ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #14 : SHUTTER 14 : ไม่มีคำว่ารัก

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 61



         THE SHUTTER  14 ไม่มีคำว่ารัก 

     

     

              วันที่อ่อนไหว คนใกล้ใกล้ที่เราได้เจอ

    จะทำให้เผลอ เผลอใจให้เร็วใช่ไหม

    กี่ทฤษฏีที่ใครว่าไว้ ฉันไม่เคยจะไปสนใจ

    จนวันที่มาพบเธอ*

     

    เสียงเพลงดังแว่วมาจากทิศของห้องนอน ขุนแผนหันไปปิดประตูห้องเดินเอาหม้อข้าวต้มที่ทำมาจากห้องตัวเองไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ก่อนจะพาตัวเองเดินไปตามเสียงเพลงจนเจอร่างเล็กเจ้าของห้องนอนหลับตาพริ้มอยู่บนตียง ในมือมีม้วนกระดาษที่คาดว่าเป็นบทหนังสั้นที่เจ้าตัวเล่นคู่กับเขา ร่างสูงดึงกระดาษออกจากมือเล็กแล้วจัดท่านอนให้อีกฝ่ายให้นอนสบายๆ


    “ฮื่อ กลับมาแล้วหรอ” เสียงงัวเงียดังขึ้นเมื่อเขาดึงผ้าห่มคลุมขึ้นถึงอก ร่างเล็กปรือตามองทั้งๆที่ยังนอนอยู่อย่างนั้น


    “ยัง นี่ถอดจิตมา ยังปวดหัวอยู่ไหม” ขุนแผนว่าพลางยกมือขึ้นอังหน้าผากมนเพื่อวัดไข้ คุณหมอคนเก่งของเขาไม่สบายเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอบวกกับอากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน


    “ไม่ปวดแล้ว แต่เมื่อยตัวว่ะพี่”


    “ลุกไปกินข้าว พี่ทำข้าวต้มมาให้”


    “กินบนนี้ได้ไหม ไม่อยากลุกอ่ะ” คนป่วยช้อนสายตาขึ้นส่งสายตาอ้อนๆแล้วพูดเสียงแผ่ว แต่แล้วดวงหน้าหวานก็ง้ำลงเมื่อโดนคนตัวสูงกว่าดีดหน้าผากเบาๆ


    ขุนแผนไม่ได้ตามใจคนป่วย เขาออกแรงดึงร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งแล้วก็ต้องคว้าแขนเล็กไว้อีกครั้งเมื่อคนป่วยงอแงทำตัวเป็นตุ๊กตาล้มลุกทำท่าจะล้มตัวลงนอนอีกรอบ


    “ลุกไปเดินบ้าง อย่างอแงสิครับ” ร่างสูงพูดด้วยเสียงอ่อนลง ออกแรงดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวเอวบางเข้าหาตัวแล้วพาเดินออกไปด้วยกัน


    “ข้ามต้มหมูเห็ดหอมหรอ” ติณณกรหันมาถามทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นของที่อยู่ในหม้อ พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าคนป่วยก็ยิ้มแป้นทันที


    “หน้าบานเชียวนะ”


    “พี่ไม่ทำให้ผมกินนานแล้วอ่ะ”


    “งั้นก็กินเยอะๆ” ขุนแผนวางชามข้าวต้มลงตรงหน้าคนตัวเล็ก ส่วนเขาเดินไปหยิบถุงยาแล้วอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามทอดสายตามองคนที่ผมชี้ไม่เป็นทรง ใบหน้าที่เคยสดใสเจื่อนลงเพราะพิษไข้ มือเล็กตักข้าวต้มกินไปสักพักก็นิ่วหน้า จนคนมองเลิกคิ้วเชิงถามว่าเป็นอะไร


    “พื้นมันเย็นอ่ะ”


    ร่างสูงส่งยิ้มจางๆ ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เลื่อนเท้าตัวเองไปข้างหน้าจนอยู่ในระยะที่อีกฝ่ายสามารถวางเท้าตัวเองลงบนเท้าเขาได้สบายๆ แล้วนั่งเท้าคางมองคนป่วยตักข้าวเข้าปากเรื่อยๆ จนหมดแก้วน้ำกับยาก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าแทน


    “ไปอาบน้ำ เดี๋ยวออกไปเดินเล่นกัน”


    “งื้ออออ”


    “ไม่ต้องมางื้อ นอนมาทั้งวันแล้ว เร็วๆ” ขุนแผนยื่นมือไปบีบจมูกกรั้นของคนที่เบะปากทำท่าจะอ้อนเขาอยู่นั่น ร่างสูงชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ใช้ท่าไม้ตายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังอิดออด 


    “หรืออยากให้พี่อาบให้ครับ”


    “โว๊ะ” ติณณกรดันแก้มสากของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วลุกเดินหายไปในห้องโดยมีเสียงของคนเป็นพี่ตะโกนตามหลังไป


    “ไม่ต้องสระผมนะ”


    “รู้แล้วววว”

     

     

    ชายหนุ่มสองคนในชุดเสื้อยืดคอกลมสีพื้นกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่าเดินทอดน่องอยู่ข้างกันบนถนนเส้นเล็กในสวนสาธารณะใกล้คอนโดที่ขุนแผนมักจะหาเวลาลากคุณหมอมาวิ่งออกกำลังกายด้วยกันบ่อยๆ ในมือของติณณกรมีบทหนังสั้นติดมาด้วย


    “พี่ว่ามันจริงไปป่ะวะ” ติณณกรพูดขึ้นเมื่ออ่านบทมาได้ครึ่งเล่ม


    “ไม่ดีหรอ เหมือนเล่นเป็นตัวเอง จะได้เล่นง่ายๆ” ขุนแผนมองร่างบางพลิกกระดาษในมือไปมา แล้วนึกไปถึงบทที่เขาอ่านจบไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน


    ในเรื่องเขาเป็นตากล้องที่ต้องไปถ่ายภาพให้ติณณกร แล้วดันเผลอใจตกหลุมรักอีกฝ่ายหลังจากได้สบตากันผ่านเลนส์กล้อง เขาเลยหาเรื่องเข้าใกล้จนได้ย้ายมาอยู่คอนโดเดียวกัน และเมื่อยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งรู้จักนิสัยใจคอเขาก็ยิ่งรักอีกฝ่ายมาขึ้นเรื่อยๆ


    อืม มันดูจริงจนน่ากลัวเลยแฮะ


    “เชื่อในพลังแห่งการมโนเลยจริงๆ คืนนี้ต่อบทกันไหม อาทิตย์หน้าต้องเริ่มถ่ายแล้วอ่ะ” ติณณกรหันไปถามคนที่เดินอยู่ข้างกัน


    “ไว้วันพรุ่งนี้เถอะ มึงยังไม่หายดีเดี๋ยวไข้กลับ”


    ติณณกรพยักหน้ารับคำม้วนบทให้เป็นทรงกระบอกแล้วถือไว้ การได้ออกมาเดินสูดอากาศยามเย็นที่เหลือแสงแดดอ่อนๆทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แก้มใสเริ่มมีสีเลือดฝาดดูดีกว่าเมื่อวานมากนัก


    “กลับยัง”


    “ไปดิ แต่ว่าแวะอั่งเปาด้วยนะ อยากกินช็อคหน้านิ่ม” คนตัวเล็กว่าแล้วฉีกยิ้มอ้อนๆ ซึ่งคราวนี้ร่างสูงยอมตามใจแต่โดยดี ก็ลองมาเป็นเขาสิ ร้อยทั้งร้อยก็ต้องยอมทั้งนั้น เรื่องอ้อนขอให้บอกคนนี้เนี่ยที่หนึ่ง ตาหวานๆ กับมือเล็กๆทำงานประสานกันเป็นอย่างดี ยิ่งถ้าโดนขัดใจนะปากแดงๆ จะขมุบขมิบไม่หยุดน่าจับจูบให้ปากหลุดฉิบหาย


    เฮ้ออ แพ้ทางครับ แพ้ทางลูกอ้อนเด็กดื้อ

     

     


    ห้องกว้างดูเล็กไปถนัดตาเมื่อมีเหล่าทีมงานเดินกันอยู่ให้กวั่ก ขุนแผนนั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวข้างกายมีคนตัวเล็กที่ยังนั่งอ่านบทอยู่ จนเขาต้องเอ่ยทักแล้วดึงกระดาษที่ถูกม้วนไปมาจนยับไปหมดออกมา


    “จะอ่านอะไรขนาดนั้น”


    “ก็ยังจำไม่ค่อยได้เลยอ่ะ”


    “แรมต่ำจังวะ จำไม่ได้ก็เล่นสดไปดิ ยังไงมันก็เป็นเรื่องของเราสองคนอยู่แล้ว เล่นเป็นตัวมึงนั่นแหละ” ว่าแล้วร่างสูงก็เอื้อมมือไปนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเบาๆ


    “ขมวดคิ้วบ่อยๆเดี๋ยวหน้าย่นนะคุณหมอ”


    “ง่วงว่ะพี่ ขอนอนตักหน่อยนะ” ติณณกรพูดแล้วล้มต้วลงนอนโดยใช้หน้าขาของคนตัวสูงเป็นหมอนหนุน เขาปิดเปลือกตาลงตั้งใจจะนอนเอาแรงก่อนเริ่มถ่ายสักหน่อย


     แสงไฟจากหลอดนีออนบนเพดานแยงตาจนร่างเล็กต้องพลิกตัวซุกหน้าเข้ากับหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอของเจ้าของหน้าขาที่ใช้รองหัวอยู่ โชคดีที่ฉากที่จะถ่ายวันนี้เป็นฉากที่เขาพึ่งตื่นนอนเลยไม่ต้องกลัวว่าผมจะยุ่ง


    “อ่าว ติณณ์หลับหรอ” ณกานเดินเข้ามาใกล้แล้วถามเสียงเบาเมื่อเห็นร่างเล็กนอนอยู่


    “ครับ เมื่อคืนมันสระผมแล้วไม่ยอมเช็ดผมให้แห้ง ผมกลับมาอีกทีก็เห็นนอนตัวรุ่มๆอยู่ ให้กินยาดักไว้แล้วไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า” ขุนแผนตอบพลางลูบหัวคนที่นอนอยู่เบาๆด้วยความเคยชิน โดยลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเหมือนอย่างเคย หลายคนมองภาพนั้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และอีกหลายคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเก็บภาพนั้นไว้


    ณกานนั่งคุยกับขุนแผนไปสักพักร่างบางที่นอนหลับอยู่ก็เริ่มรู้สึกตัว ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งแล้วเตรียมจะยกมือขยี้ตาแต่มือหนาของคนเป็นพี่รั้งไว้ทัน


    “อย่าขยี้ เดี๋ยวตาแดง”


    “ฮื่อ” คนพึ่งตื่นครางรับในลำคอแล้วเอนตัวพิงพนักโซฟาสักพักทีมงานก็มาเรียกให้ไปเข้าฉาก สถานที่วันนี้เป็นห้องเป็นถูกจัดเป็นคอนโดที่เขาทั้งสองอยู่ด้วยกันเป็นช่วงกลางเรื่องไปแล้ว


    ติณณกรเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน ขุนแผนเดินไปแล้วนอนลงข้างกัน จากที่ชิวๆเขาเริ่มเกร็งขึ้นนิดหน่อยเมื่อมองไปทางไหนก็เจอกล้องตั้งอยู่รอบเตียง


    ทั้งสองหลับตาลงหลังจากได้ยินเสียงตีสเลทดังขึ้นผ่านไปสักพักร่างสูงก็ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวหันไปมองคนที่นอนอยู่ข้างกัน นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปรกอยู่บนหน้าผากมนให้พ้นทางแล้วก้มลงไปประทับริมฝีปากค้างไว้อย่างนั้น


    เมื่อใบหน้าคมคายถอยออกมาก็สบกับนัยน์ตาใสของคนโดนลักหลับที่มองอยู่ก่อนแล้ว มือเล็กยกขึ้นลูบแก้มสากเบาๆ แล้วออกแรงดึงแรงๆจนคนโดยหยิกเผลอร้องออกมา โชคดีที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไม่เก็บเสียงแต่จะนำภาพไปใส่เพลง


    คนเล่นนอกบทยิ้มย่องเมื่อเห็นหน้าดุๆของอีกฝ่าย แล้วการฟัดกันบนเตียงก็เริ่มขึ้น เอวบางของคนตัวเล็กกว่าโดนรวบแล้วดึงลงนั่งบนตักของคนตัวสูง


    “ไอ้เหี้ยพี่ขุน อันนี้ไม่มีในบท ปล่อยเลย” ติณณกรโวยวายเมื่อเริ่มสู้ไม่ได้


    “ก็กูจำแพทเทิลไม่ได้เลยว่าจะด้นสดมันเลย หึหึ” ร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะแล้วเริ่มจี้เอวอีกฝ่ายอีกครั้ง ติณณกรดิ้นไปมาแล้วพลิกตัวเข้าไปหาจนร่างสูงเสียหลักล้มตัวลงนอนราบกับพื้นเตียงโดยมีร่างของคนตัวเล็กทาบอยู่ด้านบน จมูกของเขาห่างกันแค่ลมหายใจกั้น


    ตึกตึก ตึกตึก


    ติณณกรได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอก เขาเผลอกลั้นใจเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะได้ยินเหมือนกันพอคิดมาถึงตรงนี้หน้าเขาก็ขึ้นสีอย่างไม่อาจควบคุม


    “แหม พาเข้าตามบทจนได้นะ” ขุนแผนพูดทั้งๆที่ปากไม่ขยับ ส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้อีกฝ่ายตามที่บทเขียนบอกไว้


    “มองตาพี่หวานๆสิ เดี๋ยวก็ได้ถ่ายอีกรอบหรอก”


    ติณณกรส่งเสียงครางอยู่ในลำคอแล้วมองตาอีกฝ่ายที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ทุกวินาทีที่ทั้งสองสบตากันติณณกรรู้สึกได้ว่าแววตาของคนใต้ร่างมันสื่อความหมายอะไรบางอย่างมาให้


    อะไรบางอย่างที่เขาคิดว่ารู้ดีแก่ใจมาตลอด…แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เคยพูดออกมาตรงๆ


    “คัทท!” เสียงผู้กับกำดังขึ้นหลังจากที่ทั้งสองนอนค้างอยู่ท่านั้นหลายนาที


    ติณณกรกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอแล้วลุกออกมา เดินไปเช็คภาพหลังกล้องพร้อมกับทีมงาน ภาพที่ออกมามันดูเป็นธรรมชาติจนผู้กำกับเอ่ยปากชมแล้วบอกให้เขาไปเปลี่ยนชุดมาถ่ายฉากที่ต้องบนเตียงอีกสองสามฉาก คือฉากที่เขาไม่สบาย และฉากที่นอนกอดกัน ซึ่งทั้งสองฉากถ่ายไปสองเทคเพราะพี่ขุนมันยัดผ้าเช็ดตัวเข้าปากเขาเพราะเขาไปกวนตีนมันในเทคแรก ส่วนเทคสองผ่านฉลุยพี่มันเล่นดีจนเขาแอบเขินจริงไปหลายหน


    จบวันนี้ด้วยฉากไปวิ่งที่สวนสาธารณะตอนเย็นกว่าจะถ่ายเสร็จแสงก็หมดพอดี ทุกคนแยกย้ายกันไปเช่นเดียวกับนักแสดงนำสองคนที่พาตัวเองกลับมานอนแผ่หลาอยู่บนเตียงกว้างในห้องนอนของคุณหมอ


    “อยากกินไร เดี๋ยวกูออกไปทำให้”


    “สั่งพิซซ่าเหอะ พี่เหนื่อยมาทั้งวันละ”


    “เป็นห่วงกูหรืออยากกินเอง”


    “อยากกินเองเด่ะ” ติณณกรยิ้มทะเล้นแล้วหยิบโทรศัพท์มาโทรออก จัดการสั่งอาหารโดยไม่หันมาถามความเห็นจากคนที่นอนอยู่ข้างกัน


    “กูกลับห้องไปทำงานนะของมาแล้วไปเรียกด้วย”


    “อืม” ติณณกรรับคำแล้วหลับตาลง หูได้ยินเสียงประตูหน้าห้องปิดลง เขาถอนหายใจทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ รู้สึกสับสนอยู๋ในใจลึกๆกับความรู้สึกของตัวเอง

     

    ถามว่ารู้สึกดีกับพี่มันไหม เขาตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าดีมาก

    แต่ถ้าถามว่ารักไหมเขากลับตอบตัวเองได้ไม่เต็มปาก

    ไม่รู้ว่ารู้สึกดีมากขนาดที่เรียกว่ารักได้ไหม

     

     

    วันนี้เป็นวันสุดท้ายในการถ่ายทำกับการถ่ายฉากจบของหนังเรื่องนี้ ร้านขายอุปกรณ์จัดสวนถูกจัดเป็นฉากสวนเล็กๆหลังบ้านที่ต่างจังหวัดของติณณกรตามบทหนัง แสงแดดร่ำไรยามเช้ากระทบส่องผ่านใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ลงมาหยอกล้อกับหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบไม้ เสียงตีสเลทดังไปหลายนาทีแล้ว


    ติณณกรกำลังเดินอยู่ข้างร่างสูงบนทางเดินแคบๆด้วยกัน ขาที่กำลังก้าวอยู่หยุดลงเมื่อข้อมือถูกรั้งโดยคนที่อยู่ข้างกัน เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแล้วช้อนสายตาขึ้นมอง


    “ติณณ์”


    “หื้ม”


    “กูไม่อยากเป็นพี่มึงแล้วว่ะ”


    ตึกตึก ตึกตึก


    เสียงหัวใจดังรัวอยู่ในอกทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดไปตามบทเท่านั้น เขาเผลอกัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด อยากรู้จังว่าใจพี่มันจะเต้นแรงเหมือนกันไหมนะ


    “คบกับกูนะ”


    ตึกตึก ตึกตึก


    ติณณกรอึกอัก บทที่ท่องมาเหมือนอันตธานหายไปจากหัวสมองชั่วคราว นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาประชิดตัวใช้มือข้างหนึ่งรั้งท้ายทอยเขาขึ้นให้เงยรับริมฝีปากบางที่ทาบลงมา


    ขุนแผนแนบริมฝีปากไว้นิ่งๆ ก่อนจะเริ่มดึงดูดเบาๆ เขายกมืออีกข้างประคองแก้มใสแล้วใช้นิ้วโป้งไล้เบาๆ เมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายตัวแข็งเป็นหิน รสจูบอ่อนหวานเนิบนาบยังคงดำเนินต่อไปจนคนตัวเล็กเริ่มเคลิ้มตามแล้วขยับปากจูบตอบกลับ


    เนิ่นนานจนคนตัวสูงเป็นคนกดริมฝีปากหนักๆแล้วถอนริมฝีปากออกไป


    “กูจะถือว่าจูบเมื่อกี้เป็นคำตอบของมึงนะ” ขุนแผนพูดขึ้นทั้งๆที่ปลายจมูกยังชิดกัน แววตาที่เจือไปด้วยความลังเลของคนตรงหน้าทำเอาใจเขากระตุกวูบ


    ไม่เป็นไร...ถ้าลังเลแสดงว่าขาข้างหนึ่งของเขาคงก้าวเข้าไปในใจมันแล้ว ที่นี้ก็มาลุ้นกันว่ามันจะถีบเขาออกมา หรือยอมให้ขาอีกข้างก้าวตามเข้าไป


    “คัท!!


    เสียงผู้กำกับดังขึ้นพร้อมกับสติของติณณกรที่กลับมา เขาผละออกมาจากร่างสูงเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนจะขอคำตอบที่อีกฝ่ายเล่นนอกบทเมื่อครู่ ฝ่ามือของอีกฝ่ายวางบนหัวเขาแล้วออกแรงโยกเบาๆ


    “เคลิ้มเลยนะะ”


    “เล่นไรของพี่วะ ผมไม่ขำนะ” ติณณกรพูดโกรธๆ แล้วปัดมือของคนเป็นพี่ออก


    “เล่นอะไร กูก็เล่นตามบทอ่ะ” ขุนแผนขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าร่างเล็กทำท่าจะโกรธเขาจริงๆ จนณกานเดินเข้ามาใกล้แล้วรีบอธิบายเมื่อเห็นท่าไม่ดี


    “ติณณ์ใจเย็นก่อนนะ คือบทที่ติณณได้ไปมันไม่ครบอ่ะ พี่ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้เช็คให้”


    ติณณกรหน้าชากับประโยคที่ได้ยิน ไม่รู้ว่าโกรธที่โดนจูบ หรือว่าโกรธที่รู้ว่าอีกฝ่ายแค่เล่นไปตามบทแล้วเขาดันคิดไปไกล ร่างเล็กปรับสีหน้าให้เรียบนิ่งแล้วตอบกลับไปนิ่งๆ


    “ครับ งั้นก็ไม่เป็นไร”


    เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินหายไปเมื่อได้ยินผู้กำกับว่าเลิกกองสำหรับวันนี้ โดยมีร่างสูงของขุนแผนที่เดินตามไป


    “ติณณ์” ขุนแผนส่งเสียงเรียกคนที่เดินนำอยู่ไม่ไกล เขาเร่งฝีเท้าขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเหยาะๆ จนดึงแขนเล็กของอีกฝ่ายไว้ได้สำเร็จ


    “เป็นเหี้ะ--- มึงร้องไห้ทำไม” 


    คำที่ตั้งใจจะพูดถูกกลืนลงคอไปเมื่อเห็นน้ำใสๆเปื้อนแก้มของอีกฝ่ายอยู่ เขาออกแรงดึงแขนคนตรงหน้าเข้ามาใกล้แล้วเกลี่ยน้ำตาออกให้ กดหัวอีกฝ่ายให้ซุกลงกับอกเขา ปล่อยให้เสื้อที่ใส่เป็นที่ซับน้ำตา ลูบหัวลูบหลังปลอบอยู่พักใหญ่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรจะมายืนกอดกันอยู่ตรงนี้ ขุนแผนดึงคนตัวเล็กออกจากอกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ขนาดเขาฟังยังขนลุก ไม่คิดว่าเสียงตัวเองมันจะอ่อนโยนได้ขนาดนี้


    “กลับไปคุยกันที่บ้านนะ”


    ติณณกรไม่ตอบแต่ยอมเดินตามแรงฉุดที่ข้อมือไปโดยดี เขาไม่รู้ตัวว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงไหลออกมา รู้แต่ว่ารู้สึกดีเป็นบ้าที่เป็นพี่มันที่ตามมา อ้อมกอดของพี่มันอบอุ่นเสมอเลย


    พอถึงคอนโดขุนแผนก็จัดแจงพาอีกคนเข้ามาในห้องของตัวเอง ทันทีที่ปิดประตูลงเขาก็เอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ แล้วออกแรงรั้งให้อีกฝ่ายซบลงบนบ่ากว้างของตัวเองอีกครั้ง


    “อาการมันเป็นยังไงไหนบอกหมอซิ หืม ว่าไงครับคนเก่ง”


    “ไม่รู้ว่ะพี่ กู” เสียงแหบๆดังขึ้นแล้วเงียบไป ขุนแผนเลียริมฝีปากแห้งของตัวเองอย่างชั่งใจในสิ่งที่เขากำลังจะพูดออกไป


    เขารู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงรู้มาตลอด แต่ที่เขาไม่เคยแน่ใจคือความรู้สึกตรงคนตรงหน้านี้ต่างหาก


    จนกระทั่งจูบเมื่อครู่ไม่รู้ว่ามันจะมากพอให้คิดเข้าข้างตัวเองได้บ้างหรือเปล่า


    ยืดอกยอมรับแบบแมนๆ ว่าเขากลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะเสียคนตรงหน้าไป แต่วันนี้เขากลับรู้สึกว่าถ้าเขาไม่บอกตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้ว


    “สิ่งที่กูทำเมื่อกี้กูไม่ได้แสดงนะ...มึงก็รู้ใช่ไหม”


    ” ติณณกรไม่ตอบเพียงแต่ซุกหน้าเข้ากับบ่ากว้างอยู่อย่างนั้น


    “แล้วมึงรู้สึกยังไง บอกได้ไหม?”



    คำตอบที่ได้มายังคงมีเพียงความเงียบ ขุนแผนเหยียดยิ้มขืนๆแล้วดันให้ร่างบางออกจากอก เชยคางคนที่เอาแต่ก้มหน้าให้เงยขึ้นบังคับให้อีกฝ่ายสบตากับเขาตรงๆ


    “กูจะถือว่าจูบนั้นเป็นคำตอบของมึงนะ”



    “แต่ถ้ามึงยังไม่พร้อมกูก็จะรอ”



    “รอจนกว่ามึงจะบอกให้หยะ---” 


    ประโยคยาวๆของร่างสูงถูกหยุดด้วยริมฝีปากบางของคนฟังที่เลื่อนเข้ามาปัดผ่านเร็วๆที่ปากของเขา แล้วกลับไปซุกหน้าลงกับบ่ากว้างอีกครั้งแขนเล็กโอบเอวอีกฝ่ายไว้หลวมๆ เสียงอู้อี้เบาๆที่ข้างหูทำให้คนฟังคลี่ยิ้มกว้าง


    “รอหน่อย ไม่นานหรอก”


    “ถึงนานก็จะรอครับ”


    สิ้นประโยคนั้นแขนแกร่งก็กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นแล้วกดจูบหนักๆที่กลุ่มเส้นผมนุ่ม ร่างกายที่แนบชิดกันทำให้ทั้งคู่รับรู้ถึงเสียงหัวใจแทบจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน


    แค่นี้ก็พอแล้ว...แค่นี้มันก็ดีมากพอแล้ว มากพอแล้วจริงๆ

     



     

    * YOUniverse (จักรวาลเธอ), นนน กรภัทร์




    TBC.

    -------------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ


    28/05/61 มาช้า แต่มานะ วันนี้ฝนตกเน็ทเน่าา งุ้ยๆ อ่านถึงตรงนี้แล้วใครยิ้มอยู่สารภาพมาาาาา เขินจนตัวจะแตกล้าวววววว เม้นให้เค้าหน่อยนะคะดี จุ้บบ >3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×