คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : SHUTTER 13 : จักรวาลเธอ
THE
SHUTTER ♡ 13 จักรวาลเธอ
ภายในร้านกาแฟตอนบ่ายโมงมีลูกค้าประปรายอยู่สองสามโต๊ะ
หนึ่งในลูกค้าของวันนี้ทำให้พนักงานสาวยิ้มแก้มแทบปริ เมื่อศิลปินที่ตัวเองชอบนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมติดกระจกที่สามารถมองเห็นสวนด้านนอกของร้านได้
กรุ้งกริ้ง
เสียงกระดิ่งหน้าร้านบ่งบอกว่ามีลูกค้าเข้ามาอีกราย
หญิงสาวหันไปมองถามเสียงแล้วนัยน์ตากลมก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอีกเมื่อเห็นมาอีกฝ่ายเป็นใคร
ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆไปยังโต๊ะที่เห็นว่าคนที่เขานัดเจอวันนี้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
เขาหันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานที่เดินเข้ามาใกล้แล้วหย่อนตัวลงนั่งโบนซฟาฝั่งตรงข้ามอีกฝ่าย
“มานานยัง”
คนมาใหม่เอ่ยถามเมื่อเห็นจานใบเล็กว่างเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้า
“สักพักแล้ว รถติดหรอ”
“เปล่า แวะไปส่งไอ้ขวัญที่ม.มา ไหนนัดใครมา?”
“เห็นพี่แนนไลน์มาบอกว่าใกล้ถึงแล้ว พี่กินไรมายัง”
“ยัง มึงอ่ะ?”
“ยัง งั้นเสร็จจากนี่แล้วไปกินซูชิกัน” ติณณกรเอ่ยชวน ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับอย่างไม่เกี่ยงงอน คนตัวเล็กฉีกยิ้มกว้างแล้วยกมือเรียกพนักงานมาแล้วสั่งเค้กอีกชิ้นสำหรับตัวเองและแซนวิสทูน่าสำหรับคนตรงหน้า
“อันนี้รองท้องก่อน”
หลังจากอาหารเซ็ตใหม่ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะไม่นานสมาชิกใหม่สองคนก็ก้าวเข้ามาในร้านและตรงมาที่โต๊ะที่สองหนุ่มนั่งอยู่ก่อนแล้ว
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนริมฝีปากบางของร่างสูงหุบลงแทบจะทันทีที่เห็นหนึ่งในสองคนที่ยืนอยู่
เขาขยับตัวลุกขึ้นแล้วพาตัวเองไปนั่งเบียดกับติณณกรอยู่บนโซฟาอีกฝั่ง
“รอนานไหม รถโคตรติดอ่ะ” ณกานบ่นแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งแทนที่ร่างสูงที่พึ่งลุกออกไปเช่นเดียวกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน
หล่อนส่งยิ้มน้อยๆให้ติณณกรที่ยกมือไหว้แล้วเบนสายตากลับมามองใบหน้าคมของชายหนุ่มอีกคนที่เธอรู้จักดี
“เออแผน นี่พลอย คนเขียนหนังที่เราจะเล่น
พลอยนี่ขุนแผนจ่ะ”
“ค่ะ จริงๆ พลอยรู้จักกับแผนอยู่ก่อนแล้วล่ะค่ะ”
“อ่าวหรอ งั้นก็ดีเลย”
ณกานยิ้มรับกับคำพูดของอีกฝ่าย
แม้ว่าจะรู้สึกแปลกๆในตอนที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรกแต่บรรยากาศนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน
สองสาวหันไปสั่งเครื่องดื่มก่อนจะเป็นณกานที่เริ่มเปิดประเด็น
“จริงๆที่เรียกแผนกับติณณ์มาวันนี้เพราะพลอยเขามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ
เรื่องบท”
“คือสองคนนี้เป็นคู่จิ้นอยู่ใช่ไหม
เราเลยคิดว่ามันน่าจะดีถ้าเกิดว่าเราเอาเรื่องจริง หรือว่าโมเมนต์เล็กๆมาใส่ในหนังด้วย
มันจะได้ดูเรียลๆ”
“อ่อ ถ้างั้นบทหนังพี่คงเป็นหนังตลกไม่ใช่หนังรักแล้วล่ะครับ” ติณณกรพูดขำๆ ต่างจากอีกคนที่ยังนั่งมองหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
นิ่งจน…น่ากลัว
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก
แค่แบบว่าเจอกันครั้งแรกยังไง สนิทกันยังไง ประมาณเนี้ย ส่วนเรื่องมโนพี่ถนัดเลย
รับรองหนังตลกของน้องติณณ์หวานจนมดขึ้นเลยแหละ”
“พี่แนนว่าไงอ่ะ” ติณณกรหันไปถามความเห็น
“พี่ว่าก็ดีนะ
จะได้เรียลๆแต่ที่มาวันนี้ก็จะมาขอเราสองคนแหละว่าว่ายังไง”
“อืมม จริงๆมันก็ไม่มีไรมากหรอกครับ ผมโอเคนะ
พี่ว่าไงอ่ะ” ติณณกรหันไปถามคนที่นั่งนิ่งมาตลอด
ร่างสูงละริมฝีปากออกจากแก้วกาแฟแล้วพูดแค่เพียงสั้นๆ
“แล้วแต่มึงแหละ”
“งั้น พี่พลอยอยากรู้อะไรล่ะครับ”
ติณณกรหันไปถามคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เจ้าหล่อนยิ้มหวานแล้วหยิบกระดาษกับดินสอขึ้นมาก่อนจะเริ่มเอ่ยถามคำถามทั่วๆไปเช่นว่าพบกันที่ไหน
สนิทกันได้ยังไง รวมไปถึงเรื่องราวเรื่อยเปื่อยโดยมีติณณกรเป็นคนตอบคำถามเสียส่วนใหญ่
ในช่วงท้ายของการประชุมเล็กๆ พลอยไพลินเสนอให้มีการทำวีดิโอเพื่อโปรโมทด้วยการให้สองคู่ตอบคำถามสั้นๆถึงกันและกัน
ซึ่งณกานกับติณณกรก็เห็นด้วยเลยตกลงกันว่าให้หล่อนลองเอาไปเสนอกับผู้ใหญ่ในการประชุมครั้งต่อไป
“แผนเสร็จจากนี่แล้วไปไหนต่อหรือเปล่า เราอยากคุยด้วยหน่อย”
พลอยไพลินเอ่ยรั้งร่างสูงที่กำลังจะเดินออกไปพร้อมคนอื่น
“ผมไม่ว่าง ติณณ์ไปเหอะ” ร่างสูงตอบเรียบๆ
แล้วหันไปบอกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้เดินมาด้วยกัน โดยไม่สนใจหญิงสาวอีก
“แฟนเก่าหรอพี่ หน้าบูดเชียว” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยถามเมื่ออยู่กันสองคนแล้ว
“แฟนเก่าน้องสาว”
“อ่ออ ห้ะ!!” เขาพยักหน้ารับในตอนแรกแล้วหันกลับมาอีกทีอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ร่างสูงพยักหน้าเนิบๆเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองพูดแล้วขยายความให้คนที่เบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะถลนออกมา
“เพื่อนสนิทกูสมัยเรียนมหาลัย แล้วก็มาคบกับขวัญ
จบก็ไม่ค่อยสวยเลยไม่อยากจะเจอเท่าไหร่”
ติณณกรพยักหน้ารับแล้วชวนคุยเรื่องอื่นแทนจนทั้งสองมาถึงร้านอาหารที่ตั้งใจจะมาตั้งแต่ตอนแรก สองหนุ่มใช้เวลากับมื้ออาหารนานพอสมควรเพราะไม่ได้มีธุระต่อที่ไหนอีก
“ดูหนังไหม”
ขุนแผนเอ่ยถามขึ้นเมื่อนึกได้ว่ามีภาคใหม่ของภาพยนต์ที่ทั้งคู่พึ่งดูผ่านการฉายย้อนหลังทางทีวีพึ่งเข้าฉายวันนี้
“ไปดิ เดี๋ยวดูรอบก่อน”
ติณณกรว่าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูรอบหนัง
แล้วกดจองทันทีหลังจากหันมาถามความเห็นของคนชวน
นิ้วเรียวที่กำลังกดล็อคโทรศัพท์ชะงักเมื่อนึกย้อนไปถึงบทสนทนากับหญิงสาวที่พึ่งแยกจากกัน
“แล้วกิจกรรมที่ทำด้วยกันล่ะ”
“อืม ก็ไม่มีอะไรพิเศษนะครับ กินข้าว ดูหนังปกติ
บางทีก็ดูบอลด้วยกันตอนกลางคืนบ้าง ถ้าวันไหนขี้เกียจก็นอนเล่นอยู่ห้อง หรือไปถ่ายรูปเล่นกันครับ”
“แหม เหมือนเป็นแฟนกันจริงๆเลยนะคะ”
คิดมาถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนๆ
เลยหันไปหยิบน้ำมาดื่มแก้เก้อ ทั้งๆที่ในสมองค้านว่าเพื่อนกัน พี่น้องกัน
ดูหนังกินข้าวมันก็เรื่องปกติหรือเปล่าวะ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจเจ้ากรรมดันเร่งจังหวะการเต้นขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
ขุนแผนยืนอยู่ในสตูดิโอที่ถูกจัดง่ายๆ มีเพียงโซฟาเรียบหรูสีขาวสำหรับหนึ่งคนนั่งที่วางอยู่หน้าฉากหลังสีชมพูอ่อน
มีชื่อโปรเจคถูกแปะไว้บนสุดส่วนถัดลงมาเป็นชื่อภาพยนต์เรื่องนี้ “จักรวาลเธอ”
“ใครว่างบ้างไป เลื่อนไฟตรงนั้นให้พี่หน่อยสิ”
เสียงสั่งงานของคนที่มองภาพผ่านมอนิเตอร์เรียกให้ขุนแผนหลุดจากภวังค์
ขายาวๆก้าวไปตามความเคยชิน จัดการจัดไฟให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมท่ามกลางสายตาหลายคู่ของทีมงาน
“อ่า โทษทีครับ ผมชิน”
“เห้ย น้องแผน ไม่ต้องขอโทษพี่สิต้องขอโทษเรา
วันนี้เรามาในฐานะคนหน้ากล้องนะ งานพวกนี้เดี๋ยวพวกพี่ทำเอง
ไปนั่งรอในห้องแต่งตัวเถอะ”
ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกแล้วดันหลังให้เขาเดินไปในทิศทางของห้องแต่งตัว
เขาเปิดประตูห้องแต่งตัวเข้าไปแล้วก็เจอกับร่างเล็กที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโซฟาตัวใหญ่
นิ้วเรียวกดยิกๆอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์เดาได้ว่าไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังหัวร้อนอยู่กับเกมส์แน่ๆ
ร่างสูงสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วยื่นมือไปคลึงระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายเบาๆ
พอเห็นเขามาร่างเล็กก็ขยับให้มีที่ว่างพอให้เขาได้หย่อนตัวลงไปนั่งข้างกัน ขุนแผนเลยเนียนยื่นหน้าเข้าไปมองอีกฝ่ายเล่นเกมส์เงียบๆ
กลิ่นอาฟเตอร์เซฟอ่อนๆที่อยู่ใกล้ตัวทำให้ติณณกรแทบจะไม่มีสมาธิกับเกมส์
โดนยิงเฉียดตายหลายครั้งจนในที่สุดตัวของเขาก็ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้น
“สองหนุ่มเสร็จกันหรือยัง ป่ะฉากพร้อมแล้ว”
ณกานโผล่หน้ามาจากหลังประตูแล้วเอ่ยปากเรียกในตอนที่ตัวละครในเกมส์ของติณณกรโดนระเบิดตายพอดี
“กาก”
“ชิส์ ไปเลย ไปทำงาน”
ร่างเล็กย่นจมูกใส่แล้วเดินหนีไปทางประตูทางออก โดยมีคนตัวสูงเดินตามหลังไปห่างๆ
แล้วไปหยุดอยู่หลังมอนิเตอร์ปล่อยให้ร่างเล็กเดินไปนั่งยิ้มอยู่หน้ากล้อง เขารับหูฟังจากณกานมางงๆ
เธอเลยบอกว่าให้สวมไว้จะได้ไม่ได้ยินคำถามที่จะถามซึ่งเขาก็ยอมทำตามแต่โดยดี
“พร้อมนะครับ”
ร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงัก
ก่อนที่เสียงผู้กำกับจะดังขึ้นพร้อมสเลทที่ถูกตีหน้ากล้อง
คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยังคงฉีกยิ้มอยู่เมื่อทีมงานชวนคุยเล็กน้อย
“คำถามแรกเลยนะคะ”
-เจอกันครั้งแรกที่ไหน-
“อืม…”
ติณณกรขมวดคิ้วพลางนึกหาคำตอบ
เพราะว่าการถ่ายวีดิโอครั้งนั้นทีมงานไม่ได้บรีฟคำถามมาก่อนเพราะต้องการความสดใหม่ของคำตอบ
ร่างเล็กครุ่นคิดอยู่ไม่นานก็หันกลับมามองกล้องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นตามสไตล์
“ผมจำไม่ค่อยได้
แต่น่าจะเป็นตอนที่พี่เขามาเป็นตากล้องให้ตอนที่ถ่ายปกอัลบั้มล่าสุดน่ะครับ
แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่เจอกันดีกว่าครับ”
-สนิทกันได้ยังไง-
“อืมมม อันนี้ไม่รู้จริงๆครับ ไปๆมาๆชีวิตผมก็มีพี่มันมาเกาะติดเหมือนเห็บหมาแล้ว”
ท่าทางหัวเราะจนตาหยีของติณณกรทำให้เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะต้องพูดอะไรเกี่ยวกับเขาที่ไม่ค่อยดีแน่ๆ
เลยส่งสายตาดุๆไปให้ตามความเคยชิน
“ใส่หูฟังอยู่แล้วยังมาทำตาดุอีก ขี้โกงป่ะเนี่ย” ติณณกรแกล้งถามอีกฝ่ายด้วยเสียงปกติแถมยังหันไปมองกล้องทำให้ร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่นึกติดใจอะไร
-ประทับใจอะไรในตัวอีกฝ่าย-
“ความปากหมามั้งครับ”
-อวัยวะของอีกฝ่ายที่ชอบมากที่สุด-
“อืมมม…แขนครับ”
-ทำไม?-
“ก็…”
ผมชอบตอนที่โดนแขนนั้นกอด ชอบตอนที่ได้หนุนแขนนั้นแทนหมอน ชอบตอนที่แกล้งกัดแขนพี่มันจนจมเขี้ยว ชอบฉิบหายเลย
ติณณกรชะงักกับคำตอบที่ดังขึ้นในใจ
ดีเท่าไหร่ที่เขายั้งปากทัน ไม่อย่างนั้นเหล่าบรรดาสาววายคงได้เอาไปมโนต่อจนไกล
ร่างเล็กเลยเลือกที่จะส่งยิ้มหวานให้กล้องแล้วพูดด้วยเสียงกระซิบ “ความลับครับ”
คำถามสุดท้าย
-อยากบอกอะไรกับอีกฝ่ายมากที่สุด-
ร่างเล็กเลิกคิ้วกับคำถามปลายเปิด
เขาเอียงคอมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาพอดีแล้วก็ต้องหลุดยิ้มกับสายตาดุๆที่ถูกส่งมา
“อยากบอกว่า…เลิกทำตาดุใส่ผมได้แล้วครับ
มันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด” เขาพูดแล้วขยิบตาให้อีกฝ่ายแล้วหันมายิ้มให้กล้องเขินๆในตอนหลัง
ก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อผู้กับกำให้สัญญาณ
ร่างสูงเดินตรงมาเพื่อเข้าฉาก
ตอนที่เดินผ่านกันเขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปยีหัวอีกฝ่ายจนผมยุ่ง
เพราะไอ้ประโยคสุดท้ายที่มันพูดเขาอ่านปากมันออก
ขุนแผนเดินมานั่งประจำที่
เขามองกล้องด้วยท่าทีสบายๆ แต่ไม่ได้แจกยิ้มหวานเหมือนอย่างที่คนก่อนหน้านี้ทำ
แล้วทีมงานคนเดิมก็เริ่มถามคำถามอีกครั้ง
-เจอกันครั้งแรกที่ไหน-
“ที่งานคอนเสิร์ตล่าสุดของมันครับ ป่าวครับ
ผมไมได้ตั้งใจไปดูแต่โดนน้องสาวลากไป” ขุนแผนอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นหลายคนทำหน้างงๆ
รวมถึงเจ้าตัวด้วย ติณณกรขมวดคิ้วมุ่นอยู่สักพักก็ร้องอ๋อเมื่อนึกได้ว่าวันนี้มีตากล้องขี้เก๊กมาช่วยถ่ายรูปให้ตอนที่กล้องของทีมงานมีปัญหา
-สนิทกันได้ยังไง-
“อืม…เจอกันบ่อยมั้งครับ”
ไม่บ่อยสิแปลก ก็เขาเล่นเสนอหน้าไปหาทุกวัน
-ประทับใจอะไรในตัวอีกฝ่าย-
“ตอบว่าไม่มีได้ไหมครับ หึหึ”
ขุนแผนหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นอีกฝ่ายเบ้ปากกับคำตอบของผม
ติณณกรยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเขาเมื่อครู่แต่ไม่ได้สวมหูฟังแล้วอีกฝ่ายจึงได้ยินคำพูดของเขาทุกคำ
-อวัยวะของอีกฝ่ายที่ชอบมากที่สุด-
“ปากครับ”
-ทำไม?-
“ก็…ปากมันน่าจูบดีครับ”
ขุนแผนยิ้มเขินๆ เมื่อเห็นปฎิริยาของคนฟังทั้งสตู
จริงๆเขาแค่อยากแกล้งให้ไอ้ติณณ์มันเขินเล่นๆ ไม่คิดว่าจะเผื่อแผ่ไปให้ทีมงานทุกคน
แถมยังวกกลับมาหาตัวเองด้วย
-อยากบอกอะไรกับอีกฝ่าย-
“อยากบอกว่า…ถ้าอยากให้เลิกดุก็เลิกดื้อครับ”
“…”
“ที่ผมดุเพราะมันไม่ค่อยดูแลตัวเองชอบกินขนมแทนข้าว ตัวเองเป็นหมอแท้ๆ สมองกลวงคิดว่ากินเค้กแล้วไม่ต้องกินข้าวก็ได้”
เขามองหน้าแดงๆของคนตัวเล็กในตอนแรก และหันกลับมาพูดกลับกล้องในประโยคท้ายๆ
หางตาเห็นหลายคนกลั้นยิ้มเขาเลยหลุดยิ้มออกมาซะเอง
“แล้วตัวเองเป็นหมอหรือไง”
เสียงค้านของคนโดนดุดังขึ้นกลางปล้อง
“ไม่ได้เป็นหมอ แต่เป็นห่วง”
หลังจากเขาพูดจบก็เห็นคนเป็นหมออ้าปากพะงาบๆ
เหมือนจะสรรค์หาคำมาด่าแต่นึกไม่ออก หัวหูแดงไปหมด
จนสุดท้ายก็เบะปากใส่เขาแล้วเดินหนีหายไปอีกทาง
น่ารักจริงๆ
TBC.
--------------------------------
#จักรวาลขุนติณณ์
27/05/61 ประโยคสุดท้ายนี้ขอยืมประโยคคุณจิรันมาใช้หน่อยนะะะะะ ^^
เพลงจักรวาลเธอ เป็นเพลงของน้อง นนน นะคะ ลองไปหาฟังดูน้าาาา
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นและกำลังใจนะคะ มีคอมเม้นว่ามีคำผิดเยอะเราเลยทยอยรีไรท์ให้ทุกตอนแล้วนะ รักนะจุ้บๆ <3
B
ความคิดเห็น