คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : SHUTTER 10 : เรื่องของความรู้สึก
THE
SHUTTER ♡ 10 เรื่องราวของความรู้สึก
การจราจรในตอนพลบค่ำเช่นนี้ทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถได้แต่ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้
สายฝนโปรยปรายลงมาทำให้ทัศนียภาพรอบด้านดูอึมครึมไปหมด ที่เห็นชัดเจนคงมีเพียงแสงสีแดงยาวต่อกันเป็นสายจนไม่รู้ต้นขบวนนั้นอยู่ตรงไหน
คุณหมอร่างเล็กเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนคลื่นวิทยุเมื่อช่องที่ฟังอยู่เริ่มมีคลื่นแทรกเข้ามาจนฟังไม่รู้เรื่อง
“อยากรู้ค่ำนี้เธออยู่ไหน คิดถึงใครหรือเปล่า
ยังจำคนๆ นี้ได้ไหม อยากรู้ยิ่งคิดใจยิ่งเหงา
ไม่รู้นานอีกสักเท่าไร จะได้พบเธออีก
ได้แต่เฝ้าคอยอย่างนี้”
นิ้วเรียวเคาะตามจังหวะเพลงแล้วก็ดันเผลอคิดไปถึงคนที่เคยนั่งอยู่ด้วยกันในรถด้วยบรรยากาศเหล่านี้
ถ้าพี่มันอยู่ด้วยป่านนี้เขาคงได้เอนหลังเล่นเกมแล้วแท้ๆ
คิดถึงแฮะ…
“อีกแล้วที่น้ำตาต้องไหลที่หัวใจมันสั่น
ยังจดจำแค่เพียงเรื่องเธอ
อีกแล้วยิ่งฝืนใจยิ่งเพ้อ คิดถึงเธอคนนี้ที่สุด
อยากจะพบที่สุด อยากให้รู้ว่าคิดถึง” *
RRRRRR
เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นดึงความสนใจจากคนที่กำลังฮัมเพลงอยู่ในลำคอให้หันกลับไปมอง
ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ริมฝีปากบางเจื่อไปด้วยรอยยิ้ม เจ้าของโทรศัพท์เลือกที่จะปล่อยให้เสียงนั้นดังจนสายตัดไปแล้วเงียบไปทั้งอย่างนั้น
ติณณกรเบ้ปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โทรมาอีกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปยังเบอร์ที่พึ่งโทรเข้ามา
รอจนอีกฝ่ายรับสายแล้วจึงกรอกเสียงทะเล้นตามไป
“ว่าไงครับพ่อ”
[พ่อมึงสิ ทำไรไม่รับสาย]
“ขับรถอยู่ แล้วโทรมามีไร?”
[ไม่มีไร]
“เอ้า?”
[อยากได้ยินเสียงเฉยๆ]
“คิดถึงผมอ่ะดิ”
[เออ]
น้ำเสียงห้วนๆที่ตอบกลับมาทำเอาคนฟังทำปากพะงาบๆ
หาเสียงตัวเองไม่เจออยู่หลายนาที ในตอนแรกเขาเพียงอยากแกล้งเย้าอีกฝ่ายเล่นๆเท่านั้น
ไม่คิดว่าคำตอบที่ได้มาจะทำให้ตัวเองใบ้แดกอย่างนี้
จนปลายสายเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงด้วยการถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกสองสามคำแล้ววางสายไป
ทิ้งให้ติณณกรอยู่บนท้องถนนเช่นเคย
ตึ้งงง
เสียงแจ้งเตือนจากแอพอินสตาแกรมเด้งขึ้นมาเมื่อมีคนส่งข้อความมาหา
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันกับข้อความที่ปรากฏอยู่
-พรุ่งนี้ จะกลับไปเอาคำตอบนะ-
“เชี่ยไรของแม่งวะ”
ติณณกรวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม
แล้วหันมาสนใจท้องถนนตรงหน้าต่อเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว ใช้เวลาอีกราวชั่วโมงร่างบางก็พาตัวเองขึ้นมาถึงห้องพักได้สำเร็จ
เปิดประตูเข้ามาก็เจอผู้จัดการคนสวยยืนยิ้มแฉ่งอยู่ก่อนแล้ว
“มากินข้าวกัน หิวยัง”
“หิวมากกกก ไส้จะขาดแล้วพี่”
“มาๆ เสร็จพอดีเลย”
ติณณกรเลิกคิ้วมองการกระทำเหล่านั้นแล้วคลี่ยิ้มออกมาบางๆ
วันนี้ผู้จัดการของเขาดูระริ้กระรี้เหลือเกินจนเขาอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “จะเอาอะไรครับ”
“เปล่าซะหน่อย เห็นพี่เป็นคนยังไงเนี่ย”
“ก็วันนี้ใจดีแปลกๆ” ติณณกรว่าพลางตักกับข้าวเข้าปาก
ยิ้มทะเล้นรับค้อนวงโตที่ถูกส่งมาโดยคนตัวเล็กกว่า
"อารมณ์ดีเฉยๆย่ะ"
จริงๆแล้วณกานเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เขาคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก
ส่วนตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวนี่เจ้าตัวเป็นคนเสนอเองทั้งๆที่ก็มีงานประจำอยู่แล้ว
โชคดีที่เขาไม่ได้ทำงานในวงการเต็มตัวเหมือนตอนเข้าวงการมาใหม่ๆแล้ว
หลังจากปล่อยเพลงใหม่ไปรับแค่งานอีเว้นท์เล็กๆ กับรายการทีวีแค่เดือนละสองสามงาน
ส่วนงานหลักจริงๆอยู่ที่โรงพยาบาล เจ้าหล่อนเลยไม่เหนื่อยมากนัก
ถึงเหนื่อยก็มีบางคนพร้อมเสนอตัวมาทำหน้าที่แทนอยู่แล้ว
พอคิดมาถึงตรงนี้ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัวจนกระทั่งได้ยินเสียงทักจากคนที่อยู่ตรงหน้า
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คิดถึงใครจ๊ะ”
“ป่าวซะหน่อย”
“ใช่พ่อหนุ่มห้องตรงข้ามหรือเปล่าน้ออออ”
“เพ้อเจ้อละพี่ กินข้าวไปเลย”
“จ้าาา” ณกานยิ้มกว้างกลับไปให้
นึกขำคนที่ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนทั้งๆที่หูแดงไปหมดสงสัยว่าเธอจะพูดจี้ใจดำเข้าจังๆ สงสัยกามเทพจะแผลงศรเข้าเต็มรักแล้วกระมั่งนี่
กิจวัตประจำวันของติณณกรดำเนินต่อไปอย่างเฉื่อยชาไม่มีอะไรตื่นเต้น
วันนี้เขาเลยตัดสินใจรับคำชวนของรุ่นพี่ที่ชวนไปดูภาพยนต์เวลาฉายรอบแรกหลังเลิกงาน
กว่าหนังจะจบเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม และกว่าเขาจะฝ่าการจราจรมาได้ก็เกือบสี่ทุ่ม
“ทำไมพึ่งกลับ”
คนที่เดินลากขาตัวเองมาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดุๆของคนที่ยืนพิงกำแพงหน้าห้องเขาอยู่
ไรหนวดเขียวครึ้มทำให้ใบหน้าคมคายนั้นดูดุขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
“ไปดูหนังมา พี่มายืนทำไรตรงนี้”
“มารอมึงเนี่ย
โทรไปก็ไม่รับนึกว่าไปจูบเสาไฟฟ้าที่ไหนตายห่าไปแล้ว”
“ปากหรอน่ะ” ติณณกรส่งเสียงเนื่อยๆกลับไป ขยับตัวไปไขกุญแจห้องตัวเองโดยมีร่างสูงยืนมองอยู่ไม่ห่าง
จนกระทั่งร่างเล็กก้าวเข้าไปในห้องแล้วหมุนตัวกลับมาปิดประตู
สายตาสองคู่ประสานกันเงียบๆ ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน
หนึ่งคนส่อแววหงุดหงิดเพราะเหนื่อยจากงานแล้วยังต้องมาฟังคำพูดไม่เข้าหู
ส่วนอีกหนึ่งแววตาไหววูบส่อแววน้อยใจระคนเป็นห่วงเพียงวูบเดียวก่อนจะกลับไปเรียบเฉยเช่นเดิม
กึก
ขุนแผนมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ปิดลงแล้วถอนหายหนักๆออกมา
ร่างสูงหมุนตัวเดินเข้าห้องตัวเองบ้าง เขากลับมาถึงกรุงเทพตั้งแต่บ่าย หลังจากถ่ายงานเสร็จเมื่อเช้าก็ตีรถกลับมาเลยโดยปฏิเสธอาหารมื้อกลางวันของลูกค้าเพราะว่าอยากจะมาเจอไอ้เด็กบ้านั่นเร็วๆ
แล้วดูสิ่งที่เจอสิ
เฮ้อออ น่าน้อยใจชะมัด
เบียร์สองกระป๋องถูกหยิบติดมือมายังระเบียงห้อง อากาศชื้นๆหลังฝนตกไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีเท่าไหร่นัก
เบียร์กระป๋องแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงเท้าแขนกับราวระเบียงแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเลื่อนไปที่อินสตาแกรมแอคเคาท์หนึ่งที่มีภาพเล็กๆ 9 ภาพที่เรียงต่อกันเป็นรูปของคนที่พึ่งปิดประตูหนีไปเมื่อครู่
ภาพที่เป็นสาเหตุหลักที่อยากกลับมากรุงเทพเร็ว ๆ และสาเหตุที่ทำให้กูต้องมายืนเป็นหมาอกหักอยู่ตรงนี้ ไอ้ฉิบหาย ไน่าน่าบ้าจี้ไปกับพวกแม่งเลย ไหนว่าทำแล้วจะโรแมนติกไงวะ ไหงออกมาดราม่างี้อ่ะ
นิ้วเรียวกดล็อคโทรศัพท์แล้วเก็บลงในกระเป๋ากางเกง
ก่อนจะหันมาสนใจเบียร์อีกกระป๋องที่ถูกปล่อยทิ้งจนความเย็นแทบจะไม่เหลือ
ของเหลวรสขมปร่าในกระป๋องถูกกระดกลงคอรวดเดียวหมด
RRRRRRR
โทรศัพท์แผดเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกงถูกปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้นจนเสียงเงียบไป และแม้ว่ามันจะดังขึ้นอีกกี่ครั้งชายหนุ่มก็ไม่สนใจจะหยิบมันขึ้นมาดู
ความผิดหวังนี่มัน…เจ็บเหมือนกันแฮะ
สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
ละอองฝนเย็นๆสาดเข้ามากระทบผิวกายจนชายหนุ่มต้องพาตัวเองกลับเข้ามาอยู่บนโซฟาในห้องแทน
สายตาเหลือไปเห็นซองสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือที่วางแอบอยู่บนชั้นวางทีวีแล้วถอนหายใจแรงๆ
ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบบุหรี่มวนเล็กขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก
หลบอยู่ตั้งนานพอกูเครียดล่ะ
เสนอหน้ามาให้เห็นเชียวนะ
ขุนแผนพาตัวเองมาอยู่ที่ระเบียงห้องอีกครั้ง
ประกายไฟถูกจุดขึ้นที่ปลายมวนก่อนที่ควันสีขาวจะถูกพ่นออกมาทีหลัง ร่างสูงเอนกายแนบกับกำแพงเย็นๆเพื่อไม่ให้ไฟที่ปลายมวนถูกละอองฝนจนดับลง
ก๊อกๆ
เสียงเคาะที่ประตูกระจกเบาๆ
เรียกให้คนที่ทอดสายตาไปข้างหน้าหันกลับไปมอง
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นคุณหมอห้องตรงข้ามยืนนิ่วหน้าอยู่ตรงนั้น
“มีไร”
“เป็นห่าไรไม่รับโทรศัพท์”
“พอใจ”
ร่างสูงเบือนหน้าหนีกลับมามองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับแรงดึงของบางอย่างออกจากกระเป๋าหลัง เจ้าของห้องเหลือบตามองคนที่เดินมายืนอยู่ข้างกันแล้วเอ่ยปากทักเบาๆ
“ออกมาทำเชี่ยไร ฝนตกเดี๋ยวก็ป่วย”
“พอใจ”
“อย่ากวนตีน เข้าห้องไป” ขุนแผนเพิ่มความเข้มของเสียงขึ้นเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายก็ยังคงลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
“ที่พี่ยังยืนได้เลย”
“กูดูดบุหรี่”
“ผมก็จะดูดเหมือนกัน” คนตัวเล็กกว่าหยิบบุหรี่มวนเล็กจากซองที่เขาดึงมาจากคนข้างๆเมื่อกี้ขึ้นมาคาบไว้ในปากบ้าง
“ขอไฟแช็กหน่อยดิ”
ขุนแผนหันกลับมามองหน้าคนที่ยืนคาบบุหรี่อยู่เต็มตา
มือหนาเชยคงอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นแล้วก้มหน้าลงไปบรรจงขยับให้ปลายบุหรี่ของตัวเองที่ยังติดไฟอยู่ต่อกับเข้าปลายมวนของอีกฝ่าย
ร่างเล็กดูดเบาๆอย่างรู้จังหวะไม่นานปลายมวนของเขาก็ติดสีแดงระเรื่อแล้วพ่นควันใส่หน้าคนที่ยังไม่ขยับไปไหน
ร่างสูงขยับตัวออกมาแนบแผ่นหลังเข้ากับกำแพงเช่นเดิม
ทั้งสองคุยกันผ่านความเงียบกับเสียงสายฝนที่กระทบพื้นถนนด้านล่าง
“พอ” ติณณกรพูดแค่นั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมจะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดอีกมวน
เขาดูดบุหรี่ในมือตัวเองเร็วๆจนหมดมวนแล้วขยี้ส่วนที่เหลือลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วออกแรงดึงให้อีกคนเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยกัน
“แล้วตกลงมึงมาทำไม”
“ซันโทรมาบอกให้มาดู เห็นโทรไม่รับ”
“แล้วมึงเข้ามาได้ไงวะ”
“ลงไปขอกุญแจพี่หนุ่มมา”
ขุนแผนพยักหน้ารับรู้แล้วไม่พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
จนติณณกรทนไม่ไหวจึงต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงเอง
“พี่เป็นเหี้ยไรวะ”
“…”
“เป็นอะไรก็พูดสิวะ อมพะนำอยู่ได้”
“…”
“เออ!! ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดแม่ง
พรุ่งนี้มีงานตอนบ่ายไปส่งด้วย!”
ขุนแผนมองคนที่พูดเร็วๆใส่แล้วลุกหนีออกไปจากห้องทั้งอย่างนั้น
รอยยิ้มเหยียดๆอย่างนึกสมเพชตัวเอง เหมือนอีกฝ่ายจะให้ตำแหน่งเขาไว้แค่คนขับรถแฮะ
เออ คนขับรถก็คนขับรถ
* เพลงคิดถึง…อีกแล้ว Ost. Wake Up ชะนี, เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี
TBC.
-------------------------------------------
#จักวาลขุนติณณ์
พบคนงี่เง่า 1ea ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
ความคิดเห็น