ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #12 : SHUTTER 12 : เยาวราช

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 61


    THE SHUTTER  12 เยาวราช

     

     

              รถยนต์สีขาวจอดเทียบฟุตบาทหน้าตึกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ร่างบางในชุดเสื้อฮูดตัวใหญ่สีดำสนิทกับกางเกงยีนส์ฟอกสีที่กำลังจะเปิดประตูก้าวลงมาจากรถชะงักเมื่อแขนเล็กโดนรั้งไว้ด้วยมือหนาของคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ


              ติณณกรเลิกคิ้วถาม และได้คำตอบมาเป็นแว่นกันแดดสีชาที่ถูกออกจากใบหน้าคมเข้มแล้วยื่นมาตรงหน้า เขายิ้มแทนคำขอบคุณแล้วรับแว่นมาสวม ยืดตัวส่องกระจกมองหลังเพื่อเซ็ตผมด้านหน้าอีกนิดหน่อยแล้วหันไปหาคนที่นั่งมองอยู่ก่อนแล้ว


    “หล่อยัง”


    “ก็หน้าส้นตีนเหมือนเดิม”


    “โว๊ะ”


    ติณณกรเบ้ปากแล้วก้าวลงจากรถเผชิญกับแดดเดือนมีนาคมที่ไม่เคยปราณีใคร ร่างเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปภายในอาคารตรงหน้า เดินมาได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดแวะถ่ายรูปกับแฟนคลับที่มาดักรออยู่ข้างหน้าตึก


    “วันนี้มีประชุม ติณณ์ขอตัวก่อนนะครับ” ติณณกรยิ้มหวานแล้วผละออกมาเมื่อเห็นว่าเวลาจวนเข้ามาแล้ว


    ในห้องประชุมขนาดเล็กมีผู้จัดการร่างเล็กกับภูษิตนั่งอยู่ก่อนแล้ว ติณณกรยกมือไหว้ทั้งคู่แล้วเดินไปทิ้งตัวข้างผู้จัดการของตัวเอง


    “มีอะไรหรอพี่แนน”


    “รู้สึกเหมือนเขาจะมีโปรเจคหนังสั้นน่ะ ติณณ์โดนเสนอชื่อให้เป็นพระเอกด้วยนะ พี่ป๋อมเลยเรียกให้มาคุยว่าเราจะมีคิวให้เขาหรือเปล่า แล้วก็คุยกับทีมเขียนบทด้วย นี่ไง มาพอดีเลย”


    “พี่แนน พี่ว่าน น้องติณณ์ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในตอนท้ายประโยค เธอแจกยิ้มให้ทุกคนที่อยู่ในห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่


    “ติณณ์นี่พลอย คนเขียนบท”


    “สวัสดีครับ พี่พลอย” ติณณกรยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มการค้าไปให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ไม่นานประธานของการประชุมครั้งนี้ก็มาถึง หญิงสาววัยกลางคนที่มีรอยยิ้มใจดีประดับอยู่บนใบหน้าเสมอเดินเข้ามาแล้วยกมือรับไหว้ทุกคน


    ติณณกรฟังรายละเอียดงานที่คล้ายกับที่ณกานพูดให้เขาฟังก่อนหน้านี้แล้วผงกหัวตามเรื่อยๆ งานคราวนี้เป็นหนังสั้นยาวสิบห้านาทีที่เนื้อเรื่องจะถูกตีความมาจากเพลงสิบเพลงที่จะแสดงโดยพระเอกสิบคนที่ถูกโหวตโดยเหล่าประชาชน


    “คืองี้นะติณณ์ พี่เห็นว่างานโฆษณาของติณณ์ตัวก่อนกระแสค่อนข้างดีแล้วแฟนคลับก็อยากเห็นพ่อหนุ่มตากล้องคนนั้นอีกรอบด้วย”


    อ่า เริ่มรู้สึกถึงลางร้ายเริ่มมาเยือน


    “เห็นแนนบอกว่าติณณ์รู้จักกับเขาใช่ไหมช่วยพูดให้พี่หน่อยได้หรือเปล่า เอ๊ะ แต่ครั้งก่อนว่านเป็นคนไปคุยใช่ไหม?”


    “อ่า ใช่ครับ แต่คราวนี้ให้ติณณ์ไปพูดดีกว่า ผมกลัวโดนมันเอาขาตั้งกล้องฟาด ครั้งที่แล้วกว่าจะอ้อนวอนมันได้นี่ผมต้องเสียของรักไปเลยนะครับ” ภูษิตปฎิเสธด้วยท่าทียิ้มๆ


    “เอ่อ ผมก็ไม่รู้ว่าพี่เขาจะว่าไง แต่เราใช้นักแสดงมืออาชีพไม่ดีกว่าหรอครับ” ติณณกรตอบเลี่ยงๆ ที่จริงแล้วเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เหมือนเอาอีกฝ่ายมาหากิน


    “โถ่น้องติณณ์ ไอ้แผนแหละมืออาชีพสุดๆ เมื่อก่อนละครเวทีมหาลัยก็ได้มันนี่แหละ”


    “ว่านสนิทกับแผนหรอ เห็นตั้งแต่ถ่ายงานคราวนั้นแล้วจะถามก็ลืม” ณกานเป็นคนถามสิ่งที่ติณณกรกำลังคิดอยู่พอดี


    “เพื่อนสนิทสมัยเรียนครับ ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเลย”


    “ถ้างั้นว่านไปคุยได้ไหม”


    “ผมว่าให้น้องติณณ์เป็นคนไปคุยน่าจะมีโอกาสมากกว่านะครับ จริงๆนะพี่” ภูษิตว่าแล้วหันไปขยิบตากับณกาน ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผู้อาวุโสที่สุดก็พยักหน้ารับแล้วหันหน้ามามองคนที่ยิ้มปุเลี่ยนๆอยู่แทน


    “นะติณณ์”


    “ครับ ผมจะลองดู” ติณณกรรับคำอย่างช่วยไม่ได้ วูบหนึ่งในใจนึกไปถึงรูปกับคำถามในอินสตาแกรมเขาก็หน้าร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ


    หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้วเขายังคงตีหน้ามึนเหมือนไม่เคยเห็นภาพนั้นเหมือนเดิม เพราะพี่ขุนคนเดิมของเขากลับมาแล้ว และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจจะคาดคั้นเอาคำตอบอะไรจากเขาสักเท่าไหร่ ติณณกรก็เลยปล่อยเลยตามเลย


    ที่จริงเขาไม่ได้กลัวที่จะตอบคำถามนั้น สิ่งที่เขากลัวคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาให้คำตอบไปแล้วต่างหาก อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยแต่ตอนนี้เขาอยากมีพี่มันอยู่อย่างนี้แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้

     

    ไม่มากไปกว่านี้ไม่น้อยไปกว่านี้

     

    “ติณณ์!


    “คะครับ”


    “เป็นอะไรหน้าแดงๆ”


    “เปล่าครับ ต่อเลยครับพี่ป๋อม” ติณณกรยกมือเกาท้ายทอยแล้วส่งยิ้มแก้เก้อไปให้ เขาดึงสมาธิให้กลับมาอยู่กับการคุยงานตรงหน้า


    หลังจากนั้นไม่นานก็จบลงด้วยข้อสรุปที่ว่าให้เขาไปทาบทามพี่ขุนให้ได้ก่อน ฝ่ายเขียนบทอย่างพี่พลอยจะร่างพลอตเรื่องรอ ส่วนเรื่องคิวพี่แนนบอกว่าต้องดูตารางพี่ขุนกับเขาอีกที


    “พี่ว่าน” ติณณกรส่งเสียงเรียกร่างสูงไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป ณกานหันมามองหน้าติณณกรแล้วชี้นิ้วเชิงว่าจะไปรอข้างนอก


    “ว่าไง”


    “ที่พี่บอกว่าตอนไปขอพี่ขุนคราวก่อนแล้วเสียขอรักไปนี่ อะไรหรอครับ”


    ภูษิตไม่ตอบในทันทีเขาขมวดคิ้วกับคำถามที่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรในเมื่อของรักที่เขาหมายถึงกำลังยืนถามคำถามอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มจางๆถูกส่งมาให้พร้อมคำตอบที่คนฟังไม่ค่อยพอใจกับมันเท่าไหร่นัก


    “พี่ว่าติณณ์ไปถามมันเองดีกว่า”


    หลังจากได้คำตอบติณณกรก็พาตัวเองออกมาเจอกับณกานที่นั่งรออยู่ไม่ไกล เจ้าหล่อนไม่ได้ถามอะไรเซ้าซี้ แต่กลับเอ่ยปากชวนให้ไปกินบุพเฟ่ของหวานที่พึ่งมาเปิดใหม่อยู่ไม่ไกลแทน และยังคงแวะมาแซวเรื่องที่เขาหน้าแดงในห้องประชุมเมื่อครู่อีกพอหอมปากหอมคอ

     


    ขุนแผนมองคู่ว่าที่บ่าวสาวที่ยืนหยอกล้อกันอยู่หน้าร้านลูกชิ้นปิ้งผ่านเลนส์กล้องแล้วอดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้ เป็นการถ่ายพรีเวดดิ้งที่ไม่ต้องใช้ชุดหรูหราอะไรมีเพียงชุดเจ้าสาวสีขาวกระโปรงยาวแค่เข่าที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากับรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สที่เจ้าหล่อนสวมอยู่ ส่วนเจ้าบ่าวก็มีเพียงเชิ้ตแขนยาวที่ถูกพับแขนขึ้นมาจนถึงข้อศอกกับกางเกงสแลคสีดำสนิทเท่านั้น


    เขารับถ่ายพรีเวดดิ้งแนวนี้มาหลายคู่และยังคงตกหลุมรักการได้เห็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่มีความสุขจริงๆ และยิ่งรักเมื่อคนสองคนตรงหน้านี้คือเพื่อนรักทั้งสองคนของเขา


    ใบหน้าของทั้งคู่เปื้อนด้วยรอยยิ้มตลอดวันและรอยยิ้มนั้นก็เผื่อแผ่มายังตากล้องกับคนที่ได้เห็นภาพเหล่านั้นด้วย แม้ว่าโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายจะเป็นเพียงป้ายรถเมย์ หน้าร้านลูกชิ้นปิ้ง หรือแม้แต่บนฟุตบาทข้างทาง


    “เหนื่อยยัง ฉากกลางคืนนี่ไปคืนนี้เลยหรือรอไปพรุ่งนี้ดี” ขุนแผนเอ่ยถามว่าที่บ่าวสาวหลังจากที่แสงของวันหมดลง


    “ไม่เหนื่อยอ่ะ แต่โคตรอิ่ม” เอมอรพูดพลางลูบท้องตัวเองไปด้วย ก็แน่แหละเธอเล่นกินทุกอย่างตั้งแต่ลูกชิ้น ก๊วยเตี๋ยว หรืออะไรต่อมิอะไรที่ผ่านตา


    “ก็ดูมึงแดก”


    “โหย หยาบคายว่ะแผน” หญิงสาวย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปออดอ้อนเจ้าบ่าวของตัวเองต่อ สุดท้ายสรุปกันว่าจะไปถ่ายกันต่อที่เยาวราชเพราะว่าที่เจ้าสาวบ่นว่าอยากกินขนมร้านโปรดทั้งๆที่พึ่งบ่นว่าอิ่มไปหยกๆ


    “เฮีย พี่ติณณ์โทรมาค้างไว้อ่ะ” รวียื่นโทรศัพท์เขาที่เก็บไว้กับกระเป๋ากล้องมาให้ เขารับมาแล้วเดินเลี่ยงออกมาอีกทางโดยมีสายตาล้อๆสามคู่มองตามมา ได้ยินแว่วๆว่าเอมอรถามอะไรสักอย่างกับรุ่นน้องตัวเองแล้วเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังตามมาให้ได้ยินเป็นระรอก


    “โทรมามีไรหรือเปล่า กูพึ่งได้จับโทรศัพท์”


    [เสร็จละหรอ จะกลับตอนไหนอ่ะมีเรื่องจะคุยด้วย]


    “ยังไม่เสร็จ เดี๋ยวต้องไปถ่ายต่อแถวเยาวราชคงกลับดึกๆ”


    [จะไปเยาวราชหรอ!]


    “เออสิ ก็บอกอยู่หยกๆ” ขุนแผนยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วกะเวลา เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องเตรียมจะร้องตามไปด้วยแน่ๆ


    [ไปตอนไหน ไปด้วยดิ อยากกินหมูตุ๋น]


    “กำลังจะไปตอนนี้อยู่สวนหลวง ให้ไปรับไหม”


    [ไม่ๆ เจอกันนู่นเลย]


    “ชวนพี่แนนมาด้วย กูทำงานไม่มีเวลาดูมึงนะ”


    [โอ้ยพี่มึง! กูดูแลตัวเองได้ครับ แค่นี้นะเดี๋ยวถึงแล้วโทรหา]


    ขุนแผนมองสายที่ตัดไปแล้วถอนหายใจเบาๆ เหนื่อยหน่ายกับฤทธิ์เด็กดื้อที่หลังๆมานี้รู้สึกจะดื้อมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ


    “เอม ได้กลิ่นอะไรป่ะ”


    “นั่นดิ เหม็นๆเนอะกาจ”


    “เหม็นความรักหรือเปล่าครับพี่”


    “ฮิ้ววววว”


    พอเดินมาในระยะทั้งเพื่อนรักทั้งรุ่นน้องก็รวมหัวกันชง รวมหัวกันแซวยกใหญ่ ที่น่าหมั่นไส้คือคู่ผัวเมียที่สวีทกันจนมดแทบจะขึ้นเลนส์กล้องเขามาทั้งวันแล้วยังมีหน้ามาพูดว่าเหม็นความรัก


    “กวนตีนละ ไปกันเลยไหม”


    “เออ แผนกูว่าจะเปลี่ยนไปตลาดรถไฟว่ะ อยากได้ฟีลร้านเหล้าด้วย”


    ขุนแผนชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเพื่อนสาว ในใจนึกไปถึงเสียงดีอกดีใจของคนที่พึ่งวางสายไปแล้วหัวคิ้วก็มุ่นเข้าหากันจนคนมองนึกสงสัย


    “มีอะไรหรือเปล่า?”


    “เยาวราชก็มีร้านเหล้า ไปถ่ายนู่นแหละ”


    “แต่กูอยากไปตลาดรถไฟ”


    “แต่กูจะไปเยาวราช” ขุนแผนพูดตัดบท ผลักหัวเพื่อนสาวให้เซไปหาแฟนมันแล้วเดินหนีเพื่อเป็นการจบบทสนทนา


    สุดท้ายทั้งสามก็พากันมาอยู่ที่เยาวราช ส่วนรวีขอตัวกลับไปก่อนเพราะแม่โทรมาบอกว่าน้องสาวไม่สบาย แต่ถึงอย่างนั้นสมาชิกที่ยืนอยู่กลับมีสี่คนเท่าเดิมเพราะมีสมาชิกใหม่ตามมาสมทบ คนที่ทำให้เอมอรกระจ่างถึงสาเหตุของการอยากมาเยาวราชนักหนาของเขา สายตาล้อเลียนกับคำแซวที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้เขานึกอยากจะหันไปเตะไอ้เพื่อนตัวแสบสักที


    “จะพาเมียมาเที่ยวก็บอกกูดีๆก็ได้”


    “เก็บปากมึงไว้แดกข้าวเถอะเอม”


    “หึหึ น้องติณณ์ อยากกินอะไรคะ ป่ะมาเดินกับพี่ดีกว่า” เอมกรหัวเราะด้วยเสียงที่ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่แล้วเปลี่ยนไปควงแขนคนมาใหม่อย่างออกนอกหน้า ทิ้งให้เขามองหน้ากับเจ้าบ่าวของมันปลงๆ


    “ตกลงเรื่องจริงหรอวะ ตอนไอ้ว่านเล่าให้ฟังกูยังนึกว่ามันอำเล่น” คนโดนทิ้งเอ่ยถามทั้งๆที่ตายังมองที่คนสองคนที่เดินห่างออกไป ขุนแผนเพียงยิ้มเป็นคำตอบเหมือนทุกที


    “เยยัง?”


    “คำถามเดียวกับไอ้เหี้ยว่านเลย เห็นกูเป็นคนยังไง”


    “เป็นคนขี้เย พี่แผนสิบนาทีไง” กาจพูดเน้นทุกคำในประโยค รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของว่าที่เจ้าบ่าวเมื่อนึกย้อนไปถึงวีรกรรมสมัยเรียนของเพื่อนรัก


    “สัด”


    “หึหึ แสดงว่าคนนี้จริงจังมากเลยดิ”


    ขุนแผนกระตุกยิ้มที่มุมปากเป็นคำตอบ แล้วสองเพื่อนรักก็เดินทอดน่องตามไป คุยกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน กล้องตัวเก่งถูกยกขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเจ้าบ่าวจะยังเดินอยู่ข้างตากล้องก็ตาม ภาพที่ปรากฏอยู่บนจอเป็นรูปของคนที่กำลังยัดขนมปังเข้าปากทั้งชิ้นจนไส้ทะลักออกมาเปื้อนแก้มตัวเอง


    “แดกดีๆสิวะ เป็นเด็กหรือไง”


    ขุนแผนลดกล้องลงแล้วส่งมือไปเช็ดไส้ขนมปังที่เลอะแก้มของอีกฝ่ายออกจนหมด แล้วป้ายนิ้วมือเข้าปากของคนที่พึ่งกลืนขนมปังลงคอไปเป็นการเช็ดมือ


    “เค็ม!


    ขุนแผนส่ายหัวกับตาวาวๆที่ส่งมา ยกแขนเกี่ยวคออีกฝ่ายให้มาอยู่ข้างกายแล้วออกปากไล่เพื่อนสาวให้ไปกับว่าที่สามีตามกฎหมายของตัวเอง


    “จะถ่ายไหมงานอ่ะ ไปเดินกะผัวมึงไป”


    “หยาบคายยย” เอมอรเบะปากแล้วเดินกลับไปเกี่ยวแขนแฟนหนุ่ม ขุนแผนปล่อยให้ทั้งคู่เดินนำไปแล้วยกกล้องขึ้นถ่ายเรื่อยๆสลับกับหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ


    “อยากลองถ่ายไหม” ขุนแผนหันไปถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเขาความท่าทีสนอดสนใจ


    “ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวงานพี่ไม่เสร็จ”


    “ลองดู” ขุนแผนพูดแล้วยัดกล้องใส่มือคนตัวเล็กกว่าโดยไม่ลืมที่จะเอาสายคล้องไว้ที่คอด้วย กลัวมันทำตก เสียหายหลายแสนนะครับถ้าตกไป ส่วนงานจริงๆเขาตกลงกับเพื่อนทั้งสองไว้แล้วว่าตอนกลางคืนนี้จะเดินเล่นชิวๆถ่ายได้แค่ไหนแค่นั้น


    แชะ!


    เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นเบาๆทั้งๆที่ติณณกรยังไม่ได้ยกกล้องขึ้นเลยด้วยซ้ำหันไปด้านหลังก็เจอหญิงสาวยืนถือกล้องอยู่ในมือ เธอค้อมหัวเชิงขอโทษเมื่อโดนจับได้ว่าแอบถ่าย แต่ร่างเล็กข้างเขากลับส่งยิ้มเชิงว่าไม่เป็นไรแล้วขยับเข้ามาใกล้แล้วยกมือดึงแก้มเขาให้ยิ้มให้กล้อง


    “สร้างภาพสัด” ขุนแผนเปรยเบาๆหลังจากที่เดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว


    “เห็นเวลาเขามโนแล้วตลกดี” ร่างบางว่าแล้วยกกล้องขึ้นมาทางเขา ขุนแผนยกมือขึ้นบังแล้วเบี่ยงตัวหลบ “ยิ้มหน่อย”


    “ไม่เอา”


    “เร็วๆ ยิ้มให้ผมก็ได้”


    หือออ เจอประโยคนี้ไป


    “อีแผนน ทำงานว้อยยย” เสียงแหวของเอมอรดังขึ้นขัดจังหวะ ซึ่งสาเหตจริงๆแล้วน่าจะเพราะว่าอยากขัดความสุขเขามากกว่า เขาเลยเดินไปผลักหัวมันแรงๆทีนึงด้วยความหมั่นไส้


    หลังจากเดินกันไปจนหญิงสาวเพียงคนเดียวบ่นว่าปวดขาแล้ว ทั้งคู่จึงขอตัวกลับไปก่อน แผนถ่ายรูปที่ร้านเหล้าก็ต้องพับเก็บไปก่อน ขุนแผนเลยเลือกที่จะพาร่างเล็กเดินย้อนกลับมาที่ร้านหมูตุ๋นที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากกิน


    ทั้งคู่มาถึงห้องพักในเวลาเกือบเที่ยงคืน และก็เป็นคุณหมอหนุ่มที่เดินตามคนตัวสูงกว่าเข้าห้องเพราะว่าเขาดันลืมคีย์การ์ดไว้บนรถของณกาน


    “มานอนบ่อยขนาดนี้ ย้ายมาอยู่กับกูเลยไหมล่ะ” ขุนแผนเอ่ยเย้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อยืดตัวใหญ่ของเขากับกางเกงนอนเน่าๆของมันที่ติดตู้เสื้อผ้าเขาอยู่


    “อันนี้ชวนจริงจังหรือกวนตีน เช็ดผมให้หน่อยปวดแขน” ติณณกรถามกลับ เดินลากขามาหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงตรงที่เจ้าของห้องนั่งอยู่แล้วส่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กในมือให้อีกฝ่ายเช็ดผมให้


    “กวนตีน”



    “แต่ถ้ามึงจริงจังกูก็ไม่ว่าอะไรนะ” เขาออกแรงขยี้หัวอีกฝ่ายแรงๆ อย่างนึกหมั่นไส้เมื่อเห็นคนที่บ่นว่าปวดแขนเช็ดผมเองไม่ได้แต่นั่งเล่นโทรศัพท์หน้าตาเฉย


    “เออพี่ ช่วงนี้มีวันว่างมั่งป่ะ”


    “ก็มี ทำไม?”


    “มีโปรเจคหนังสั้นอ่ะ ว่าจะชวนมาเล่น”


    “กับมึง?”


    “อื้อ”


    “เอาดิ”


    ติณณกรเงยหน้ามองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตกปากรับคำง่ายๆ คนที่นั่งอยู่บนเตียงเลยส่งสายตาไปถามว่ามองทำไม แล้วออกแรงขยับให้อีกฝ่ายนั่งดีๆเพื่อที่เขาจะได้เช็ดผมให้ได้สะดวก


    ระหว่างนั้นติณณกรก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจนรู้สึกว่าผ้าเช็ดตัวหยุดขยับแล้วจึงเลื่อนตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงแทน ปล่อยให้เจ้าของห้องเดินไปอาบน้ำอาบท่าบ้าง


    “เออพี่ ตอนนั้นทำไมพี่ยอมเล่นโฆษณาอ่ะ” ติณณกรส่งเสียงถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว


    “ไอ้ว่านมาขอ”


    “หรอ วันนี้พี่ว่านบอกว่าต้องอ้อนวอนพี่ แถมเสียของรักอีก พี่ไปเอาไรจากพี่มันมาวะ”



    ติณณกรละสายตาจากเกมส์ที่เล่นอยู่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถาม แล้วเขาก็พบว่าอีกฝ่ายมองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์


    “อะไร”


    “มึงไง”


    “ห้ะ?”


    “นอนเหอะ กูง่วง” ร่างสูงเดินไปปิดไฟในห้องแล้วดึงโทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายไปวางไว้โต้ะข้างเตียงแล้วล้มตัวลงนอน ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งประมวลผลกับคำพูดของเขา


    “เห้ยยย!! ผมหรอ ที่ช่วงนี้พี่ว่านเลิกมาวอแวกับผมเพราะพี่หรอ” ติณณกรชี้นิ้วเขาหาตัวเองแล้วก้มหน้าลงไปสบสายตากับคนที่นอนอยู่ในความมืด


    “ก็เห็นมึงไม่ชอบ ไม่ใช่?”


    “ใช่ แต่ไม่คิดว่าพี่จะ


    “พูดมากจังวะ นอนได้แล้ว”


    ติณณกรทำตามอย่างว่าง่าย เขาสไลด์ตัวลงมานอนแล้วพลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนที่หลับตาไปแล้ว รู้สึกได้ถึงกระแสความรู้สึกที่แล่นริ้วอยู่ในตัวเอง


    หัวใจทำงานหนักอีกแล้วแฮะ



    TBC.

    --------------------------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์

    พบคนเขิน 1ea ฮรื่อออ อิพี่ก็ขยันหยอดจริ้งงงงง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×