คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : SHUTTER 14 : ไม่มีคำว่ารัก
THE
SHUTTER ♡ 14 ไม่มีคำว่ารัก
“วันที่อ่อนไหว คนใกล้ใกล้ที่เราได้เจอ
จะทำให้เผลอ เผลอใจให้เร็วใช่ไหม
กี่ทฤษฏีที่ใครว่าไว้ ฉันไม่เคยจะไปสนใจ
จนวันที่มาพบเธอ”*
เสียงเพลงดังแว่วมาจากทิศของห้องนอน ขุนแผนหันไปปิดประตูห้องเดินเอาหม้อข้าวต้มที่ทำมาจากห้องตัวเองไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะพาตัวเองเดินไปตามเสียงเพลงจนเจอร่างเล็กเจ้าของห้องนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตียง ในมือมีม้วนกระดาษที่คาดว่าเป็นบทหนังสั้นที่เจ้าตัวเล่นคู่กับเขา ร่างสูงดึงกระดาษออกจากมือเล็กแล้วจัดท่านอนให้อีกฝ่ายให้นอนสบายๆ
“ฮื่อ กลับมาแล้วหรอ”
เสียงงัวเงียดังขึ้นเมื่อเขาดึงผ้าห่มคลุมขึ้นถึงอก
ร่างเล็กปรือตามองทั้งๆที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น
“ยัง นี่ถอดจิตมา ยังปวดหัวอยู่ไหม”
ขุนแผนว่าพลางยกมือขึ้นอังหน้าผากมนเพื่อวัดไข้ คุณหมอคนเก่งของเขาไม่สบายเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอบวกกับอากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน
“ไม่ปวดแล้ว แต่เมื่อยตัวว่ะพี่”
“ลุกไปกินข้าว พี่ทำข้าวต้มมาให้”
“กินบนนี้ได้ไหม ไม่อยากลุกอ่ะ”
คนป่วยช้อนสายตาขึ้นส่งสายตาอ้อนๆแล้วพูดเสียงแผ่ว แต่แล้วดวงหน้าหวานก็ง้ำลงเมื่อโดนคนตัวสูงกว่าดีดหน้าผากเบาๆ
ขุนแผนไม่ได้ตามใจคนป่วย
เขาออกแรงดึงร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งแล้วก็ต้องคว้าแขนเล็กไว้อีกครั้งเมื่อคนป่วยงอแงทำตัวเป็นตุ๊กตาล้มลุกทำท่าจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ
“ลุกไปเดินบ้าง อย่างอแงสิครับ”
ร่างสูงพูดด้วยเสียงอ่อนลง ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวเอวบางเข้าหาตัวแล้วพาเดินออกไปด้วยกัน
“ข้ามต้มหมูเห็ดหอมหรอ”
ติณณกรหันมาถามทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นของที่อยู่ในหม้อ พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าคนป่วยก็ยิ้มแป้นทันที
“หน้าบานเชียวนะ”
“พี่ไม่ทำให้ผมกินนานแล้วอ่ะ”
“งั้นก็กินเยอะๆ”
ขุนแผนวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าคนตัวเล็ก ส่วนเขาเดินไปหยิบถุงยาแล้วอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามทอดสายตามองคนที่ผมชี้ไม่เป็นทรง
ใบหน้าที่เคยสดใสเจื่อนลงเพราะพิษไข้ มือเล็กตักข้าวต้มกินไปสักพักก็นิ่วหน้า จนคนมองเลิกคิ้วเชิงถามว่าเป็นอะไร
“พื้นมันเย็นอ่ะ”
ร่างสูงส่งยิ้มจางๆ ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เลื่อนเท้าตัวเองไปข้างหน้าจนอยู่ในระยะที่อีกฝ่ายสามารถวางเท้าตัวเองลงบนเท้าเขาได้สบายๆ แล้วนั่งเท้าคางมองคนป่วยตักข้าวเข้าปากเรื่อยๆ
จนหมดแก้วน้ำกับยาก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าแทน
“ไปอาบน้ำ
เดี๋ยวออกไปเดินเล่นกัน”
“งื้ออออ”
“ไม่ต้องมางื้อ นอนมาทั้งวันแล้ว เร็วๆ…” ขุนแผนยื่นมือไปบีบจมูกกรั้นของคนที่เบะปากทำท่าจะอ้อนเขาอยู่นั่น ร่างสูงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใช้ท่าไม้ตายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังอิดออด
“หรืออยากให้พี่อาบให้ครับ”
“โว๊ะ”
ติณณกรดันแก้มสากของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วลุกเดินหายไปในห้องโดยมีเสียงของคนเป็นพี่ตะโกนตามหลังไป
“ไม่ต้องสระผมนะ”
“รู้แล้วววว”
ชายหนุ่มสองคนในชุดเสื้อยืดคอกลมสีพื้นกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเดินทอดน่องอยู่ข้างกันบนถนนเส้นเล็กในสวนสาธารณะใกล้คอนโดที่ขุนแผนมักจะหาเวลาลากคุณหมอมาวิ่งออกกำลังกายด้วยกันบ่อยๆ
ในมือของติณณกรมีบทหนังสั้นติดมาด้วย
“พี่ว่ามันจริงไปป่ะวะ” ติณณกรพูดขึ้นเมื่ออ่านบทมาได้ครึ่งเล่ม
“ไม่ดีหรอ เหมือนเล่นเป็นตัวเอง
จะได้เล่นง่ายๆ” ขุนแผนมองร่างบางพลิกกระดาษในมือไปมา
แล้วนึกไปถึงบทที่เขาอ่านจบไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน
ในเรื่องเขาเป็นตากล้องที่ต้องไปถ่ายภาพให้ติณณกร
แล้วดันเผลอใจตกหลุมรักอีกฝ่ายหลังจากได้สบตากันผ่านเลนส์กล้อง เขาเลยหาเรื่องเข้าใกล้จนได้ย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกัน
และเมื่อยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งรู้จักนิสัยใจคอเขาก็ยิ่งรักอีกฝ่ายมาขึ้นเรื่อยๆ
อืม มันดูจริงจนน่ากลัวเลยแฮะ
“เชื่อในพลังแห่งการมโนเลยจริงๆ
คืนนี้ต่อบทกันไหม อาทิตย์หน้าต้องเริ่มถ่ายแล้วอ่ะ” ติณณกรหันไปถามคนที่เดินอยู่ข้างกัน
“ไว้วันพรุ่งนี้เถอะ
มึงยังไม่หายดีเดี๋ยวไข้กลับ”
ติณณกรพยักหน้ารับคำม้วนบทให้เป็นทรงกระบอกแล้วถือไว้
การได้ออกมาเดินสูดอากาศยามเย็นที่เหลือแสงแดดอ่อนๆทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย
แก้มใสเริ่มมีสีเลือดฝาดดูดีกว่าเมื่อวานมากนัก
“กลับยัง”
“ไปดิ แต่ว่าแวะอั่งเปาด้วยนะ อยากกินช็อคหน้านิ่ม” คนตัวเล็กว่าแล้วฉีกยิ้มอ้อนๆ ซึ่งคราวนี้ร่างสูงยอมตามใจแต่โดยดี ก็ลองมาเป็นเขาสิ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องยอมทั้งนั้น เรื่องอ้อนขอให้บอกคนนี้เนี่ยที่หนึ่ง ตาหวานๆ กับมือเล็กๆทำงานประสานกันเป็นอย่างดี ยิ่งถ้าโดนขัดใจนะปากแดงๆ จะขมุบขมิบไม่หยุดน่าจับจูบให้ปากหลุดฉิบหาย
เฮ้ออ แพ้ทางครับ แพ้ทางลูกอ้อนเด็กดื้อ
ห้องกว้างดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมีเหล่าทีมงานเดินกันอยู่ให้กวั่ก
ขุนแผนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวข้างกายมีคนตัวเล็กที่ยังนั่งอ่านบทอยู่ จนเขาต้องเอ่ยทักแล้วดึงกระดาษที่ถูกม้วนไปมาจนยับไปหมดออกมา
“จะอ่านอะไรขนาดนั้น”
“ก็ยังจำไม่ค่อยได้เลยอ่ะ”
“แรมต่ำจังวะ
จำไม่ได้ก็เล่นสดไปดิ ยังไงมันก็เป็นเรื่องของเราสองคนอยู่แล้ว เล่นเป็นตัวมึงนั่นแหละ”
ว่าแล้วร่างสูงก็เอื้อมมือไปนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเบาๆ
“ขมวดคิ้วบ่อยๆเดี๋ยวหน้าย่นนะคุณหมอ”
“ง่วงว่ะพี่ ขอนอนตักหน่อยนะ” ติณณกรพูดแล้วล้มต้วลงนอนโดยใช้หน้าขาของคนตัวสูงเป็นหมอนหนุน
เขาปิดเปลือกตาลงตั้งใจจะนอนเอาแรงก่อนเริ่มถ่ายสักหน่อย
แสงไฟจากหลอดนีออนบนเพดานแยงตาจนร่างเล็กต้องพลิกตัวซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอของเจ้าของหน้าขาที่ใช้รองหัวอยู่
โชคดีที่ฉากที่จะถ่ายวันนี้เป็นฉากที่เขาพึ่งตื่นนอนเลยไม่ต้องกลัวว่าผมจะยุ่ง
“อ่าว ติณณ์หลับหรอ”
ณกานเดินเข้ามาใกล้แล้วถามเสียงเบาเมื่อเห็นร่างเล็กนอนอยู่
“ครับ เมื่อคืนมันสระผมแล้วไม่ยอมเช็ดผมให้แห้ง ผมกลับมาอีกทีก็เห็นนอนตัวรุ่มๆอยู่ ให้กินยาดักไว้แล้วไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า” ขุนแผนตอบพลางลูบหัวคนที่นอนอยู่เบาๆด้วยความเคยชิน โดยลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเหมือนอย่างเคย หลายคนมองภาพนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และอีกหลายคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพนั้นไว้
ณกานนั่งคุยกับขุนแผนไปสักพักร่างบางที่นอนหลับอยู่ก็เริ่มรู้สึกตัว
ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งแล้วเตรียมจะยกมือขยี้ตาแต่มือหนาของคนเป็นพี่รั้งไว้ทัน
“อย่าขยี้ เดี๋ยวตาแดง”
“ฮื่อ”
คนพึ่งตื่นครางรับในลำคอแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟาสักพักทีมงานก็มาเรียกให้ไปเข้าฉาก สถานที่วันนี้เป็นห้องเป็นถูกจัดเป็นคอนโดที่เขาทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นช่วงกลางเรื่องไปแล้ว
ติณณกรเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน
ขุนแผนเดินไปแล้วนอนลงข้างกัน จากที่ชิวๆเขาเริ่มเกร็งขึ้นนิดหน่อยเมื่อมองไปทางไหนก็เจอกล้องตั้งอยู่รอบเตียง
ทั้งสองหลับตาลงหลังจากได้ยินเสียงตีสเลทดังขึ้นผ่านไปสักพักร่างสูงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างกัน
นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปรกอยู่บนหน้าผากมนให้พ้นทางแล้วก้มลงไปประทับริมฝีปากค้างไว้อย่างนั้น
เมื่อใบหน้าคมคายถอยออกมาก็สบกับนัยน์ตาใสของคนโดนลักหลับที่มองอยู่ก่อนแล้ว
มือเล็กยกขึ้นลูบแก้มสากเบาๆ แล้วออกแรงดึงแรงๆจนคนโดยหยิกเผลอร้องออกมา
โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่เก็บเสียงแต่จะนำภาพไปใส่เพลง
คนเล่นนอกบทยิ้มย่องเมื่อเห็นหน้าดุๆของอีกฝ่าย
แล้วการฟัดกันบนเตียงก็เริ่มขึ้น
เอวบางของคนตัวเล็กกว่าโดนรวบแล้วดึงลงนั่งบนตักของคนตัวสูง
“ไอ้เหี้ยพี่ขุน
อันนี้ไม่มีในบท ปล่อยเลย” ติณณกรโวยวายเมื่อเริ่มสู้ไม่ได้
“ก็กูจำแพทเทิลไม่ได้เลยว่าจะด้นสดมันเลย
หึหึ” ร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะแล้วเริ่มจี้เอวอีกฝ่ายอีกครั้ง
ติณณกรดิ้นไปมาแล้วพลิกตัวเข้าไปหาจนร่างสูงเสียหลักล้มตัวลงนอนราบกับพื้นเตียงโดยมีร่างของคนตัวเล็กทาบอยู่ด้านบน
จมูกของเขาห่างกันแค่ลมหายใจกั้น
ตึกตึก ตึกตึก
ติณณกรได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอก
เขาเผลอกลั้นใจเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะได้ยินเหมือนกันพอคิดมาถึงตรงนี้หน้าเขาก็ขึ้นสีอย่างไม่อาจควบคุม
“แหม พาเข้าตามบทจนได้นะ”
ขุนแผนพูดทั้งๆที่ปากไม่ขยับ ส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้อีกฝ่ายตามที่บทเขียนบอกไว้
“มองตาพี่หวานๆสิ เดี๋ยวก็ได้ถ่ายอีกรอบหรอก”
ติณณกรส่งเสียงครางอยู่ในลำคอแล้วมองตาอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว
ทุกวินาทีที่ทั้งสองสบตากันติณณกรรู้สึกได้ว่าแววตาของคนใต้ร่างมันสื่อความหมายอะไรบางอย่างมาให้
อะไรบางอย่างที่เขาคิดว่ารู้ดีแก่ใจมาตลอด…แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยพูดออกมาตรงๆ
“คัทท!” เสียงผู้กับกำดังขึ้นหลังจากที่ทั้งสองนอนค้างอยู่ท่านั้นหลายนาที
ติณณกรกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอแล้วลุกออกมา
เดินไปเช็คภาพหลังกล้องพร้อมกับทีมงาน ภาพที่ออกมามันดูเป็นธรรมชาติจนผู้กำกับเอ่ยปากชมแล้วบอกให้เขาไปเปลี่ยนชุดมาถ่ายฉากที่ต้องบนเตียงอีกสองสามฉาก
คือฉากที่เขาไม่สบาย และฉากที่นอนกอดกัน ซึ่งทั้งสองฉากถ่ายไปสองเทคเพราะพี่ขุนมันยัดผ้าเช็ดตัวเข้าปากเขาเพราะเขาไปกวนตีนมันในเทคแรก ส่วนเทคสองผ่านฉลุยพี่มันเล่นดีจนเขาแอบเขินจริงไปหลายหน
จบวันนี้ด้วยฉากไปวิ่งที่สวนสาธารณะตอนเย็นกว่าจะถ่ายเสร็จแสงก็หมดพอดี
ทุกคนแยกย้ายกันไปเช่นเดียวกับนักแสดงนำสองคนที่พาตัวเองกลับมานอนแผ่หลาอยู่บนเตียงกว้างในห้องนอนของคุณหมอ
“อยากกินไร เดี๋ยวกูออกไปทำให้”
“สั่งพิซซ่าเหอะ
พี่เหนื่อยมาทั้งวันละ”
“เป็นห่วงกูหรืออยากกินเอง”
“อยากกินเองเด่ะ” ติณณกรยิ้มทะเล้นแล้วหยิบโทรศัพท์มาโทรออก
จัดการสั่งอาหารโดยไม่หันมาถามความเห็นจากคนที่นอนอยู่ข้างกัน
“กูกลับห้องไปทำงานนะของมาแล้วไปเรียกด้วย”
“อืม”
ติณณกรรับคำแล้วหลับตาลง หูได้ยินเสียงประตูหน้าห้องปิดลง
เขาถอนหายใจทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ รู้สึกสับสนอยู๋ในใจลึกๆกับความรู้สึกของตัวเอง
ถามว่ารู้สึกดีกับพี่มันไหม
เขาตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าดีมาก
แต่ถ้าถามว่ารักไหม…เขากลับตอบตัวเองได้ไม่เต็มปาก
ไม่รู้ว่ารู้สึกดีมากขนาดที่เรียกว่ารักได้ไหม
วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการถ่ายทำกับการถ่ายฉากจบของหนังเรื่องนี้ ร้านขายอุปกรณ์จัดสวนถูกจัดเป็นฉากสวนเล็กๆหลังบ้านที่ต่างจังหวัดของติณณกรตามบทหนัง แสงแดดร่ำไรยามเช้ากระทบส่องผ่านใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ลงมาหยอกล้อกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบไม้
เสียงตีสเลทดังไปหลายนาทีแล้ว
ติณณกรกำลังเดินอยู่ข้างร่างสูงบนทางเดินแคบๆด้วยกัน
ขาที่กำลังก้าวอยู่หยุดลงเมื่อข้อมือถูกรั้งโดยคนที่อยู่ข้างกัน
เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง
“ติณณ์”
“หื้ม”
“กู…ไม่อยากเป็นพี่มึงแล้วว่ะ”
ตึกตึก ตึกตึก
เสียงหัวใจดังรัวอยู่ในอกทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดไปตามบทเท่านั้น
เขาเผลอกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด อยากรู้จังว่าใจพี่มันจะเต้นแรงเหมือนกันไหมนะ
“คบกับกูนะ”
ตึกตึก ตึกตึก
ติณณกรอึกอัก บทที่ท่องมาเหมือนอันตธานหายไปจากหัวสมองชั่วคราว
นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาประชิดตัวใช้มือข้างหนึ่งรั้งท้ายทอยเขาขึ้นให้เงยรับริมฝีปากบางที่ทาบลงมา
ขุนแผนแนบริมฝีปากไว้นิ่งๆ
ก่อนจะเริ่มดึงดูดเบาๆ เขายกมืออีกข้างประคองแก้มใสแล้วใช้นิ้วโป้งไล้เบาๆ
เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตัวแข็งเป็นหิน
รสจูบอ่อนหวานเนิบนาบยังคงดำเนินต่อไปจนคนตัวเล็กเริ่มเคลิ้มตามแล้วขยับปากจูบตอบกลับ
เนิ่นนาน…จนคนตัวสูงเป็นคนกดริมฝีปากหนักๆแล้วถอนริมฝีปากออกไป
“กูจะถือว่าจูบเมื่อกี้เป็นคำตอบของมึงนะ” ขุนแผนพูดขึ้นทั้งๆที่ปลายจมูกยังชิดกัน แววตาที่เจือไปด้วยความลังเลของคนตรงหน้าทำเอาใจเขากระตุกวูบ
ไม่เป็นไร...ถ้าลังเลแสดงว่าขาข้างหนึ่งของเขาคงก้าวเข้าไปในใจมันแล้ว ที่นี้ก็มาลุ้นกันว่ามันจะถีบเขาออกมา หรือยอมให้ขาอีกข้างก้าวตามเข้าไป
“คัท!!”
เสียงผู้กำกับดังขึ้นพร้อมกับสติของติณณกรที่กลับมา
เขาผละออกมาจากร่างสูงเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนจะขอคำตอบที่อีกฝ่ายเล่นนอกบทเมื่อครู่
ฝ่ามือของอีกฝ่ายวางบนหัวเขาแล้วออกแรงโยกเบาๆ
“เคลิ้มเลยนะะ”
“เล่นไรของพี่วะ ผมไม่ขำนะ” ติณณกรพูดโกรธๆ แล้วปัดมือของคนเป็นพี่ออก
“เล่นอะไร กูก็เล่นตามบทอ่ะ”
ขุนแผนขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าร่างเล็กทำท่าจะโกรธเขาจริงๆ
จนณกานเดินเข้ามาใกล้แล้วรีบอธิบายเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“ติณณ์ใจเย็นก่อนนะ คือบทที่ติณณได้ไปมันไม่ครบอ่ะ
พี่ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้เช็คให้”
ติณณกรหน้าชากับประโยคที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าโกรธที่โดนจูบ
หรือว่าโกรธที่รู้ว่าอีกฝ่ายแค่เล่นไปตามบทแล้วเขาดันคิดไปไกล ร่างเล็กปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งแล้วตอบกลับไปนิ่งๆ
“ครับ งั้นก็ไม่เป็นไร”
เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินหายไปเมื่อได้ยินผู้กำกับว่าเลิกกองสำหรับวันนี้
โดยมีร่างสูงของขุนแผนที่เดินตามไป
“ติณณ์”
ขุนแผนส่งเสียงเรียกคนที่เดินนำอยู่ไม่ไกล
เขาเร่งฝีเท้าขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเหยาะๆ จนดึงแขนเล็กของอีกฝ่ายไว้ได้สำเร็จ
“เป็นเหี้ะ--- มึงร้องไห้ทำไม”
คำที่ตั้งใจจะพูดถูกกลืนลงคอไปเมื่อเห็นน้ำใสๆเปื้อนแก้มของอีกฝ่ายอยู่ เขาออกแรงดึงแขนคนตรงหน้าเข้ามาใกล้แล้วเกลี่ยน้ำตาออกให้ กดหัวอีกฝ่ายให้ซุกลงกับอกเขา ปล่อยให้เสื้อที่ใส่เป็นที่ซับน้ำตา ลูบหัวลูบหลังปลอบอยู่พักใหญ่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจะมายืนกอดกันอยู่ตรงนี้ ขุนแผนดึงคนตัวเล็กออกจากอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ขนาดเขาฟังยังขนลุก ไม่คิดว่าเสียงตัวเองมันจะอ่อนโยนได้ขนาดนี้
“กลับไปคุยกันที่บ้านนะ”
ติณณกรไม่ตอบแต่ยอมเดินตามแรงฉุดที่ข้อมือไปโดยดี เขาไม่รู้ตัวว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงไหลออกมา รู้แต่ว่ารู้สึกดีเป็นบ้าที่เป็นพี่มันที่ตามมา อ้อมกอดของพี่มันอบอุ่นเสมอเลย
พอถึงคอนโดขุนแผนก็จัดแจงพาอีกคนเข้ามาในห้องของตัวเอง
ทันทีที่ปิดประตูลงเขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ แล้วออกแรงรั้งให้อีกฝ่ายซบลงบนบ่ากว้างของตัวเองอีกครั้ง
“อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอซิ หืม ว่าไงครับคนเก่ง”
“ไม่รู้ว่ะพี่ กู…”
เสียงแหบๆดังขึ้นแล้วเงียบไป ขุนแผนเลียริมฝีปากแห้งของตัวเองอย่างชั่งใจในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป
เขารู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงรู้มาตลอด… แต่ที่เขาไม่เคยแน่ใจคือความรู้สึกตรงคนตรงหน้านี้ต่างหาก
จนกระทั่งจูบเมื่อครู่…ไม่รู้ว่ามันจะมากพอให้คิดเข้าข้างตัวเองได้บ้างหรือเปล่า
ยืดอกยอมรับแบบแมนๆ ว่าเขากลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะเสียคนตรงหน้าไป
แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่าถ้าเขาไม่บอกตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้ว
“สิ่งที่กูทำเมื่อกี้กูไม่ได้แสดงนะ...มึงก็รู้ใช่ไหม”
“…” ติณณกรไม่ตอบเพียงแต่ซุกหน้าเข้ากับบ่ากว้างอยู่อย่างนั้น
“แล้วมึงรู้สึกยังไง บอกได้ไหม?”
“…”
คำตอบที่ได้มายังคงมีเพียงความเงียบ ขุนแผนเหยียดยิ้มขืนๆแล้วดันให้ร่างบางออกจากอก เชยคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าให้เงยขึ้นบังคับให้อีกฝ่ายสบตากับเขาตรงๆ
“กูจะถือว่าจูบนั้นเป็นคำตอบของมึงนะ”
“…”
“แต่ถ้ามึงยังไม่พร้อม…กูก็จะรอ”
“…”
“รอจนกว่ามึงจะบอกให้หยะ---”
ประโยคยาวๆของร่างสูงถูกหยุดด้วยริมฝีปากบางของคนฟังที่เลื่อนเข้ามาปัดผ่านเร็วๆที่ปากของเขา แล้วกลับไปซุกหน้าลงกับบ่ากว้างอีกครั้งแขนเล็กโอบเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ
เสียงอู้อี้เบาๆที่ข้างหูทำให้คนฟังคลี่ยิ้มกว้าง
“รอหน่อย ไม่นานหรอก”
“ถึงนานก็จะรอครับ”
สิ้นประโยคนั้นแขนแกร่งก็กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วกดจูบหนักๆที่กลุ่มเส้นผมนุ่ม
ร่างกายที่แนบชิดกันทำให้ทั้งคู่รับรู้ถึงเสียงหัวใจแทบจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
แค่นี้ก็พอแล้ว...แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้ว มากพอแล้วจริงๆ
*
YOUniverse (จักรวาลเธอ), นนน กรภัทร์
TBC.
-------------------------------
#จักรวาลขุนติณณ์
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
28/05/61 มาช้า แต่มานะ วันนี้ฝนตกเน็ทเน่าา งุ้ยๆ อ่านถึงตรงนี้แล้วใครยิ้มอยู่สารภาพมาาาาา เขินจนตัวจะแตกล้าวววววว เม้นให้เค้าหน่อยนะคะดี จุ้บบ >3
ความคิดเห็น