ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Catalyst

    ลำดับตอนที่ #1 : โหมโรม

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 48


    บทที่ 1 โหมโรมแห่งcatalyst



    เสียงสายฝนที่สาดลงกระหน่ำกระท่อมกลางป่าบนภูเขาสีครามแห่งมหานครหยาดทิพย์ ขายหนุ่มร่างกายผอมบางนอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่สานอย่างลวก ๆ มีผ้าเก่า ๆ ที่ขาดรุ่นริ้นรองทับอีกชั้น หญิงสาวนั่งลงบนพื้นไม้พลางกุมมือของตนไว้แน่นยกขึ้นมาระหว่างหน้าผากพลางสวดบทร้องขอต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม้กางเขนเก่า ๆ ถูกหยิบยื่นขึ้นมาประหนึ่งหมอทิพย์ที่จะช่วยรักษาผู้ป่วยที่อยู่ข้างหน้าหล่อนได้

    “แค่ก...แค่ก...” เสียงไอดังออกมาอย่างเจ็บปวดแต่คงไม่ร้ายแรงเท่ากับหยดเลือดที่กระเด็นออกมาหลังเสียงไอ

    หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มอันเป็นที่รักของหล่อน

    “เป็นอย่างไรบ้าง” หญิงสาวเอื้อนเอ่ย แม้หล่อนจะรู้ว่าอาการของคนรักของหล่อนคนยื้อไว้ไม่ถึงคืนนี้อย่างแน่นอน

    ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาโบก เขารู้ชะตากรรมของตนเองดีตั้งแต่ที่เขาได้รับสิ่งนั้นเมื่อวันนั้น

    หญิงสาวลุกร่างของตนขึ้นมานั่งข้างชายหนุ่มบนแคร่ หล่อนเอื้อมหลังมือไปวางบนหน้าผากของชายหนุ่ม สายตาที่อาลัยอาวรณ์ปรากฏบนแววตาของหญิงสาว ถึงหล่อนจะรู้แต่การทำใจมันยากยิ่งนัก

    “ต้อง...มี...ชีวิต...อยู่ต่อ...ไป เคธี่” ชายหนุ่มกระพือปากอย่างเชื่องช้า “ไม่ว่า...เกิดอะไร...ขึ้น...จงจำไว้...ว่าพระเจ้า...อยู่ข้าง...เสมอ”

    หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตา

    “ฉันเข้าใจ...” หล่อนรู้ว่าหล่อนเข้าใจ แต่การที่จะยอมรับได้มันเจ็บปวดเสียมากกว่า

    ชายหนุ่มยกมือหนังหุ้มกระดูกปลดสร้อยคอสีทองอร่ามออก มือผอมแห้งเคลื่อนคล้อยเข้ามาใกล้ร่างหญิงสาว

    “เก็บ...มัน...เอาไว้...”

    หญิงสาวส่ายหน้า

    ชายหนุ่มคิ้วโก่งขึ้น เขาเริ่มไม่พอใจเสียแล้ว

    หญิงสาวหลับตาทั้งน้ำตา

    “รับ...มันเอา...ไว้...บาปที่...ฉันก่อ...”

    “ไม่...” หล่อนพูด

    “ฉัน...ไม่สามารถ...เชื่อใจ...ใครได้...อีกแล้ว...นอกจากเธอ...” ชายหนุ่มยังคำยกมือนั้นที่กำสร้อยเอาไว้

    เคธี่ตัดใจรับสร้อยเส้นนั้นมา

    “จงไป...ที่หุบเขา...เชียน (Qian)...ที่นั้นเทพทั้งสี่...แห่งสรวง...สวรรค์กำลัง...รอรับมันอยู่”

    หญิงสาวผงกศีรษะรับว่าเข้าใจ

    ชายหนุ่มยิ้มก่อนที่จะปล่อยมือร่วงหล่นลงสู่พื้นโดยไร้แรงต่อต้าน

    หญิงสาวตะโกนร้องลั่นออกมาอย่างเศร้าโศก หัวใจของหล่อนเหมือนจะแหลกสลายไปไหนพริบตา หล่อนกำสร้อยเอาไว้แน่นแล้วถอดเสื้อคลุมสกปรกของตนออกคลุมร่างกายของชายหนุ่มเอาไว้ พลางร้องบทสวดอัญเชิญวิญญาณให้แก่ชายคนรักของตน

    สายฝนชุ่มฉ่ำเหมือนจะบอกว่าเรื่องแห่งความเศร้านี้จะเป็นจุดเริ่มของเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ แห่ง catalyst

    บทเพลงแสนเศร้าจบลงพร้อมกับประตูที่เปิดอ้าออกเพราะลมที่พัดกระชากออก หญิงสาวเบือนใบหน้าหันไปมอง ในมือของหล่อนกุมหนังสือบทสวดที่ได้รับจากชายหนุ่มและไม้กางเขน

    ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเดินเข้ามา พร้อมกับบทสวดแห่งความตายที่ดังตามมาข้างหลัง

    หญิงสาวกำกางเขนแน่นมากกว่าเดิม หล่อนจะต้องนำของสิ่งนี้ไปมอบให้กับเทวทูตทั้งสี่ให้ได้ตามที่ชายหนุ่มคนรักสั่งเสียเอาไว้

    “สะ...ส่ง...มะ...มัน...มะ...มา” เสียงดังก้องที่เย็นยะเยือกเหมือนลมที่พัดผ่านใบหูของหล่อนไป “ขะ...ข้า...จะ...ไม่...ฆะ...ฆ่า...จะ...เจ้า”

    หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด หล่อนรู้ว่ามิอาจสู่กับชายคนข้างหน้านี้ได้ แต่หล่อนจะทำอย่างไรได้ คัมภีร์ที่หล่อนถือเอาไว้เปิดอ้าออกเอง สายตาของหล่อนมองลงไปบรรจบกับบทสวดขับไล่วิญญาณชั้นสูง หล่อนท่องทันทีที่หล่อนตั้งลำได้

    เสียงหวานกังวานกับบทสวดที่อ่อนโยนเหมือนทุ่งหิมะสีขาวในหน้าร้อน เหล่าดอกหญ้าต่างโผออกมาจากหิมะพลางโบกสะบัดไปตามกระแสลมเย็น ๆ

    ชายหนุ่มเสื้อคลุมดำคำรามร้องออกมาอย่างเจ็บปวด หญิงสาวก้าวเท้าเดินต่อไปพลางท่องบทสวดไปตลอดทางที่หล่อนเดิน สายตาของหล่อนมองตรงไปเพียงข้างหน้า เท้าที่ก้าวกลับสาวเร็วขึ้น สายฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง เสียงฝีเท้าของเหล่าอสูรครึ่งมนุษย์ตามหลังมาอย่างกระชันชิด พุ่มไม้ที่ปกความสว่างเป็นที่อาศัยของเหล่าเจ้าจั๊กจิ้น (สัตว์ครึ่งลิงครึ่งกิ้งก่าเปลี่ยนสีตามสิ่งของที่อยู่ใกล้ ดวงตาแวววาวคล้ายลูกทับทิม มีมาขาสีขาคล้ายกิ้งก่าในการยึดเหนี่ยว มีสองมือไว้ห้อยโหน ลิ้นของมันมีพิษร้ายยิ่งกว่าพิษงูจงอาง น้ำลายของมันย่อยได้แม้กระทั่งเหล็กเป็นสัตว์ที่เหล่าโลกภูมิพอใจในการสร้างเป็นอันดับต้น ๆ) กระโดดจากต้นนู่นมาต้นนี้อย่างเพลิดเพลินใจ

    หญิงสาวสาวเท้าเร็วกว่าเดิม หล่อนกำลังพ้นจากป่าสีเขียวแล้ว ฝีเท้าของหล่อนหยุดลง สะพานข้ามภูเขาหายไปจากเบื้องหน้าของหล่อน

    เหล่าอัมไทม์ (มนุษย์ที่มีผมยาวสีเทาถึงขา ลำตัวโค้งงอ แขนกล้ามยาวถึงพื้น ผมข้างหน้ายาวปิดดวงตาทั้งสองดวง อัมไทม์ไม่ใช่ตาในการมองแต่กลับใช้จมูกที่มีรูกว้างเป็นดังดวงตา เป็นมนุษย์ที่จมูกดีที่สุดในอัลคาเทล ถือค้อนที่ทำจากหินเป็นอาวุธ) กำลังหัวเราะกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเคธี่  

    “จะ...เจ้าหนีไม่ได้แล้ว...” เสียงเย็นยะเยือกเอื้อนเอ่ยออกมา มือสีขาวกระจ่างประหนึ่งงานช้างหยิบยื่นออกมาข้างหน้าของหญิงสาว “สะ...ส่ง...มัน...มาให้ข้า...”

    เคธี่ส่ายใบหน้าที่หมองซีดของหล่อนไปมา

    หนุ่มในเสื้อคลุมสีดำยกมือของตนขึ้น

    หญิงสาวยกเท้าก้าวไปข้างหลัง เสียงโห่ร้องของบรรดาจั๊กจิ้นดังรั้งท้ายมา เบื้องหน้าของหล่อนคือเหล่าอสูรครึ่งมนุษย์ เบื้องหลังคือปิศาจครึ่งลิงครึ่งกิ้งก่า เคธี่โอบหนังสือไว้อย่างแน่นก่อนที่จะปล่อยตัวร่วงลงจากหน้าผาอย่างรวดเร็ว

    ชายหนุ่มในชุดคลุมรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำที่เกินความคาดหมาย เขาแผดเสียงร้องก้องไปทั่วทั้งป่า เหล่าสัตว์นานาต่างแตกตื่น วิ่งพล่านหนีหาที่ซ่อน เสียงเหล่าจั๊กจิ้นดังมารั้งท้าย รอฟังคำสั่งของนายอยู่ตามสุมทุ่งพุ่งไม้สอดตัวจากสายตาของเหล่าอัมไทม์

    “ตะ...ตาม...ตัว...มันมา...พร้อมของ...” เสียงแหลมยะเยือกสั่งเหล่าลูกน้องที่แสนดีทั้งสองเผ่าพันธุ์ เหล่าอัมไทม์และจั๊กจิ้นต่างสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว

    ชายหนุ่มมองตัดหมอกสีขาวขุ่นลงไปด้านล่างของหน้าผา ภูเขาสีครามได้ชื่อว่าเป็นดินแดนงามหลังม่านหมอก เจ้าแห่งนครหยาดทิพย์ เป็นสตรีรูปสิริโฉมงดงาม หนึ่งในผู้ได้รับครอบครองของสามชิ้นที่มหาเทพประทานให้แก่มวลมนุษย์โลก เจ้าหญิงเรบีนัส เป็นผู้ครองมหานครหยาดทิพย์มีเชื้อสายของเทพชั้นสูงซึ่งเป็นมารดามาหลงรักกับเจ้านครคนเก่าที่เสียชีวิตลงด้วยโรคปัจจุบัน เจ้าหญิงเรบีนัสได้ชื่อว่าเป็นธิดาแห่งสมุทร หล่อนสามารถสั่งฝนได้ดั่งใจ นครแห่งนี้จึงมีชื่อตามความสามารถของนาง

    ตึ่ก!

    “มา...แล้ว...เหรอ...โคเรน”

    ชายหนุ่มในชุดผ้ายาวตัวเดียวสีขาวที่ชายยาวจรดพื้น ใบหน้าที่ไร้สีหน้ารับกับริมฝีปากสีแดงชาด สร้อยคอบุษราคัมขับผิวขาวซีด ๆ ของเขาให้เด่นขึ้นกว่าเดิม ลูกแก้วสีเหลืองอ่อนประกายลอยอยู่เหนือฝ่ามือของเขา  

    “ครับ...ท่านเดสโรด” ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าลง “ท่านตามข้า ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรให้รับใช้ครับ”

    “ขะ...ข้า...ยัง...ต้อง...เอ่ย...อีกเหรอ...”

    ชายหนุ่มฉีกยิ้มออกที่มุมปาก แล้วลุกขึ้นมายืน ลูบมือไล้ผ่านลูกแก้วไปมาอย่างช้า ๆ ริมฝีปากอิ่มอวบขยับไปมาตามบทสวดอย่างช้า ๆ แสงสีเหลืองส่องวาบขึ้น

    “ไม่มีใครสามารถเปิดผนึกของสิ่งนั้นได้...” โคเรนประกายตาแววสีเหลือง “จงรออีก 15 ทิวา คนที่ถูกเลือกจะเป็นผู้เปิดผนึกนั้นออก”

    ชายหนุ่มหัวเราะในลำคออย่างสุขใจ ’15 ปีที่เขาจะได้ควบคุมมนุษย์อย่างเพลิดเพลินใจ 15ปีที่เหล่ามนุษย์และสวรรค์จะตกเป็นทาสของเขา’

    “คนที่เปิดผนึกได้ อยู่ที่....”

    เพล้ง!

    ลูกแก้วสีทองอร่ามแตกออกเป็นสองท่อน ร่างของชายหนุ่มกระเด็นล้มลงไปนอนฟุบอยู่บนพื้น

    ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ลูกแก้ว ซากของมันบอกเรื่องราวต่อจากนี้ได้เพียงนิดหน่อย สิ่งที่เขาเห็นคือมหานครหนึ่งในสามอันยิ่งใหญ่ มหานครที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าผู้คุมสามมหานคร ปราสาทสีทองอร่าม ฝูงนกสีน้ำเงินบินพาดผ่าน น้ำตกสีส้มอ่อน และหอคอยที่ได้ชื่อว่าอยู่ใกล้สวรรค์มากที่สุด มหานครอัลคาเทล

    ‘เท่านี้ก็พอเพียง...สำหรับข้อมูล’ ชายหนุ่มเบือนใบหน้าไปมองหญิงสาว เขาใช้นิ้วชี้ไปที่ร่างอรชรแล้วยกนิ้วขึ้นร่างของชายหนุ่มลอยขึ้นตามนิ้ว ชายหนุ่มผิวปากเรียกสัตว์อสูรเจ้าการบิน ปีกยาวสามเมตร ร่างกายยาว อสูรคล้ายม้า หางยาวดุจงู ศีรษะของเหล่าสัตว์ทั้งสาม สิงโต แพะ และนกอินทรี สิ่งมีชีวิตที่เขาภาคภูมิใจ ชายหนุ่มวางโคเรนลงบนหลังแล้วลอยตัวขึ้นไปยืนก่อนที่สัตว์อสูรตนนี้จะกระพือปีกลอยตัวสูงขึ้นไป

    ‘สิ่งที่เขาต้องการมันต้องเป็นของเขา’              

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×