คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : SHUTTER 12 : เยาวราช
THE
SHUTTER ♡ 12 เยาวราช
รถยนต์สีขาวจอดเทียบฟุตบาทหน้าตึกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง
ร่างบางในชุดเสื้อฮูดตัวใหญ่สีดำสนิทกับกางเกงยีนส์ฟอกสีที่กำลังจะเปิดประตูก้าวลงมาจากรถชะงักเมื่อแขนเล็กโดนรั้งไว้ด้วยมือหนาของคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ
ติณณกรเลิกคิ้วถาม
และได้คำตอบมาเป็นแว่นกันแดดสีชาที่ถูกออกจากใบหน้าคมเข้มแล้วยื่นมาตรงหน้า
เขายิ้มแทนคำขอบคุณแล้วรับแว่นมาสวม ยืดตัวส่องกระจกมองหลังเพื่อเซ็ตผมด้านหน้าอีกนิดหน่อยแล้วหันไปหาคนที่นั่งมองอยู่ก่อนแล้ว
“หล่อยัง”
“ก็หน้าส้นตีนเหมือนเดิม”
“โว๊ะ”
ติณณกรเบ้ปากแล้วก้าวลงจากรถเผชิญกับแดดเดือนมีนาคมที่ไม่เคยปราณีใคร
ร่างเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปภายในอาคารตรงหน้า เดินมาได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดแวะถ่ายรูปกับแฟนคลับที่มาดักรออยู่ข้างหน้าตึก
“วันนี้มีประชุม ติณณ์ขอตัวก่อนนะครับ”
ติณณกรยิ้มหวานแล้วผละออกมาเมื่อเห็นว่าเวลาจวนเข้ามาแล้ว
ในห้องประชุมขนาดเล็กมีผู้จัดการร่างเล็กกับภูษิตนั่งอยู่ก่อนแล้ว
ติณณกรยกมือไหว้ทั้งคู่แล้วเดินไปทิ้งตัวข้างผู้จัดการของตัวเอง
“มีอะไรหรอพี่แนน”
“รู้สึกเหมือนเขาจะมีโปรเจคหนังสั้นน่ะ
ติณณ์โดนเสนอชื่อให้เป็นพระเอกด้วยนะ พี่ป๋อมเลยเรียกให้มาคุยว่าเราจะมีคิวให้เขาหรือเปล่า
แล้วก็คุยกับทีมเขียนบทด้วย นี่ไง มาพอดีเลย”
“พี่แนน พี่ว่าน น้องติณณ์ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาในตอนท้ายประโยค
เธอแจกยิ้มให้ทุกคนที่อยู่ในห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่
“ติณณ์นี่พลอย คนเขียนบท”
“สวัสดีครับ พี่พลอย”
ติณณกรยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มการค้าไปให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
ไม่นานประธานของการประชุมครั้งนี้ก็มาถึง
หญิงสาววัยกลางคนที่มีรอยยิ้มใจดีประดับอยู่บนใบหน้าเสมอเดินเข้ามาแล้วยกมือรับไหว้ทุกคน
ติณณกรฟังรายละเอียดงานที่คล้ายกับที่ณกานพูดให้เขาฟังก่อนหน้านี้แล้วผงกหัวตามเรื่อยๆ
งานคราวนี้เป็นหนังสั้นยาวสิบห้านาทีที่เนื้อเรื่องจะถูกตีความมาจากเพลงสิบเพลงที่จะแสดงโดยพระเอกสิบคนที่ถูกโหวตโดยเหล่าประชาชน
“คืองี้นะติณณ์
พี่เห็นว่างานโฆษณาของติณณ์ตัวก่อนกระแสค่อนข้างดีแล้วแฟนคลับก็อยากเห็นพ่อหนุ่มตากล้องคนนั้นอีกรอบด้วย”
อ่า เริ่มรู้สึกถึงลางร้ายเริ่มมาเยือน
“เห็นแนนบอกว่าติณณ์รู้จักกับเขาใช่ไหมช่วยพูดให้พี่หน่อยได้หรือเปล่า
เอ๊ะ แต่ครั้งก่อนว่านเป็นคนไปคุยใช่ไหม?”
“อ่า ใช่ครับ แต่คราวนี้ให้ติณณ์ไปพูดดีกว่า
ผมกลัวโดนมันเอาขาตั้งกล้องฟาด ครั้งที่แล้วกว่าจะอ้อนวอนมันได้นี่…ผมต้องเสียของรักไปเลยนะครับ” ภูษิตปฎิเสธด้วยท่าทียิ้มๆ
“เอ่อ ผมก็ไม่รู้ว่าพี่เขาจะว่าไง
แต่เราใช้นักแสดงมืออาชีพไม่ดีกว่าหรอครับ” ติณณกรตอบเลี่ยงๆ
ที่จริงแล้วเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เหมือนเอาอีกฝ่ายมาหากิน
“โถ่น้องติณณ์ ไอ้แผนแหละมืออาชีพสุดๆ
เมื่อก่อนละครเวทีมหาลัยก็ได้มันนี่แหละ”
“ว่านสนิทกับแผนหรอ
เห็นตั้งแต่ถ่ายงานคราวนั้นแล้วจะถามก็ลืม” ณกานเป็นคนถามสิ่งที่ติณณกรกำลังคิดอยู่พอดี
“เพื่อนสนิทสมัยเรียนครับ
ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเลย”
“ถ้างั้นว่านไปคุยได้ไหม”
“ผมว่าให้น้องติณณ์เป็นคนไปคุยน่าจะมีโอกาสมากกว่านะครับ
จริงๆนะพี่” ภูษิตว่าแล้วหันไปขยิบตากับณกาน
ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจแต่ผู้อาวุโสที่สุดก็พยักหน้ารับแล้วหันหน้ามามองคนที่ยิ้มปุเลี่ยนๆอยู่แทน
“นะติณณ์”
“ครับ ผมจะลองดู” ติณณกรรับคำอย่างช่วยไม่ได้
วูบหนึ่งในใจนึกไปถึงรูปกับคำถามในอินสตาแกรมเขาก็หน้าร้อนขึ้นมาเสียเฉยๆ
หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้วเขายังคงตีหน้ามึนเหมือนไม่เคยเห็นภาพนั้นเหมือนเดิม
เพราะพี่ขุนคนเดิมของเขากลับมาแล้ว และดูเหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจจะคาดคั้นเอาคำตอบอะไรจากเขาสักเท่าไหร่
ติณณกรก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ที่จริงเขาไม่ได้กลัวที่จะตอบคำถามนั้น สิ่งที่เขากลัวคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาให้คำตอบไปแล้วต่างหาก
อาจจะดูเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยแต่ตอนนี้เขาอยากมีพี่มันอยู่อย่างนี้แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้
ไม่มากไปกว่านี้…ไม่น้อยไปกว่านี้
“ติณณ์!”
“คะ…ครับ”
“เป็นอะไรหน้าแดงๆ”
“เปล่าครับ ต่อเลยครับพี่ป๋อม”
ติณณกรยกมือเกาท้ายทอยแล้วส่งยิ้มแก้เก้อไปให้
เขาดึงสมาธิให้กลับมาอยู่กับการคุยงานตรงหน้า
หลังจากนั้นไม่นานก็จบลงด้วยข้อสรุปที่ว่าให้เขาไปทาบทามพี่ขุนให้ได้ก่อน
ฝ่ายเขียนบทอย่างพี่พลอยจะร่างพลอตเรื่องรอ ส่วนเรื่องคิวพี่แนนบอกว่าต้องดูตารางพี่ขุนกับเขาอีกที
“พี่ว่าน” ติณณกรส่งเสียงเรียกร่างสูงไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินออกจากห้องไป
ณกานหันมามองหน้าติณณกรแล้วชี้นิ้วเชิงว่าจะไปรอข้างนอก
“ว่าไง”
“ที่พี่บอกว่าตอนไปขอพี่ขุนคราวก่อนแล้วเสียขอรักไปนี่
อะไรหรอครับ”
ภูษิตไม่ตอบในทันทีเขาขมวดคิ้วกับคำถามที่ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรในเมื่อของรักที่เขาหมายถึงกำลังยืนถามคำถามอยู่ตรงหน้า
รอยยิ้มจางๆถูกส่งมาให้พร้อมคำตอบที่คนฟังไม่ค่อยพอใจกับมันเท่าไหร่นัก
“พี่ว่า…ติณณ์ไปถามมันเองดีกว่า”
หลังจากได้คำตอบติณณกรก็พาตัวเองออกมาเจอกับณกานที่นั่งรออยู่ไม่ไกล
เจ้าหล่อนไม่ได้ถามอะไรเซ้าซี้ แต่กลับเอ่ยปากชวนให้ไปกินบุพเฟ่ของหวานที่พึ่งมาเปิดใหม่อยู่ไม่ไกลแทน
และยังคงแวะมาแซวเรื่องที่เขาหน้าแดงในห้องประชุมเมื่อครู่อีกพอหอมปากหอมคอ
ขุนแผนมองคู่ว่าที่บ่าวสาวที่ยืนหยอกล้อกันอยู่หน้าร้านลูกชิ้นปิ้งผ่านเลนส์กล้องแล้วอดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้
เป็นการถ่ายพรีเวดดิ้งที่ไม่ต้องใช้ชุดหรูหราอะไรมีเพียงชุดเจ้าสาวสีขาวกระโปรงยาวแค่เข่าที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากับรองเท้าผ้าใบคอนเวิร์สที่เจ้าหล่อนสวมอยู่
ส่วนเจ้าบ่าวก็มีเพียงเชิ้ตแขนยาวที่ถูกพับแขนขึ้นมาจนถึงข้อศอกกับกางเกงสแลคสีดำสนิทเท่านั้น
เขารับถ่ายพรีเวดดิ้งแนวนี้มาหลายคู่และยังคงตกหลุมรักการได้เห็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่มีความสุขจริงๆ
และยิ่งรักเมื่อคนสองคนตรงหน้านี้คือเพื่อนรักทั้งสองคนของเขา
ใบหน้าของทั้งคู่เปื้อนด้วยรอยยิ้มตลอดวันและรอยยิ้มนั้นก็เผื่อแผ่มายังตากล้องกับคนที่ได้เห็นภาพเหล่านั้นด้วย แม้ว่าโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายจะเป็นเพียงป้ายรถเมย์
หน้าร้านลูกชิ้นปิ้ง หรือแม้แต่บนฟุตบาทข้างทาง
“เหนื่อยยัง ฉากกลางคืนนี่ไปคืนนี้เลยหรือรอไปพรุ่งนี้ดี”
ขุนแผนเอ่ยถามว่าที่บ่าวสาวหลังจากที่แสงของวันหมดลง
“ไม่เหนื่อยอ่ะ แต่โคตรอิ่ม”
เอมอรพูดพลางลูบท้องตัวเองไปด้วย ก็แน่แหละเธอเล่นกินทุกอย่างตั้งแต่ลูกชิ้น
ก๊วยเตี๋ยว หรืออะไรต่อมิอะไรที่ผ่านตา
“ก็ดูมึงแดก”
“โหย หยาบคายว่ะแผน”
หญิงสาวย่นจมูกใส่เขาแล้วหันไปออดอ้อนเจ้าบ่าวของตัวเองต่อ
สุดท้ายสรุปกันว่าจะไปถ่ายกันต่อที่เยาวราชเพราะว่าที่เจ้าสาวบ่นว่าอยากกินขนมร้านโปรดทั้งๆที่พึ่งบ่นว่าอิ่มไปหยกๆ
“เฮีย พี่ติณณ์โทรมาค้างไว้อ่ะ”
รวียื่นโทรศัพท์เขาที่เก็บไว้กับกระเป๋ากล้องมาให้
เขารับมาแล้วเดินเลี่ยงออกมาอีกทางโดยมีสายตาล้อๆสามคู่มองตามมา ได้ยินแว่วๆว่าเอมอรถามอะไรสักอย่างกับรุ่นน้องตัวเองแล้วเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังตามมาให้ได้ยินเป็นระรอก
“โทรมามีไรหรือเปล่า กูพึ่งได้จับโทรศัพท์”
[เสร็จละหรอ จะกลับตอนไหนอ่ะมีเรื่องจะคุยด้วย]
“ยังไม่เสร็จ เดี๋ยวต้องไปถ่ายต่อแถวเยาวราชคงกลับดึกๆ”
[จะไปเยาวราชหรอ!]
“เออสิ ก็บอกอยู่หยกๆ”
ขุนแผนยกนาฬิกาขึ้นมาดูแล้วกะเวลา
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องเตรียมจะร้องตามไปด้วยแน่ๆ
[ไปตอนไหน ไปด้วยดิ อยากกินหมูตุ๋น]
“กำลังจะไปตอนนี้อยู่สวนหลวง ให้ไปรับไหม”
[ไม่ๆ เจอกันนู่นเลย]
“ชวนพี่แนนมาด้วย กูทำงานไม่มีเวลาดูมึงนะ”
[โอ้ยพี่มึง! กูดูแลตัวเองได้ครับ แค่นี้นะเดี๋ยวถึงแล้วโทรหา]
ขุนแผนมองสายที่ตัดไปแล้วถอนหายใจเบาๆ
เหนื่อยหน่ายกับฤทธิ์เด็กดื้อที่หลังๆมานี้รู้สึกจะดื้อมากกว่าเดิมเป็นพิเศษ
“เอม ได้กลิ่นอะไรป่ะ”
“นั่นดิ เหม็นๆเนอะกาจ”
“เหม็นความรักหรือเปล่าครับพี่”
“ฮิ้ววววว”
พอเดินมาในระยะทั้งเพื่อนรักทั้งรุ่นน้องก็รวมหัวกันชง รวมหัวกันแซวยกใหญ่
ที่น่าหมั่นไส้คือคู่ผัวเมียที่สวีทกันจนมดแทบจะขึ้นเลนส์กล้องเขามาทั้งวันแล้วยังมีหน้ามาพูดว่าเหม็นความรัก
“กวนตีนละ ไปกันเลยไหม”
“เออ แผนกูว่าจะเปลี่ยนไปตลาดรถไฟว่ะ
อยากได้ฟีลร้านเหล้าด้วย”
ขุนแผนชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้นของเพื่อนสาว
ในใจนึกไปถึงเสียงดีอกดีใจของคนที่พึ่งวางสายไปแล้วหัวคิ้วก็มุ่นเข้าหากันจนคนมองนึกสงสัย
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“เยาวราชก็มีร้านเหล้า ไปถ่ายนู่นแหละ”
“แต่กูอยากไปตลาดรถไฟ”
“แต่กูจะไปเยาวราช” ขุนแผนพูดตัดบท
ผลักหัวเพื่อนสาวให้เซไปหาแฟนมันแล้วเดินหนีเพื่อเป็นการจบบทสนทนา
สุดท้ายทั้งสามก็พากันมาอยู่ที่เยาวราช
ส่วนรวีขอตัวกลับไปก่อนเพราะแม่โทรมาบอกว่าน้องสาวไม่สบาย
แต่ถึงอย่างนั้นสมาชิกที่ยืนอยู่กลับมีสี่คนเท่าเดิมเพราะมีสมาชิกใหม่ตามมาสมทบ
คนที่ทำให้เอมอรกระจ่างถึงสาเหตุของการอยากมาเยาวราชนักหนาของเขา
สายตาล้อเลียนกับคำแซวที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้เขานึกอยากจะหันไปเตะไอ้เพื่อนตัวแสบสักที
“จะพาเมียมาเที่ยวก็บอกกูดีๆก็ได้”
“เก็บปากมึงไว้แดกข้าวเถอะเอม”
“หึหึ น้องติณณ์ อยากกินอะไรคะ ป่ะมาเดินกับพี่ดีกว่า”
เอมกรหัวเราะด้วยเสียงที่ไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่แล้วเปลี่ยนไปควงแขนคนมาใหม่อย่างออกนอกหน้า
ทิ้งให้เขามองหน้ากับเจ้าบ่าวของมันปลงๆ
“ตกลงเรื่องจริงหรอวะ
ตอนไอ้ว่านเล่าให้ฟังกูยังนึกว่ามันอำเล่น” คนโดนทิ้งเอ่ยถามทั้งๆที่ตายังมองที่คนสองคนที่เดินห่างออกไป
ขุนแผนเพียงยิ้มเป็นคำตอบเหมือนทุกที
“เยยัง?”
“คำถามเดียวกับไอ้เหี้ยว่านเลย เห็นกูเป็นคนยังไง”
“เป็นคนขี้เย พี่แผนสิบนาทีไง” กาจพูดเน้นทุกคำในประโยค
รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปากของว่าที่เจ้าบ่าวเมื่อนึกย้อนไปถึงวีรกรรมสมัยเรียนของเพื่อนรัก
“สัด”
“หึหึ แสดงว่าคนนี้จริงจังมากเลยดิ”
ขุนแผนกระตุกยิ้มที่มุมปากเป็นคำตอบ
แล้วสองเพื่อนรักก็เดินทอดน่องตามไป คุยกันตามประสาเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนาน
กล้องตัวเก่งถูกยกขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเจ้าบ่าวจะยังเดินอยู่ข้างตากล้องก็ตาม
ภาพที่ปรากฏอยู่บนจอเป็นรูปของคนที่กำลังยัดขนมปังเข้าปากทั้งชิ้นจนไส้ทะลักออกมาเปื้อนแก้มตัวเอง
“แดกดีๆสิวะ เป็นเด็กหรือไง”
ขุนแผนลดกล้องลงแล้วส่งมือไปเช็ดไส้ขนมปังที่เลอะแก้มของอีกฝ่ายออกจนหมด
แล้วป้ายนิ้วมือเข้าปากของคนที่พึ่งกลืนขนมปังลงคอไปเป็นการเช็ดมือ
“เค็ม!”
ขุนแผนส่ายหัวกับตาวาวๆที่ส่งมา
ยกแขนเกี่ยวคออีกฝ่ายให้มาอยู่ข้างกายแล้วออกปากไล่เพื่อนสาวให้ไปกับว่าที่สามีตามกฎหมายของตัวเอง
“จะถ่ายไหมงานอ่ะ ไปเดินกะผัวมึงไป”
“หยาบคายยย” เอมอรเบะปากแล้วเดินกลับไปเกี่ยวแขนแฟนหนุ่ม
ขุนแผนปล่อยให้ทั้งคู่เดินนำไปแล้วยกกล้องขึ้นถ่ายเรื่อยๆสลับกับหันไปมองคนที่เดินอยู่ข้างๆ
“อยากลองถ่ายไหม”
ขุนแผนหันไปถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมองเขาความท่าทีสนอดสนใจ
“ไม่เอาอ่ะ เดี๋ยวงานพี่ไม่เสร็จ”
“ลองดู”
ขุนแผนพูดแล้วยัดกล้องใส่มือคนตัวเล็กกว่าโดยไม่ลืมที่จะเอาสายคล้องไว้ที่คอด้วย กลัวมันทำตก เสียหายหลายแสนนะครับถ้าตกไป ส่วนงานจริงๆเขาตกลงกับเพื่อนทั้งสองไว้แล้วว่าตอนกลางคืนนี้จะเดินเล่นชิวๆถ่ายได้แค่ไหนแค่นั้น
แชะ!
เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นเบาๆทั้งๆที่ติณณกรยังไม่ได้ยกกล้องขึ้นเลยด้วยซ้ำหันไปด้านหลังก็เจอหญิงสาวยืนถือกล้องอยู่ในมือ เธอค้อมหัวเชิงขอโทษเมื่อโดนจับได้ว่าแอบถ่าย แต่ร่างเล็กข้างเขากลับส่งยิ้มเชิงว่าไม่เป็นไรแล้วขยับเข้ามาใกล้แล้วยกมือดึงแก้มเขาให้ยิ้มให้กล้อง
“สร้างภาพสัด”
ขุนแผนเปรยเบาๆหลังจากที่เดินออกมาจากตรงนั้นแล้ว
“เห็นเวลาเขามโนแล้วตลกดี”
ร่างบางว่าแล้วยกกล้องขึ้นมาทางเขา ขุนแผนยกมือขึ้นบังแล้วเบี่ยงตัวหลบ
“ยิ้มหน่อย”
“ไม่เอา”
“เร็วๆ ยิ้มให้ผมก็ได้”
หือออ เจอประโยคนี้ไป
“อีแผนน ทำงานว้อยยย” เสียงแหวของเอมอรดังขึ้นขัดจังหวะ
ซึ่งสาเหตจริงๆแล้วน่าจะเพราะว่าอยากขัดความสุขเขามากกว่า
เขาเลยเดินไปผลักหัวมันแรงๆทีนึงด้วยความหมั่นไส้
หลังจากเดินกันไปจนหญิงสาวเพียงคนเดียวบ่นว่าปวดขาแล้ว
ทั้งคู่จึงขอตัวกลับไปก่อน แผนถ่ายรูปที่ร้านเหล้าก็ต้องพับเก็บไปก่อน
ขุนแผนเลยเลือกที่จะพาร่างเล็กเดินย้อนกลับมาที่ร้านหมูตุ๋นที่เจ้าตัวบ่นว่าอยากกิน
ทั้งคู่มาถึงห้องพักในเวลาเกือบเที่ยงคืน
และก็เป็นคุณหมอหนุ่มที่เดินตามคนตัวสูงกว่าเข้าห้องเพราะว่าเขาดันลืมคีย์การ์ดไว้บนรถของณกาน
“มานอนบ่อยขนาดนี้ ย้ายมาอยู่กับกูเลยไหมล่ะ” ขุนแผนเอ่ยเย้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อยืดตัวใหญ่ของเขากับกางเกงนอนเน่าๆของมันที่ติดตู้เสื้อผ้าเขาอยู่
“อันนี้ชวนจริงจังหรือกวนตีน เช็ดผมให้หน่อยปวดแขน”
ติณณกรถามกลับ เดินลากขามาหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงตรงที่เจ้าของห้องนั่งอยู่แล้วส่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กในมือให้อีกฝ่ายเช็ดผมให้
“กวนตีน”
“…”
“แต่ถ้ามึงจริงจังกูก็ไม่ว่าอะไรนะ”
เขาออกแรงขยี้หัวอีกฝ่ายแรงๆ
อย่างนึกหมั่นไส้เมื่อเห็นคนที่บ่นว่าปวดแขนเช็ดผมเองไม่ได้แต่นั่งเล่นโทรศัพท์หน้าตาเฉย
“เออพี่ ช่วงนี้มีวันว่างมั่งป่ะ”
“ก็มี ทำไม?”
“มีโปรเจคหนังสั้นอ่ะ ว่าจะชวนมาเล่น”
“กับมึง?”
“อื้อ”
“เอาดิ”
ติณณกรเงยหน้ามองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตกปากรับคำง่ายๆ
คนที่นั่งอยู่บนเตียงเลยส่งสายตาไปถามว่ามองทำไม
แล้วออกแรงขยับให้อีกฝ่ายนั่งดีๆเพื่อที่เขาจะได้เช็ดผมให้ได้สะดวก
ระหว่างนั้นติณณกรก็ไม่ได้พูดอะไรอีกจนรู้สึกว่าผ้าเช็ดตัวหยุดขยับแล้วจึงเลื่อนตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงแทน
ปล่อยให้เจ้าของห้องเดินไปอาบน้ำอาบท่าบ้าง
“เออพี่ ตอนนั้นทำไมพี่ยอมเล่นโฆษณาอ่ะ” ติณณกรส่งเสียงถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องน้ำแล้ว
“ไอ้ว่านมาขอ”
“หรอ วันนี้พี่ว่านบอกว่าต้องอ้อนวอนพี่ แถมเสียของรักอีก
พี่ไปเอาไรจากพี่มันมาวะ”
“…”
ติณณกรละสายตาจากเกมส์ที่เล่นอยู่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถาม
แล้วเขาก็พบว่าอีกฝ่ายมองเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์
“อะไร”
“มึงไง”
“ห้ะ?”
“นอนเหอะ กูง่วง”
ร่างสูงเดินไปปิดไฟในห้องแล้วดึงโทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายไปวางไว้โต้ะข้างเตียงแล้วล้มตัวลงนอน
ปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งประมวลผลกับคำพูดของเขา
“เห้ยยย!! ผมหรอ
ที่ช่วงนี้พี่ว่านเลิกมาวอแวกับผมเพราะพี่หรอ” ติณณกรชี้นิ้วเขาหาตัวเองแล้วก้มหน้าลงไปสบสายตากับคนที่นอนอยู่ในความมืด
“ก็เห็นมึงไม่ชอบ ไม่ใช่?”
“ใช่ แต่ไม่คิดว่าพี่จะ…”
“พูดมากจังวะ นอนได้แล้ว”
ติณณกรทำตามอย่างว่าง่าย
เขาสไลด์ตัวลงมานอนแล้วพลิกตัวหันหน้าเข้าหาคนที่หลับตาไปแล้ว
รู้สึกได้ถึงกระแสความรู้สึกที่แล่นริ้วอยู่ในตัวเอง
หัวใจทำงานหนักอีกแล้วแฮะ
TBC.
--------------------------------------------
#จักรวาลขุนติณณ์
พบคนเขิน 1ea ฮรื่อออ อิพี่ก็ขยันหยอดจริ้งงงงง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
ความคิดเห็น