ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] Not my type : เกลียดอะไร.. ได้อย่างนั้น

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่สอง (โลกมันแคบ - - (บางทีก็รู้สึกว่าแคบไปนิดนึง)) [02/02]

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 55


     

     

    02/02

     

    “แล้วมึงไปเปิดไอ้โม่งให้มันดูทำเหี้ยอะไร? ไอ้โง่! ประสาทแดก! ไอ้หน้าปลาไหล! มึงมันบ้าเหี้ยอิชย์!

     

    “ไอ้เหี้ยคิม! มึงเลิกด่ากูได้แล้ว มึงไม่ได้ยินหรอว่าเหี้ยนั่นมันด่าว่ากูไม่หล่ออ่ะ”

     

    “ไอ้สัด มึงก็ประสาทแดกเปิดหน้าให้แม่งดูเนี่ยนะ?! กูจะบ้าตาย มึงนี่มันโง่จริงๆ”

     

    โชคดีมาก,, ที่พวกเราทั้งสี่คนได้แยกย้ายกันกลับบ้านทันทีที่ผมสติหลุดกระทืบเหี้ยนั่นไป บทสนทนาข้างต้นจึงเป็นการคุยกันผ่านโทรศัพท์เท่านั้น (โชคดีมากจริงๆกู ไม่งั้นกูคงโดนไอ้คิมกระทืบจนเสียโฉมไปอีกคน จนหน้ากลายเป็นปลาไหลเหมือนที่มันด่าแหง!)

     

    “ทำไมวะ? ทำอย่างกับกูจะได้เจอกับมันอีก”

     

    “ไอ้สัด! แต่มันก็ไม่ควรป่ะวะ? มันแจ้งความได้นะเว้ย สเก็ตช์หน้าอ้ะ เคยดูทีวีป่ะวะสัด!

     

    “เหี้ย ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก มันก็รู้ป่ะวะว่ากูผู้เยาว์”

     

    “ไอ้เหี้ยนี่มันโง่จริงๆ กูไม่คุยกับมันแล้ว เหนื่อยจะด่า เหี้ยภักมึงรับช่วงต่ออบรมเพื่อนรักมึงไปเลยนะ”

     

     

    ขอถอนหายใจ,, ในที่สุดไอ้คิมก็เหนื่อยจะพร่ำบ่นผมในเรื่องนี้ คือผมเข้าใจนะที่มันจะด่าอ่ะ แต่บางทีแม่งก็มากไปป่ะวะ? ทันทีที่เชื่อมสายกันได้ แม่งก็ด่าผมอยู่เรื่องเดียว! *ปาดเหงื่อ*

     

     

    “ไอ้เหี้ย กูทนอยู่เป็นเพื่อนคนโง่ๆอย่างแม่งไม่ได้หรอก แค่ฟังอยู่ตรงนี้ของกูก็จะขึ้นแล้วสัด กูว่ากูโง่แล้วนะ แต่วันนี้กูว่ากูฉลาดขึ้นมาเลยว่ะ เหี้ยอิชย์! มึงนี่มันโง่!

     

    “ไอ้เหี้ย พวกมึงเนี่ยนะ *ถอนลมหายใจทิ้งยาวๆ* มันไม่มีอะไรหรอก ไอ้อ่อนนั่นมันไม่ไปฟ้องพ่อฟ้องแม่มันหรอก เลิกด่ากูโง่ได้แล้ว”

     

     

    ไอ้ภักขึ้นมาประโยคแรกก็พูดตามตูดพ่อมันต้อยๆเลยครับ

    แต่เดี๋ยวนะ,, ไอ้สองคนนี้กลับบ้านด้วยกัน แต่ทำไมมันคุยโทรศัพท์สองเครื่องวะ?

     

     

    “ไอ้โปรด มึงหลุดหรอ? มึงมาพร่ำด่าเพื่อนรักเพื่อนบูชามึงเลยนะ”

     

    “มึงว่ามันจะพาดพิงมาถึงกูมั้ยวะ?”

     

    “สัดโปรด มันจะพาดพิงถึงมึงทำซากอะไรวะ? มันเห็นหน้ามึงไง๊?”

     

    “เห็นมั้ย? มึงก็รู้ว่าถ้าเห็นหน้าใครซักคนแล้วมันจะพาดพิงได้ แล้วเสือกเสร่อเปิดหน้าอีกนะ เหี้ยอิชย์”

     

    กูพลาดแล้ว กูจะเปิดประเด็นเปิดหน้ามาทำซากแมวเสียทำไมวะกู? *ยืนไว้อาลัยให้ตัวเองซักพักหนึ่ง*

     

    “สัดคิม! มึงเรียกกู เหี้ยอิชย์ทุกคำเลยนะ! เลิกด่ากูได้แล้ว กูเสียกำลังใจ”

     

    “เสียเหี้ยอะไรกำลังใจ? ถ้ามันพาดพิงถึงพวกกูนะมึงตายแน่ กูจะเล่นงานมึงคนแรกเลยอิชย์”

     

    “ถ้าถึงตอนนั้น เราก็ต้องโดนจับกันหมดป่ะวะ?”

     

     

    นั่นสิ,, ไอ้คิมพูดอะไรงงๆ ถ้าถึงเวลาที่ไอ้ตุ๊ดนั่นพาดพิงถึงผม ถึงไอ้โปรด หรือแม้แต่ไอ้คิมหรือไอ้ภัก ณ ตอนนั้นพวกเราก็ต้องเข้าห้องขังทุกคนป่ะวะ?

     

     

    “เหี้ยนี่ กูพูดอะไรมึงก็ห้ามเถียง! คอยดูนะ สอบคราวนี้กูจะอ่านหนังสือไม่เผื่อมึง พยายามเขี่ยกูแค่ไหน กูก็ไม่เผื่อข้างข้อสอบให้มึงอีกแล้ว แค่นี้นะ สัด!

     

     

    ทันทีที่มันพูดจบประโยค,, ไอ้คิมก็วางหูทันทีเลยครับ และก็เป็นที่แน่นอนว่าไอ้ภักก็ต้องหลุดด้วย (ไอ้คิมเป็นคนโทรหาผม (เผื่อด่าคือจุดประสงค์และการด่าผมคงเป็นจุดประสงค์เดียว) แล้วก็โทรหาไอ้ภัก (เพื่อเป็นตัวซัพพอร์ตแบบไม่มีข้อกังขา เป็นสิ่งเดียวที่ไอ้ภักมันจะทำให้พ่อมันได้) เพราะฉะนั้น ถ้ามันวางไอ้ภักจะหลุดไปด้วยครับ)

     

    จุดนี้จึงเหลือผมกับโปรดแค่สองคน...

     

     

    “สัดมึงอย่าเครียดดิ”

     

    “มึงว่าเราทำเกินไปป่ะวะ?”

     

    “อะไรที่เรียกว่าเกินไป?”

     

    “ก็เนี่ยอ่ะ รุมกระทืบแบบนี้อ่ะ กู.. กูรู้สึกไม่ดีเลยว่ะ”

     

    ไอ้โปรดแม่งเป็นคนดีจริงๆ ขนาดเป็นคนดีไม่ได้ถึงครึ่งพี่สาวมันนะเนี่ย คุณลองคิดดูนะ ว่าพี่เปรมจะเป็นคนดีที่แสนจะน่ารักขนาดไหน เพราะฉะนั้น กะอีแค่รุมกระทืบแค่นี้ มันยังไม่สาสมแก่ความชั่ว (ที่ผมยัดเยียด) ของไอ้ชั่วชินนั่นเลยซักนิด!

     

     

    “มึงอย่าลืมนะ เราปราณีมันมากแล้ว กระทืบเสร็จแล้วก็เรียกรถพยาบาลมาให้เนี่ย มึงอย่าคิดมากเลยว่ะ”

     

    “มึงจะแน่ใจได้ยังไงว่าไอ้นั่นมันจะไม่เป็นอะไร?”

     

    “เออๆๆ เดี๋ยวกูตามเรื่องมันต่อก็ได้ ไม่ต้องกังวล ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา กูรับผิดชอบเอง”

     

     

    ++++

    +++

    ++

     

     

    “ส่งข้อสอบได้แล้วพวกเธอ หมดเวลาแล้ว”

     

     

    หมดเลยครับ,, หมดจริงๆ

    ทั้งเวลาสอบ

    และคะแนนของผม,,

    ไปแม่งหมดพร้อมๆกับเสียงอาจารย์เนี่ยแหละ!!

     

     

    ไอ้คิมปรายตามามองผมแบบเยาะๆ รายนั้นมันทำตามที่เคยประกาศไว้จริงๆ ผมพยายามเขี่ยเก้าอี้มันแค่ไหน มันก็นิ่งเฉย ราวกับว่าตูดมันเสื่อมสภาพจากแรงสั่นสะเทือนของผมไปแล้วอย่างนั้นอ่ะ

     

     

    สอบรอบนี้ผมไม่ได้อ่านหนังสือเลยครับ..

    ไม่ได้แม้แต่จะจดว่าจะออกช่วงไหนของหนังสือบ้าง

    ความรัก (และความแค้น) ทำให้ผลการเรียนตกจริงๆด้วย

     

    ผมเชื่อแล้ว

     

     

    “อย่ามาไร้สาระไอ้อิชย์ กูเหนื่อยจะพูด จะพล่าม กูบ่นมึงมากกว่าทั้งชีวิตที่กูเคยบ่นอีก เชี่ย!

     

    เหอะ จะมีใครอีกที่จะพูดประโยคนี้ มีอยู่คนเดียวแหละครับทั้งชีวิตผม เพื่อนคิมคนดีที่หนึ่งในโลกหล้า!

    บ่นแม่งทุกวัน บ่นทุกอย่างที่แม่งไม่ถูกใจ!

    ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่า “ผม” ก็ต้องเป็นคนที่ถูกมันบ่นที่สุดแล้ว (ในช่วงนี้)

     

     

    บางทีผมก็สงสัยนะ,, ทำไมไอ้คิมกับไอ้ภักมันสนิทกันจังวะ?

    ทั้งๆที่ไอ้คิมก็ขี้บ่นที่หนึ่ง ไอ้ภักก็ขี้รำคาญที่หนึ่ง (ด้วยเหตุนี้ผมกับไอ้ภักจึงสนิทกันค่อนข้างมากกว่าไอ้คิม เพราะขี้รำคาญทั้งคู่เลยรู้จังหวะกันและกัน) แต่มันก็คบกันยาวขนาดไปๆมาๆบ้านกันบ่อยประหนึ่งเป็นเมียผัวเลยทีเดียว

     

     

    ช่างมันเถอะจุดนั้น,,

    เอาเรื่องผมก่อน

     

     

    “ใครบอก ใครสอนให้มึงริรักริแค้นตอนใกล้สอบ! สมน้ำหน้าว่ะ” ไอ้โปรดพูดใส่หน้าแล้วหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี

     

    เห้ย,, แล้วทำไมพอมาเรื่องผมทุกคนต้องด่าวะ?!

     

    “มึงพูดเหมือนมันคอนโทลได้เนาะ ไอ้รักไอ้แค้นที่ว่าเนี่ย”

     

     

    ใช่! มึงคิดว่ากูอยากเป็นบ้าเป็นบอช่วงนี้หรือไง?

    ลูกผีลูกคนช่วงใกล้สอบเนี่ย ห๊ะ?!

     

     

    “แล้วได้ข่าวว่าตัวต้นเหตุก็สมาชิกในครอบครัวมึงนะโปรด”

     

     

    ใช่! จุดนี้กูโบ้ยหมดอ่ะ

    โบ้ยอะไรก็ได้ ถ้าจะทำให้เรื่องนี้มันพ้นตัวผมเสียที!!

     

     

    ผมไม่ได้อะไรนะ,,

    แต่บางทีผมก็อยากให้เพื่อนผมมองหลายๆมุมบ้างง่ะ

    แบบว่า - - ให้กำลังใจผมบ้างก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องซ้ำเติม *ร่ำไห้ปานจะขาดใจ*

     

     

    “เออว่ะเหี้ย” ไอ้โปรดระเบิดหัวเราะก่อนเอื้อมมือมาตบไหล่ผมหนักๆ “เอาน่า,, ถ้าตกจริงเดี๋ยวกูกับไอ้คิมติวเข้มให้”

     

    “หือ? ไอ้คิมน่ะนะ?” ไอ้โปรดพูดเหมือนไม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ไอ้คิมไม่คุยกับผมซักกะคำเดียว (ไม่รวมด่า) ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องจนวินาทีนี้ (สี่วันแล้วครับขอบอก) มันทำเหมือนความผิดในครั้งนั้นของผมมันร้ายแรงมากยังไงยังงั้น (ทั้งๆที่ตอนวางแผนไอ้คิมน่ะแหละคือคนที่มีแผนในหัวเยอะสัดอ่ะ)

     

    “มึงช่วยเอาแค่ตอนนี้ก่อนเหอะ,,” ผมหันไปมองไอ้คิมที่พยายาม เน้นครับ ขีดเส้นใต้เขียนตัวหนาเลย มันพยายามที่จะไม่สนใจผมอยู่มุมโน้น

     

    ไอ้แรดนั่นพยายามทำมาไปชี้นกชี้ไม้สั่งนู่นสั่งนี้ให้ไอ้ภักทำตามอยู่ในสนาม (ผมนั่งอยู่ริมสนามบอลครับ ไอ้ภักเตะบอลกับพวกเด็กห้องห้า)

     

    โถถถถถถถถถถถถถถถ,, ไอ้ลูกปลวก ปกติไม่เคยสนใจเหี้ยอะไรกับเค้าหรอก บอลเบิลอะไรเนี่ย ทีวันนี้ล่ะทำตัวเสมือนโค้ช!

     

    ถึงบอกไง,, ว่ามัน “พยายาม” ที่จะไม่สนใจผมอยู่

     

    “...ให้แม่งเลิกแอ๊บไม่สนใจกู แล้วมาด่ากูจนกว่าจะพอใจ เรื่องนี้จะได้จบๆ เลิกด่ากู แล้วเตรียมตัวมาติวให้กูได้เลย กูตกแน่นอน!

     

     

    ++++

    +++

    ++

     

     

    ไม่ทันแล้ว,,

    แผนการวิเศษที่เพื่อนคิมและเพื่อนโปรดจะติวเข้มให้

     

     

    ผมนั่งอยู่ที่พื้นข้างโต๊ะทำงานพ่อ

     

    คุณอ่านไม่ผิดครับ นั่งที่ “พื้น” ข้างๆโต๊ะทำงานพ่อ

    ที่ตอนนี้มีแม่ พี่อัยย์ และพี่อังค์พี่สาวคนโตของผม (ที่ไม่ค่อยได้ปรากฏตัว)

     

     

    เห้ยเดี๋ยวนะ,,

    พี่อังค์?

     

    เรื่องนี้ต้องถึงพี่อังค์เลยหรอ?!

     

     

    “ชักจะเกินไปแล้วนะอิชย์” คนโตครับ พี่สาวคนโตเปิดประโยคแรก พี่อังค์เป็นผู้หญิงเก่ง แต่งงานออกจากเรือนไปแล้ว อดีตพี่อังค์เป็นหัวเรือใหญ่ครับ ดูแลทุกอย่างและทุกคนในบ้าน

     

    พูดง่ายๆ

    ใครจะซื้ออะไรเข้าบ้าน ต้องบอกพี่อังค์

    อยากกินอะไรที่ไหน ต้องขอพี่อังค์

    อยากไปเที่ยวกับเพื่อน ก็ต้องแจ้งพี่อังค์ล่วงหน้า

    เรียกได้ว่าชีวิตทุกคนในบ้านอยู่ในมือเธอหมดเลยครับ,,

     

    “ไม่หรอกพี่อังค์ นิดหน่อยน่า”

    “นิดหน่อย? แกกล้าพูดหรออิชย์ว่านี่นิดหน่อย?” พี่อังค์พูดเสียงดังขึ้นก่อนขยำกระดาษเอสี่บางที่เธอถือไว้ และแน่นอนครับ ผมเชื่อว่าทุกคนก็ต้องเดาถูก

     

    มันจะเป็นอะไรไปได้?

    นอกจากกระดาษที่มีผลคะแนนอยู่ในนั้น

     

    ชิท!

     

    “พี่ไม่เคยสอนน้องนะว่าจาก 30 ได้ 11 เรียกว่านิดหน่อย”

    ก็นิดหน่อยไง,, คะแนนนิดหน่อยน่ะ ฮ่ะฮ่ะ *หัวเราะเฝื่อน*

     

    “โหวววววพี่อังค์ ภาษาอังกฤษมันไม่ใช่ภาษาบ้านเราซักหน่อย อิชย์ได้เยอะก็แปลกแล้ว”

    ผมลอบมองปฏิกิริยาของสมาชิก แม่ยังคงทำหน้าเรียบเฉย มีแต่พี่อัยย์คนเดียวเท่านั้นที่พยักหน้าเหมือนรับทราบคำตอบ (กูเรียกว่าข้อแก้ตัวจ้ะพระเอก) ของผมเพียงคนเดียว

     

    “อัยย์,, ตอนแกเรียนแกได้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่?”

    “ก็ไม่เยอะมากหรอกพี่อังค์”

    “ไม่เยอะของแกน่ะ เท่าไหร่ ตอบให้น้องชายที่รักแกรู้สิ”

     

     

    เชี่ยแระ,,

     

    เอาใหม่นะ

    คือพี่สาวผมเนี่ย พี่อังค์ก็เรียนกลางๆอ่ะแหละ แต่เธอถือว่าเธอจบนานแล้ว ทำงานนานแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปพูดเรื่องสมัยตอนพี่อังค์เรียนมอหกก็ดูจะไกลไปหน่อยนะ (พี่อังค์จากผมสิบสามปีครับ)

     

    แต่อิพี่อัยย์เนี่ย คือมันเก่งไง

    เรียนโง่แค่ไหนมันก็เกาะลมบนตลอด (มีช่วงนึงมันบ่นว่ามันเที่ยวเยอะครับ (ช่วงมอปลายชีติดเพื่อน เที่ยวสยาม) เอาเวลาที่ต้องไปเรียนพิเศษไปร้านคาราโอเกะหมดเลย ขี้หมูขี้หมาก็สามจุดต้นตอนปลาย เสือกเอนท์ติดทั้งๆที่อ่านหนังสือแค่อาทิตย์เดียว (และแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นมันก็ไม่เคยเข้าเรียนแต่อย่างใด มันอ้างว่าปีสุดท้ายในมอปลายต้องมีความสุขที่สุด สุขมากๆ เอาแต่กิจกรรม เรียนเรินมันทิ้งเลย) มันเทพมากครับ) แล้วจะให้เอาคะแนน “ไม่ค่อยเยอะ” ของพี่อัยย์มาเทียบกับผมเนี่ยนะ?!

     

     

    กูได้ 11 นะเห้ย จะไปเทียบกับใครได้วะ?!

     

     

    “เอาตอนไหนอ่า ตอนมอหกหรือตอนนี้” อัยย์มันพยายามบ่ายเบี่ยงครับ แต่จุดนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วป่ะ? ยังไงกูก็ต้องโดนฆ่าแน่ๆอ้า~~~

    “ตอนนั้น”

    “ปกติก็ได้ไม่เยอะมากอ่า เกินครึ่งมาหน่อยเดียว” อัยย์ยังคงพยายามยื้อครับ

     

    คุณต้องเห็นผม นิ้วตีนจิกพื้นแน่น ให้อารมณ์เหมือนกำลังจะถูกลากไปปล้นสวาทข้างกอหญ้าน่ะ

     

    “ซัก 22-23 มั้ง ไม่แน่ใจ - - - ช่างเถอะพี่อังค์ น้องก็น้อง อัยย์ก็อัยย์เด้ สมัยนั้นสมัยนี้มันไม่เหมือนกันนะ เดี๋ยวนี้เค้าจ้ะ AEC กันแล้ว ข้อสอบก็ต้องยากเป็นธรรมดา ใช่ไหมอิชย์?”

    ผมพยักหน้ายอมรับทุกอย่างอย่างบ้าคลั่ง เอาให้อย่างน้อยๆ ก็พ้นจากแรงอำมหิตของพี่อังค์ก่อนเถอะ ให้ทำอะไรก็ต้องทำอ่ะครับ *น่ากลัวสัดอ่ะ*

     

    “ยิ่งประเทศจะเข้า AEC แล้ว แกจะทำเหลาะแหละแบบนี้ไม่ได้นะ ภาษาอังกฤษมันก็ต้องยิ่งสำคัญ เข้าใจไหม?”

    “ครับ”

     

    “แล้วถ้างี้จะเอายังไง?”

     

    ไม่เอาไงอ่ะครับ

    พ้นช่วงอันตรายแล้ว ไม่มีแค้น มีแต่รักคุดอย่างเดียว

     

    “ให้น้องไปเรียนพิเศษสิ” ความคิดแม่ผมเริ่มมาแระ เธอแก้ปัญหาด้วยการเรียนพิเศษตลอด

    ซึ่ง - - จากการเป็นน้องพี่อัยย์มา 18 ปี การเรียนพิเศษแม่งได้ผลน้อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ก.ไก่สามหมื่นหกพันเจ็ดร้อยยี่สิบหกตัว)

     

    เพราะมันโดดตลอดเถอะ! การเรียนที่ดีต้องอยู่ที่ความตั้งใจระหว่างเรียนครับ เรียนพิเศษมันแค่ทบทวนที่เราเรียนในห้องน่ะแหละ (ในห้องแม่งมีเพื่อนสนิทไง ไม่ค่อยได้เรียนหรอก มัวแต่ทำอะไรกันก็ไม่รู้)

     

    เพราะฉะนั้น ถึงแม่จะให้ผมไปเรียนพิเศษ ยังไงผมก็คงจะไม่ดีขึ้นกว่าเดิมมากหรอก ยิ่งทำให้เสียเวลาเล่นบาสกับเสียเวลาเข้าสมาคมคนรักรถเพิ่มอีกด้วย!

     

    เฮ้อออ - -

     

    “ไปเรียนที่ไหนอ่ะแม่? จาก 30 ได้ 11 เรียนตามสถาบันเก่งแค่นั้นก็ไม่เวิร์คหรอก”

     

    เหน็บกูตลอด

    แค่นี้หลังกูก็ถูกฟันเหวอะแระ

     

    “ก็หาที่เรียนแบบตัวต่อตัวสิ มีไหม?”

    แม่ผมไม่รู้ที่เรียนพิเศษหรอกครับ ชีมีหน้าที่จ่ายเงินอย่างเดียว เรามีหน้าที่เสนอที่เรียน ฮ่าๆๆๆ

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมาผมไม่เคยเรียนพิเศษหรอกครับ (อย่างที่บอก เรียนไปผมก็ไม่ได้ฉลาดห่าอะไรขึ้น รู้แนวตัวเองมาตั้งแต่ช่วงปอห้าแล้ว) ไม่เหมือนพี่อัยย์ รายนั้นเรียนทุกอย่างที่อยากเรียน อยากเรียนอะไรก็ขอแม่ แม่ก็จ่ายเงินอย่างเดียว

     

     

    แล้วอิพี่อัยย์มันก็โดดตลอด (อย่างที่ผมได้รายงานไปแล้วเบื้องต้น)

     

     

    “มีแหละ หาตามเน็ตไง” พี่สาวคนโตเสนอที่เรียนตามฉบับของสาวสมัยใหม่

    “มันจะดีหรอ? เราก็ไม่รู้สิว่าครูคนนี้มาจากไหน สอนใครมาแล้ว ยิ่งให้มาสอนที่บ้านเรายิ่งน่ากลัว ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้” แม่ผมก็โบราณตลอด ชีมีพลังวิเศษครับ (เวอร์มากทีเดียว) แม่สามารถบอกลักษณะบางส่วนของเพื่อนที่เราพามาบ้านได้ครับ ทั้งๆที่ชีเห็นแค่ครั้งเดียวเหอะ! ซึ่งถามว่าผมฟังเวลาแม่เตือนไหม ต้องบอกตรงนี้เลยว่า “ไม่ครับ” ฮ่าๆๆๆ พลังมหัศจรรย์ของคนที่เรียกว่าแม่ล่ะ

     

    “ก็ไปเรียนที่อื่นสิ” พี่สาวคนสนิท รายนี้ก็แนะนำแต่เรื่องที่จะไปวอกแวกที่อื่นได้

    “แกดูน้องแกก่อนอัยย์ ไกลหูไกลตามันคงจะเรียนหรอก”

    “เรียนดิ อัยย์ยังเรียนเลย” ตอแหลกลางบ้านเลยครับ เธอกล้าแกร่งมาก

    “แก 22-23 มัน 11 แกเชื่อใจมันป่ะล่ะ?”

     

    เงียบกริบจ้ะ

     

    “ไปจ้างครูที่โรงเรียนมาสอนสิ”

    “แพงไปป่ะแม่ ดูเวอร์ด้วย”

     

    ผมว่ามันดูเวอร์ตั้งแต่ผมตกภาษาอังกฤษแค่ 4 คะแนนแล้วล่ะ

     

    “เอาเพื่อนอัยย์มาสอนป่ะล่ะ?”

    “เพื่อนที่ไหนล่ะ?”

    “มอดิ”

    “คณะล่ะ?” ไม่แปลกครับที่พี่อังค์จะสงสัย คือพี่สาวผมเรียนเอกเกี่ยวกับภาษาชาติของเรา จะมีเพื่อนที่เก่งภาษาอื่นจนมาสอนพิเศษผมได้ไง (เมเจอร์มันไม่เน้นอังกฤษครับ ทุกคนก็เก่งหมดแหละ แต่จะเก่งน้อยกว่าพวกเมเจอร์ที่เน้นเรื่องภาษาต่างประเทศ)

    “คณะเดียวกัน เจอร์ท่องเที่ยว พวกนี้เก่งอิ้ง”

    “พวกนี้จะไม่เอาแต่เที่ยวหรอ?”

    “จะเที่ยวก็ต้องเอาเรื่องการเรียนด้วยป่ะแม่ ถามอะไรประหลาด เรียนท่องเที่ยวไม่ได้เรียนไปเที่ยวนะ”

    “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”

    “ผู้ชายดิ ระดับอัยย์จะสนิทกับผู้หญิงหรอ?” แสดงความแรดกลางบ้านอีกแล้ว ฮ่าๆ

     

    “เออ ก็ดี ลองคุยกับเพื่อนดู ถ้าเพื่อนโอเค ก็พาเค้ามาหาแม่ได้เลย จะได้ตกลงวันเรียนกัน”

     

    หืม?

    ง่ายอย่างนี้เลย?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามตอนต่อไป..


    พูดคุย,,
    โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ยาวมากจริงๆตอนนี้..
    ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกันนะคะ
    จะขอบคุณมากกว่าเดิมถ้าแนบฟีดแบ็คกลับมาด้วย
    ขอบคุณค่า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×