถวได้แล้ว”
ลอเรนซ์นักบวชผู้ที่สามารถหยุดลูคัสได้ดีพอ ๆ กับคำสั่งของเจ้าชายโรเวน
“กำลังทักทายรุ่นน้องอยู่” ลูคัสบอกออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“คนหอเดียวกันห้ามต่อสู้กันเอง” ลอเรนซ์ย้ำอีกครั้งหนึ่ง
“เออ...รู้แล้วน่าครับ” ลูคัสเบือนใบหน้าไปมองแล้วเดินจากไปอย่างไม่พอใจนักเท่าไหร่
“รู้ไหม ทำไมเขาถือเรียกพวกนั้นไป” คำถามที่ดังออกมาจากปากของเฟริโอน่าเรียกความสนใจของรุ่นพี่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี
ลูคัสยิ้มหวาน
“มันไม่ใช่ความลับหรอก อีกไม่นานก็รู้เอง” ซาตานแห่งป้อมอัศวินเอ่ยแล้วเดินละจากไป ลอเรนซ์เดินตามหลังของเพื่อนตนไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะเหลือบสายตามามองพวกนักเรียนปีสามอีกครั้ง
“บอกไปแบบนั้นจะดีเหรอไง” ลอเรนซ์ถามลอย ๆ ขึ้น
“ดีสิ” ลูคัสว่า “เพราะเป็นเพื่อนถึงได้แข็งแกร่งไง”
“ยังแค้นเรื่องที่พวกนั้นชนะเราอีกเหรอ” ลอเรนซ์พูด
ลูคัสหยุดเท้าตนเองลง
“ไม่รู้สิ” ซาตานพูดแล้วเดินก้าวเท้าต่อไป
ความคิดเห็น