คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่สี่ (จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง)
ตอนที่สี่ (จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง)
วลีที่ว่า ‘เกลียดอะไรได้อย่างนั้น’..
เชื่อไหมผมไม่เคยเชื่อซักครั้ง - -
แม้กระทั่งตอนนี้
“ถ้าได้อาจารย์พี่มาช่วยแม่ทำกับข้าวทุกวันก็ดีสิเนาะ”
“ไม่หรอกครับแม่ ให้ลูกสาวคุณแม่ช่วยดีกว่า”
“ไม่เลยจ้ะอาจารย์พี่ เจ้าอัยย์ไม่เคยช่วยแม่หรอก รายนี้ถนัดแรงงาน คนที่พอช่วยบ้างก็ลูกศิษย์อาจารย์พี่นั่นล่ะ”
ผมรู้สึกเหมือนว่าบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบไปถนัดตาทันทีที่แม่พาดพิงถึงผม,,
เงียบกันทำไมวะ?!
ผมช่วยแม่ทำกับข้าวนี่ผิดเรอะ?!
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างผมก็ต้องไปอ้อล้อแม่ในนั้นแหละ (ช่วงจังหวะชีวิตที่ทำคะแนนได้ดีที่สุดแล้วเถอะ)
“หรอครับ,, น้องอิชย์เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
ไอ้เหี้ย!! ขนกูลุกกราวเลยครับ!
ไอ้ตุ๊ดเรียกผมว่า “น้องอิชย์” เอาใหม่นะคุณ “น้องอิชย์” ไอ้พี่อัยย์แม่งยังไม่เคยเรียกผมแบบนี้เลยเถอะ ไอ้พูดไม่เท่าไหร่ เหมือนเจ้าตัวพูดไปก็ชายตามองผมไปด้วย
คือสายตาที่มอง มันไม่ใช่การชายตามองแบบ “ฮ้า.. น้องอิชย์เป็นคนดีจริงๆนะ”
แต่เป็นอารมณ์แบบว่า “เหอะ,, ไอ้เหี้ยนี่น่ะหรอ?” มากกว่า
“ใช่จ้ะ ไว้วันไหนทำกับข้าวด้วยกันสิเราสองคน เก่งทั้งคู่เลย” แม่ชงทิ้งท้าย
ซึ่งผมอยากจะประกาศให้ก้องโต๊ะอาหารเสียเหลือเกินว่า
‘ไม่มีทางหรอกโว้ยยยยย!’
++++
+++
++
บรรยากาศในห้องเรียน (จำลอง) ของเราเงียบกริบ,,
ผมนั่งตรงนี้มาพักนึงแล้ว และอาจารย์พี่ของแม่ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะเริ่มสอนแต่อย่างใด เอาแต่ปล่อยลมหายใจทิ้งไปในอากาศ สร้างบรรยากาศชวนอึดอัดให้คนที่อยู่ร่วมห้องด้วยเป็นอย่างมาก
และก็เป็นผม (อีกแล้ว) ที่ทนไม่ไหว
“มองหน้าทำไม?”
ปล่อยออร่ากดดันผมไม่ว่า แต่มานั่งมองนั่งเฉยๆแล้วอมยิ้มไปด้วยเนี่ย “กวนตีนมาก” จริงๆ
“ป๊าว” ไอ้ชินตอบเสียงสูง แต่มันก็ยังคงมองหน้าผม แล้วก็อมยิ้มอยู่แบบนั้น
“ถ้ามึงไม่พูดนะ,, กูได้ต่อยมึงแน่”
“เหมือนคราวที่แล้วน่ะหรอ?” มันหยิบหนังสือที่เตรียมมาออกจากกระเป๋า แล้วพูดต่อด้วยสีหน้าสบายๆ
ให้ตายเถอะ มันไม่กลัวที่ผมขู่มันเมื่อกี้เลยอ้ะ!
“คราวนี้มองกวนตีนแล้วจะต่อย,, พี่เข้าใจนะ แต่คราวที่แล้วนี่สิ,, ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่” เขาพูดเสร็จก็ปรายตามองผมอีกครั้ง
“อยากรู้เหตุผลรึไง?” ตาประสานตา พูดตรงๆว่าถ้านี่เป็นภาพยนตร์การ์ตูนช่องเก้าซักเรื่อง คุณจะเห็นสายฟ้าที่ออกมาจากตาเราครับ
“ถ้าอิชย์โดยรุมแบบพี่,, อิชย์จะอยากรู้ป่ะล่ะ?”
เออว่ะ,,
เป็นผมก็อยากรู้นะ,, แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเฉลยว่ะ
โดนรุมเพราะผู้หญิงเนี่ย,, จุดนี้ เก็บไว้เป็นความลับเถอะ
“แค่ซักเรื่องที่ไม่ต้องรู้ คงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหมครับอาจารย์พี่?”
คนเป็นอาจารย์หัวเราะในลำคอเบาๆ
คุณรู้ไหม,, ผมเกลียดโมเม้นท์นี้มากจริงๆ
ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบอย่างแรง
เสียงที่ผมเกลียดเป็นอันดับสามของชีวิตคือเสียง “หึ” นี่แหละครับ
พอได้อยู่ในห้องด้วยกัน กับบรรยากาศเงียบๆ แม้ความกดดันที่คอยกระจายอยู่รอบตัวเราทั้งคู่ ผมก็สังเกตเห็นหลายอย่าง อาทิ..
ข้อแรก,, ผู้ชายคนนี้ตาสวยมาก ตาสวยจนแบบที่ผมยังต้องขอยอมแพ้ (เพราะผมหล่อทั้งหน้า ไม่ใช่เฉพาะส่วน)
ข้อสอง,, มันเป็นคนสุภาพ (กูไม่อยากจะยอมรับเลยแม่ง) ขนาดด่าๆผมอยู่ มันยังแทนตัวเองว่า “พี่” (เป็นกูแม่งกระโดดต่อยคว่ำโต๊ะแล้วตะโกนด่าพ่อมันไปแล้ว)
ข้อสาม,, มันเสียงเพราะ ฟังแล้วเพลินเหี้ยๆ ขนาดแม่งด่าแบบเรียบๆ ผมยังว่าน่าฟัง
แต่นั่น,, ไม่ใช่ประเด็น!
แล้วกูจะเยินยอไอ้ห่าตุ๊ดนี่ทำไม?! มันใช่เรื่องไหม?
ผมว่าวันนี้ผมรวนๆว่ะ เหมือนตื่นเช้าแล้วสมองไม่ตื่นเหมือนร่างกาย จากที่วางแผนแกล้งแม่งไว้สิบสามเลเวลที่เลวร้ายผมยังเรียบเรียงไม่ถูกเลย
งานนี้จะโทษใครไม่ได้จริงๆ
นอกจากไอ้ตัวเหี้ยที่กระแดะมาหน้ารั้วตั้งแต่เช้าเหี้ยนี่นี่แหละ
สัดปีก!!
“ถ้าจะไม่บอกก็ไม่ว่าอยู่แล้ว,, แค่อยากจะบอกไว้ว่า - - พี่เป็นคนเจ็บแล้วจำ และหาเวลาแก้แค้นแน่นอน”
ทันทีที่ไอ้ชินพูดจบประโยค มันก็เปิดหนังสือที่เตรียมไว้ แล้วบอกว่าจะสอนเรื่องไหน ราวกับว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาเราคุยกันด้วยเรื่องทั่วไป ไม่มีการกดดันห่าเหวอะไรนี่ปรากฏอยู่เลยซักกะนิดเดียว
แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ..
นอกจากทำแบ๊วไม่รู้เรื่อง แล้วฟังมันสอนต่อไป (กูไม่อาจหาญพอที่จะขุดเรื่องเก่ามาทำร้ายตัวเองจริงๆครับ)
++++
+++
++
“อะไรกัน? เรียนเสร็จเร็วจังลูก น้องอิชย์ดื้อไหม?”
แม่ถามอาจารย์พี่ทันทีที่เราเดินออกมาจากห้องหนังสือ
จะได้เรียนห่าอะไรกันครับคุณแม่ พอมันเปิดหนังสือทำท่าเหมือนจะสอนผมก็เลื้อยตัวฟังมันพูดปริ่มจะหลับทันทีขนาดนั้น มันคงจะพูดคนเดียวสอนผมอยู่หรอกเนาะ
“วันนี้ไม่มีอะไรมากครับคุณแม่ ผมแค่เกริ่นคร่าวๆว่าจะให้น้องอิชย์เรียนเรื่องไหนบ้างเฉยๆ” เขาพูดตอบแม่ผมออกไป
“หรอลูก,, งั้นอาจารย์พี่รอทานข้าวเย็นที่บ้านก่อนนะ ศรีกำลังจะกลับมาจากตลาดแล้วล่ะ” ศรีที่แม่ผมพูดถึงคือแม่นมผมเองครับ เธออยู่ที่บ้านผมตั้งแต่สมัยพี่อังค์เด็กๆ จนกระทั่งผมแก่จนจะมีเมียแล้วนี่แหละ
ว่าแต่,,
ไอ้ห่านี่มันจะอยู่ทั้งข้าวเที่ยง ยันข้าวเย็นเลยเรอะ?!
เกินไปไหม?
“จะกินด้วยกันอีกหรอ?” ทันทีที่ผมถาม ไอ้ตุ๊ดนั่นก็หันมามองผมช้าๆ แล้วคลี่ยิ้มออกมาเบาๆ
คุณรู้ไหม?
ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดูโง่ขนาดนี้เลยนะ
การคลี่ยิ้มอ่อนๆของผู้ชายคนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโง่ และดูเป็นเด็กน้อยแบบสุดๆ
ไอ้นี่,, ท่าทางจะเคี้ยวยากแฮะ
“ทำไมหรอน้องอิชย์?” มันเอียงคอถามผม “ไม่อยากให้พี่ร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยหรอ?”
ผมสบตาคนตรงหน้า ในเมื่อมันกล้าจะถามผมตรงๆ ผมก็กล้าจะตอบตรงๆเหมือนกัน (ลูกผู้ชายตัวจริงเถอะผมน่ะ)
“ใช่ – มันเปลืองข้าว”
ไอ้อาจารย์พี่หัวเราะในลำคอ (อีกแล้ว) “อย่างนั้นหรอ? แต่แม่เราเค้าเชิญพี่ร่วมโต๊ะแบบนี้ ก็ไม่เหมาะที่จะปฏิเสธนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก แม่ไม่คิดมากอยู่แล้ว แต่กูไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับมึงหรอกนะ กูขยะแขยงชิบหาย”
“ขยะแขยงอย่างนั้นหรอ?” มันเลิกคิ้วแล้วนิ่งไป แต่ให้ผมสาบานเถอะ ผมโคตรเกลียดอารมณ์แบบนี้เลย มันเหมือนกับว่าคนตรงหน้าผมมีแผนอะไรซักอย่างที่ผมไม่รู้ (และคิดว่าจะต่อกรกับแม่งไม่ได้ด้วย)
“หัดปรับตัวให้เข้าสังคมบ้างก็ดีนะน้องอิชย์ รู้จักการเสแสร้งไหม? ดูกูเป็นตัวอย่างซะนะ ไอ้เด็กน้อย”
ไอ้เลววววว!
มึงด่ากูเด็กน้อยอีกแล้วนะ ไอ้ตุ๊ด!
“แม่ครับ งั้นผมขอฝากท้องด้วยแล้วกันนะครับ”
“เต็มที่เลยจ้ะอาจารย์พี่”
ทันทีที่แม่พูดจบประโยค มันก็หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ผม เหมือนกับว่าสะใจเสียเต็มประดา
ดีใจไปเถอะเหี้ย ระหว่างกินข้าวเนี่ยแหละ กูจะทำให้แม่งไม่กล้ากลับมาเหยียบบ้านกูอีกเลย!
++++
+++
++
ผมตัดสินใจปลีกตัวออกมาที่ห้องนอนตัวเอง แล้วเริ่มปรึกษาแผนการกับเพื่อนรักมักเก่งเรื่องเหี้ยนามว่าสัดภักทันที
“ว่าไงสัด” ไอ้ภักรับโทรศัพท์เสียที หลังจากมันปล่อยให้ผมฟังเสียงรอสายเป็นเพลงอกหักเพื่อนรักรักเพื่อนจนเกือบจะจบท่อนฮุค
“นานมากเหี้ย ขี้อยู่ไง๊? ถ้ากูโดนปล้นขอความช่วยเหลือป่านนี้กูคงโดนปาดคอหอยไปแล้วสัด!”
“ไอ้สัดอิชย์ นี่มึงโดนปล้นเรอะ?! อยู่ตรงไหนเดี๋ยวกูออกเลย”
บางทีผมก็ไม่ค่อยเข้าใจไอ้ภักนะ มันชอบเชื่ออะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริง หรือเป็นเรื่องที่มีอัตราการเกิดยากมากๆ มันจะเชื่อเรื่องแนวนี้มากเลยครับ ผมสังเกตนานแล้ว เพราะมันจะชอบเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเปรียบเปรยแบบนี้ แล้วแม่งก็จะเชื่อเป็นตุเป็นตะ (ถอนหายใจทิ้งยาวๆ)
“กูเปรียบเปรยเถอะสัด ถ้ากูโดนปล้นจริงกูจะโทรหามึงทำไม? มึงแกล้งโง่ หรือมึงโง่จริงวะ?”
“สัด! กูแอ๊บโง่เถอะ” เอาจริงๆนะ ผมว่ามันโง่จริง “มึงมีเรื่องไรเหี้ย โทรมาแต่ละทีไม่เคยมีเรื่องดีๆหรอก”
“รู้ดีนะสัด” ผมหัวเราะสรรเสริญความฉลาดของมัน “กูมีเรื่องให้ช่วยว่ะ”
“กูว่าแระ ไม่มีผิดหรอก! แต่ก่อนมึงจะขอความช่วยเหลือจากกู มึงเล่าเรื่องที่มึงเรียนพิเศษมาให้กูฟังก่อน พวกกูโคตรอยากรู้เนี่ย”
“กูก็จะคุยเรื่องนี้แหละ,, มึงพร้อมฟังยังล่ะ?”
ไอ้ภักเงียบไป เหมือนมันพยายามระงับความตื่นเต้นน่ะครับ ผมได้ยินเสียงไปสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆสองสามครั้ง ผมว่าเหี้ยนี่แม่งโคตรเว่อร์
“เล่ามาปลวก กูพร้อมแล้ว”
“อาจารย์พี่ของแม่กู กับเหี้ยตุ๊ดที่เราไปรุมต่อย คือคนคนเดียวกัน”
ผมพุ่งตรงประเด็น เพราะผมเห็นว่ามันเตรียมตัวพร้อมรับข่าวแล้ว แต่ที่ไหนได้,,
มันตัดสายผมครับ
ตัดสายผมทิ้งไปเลย
ไม่แน่ใจว่าสายหลุดหรือมันช็อคจนกดปุ่มผิด หรือว่ามันเป็นเหี้ยอะไร ผมไม่สามารถสันนิษฐานเหี้ยอะไรได้เลย
ผมพยายามโทรกลับหามันอีกครั้ง,,
สัดครับ สายไม่ว่างเลย *เขวี้ยงโต๊ะ*
ผ่านไปสิบห้าวินาที มันก็โทรกลับมาครับ (คาดว่าคงเพิ่งตั้งสติได้)
“สัดมึงสายหลุดหรอ?”
“เหี้ยอิชย์ มึงบอกไอ้ภักว่าอะไรนะ?!” หือ? นี่มันไม่ใช่เสียงไอ้ภักนี่? นี่เสียงพ่อมันมันชัดๆ
“คิม??”
“เออกูเอง มึงเล่ามาเลย”
“มึงอยู่กับไอ้ภักหรอ?” กูงง
“ป่าว พวกกูสามสาย โทรหาเหี้ยโปรดแล้ว แต่เหี้ยนั่นไม่ว่าง สม! พลาดเลยแม่ง ไอ้อิชย์ ไงมึง,, พูดใหม่เลย ตะกี้มึงบอกไอ้ภักว่าอะไร? กูว่าเหี้ยนั่นพูดไม่รู้เรื่องแล้ว”
ไอ้ภักแม่งโคตรไม่มีสติเลยว่ะ ฟังเรื่องสะเทือนใจหน่อยเดียวโทรฟ้องพ่อแม่งเช๊ยย
“กูบอกว่า อาจารย์พี่ของแม่กู กับเหี้ยตุ๊ดที่เราไปรุมต่อย คือคนคนเดียวกัน”
“เห็นมั้ย?! กูบอกแล้วววว”
“เช็ดเหี้ย!!! งานเข้าทั้งแก๊งค์เลยสัด มึงคุกเข่าขอขมาเค้ารึยัง?”
พวกมันสองคนพูดจาวนไปวนมาแล้วครับ (ลนพอกัน) อีกคนก็เอาแต่พร่ำเพ้อชิบหายแล้ว ชิบหายแล้ว อีกคนก็เอาแต่บังคับให้ผมขอขมาผู้เสียหาย
แต่จะมีใครซักคนตั้งสติได้แล้วคุยกันผมเรื่องสาเหตุการโทรไปของผมได้ซักคนไหม?
“พวกมึงช่วยฟังกูนิดนึง ถ้าพวกมึงยังเวิ่นเว้อไร้สาระ กูจะวางแล้วโทรไปปรึกษาสัดโปรดแค่สองคน”
เท่านั้นแหละครับ เงียบกริบ จู่ๆก็ตั้งสติกันได้ (รู้งี้ผมน่าจะพูดตั้งนานแล้วเนาะ)
“ไอ้โปรดมันไม่ว่างหรอก มึงคุยกับกูเนี่ยแหละ”
“เอาล่ะ กูเข้าประเด็นแล้วนะ,, มันมาสอนพิเศษกู แล้วก็ทำเป็นคนดีเฟคสัดใส่แม่กู และมีทีท่าว่าจะไม่เลิกด้วย ซึ่ง.. กูจะทำให้มันรู้ว่า กูไม่ใช่เล่นๆ กูพูดจริงทำจริง”
“แล้วมึงจะทำไง?” ไอ้คิมถามผมโดยที่ไม่ได้ผ่านซีลีบรัมแม่งแน่ เพราะถ้าผมรู้แผนแล้ว ผมจะโทรหามันทำไมถูกไหม?
“กูจะสั่งสอนมันทางคำพูด ไม่ให้มันไม่ผยองในบ้านกู”
จริงครับ เรื่องนี้แม่งผมยอมไม่ได้จริงๆ คือถ้ามันจะมากร่างใส่ผมข้างนอก เอาพวกมารุมกระทืบแก้แค้นผมข้างนอกนะ ผมไม่ว่าเลยว่ะคุณ แต่อย่ามาแย่งความรักในบ้านจากผมไป แค่มีตัวหารเป็นอิพี่อัยย์กับพี่อังค์ผมก็รู้สึกแย่พอแล้ว แล้วตอนนี้จะมีคนแปลกหน้าอีกคน ผมต้องกำจัดแม่งให้พ้นทาง
“มึงต้องอย่าด่ามันแรงๆเว้ย ยิ่งด่าแรงมันก็จะสู้มึงได้” ไอ้ภักเริ่มแล้ว เทพเจ้าแห่งความเหี้ยของผม
“ให้กูทำไงดี?”
“ดูถูกแม่งดิ ดูถูกย่ำยีทางคำพูดน่ะ ให้แม่งเสียศักดิ์ศรี คนอีโก้จัดจะรู้สึกพ่ายแพ้นะกูว่า”
“ยังไงว่าภัก กูไม่เห็นเข้าใจเลยอ่า”
“ไม่รู้ว่ะ แต่กูคิดว่าไอ้อิชย์น่าจะทำได้”
ใช่แล้วล่ะ,, เพื่อนทั้งสอง ขอให้มึงเชื่อมั่นในตัวกู
ไอ้สัดตุ๊ด เตรียมตัวยอมรับความพ่ายแพ้เถอะ คึคึคึ
โปรดติดตามตอนต่อไป
พูดคุย :: (โปรดจินตนาการว่าระหว่าที่ข้าพเจ้าเขียนไปนั้น ข้าพเจ้ากำลังคุกเข่าและน้ำตาคลอไปด้วยนะคะ)
หายไปนานมากทีเดียว..
งาน นี้จะไม่แก้ตัวใดๆทั้งสิ้น นอกจากคำว่าไม่มีเวลาจริงๆ (มันเป็นมรสุมลูกเล็กๆของชีวิตที่ส่งผลกระทบค่อนข้างเยอะกับชีวิตประจำวัน ของตัวคุณพี่มากๆเลยล่ะค่ะ)
จากเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกิดขึ้น ทำให้ตัวคุณพี่เองไม่มีเวลามาพิมพ์อะไรเลยจ้ะ (แม้กระทั่งทวิตเตอร์ยังไม่ค่อยจะเปิดเลยพี่น้อง คิดดูว่าแม่งดูดพลังมากขนาดไหน)
แต่ตอนนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว
จะพยายามมาต่อเป็นประจำสม่ำเสมอเหมือนเคย เท่าที่ร่างกายของสาวออฟฟิศจะอำนวย
แน่นอนว่า ตัวคุณพี่จะยายามจริงๆ สัญญาเลย
(ถ้าหายไปอีก ส่งทวิตเตอร์มาด่าเลยนะคะ คุณพี่ขอร้อง)
สุด ท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ยังเข้ามาอ่าน อย่างน้อยมีคนมาอ่านมาเม้นท์ ก้อยังทำให้รู้ว่ายังมีคนรออ่านและเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการเขียนต่อไปเน้อ
รักทุกท่าน (ปาดน้ำตา และพยายามลุกขึ้นยืนให้ได้ (เพราะเข่าเสียแล้วจากการพิมไปคุกเข่าสำนึกผิดไป))
ความคิดเห็น