คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : SHUTTER 16 : ขอบคุณนะ
THE
SHUTTER ♡ 16 ขอบคุณนะ
ติณณกรเลิกงานตอนเกือบหกโมงเย็น
เขาได้รับข้อความจากคนที่ไปทำงานต่างจังหวัดว่าจะกลับมาถึงค่ำๆ
คุณหมอเลยตัดสินใจแวะซื้ออาหารร้านประจำติดมือกลับมาด้วยโดยไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปบอกอีกฝ่ายว่าเขาจะรอทานข้าวเย็นด้วยกัน
ร่างบางพาตัวเองมาถึงห้องในเวลาราวๆหนึ่งทุ่ม
เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาก็พบว่าอีกฝ่ายตอบรับมา และบอกว่าถึงบ้านของภูษิตแล้วกำลังจะขี่รถกลับ
ติณณกรจึงเริ่มจัดอาหารลงจานรอ
เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังชี้ไปถึงเลขสามแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่เขารอ
โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ คุณหมอหนุ่มเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ เขาผุดลุกผุดนั่งสลับกับเดินออกมายืนรอหน้าห้อง
เริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่มันวันนั้นแล้วแฮะ…
RRRRRRRRR
โทรศัพท์ในมือสั่นขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่ยืนเหม่ออยู่
ติณณกรผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ใช่คนที่เขารอแต่เป็นเบอร์ของรุ่นพี่ที่โรงพยาบาลแทน
“ครับ พี่โจ้”
[ติณณ์ มาที่โรงบาลหน่อยดิ]
“มีไรอ่ะพี่ ผม…ไม่ว่า---” ติณณกรกำลังคิดหาเรื่องบ่ายเบี่ยง
แต่อีกฝ่ายพูดแทรกขึ้นมาก่อนด้วยประโยคที่ทำให้เขาแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น
[แฟนมึงรถชน]
“ห้ะ!!!”
“เสียงดังอะไรติณณ์ แล้วมายืนทำอะไรหน้าห้อง”
ณกานที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยถามเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าของคนเป็นน้องซีดเผือด
มือบางคว้าโทรศัพท์ที่น้องชายถือค้างอยู่ไปคุยสองสามคำแล้ววางสายไป
“เดี๋ยวพี่พาไป ใจเย็นๆนะติณณ์”
ติณณกรหาเสียงตัวเองไม่เจอ
เขาทำเพียงก้าวเท้าเร็วๆจนกลายเป็นวิ่งไปตามทาง การจราจรที่ติดขัดทำให้ชายหนุ่มอารมณ์เสียมากกว่าทุกวัน
“แม่งจะติดอะไรนักหนาวะ พี่แนนพี่ขับรถตามไปนะ
ผมจะไปโบกวิน” ติณณกรพูดเท่านั้นแล้วเปิดประตูรถลงไปทั้งๆที่ยังอยู่กลางไฟแดง
สอดสายตามองหาวินมอไซต์อยู่สักพักเขาก็วิ่งไปบอกจุดหมายปลายทางแล้วกระโดดขึ้นคร่อมอย่างรวดเร็ว
พอถึงจุดหมายเขาก็ควักเงินจ่ายให้พี่วินโดยไม่รอรับเงินทอนร่างเล็กพาตัวเองไปที่แผนกฉุกเฉินทันที
แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในห้องเขาก็สะดุดตากับร่างสูงที่นั่งยิ้มคุยกับพยาบาลอยู่ไม่ไกล
“พี่ขุน!!”
“อ่าว มาเร็วจัง” อีกฝ่ายหันมาถามด้วยสีหน้าที่น่าเอาถีบเอามากๆในสายตาคนมอง
คุณหมอก้าวเท้าเร็วๆเข้าไปใกล้พลางกวาดสายตามองสำรวจร่างกายของอีกฝ่าย แขนข้างซ้ายถูกเข้าเฝือกแล้วสอดอยู่ในอาร์มสลิงเรียบร้อย
กางเกงยีนส์ขาดนิดหน่อยกับแผลเล็กๆที่ตรงหัวคิ้ว
“เจ็บมากไหม” คุณหมอถามเสียงเบายกมือลูกที่หางคิ้วอีกฝ่ายเบาๆ
“แค่นี้ไกลหัวใจ โอ้ยยย เชี่ยติณณ์ กูเจ็บนะ!”
“สมน้ำหน้า” ติณณกรเบะปากด้วยความหมั่นไส้เมื่ออีกฝ่ายโอดโอยตอนที่เขากดน้ำหนักลงแรงๆที่หัวคิ้ว
“อะแฮ่มม โรงพยาบาลมดขึ้นหมดแล้วครับ” เสียงกระแอมดังมาจากบุคคลที่ยืนอยู่ไม่ไกล
หมอโจ้เดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มพรายบนหน้า
“มดอะไรพี่” ติณณกรหันไปขัด
“ไปสวีทกันไกลๆได้ไหม คนโสดเห็นแล้วมันอิจฉาว่ะ”
“สวีทอะไรหมอ มันจะฆ่าผมอยู่แล้ว”
ขุนแผนพูดขึ้นบ้าง เขารู้จักกันหมอโจ้เพราะว่าเขาเป็นหมอที่ใส่เฝือกให้เขาและยังเป็นคนอาสาโทรบอกติณณกรให้เขาอีกด้วย
“ตอนที่โทรไปบอกว่าแฟนโดนรถชนนะ โอ้ยย ไอ้ติณณ์
ตีกูทำไมเนี่ย” หมอโจ้ลูบแขนตัวเองเบาๆ เมื่อโดนรุ่นน้องฟาดมือลงมาเต็มแรง
“แฟนเฟินอะไร ไม่ใช่พี่” คุณหมอร่างเล็กพูดเสียงเรียบๆ
ขัดกับริ้วแดงๆบนแก้ม
“เมื่อกี้ตอนกูโทรไปไม่ได้พูดงี้อ่ะ โอ้ยๆๆ
ไอ้ติณณ์ เออๆ ไม่แซวแล้ว” หมอโจ้ขยับตัวหนีการประทุษร้ายแล้วปลีกตัวไปอีกทาง
โดยหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้คนที่นั่งยิ้มอยู่บนรถเข็น
“มองอะไร”
พอเอาเรื่องอีกรุ่นพี่ไม่ได้ร่างเล็กก็หันมาตีหน้ายักษ์ใส่คนที่นั่งอยู่แทน
ร่างสูงยิ้มกับอาการนั้นแล้วเอื้อมมือไปดึงมือเล็กมากุมไว้หลวมๆ
“แฟนกูเขินรุนแรงจัง”
“ยังไม่ได้เป็นเว้ยยย! อย่ามาเนียน” ติณณกรพูดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ดึงมือออก
เขามองถุงยาที่วางอยู่บนตักแล้วคาดว่าอีกฝ่ายคงทำทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว
“กลับกันเลยไหม”
“อืม ไปสิ แล้วมึงมาไงอ่ะ ทำไมมาเร็วจัง”
“นั่งวินมา แต่เดี๋ยวพี่แนนคงมา” ติณณกรตอบแล้วใช้มือข้างที่ว่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาหญิงสาวที่กำลังขับรถตามมาส่งข่าวว่าเขาเจอขุนแผนแล้ว
“เดินไหวไหมพี่”
“ไหว”
ติณณกรหยักหน้าแล้วหันกลับไปบอกอีกฝ่ายอีกสองสามคำแล้ววางสายไป
มือเล็กเลื่อนออกจากการเกาะกุม ร่างบางขยับตัวไปอยู่ด้านหลังรถเข็นแล้วออกแรงเข็นไปที่ทางออกที่ใกล้กับร้านกาแฟที่เขานัดณกานไว้
ไม่นานรถของณกานก็มาเทียบข้างฟุตบาท
ติณณกรพยุงร่างสูงให้ขึ้นนั่งเบาะหลังส่วนตัวเองมานั่งเบาะข้างคนขับ
“เป็นไงแผน ไปทำท่าไหนมาเนี่ย”
“เสยเสาไฟเบาๆพี่” ขุนแผนพูดติดตลก
เหลือบตามองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว
ไม่งั้นพี่ว่าคนแถวนี้ลงแดงตายแน่ๆ ตอนรู้ว่าแผนรถชนนะยืนหน้าซีดปากสั่นอยู่หน้าห้อง
แถมพอขึ้นรถมาเจอรถติดนิดนึงก็นู่นวิ่งลงไปกลางไฟแดง”
“พอแล้วพี่แนน จะพูดทำไมเนี่ย”
คนโดนเผาหันมาทำหน้างอใส่หญิงสาวที่ยิ้มรับพร้อมกับหันไปสบตากับคนที่นั่งยิ้มอยู่ที่เบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง
“แผนจะได้รู้ไง ว่าติณณ์เป็นห่วงขนาดไหน”
“พอเลย”
ติณณกรพูดแค่นั้นแล้วเบี่ยงหน้าไปมองกระจกข้างเพื่อซ่อนริ้วแดงๆที่ข้างแก้ม
ณกานส่งทั้งคู่ที่ใต้คอนโดก่อนจะขอตัวออกไปทำธุระต่อ
ทั้งคู่เดินข้างกันมาจนถึงห้องของคนเป็นน้อง
ติณณกรจับจูงให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้อง
“พี่นั่งรอก่อนเดี๋ยวผมอุ่นกับข้าวก่อน”
“ทำเป็นหรอ”
“ไม่ได้กากขนาดนั้น” ร่างบางที่กำลังจะเดินไปอุ่นอาหารชะงักเมื่ออีกฝ่ายดึงข้อมือเขาไว้แล้วรั้งให้เข้าไปใกล้
เอวบางถูกกอดไว้ด้วยแขนข้างเดียว
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
“อื้อ”
คนโดนกอดขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วซุกหน้าลงกับซอกคอของคนเป็นพี่
เอื้อมแขนทั้งสองข้างกอดตอบกลับไปขยับมือลูบหลังอีกฝ่ายเบาๆ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ทั้งคู่แช่ตัวอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันสักพักจนได้ยินเสียงท้องร้องเบาๆของคนตัวเล็กกว่า
ทั้งคู่ถึงผละออกจากกัน
ขุนแผนลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารเตรียมจะหยิบกับข้าวไปอุ่นให้แต่โดนอีกฝ่ายตีมือเบาๆ
“ไปนั่งรอ เดี๋ยวผมทำให้”
ร่างสูงทำตามอย่างว่าง่าย แล้วนั่งมองร่างเล็กหยิบอาหารในจานไปอุ่นด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
ไม่นานผัดบล็อคโคลี่ใส่กุ้ง กับต้มยำไก่ใส่เห็ดก็ส่งกลิ่นหอมอยู่ตรงหน้า
คุณหมอหยิบถุงยาของอีกฝ่ายมาดูจัดการจัดยาก่อนอาหารแล้วยื่นให้คนเจ็บพร้อมน้ำเปล่าในแก้ว
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกินยาเรียบร้อยแล้วเขาก็ปลีกตัวไปหยิบจานข้าวแล้วเดินกลับมา
“กินเองได้ใช่ไหม” ติณณกรถามขณะที่วางจานข้าวลงตรงหน้า
“ถ้าบอกว่าไม่ได้ มึงจะป้อนกูหรอ”
“ไม่” ติณณกรตอบแล้วยิ้มทะเล้น
ตักกุ้งใส่จานอีกฝ่ายแล้วหันมากินตักข้าวใส่ปากตัวเองบ้าง
ขุนแผนเล่าเรื่องรีสอร์ทที่เขาไปพักสลับกับฟังติณณกรพูดเรื่องงานอีเว้นท์จนอาหารตรงหน้าหมดลง
แล้วยาหลังอาหารถูกวางลงบนมือคนเจ็บเช่นเดิม
“คืนนี้นอนกับผมนะ” เจ้าของห้องเอ่ยปากขณะกำลังเก็บจานบนโต๊ะ
“กูเจ็บขาอยู่คงทำไม่ไหวว่ะ แต่ถ้ามึงอยากมึงก็ต้องออนท็อปนะ
โอ้ยยย ติณณ์ๆๆ กูเจ็บบ” ขุนแผนโอดครวญเมื่อโดนคุณหมอจิ้มนิ้วลงมาที่แผลบนใบหน้า “หมอเหี้ยไรเนี่ยทำร้ายคนเจ็บ”
“มันน่าไหมล่ะ ในหัวคิดแต่เรื่องอะไรไม่รู้”
“ก็มึงมาชวนกูนอนด้วยอ่ะ” ขุนแผนจงใจย้ำคำว่านอนแล้วก็ต้องเอี่ยวตัวหลบมือที่เตรียมจะมาประทุษร้ายเขาอีกครั้ง
“อย่ามากวนตีน กลับไปนอนห้องตัวเองเลยไป”
ร่างบางหันมาแยกเขี้ยวใส่แล้วเดินเอาจานไปที่อ่างล้างจาน แต่ยังไม่ทันจะเริ่มลงมือล้างคนตัวสูงก็เดินมาซ้อนอยู่ข้างหลัง
“พี่ขุน อะไรของพี่มึงเนี่ย ไปไกลๆ ผมจะล้างจาน”
ติณณกรหันหน้าไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“อยากอยู่ใกล้ๆอ่ะ” ขุนแผนพูดอ้อนๆแล้วซบหน้าลงบนไหล่บางของคนตรงหน้า
“ฮื่ออ ไปนั่งรอก่อน
เดี๋ยวเผือกโดนน้ำแผลเน่าโดนตัดแขนไม่รู้ด้วยนะ”
“ถ้าโดนตัดแขนแล้วมึงจะดูแลกูแบบนี้ตลอดไปเลยป่ะ”
คนฟังถอนหายใจ เอื้อมมือปิดก๊อกน้ำแล้วขยับตัวหันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยอมขยับออกไปเล็กน้อย
แววตาอ้อนๆที่ถูกส่งมาเอาคนมองใจอ่อนยวบ
“ถ้าโดนตัดแขนจะเอาไปทิ้งไว้ข้างถังขยะ” คุณหมอพูดยิ้มๆแล้วยกมือลูบแผลที่หัวคิ้วเบาๆ เลื่อนสายมาสบกับคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
“ถ้าไม่อยากโดนทิ้งก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ
เข้าใจไหมครับ”
ขุนแผนยิ้มแทนคำตอบ ยกมือขึ้นจับมือบางที่ลูบแก้มตัวเองมาจูบเบาๆที่กลางฝ่ามือ
ทำเอาคนตัวเล็กหน้าขึ้นสีแล้วออกแรงผลักอกเขาให้ออกไปเบาๆ
ก่อนจะหันกลับมาล้างจานต่อ
“ทำไมไม่ไปอาบน้ำ” ติณณกรที่จัดการล้างจานชามเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาหาคนที่นั่งดูหนังอยู่บนโซฟา
“เดี๋ยวน้ำโดนเฝือก แผลเน่า โดนตัดแขน กูไม่อยากโดนทิ้งไว้ข้างถังขยะอ่ะ”
ร่างสูงหันมาพูดเสียงใส แถมด้วยการยักคิ้วให้อีกที
กวนตีนฉิบหาย
“พี่มึงก็ยกแขนขึ้นสิครับ”
“ไม่เอา เช็ดตัวให้หน่อย”
“อย่ามาปัญญาอ่อน มันอาบได้ ไปอาบ”
“ไม่เอา เช็ดตัวให้หน่อยนะครับ นะ นะ นะ”
ติณณกรมองผู้ชายตัวโตที่ส่งสายตาอ้อนๆ กับน้ำเสียงที่คนฟังต้องกลั้นขำไว้ในลำคอ
พี่มันคงไม่รู้ว่าสิ่งที่มันกำลังทำโคตรจะไม่เข้ากับหน้าเถื่อนๆของแม่งเลย
“เออๆ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วจะอ้วก”
“คนจะอ้วกมันต้องหน้าแดงด้วยหรอวะ” ขุนแผนพูดยิ้มๆ
แล้วลุกตามเจ้าของห้องที่เดินนำเข้าไปในห้องนอนแทน
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้วปลดอาร์มสลิงออกแล้ววางไว้ข้างกาย
“ติณณ์ ช่วยพี่ถอดเสื้อหน่อย”
ร่างเล็กเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกะมังใส่น้ำกับผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก
เดินไปลากเก้าอี้มาวางของก่อนจะช่วยรั้งปลายเสื้อของเขาขึ้น
รอยช้ำจากรอยกระแทกมีให้เห็นอยู่ประปราย
ติณณกรบิดผ้าเช็ดตัวหมาดๆแล้วเริ่มเช็ดตัวให้อีกฝ่ายเบาๆจนทั่วร่างกายท่อนบน
“ข้างล่างไปอาบเองเลย อย่ามางอแง”
ติณณกรพูดขัดเมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะอ้าปากพูด คนโดนขัดเลยต้องยอมเดินไปหยิบกางเกงนอนของตัวเองเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี
ออกมาอีกทีก็ไม่เห็นเจ้าห้องแล้วเขาเลยนั่งพิงหัวเตียงรอ
คุณหมอเจ้าของห้องเดินกลับเข้ามาพร้อมยาแก้ฟกช้ำในมือ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ใส่เสื้อเขาจึงขยับเข้าไปแล้วทายาตามรอยช้ำแล้วบ่นเบาๆ
“ทำไมพี่ไม่ระวังวะ ดูดิ้เนี่ยแดงไปทั้งตัวเลย”
“ขี้บ่นนน” ร่างสูงเอื้อมมือไปดึงแก้มอีกฝ่ายเบาๆ
แล้วก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อคนตัวเล็กกดแรงๆที่รอยช้ำอย่างหมั่นไส้ พอทาเสร็จติณณกรก็ผละออกไปอาบน้ำบ้าง
ร่างสูงขยับตัวลงนอน
ความเหนื่อยล้าของร่างกายทำให้เขาเข้าสู่นิทราหลังจากหัวถึงหมอนได้ไม่นานทำให้เขาไม่รับรู้ถึงสัมผัสบางเบาที่หน้าผากกับเสียงกระซิบเบาๆจากคนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ดูแลตัวเองหน่อยสิวะ คนเขาเป็นห่วง…รู้ไหม”
ขุนแผนขยับตัวเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง
ร่างสูงนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกปวดหนึบตามลำตัวตอนที่เริ่มขยับตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
สักพักประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเจ้าของห้องที่เดินถือแก้วน้ำกับแก้วใบเล็กที่ใส่ยาเข้ามา
“ตื่นแล้วหรอ ปวดไหม”
“โคตรๆ”
“แค่นี้ไกลหัวใจ”
ติณณกรทำเสียงล้อเลียนคำพูดที่อีกฝ่ายพูดไว้เมื่อวานแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วส่งยาก่อนอาหารกับแก้วน้ำให้
“แล้วงานพี่ทำไงอ่ะ”
“ซันน่าจัดการได้แหละ
ถ้าไม่ไหวก็คงต้องหาคนมาช่วย” ขุนแผนส่งแก้วน้ำคืนไปให้คนที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“วันนี้ไม่ไปทำงานหรอ”
“วันนี้วันหยุด” ที่ขอเขาหยุดมาดูมึงเนี่ย
ติณณกรละคำตอบหลังไว้ในใจเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ใจมากนัก
ช่วงหลังๆมานี้เห็นเขายอมเข้าหน่อยก็เอาใหญ่ ขยันกอด ขยันเนียน
อยู่กับแม่งแล้วเปลืองตัวฉิบหาย
“ขอยืมโทรศัพท์โทรหาที่บ้านหน่อยดิ”
เสียงของขุนแผนปลุกติณณกรออกจากภวังค์ ร่างเล็กลุกไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองยื่นให้อีกฝ่าย
ก่อนจะเดินออกไปเตรียมโจ๊กหมูที่เขาออกไปซื้อมาตั้งแต่เช้า
ทำกับข้าวไม่เป็นก็ดูแลได้เว้ย
“เออ อย่าบ่นสิ ฝากไปเคลียร์ให้ด้วย อืม
พี่อยู่กับหมอ เออ อย่าแซว อืม จะคุยทำไม เออๆ”
ติณณกรเปิดประตูเข้ามาก็เจอร่างสูงนั่งตีหน้ายุ่งอยู่
แถมยังกวักมือเรืยกให้เขาเดินเข้าไปใกล้ ชามโจ๊กกับน้ำแก้วใหม่จึงถูกวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
“มีคนจะคุยด้วย”
ขุนแผนบอกแล้วยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ
[พี่ติณณ์]
“ครับ?”
ติณณกรตอบรับเมื่อเสียงหวานๆดังลอดสายผ่านมา
[พี่ขุนบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก จริงหรือเปล่าพี่ ขวัญเป็นห่วง]
ติณณกรหลุดยิ้มแล้วเตรียมจะลุกออกไปคุยไกลๆ
แต่อีกฝ่ายเอื้อมมือมารั้งไว้เหมือนไม่อยากให้เขาออกไป “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก
กระดูกแขนร้าวกับรอยช้ำนิดหน่อยเดือนนึงก็หายแล้ว”
[เฮ้ออ โอเคค่ะ ขวัญฝากพี่ติณณ์ดูหน่อยนะ ขวัญบอกให้กลับมาอยู่บ้านก็ไม่ยอม]
“ครับ พี่ก็ดูให้อยู่ แต่พี่ชายเราดื้อฉิบหายเลย”
[พี่ติณณ์ต้องเหนื่อยหน่อยอ่ะ เพราะตอนนางป่วยนางจะอ้อนหนักมากกกกกกก]
ติณณกรหลุมยิ้มเมื่ออีกฝ่ายลากเสียงคำว่ามากเสียยาวจนเขาเผลอนึกถึงหน้าอ้อนๆเมื่อคืน
ส่วนคนนั่งฟังก็ส่งสายตาดุๆมาให้แล้วแย่งโทรศัพท์คืนไป
“เผาอะไรพี่ พอเลยไม่ต้องคุยแล้ว”
ว่าแล้วร่างสูงก็ตัดสายไปแล้วส่งสายตางอนๆมาให้จนคนมองหลุดยิ้มอีกครั้ง
“คุยอะไรกัน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่”
“คุยเรื่องพี่แหละ กินข้าวนะจะได้กินยา” ติณณกรเปลี่ยนเรื่องแล้วหันไปหยิบชามโจ๊กขึ้นมาถือไว้ มือเล็กจับช้อนตักโจ๊กขึ้นเป่าแล้วยื่นไปจ่อปากคนที่นั่งนิ่งอยู่
“อ้ามมมม”
“ปัญญาอ่อน” ขุนแผนพูดเบาๆ
แต่ก็ยอมอ้าปากรับแต่โดยดี
ใบหน้าคมคายขึ้นสีเล็กน้อยจนคนมองนึกขำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ทำเพียงป้อนข้าวอีกฝ่ายจนหมดแล้วเดินออกไปเอายาหลังอาหารมาให้
ติณณกรเตรียมจะลุกเอาของออกไปเก็บแต่แขนเล็กถูกอีกฝ่ายรั้งไว้
เขาจึงวางของไว้บนโต๊ะแล้วขยับไปนั่งข้างเตียงดีๆ
“ขอบคุณนะ” ขุนแผนพูดเบาๆ
แล้วเลื่อนมือจากข้อมือเล็กมากุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ ใช้นิ้วโป้งไล้ที่หลังมือเบาๆ
ติณณกรมองท่าทางเหล่านั้นแล้วยิ้มออกมา
คุณหมอช้อนสายตาขึ้นสบกับอีกฝ่ายแล้วตอบกลับไปเสียงเบา
“ผมเต็มใจ”
“งั้นจูบหน่อย”
“ส้นตีนนนน!”
ติณณกรแยกเขี้ยวใส่แล้วดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแล้วเดินออกจากห้องไป
ปล่อยให้คนป่วยนิ่งยิ้มอยู่บนเตียงคนเดียว
ช่วยด้วยครับ ผมเหมือนจะมีความสุขจนตาย!!
TBC.
---------------------------
#จักวาลขุนติณณ์
30/05/61 ช่วยด้วยค่ะ เรากำลังจะเขินตายยยย แงงง แต่งเองเขินเอง งุ้ยๆ จริงๆ ไม่อยากให้ดราม่าเลย ให้พี่แผนเจ็บนิดๆพอ น้องติณณ์จะได้ใจอ่อนไวๆ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ^^
ขอบคุณทุกเม้นและทุกกำลังใจโด้ยน้าาาา เจอกันพรุ่งนี้เวลาเดิมฮะะะ <3
ความคิดเห็น