ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #9 : SHUTTER 9 : สักทีดีไหม

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 61


    THE SHUTTER   9 สักทีดีไหม

     

     

    ร่างบางของคุณหมอที่พึ่งเลิกจากงานนั่งห้อยขาอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงในร้านกาแฟร้านประจำที่เขามักใช้เป็นจุดนัดพบกับใครบางคน ชาเขียวในแก้วพร่องไปกว่าครึ่งวางคู่อยู่กับแก้วกาแฟที่รอเจ้าของมาดื่ม เค้กในจานใบเล็กถูกจัดการจนเหลือแต่เศษบิทกิตเล็กๆ นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเช็คข่าวสารต่างๆ แล้วสายตาก็สะดุดกับภาพๆหนึ่งที่ถูกเมนชั่นมาหาในทวิตเตอร์


    ภาพที่เขาเท้าแขนบนไหล่กว้างของคนที่นั่งมองกล้องในมือแล้วก้มหัวมองกล้องตัวนั้นด้วยกัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าคนทั้งคู่เป็นใคร ข้อความที่แนบมาด้วยทำให้ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


     

    ความแฟนนนนนน อยากมีตากล้องส่วนตัวแบบนี้มั่งจัง #ขุนติณณ์ #TINNAKORN’

     

    คิดกันไปถึงไหนล่ะนั่น?


    ภาพนั้นเป็นภาพตอนที่พี่ขุนชวนเขาไปถ่ายรูปเล่นที่ร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดของเราทั้งคู่ มันเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว ทุกครั้งที่เวลาเขามีเวลาว่างพี่มันจะขยันลากเขาออกไปนู่นไปนี่อยู่เสมอ มันก็ดีที่นอกจากจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาในที่ใหม่ๆแล้วยังได้รูปสวยๆมาลงไอจีอีกด้วย


    นิ้วเรียวกดเข้าไปในแฮชแท็กแรกแล้วก็เจอกับรูปของตัวเองกับเจ้าชื่อเต็มไปหมด หลังจากที่โฆษณาถูกปล่อยออกไปก็รู้สึกว่าเรือผีจะไม่ผีอีกต่อไป เพราะเหมือนว่าจำนวนลูกเรือจะเพิ่มมากขึ้นจนเขาเผลอถอนหายใจออกมา


    ก็แหม การเห็นแฟนคลับมาเชียร์ให้ได้กับผู้ชายคนอื่นนี่มันไม่แปลกๆหรอ!!


    ภาพที่ถูกแคปมาจากโฆษณามีหลายรูป แต่ก็ยังมีรูปเขากับอีกคนตามที่อื่นๆอยู่ประปราย มีรูปนึงที่เขาเบะปากใส่คนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ทำให้เขาหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการตอนนั้นที่เขาเถียงกันว่าจะเลือกเส้นสปาเก็ตตี้เบอร์ไหนดี


    “ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว”


    เสียงแหบๆจากคนมาใหม่เรียกความสนใจจากคนที่มองโทรศัพท์อยู่ ร่างบางไม่ตอบแต่พลิกหน้าจอให้อีกฝ่ายดูแทน


    “ตลกดี คิดกันไปได้ไงว่าผมจะเป็นเมียพี่เนี่ย”


    “ลองไหมล่ะ”


    “ตีนดิ งานเป็นไง” ติณณกรเลื่อนกาแฟที่วางอยู่คู่กันไปให้อีกฝ่ายแล้วเอ่ยปากชวนคุย


    “ก็ดี โลเคชั่นสวยดี เดี๋ยววันหลังเดี๋ยวพาไป”


    “อืมม เอาดิ จริงๆ ถ้าพี่มีงานผมกลับเองก็ได้นะ” ติณณกรพูดทั้งๆที่ปากยังคาบหลอดอยู่ จริงๆเขาพูดประโยคนี้บ่อยมาในช่วงเวลาสองเดือนกว่าๆที่ผ่านมา แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาในทำนองเดิมเสมอ


    “ขี้เกียจรอ?”


    “เปล่า แต่พี่ขับรถวนไปวนมาไม่เหนื่อยรึไง”


    “ทางผ่าน หิวยัง”


    “หึ พึ่งกินเค้กไป” ติณณกรตอบแล้วพยักเพยิดไปที่จานเค้กที่วางอยู่ไม่ห่าง ร่างสูงปรายตามองแล้วหันมาถามต่อ


    “ทั้งวันนี้กินข้าวมั่งยัง”


    ติณณกรเงียบเพราะว่านอกจากแซนวิสเมื่อเช้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากเค้กจานตรงหน้ากับขนมปังเนยที่กินไปเมื่อกลางวัน


    “มึงเป็นหมอนะ ไม่ดูแลตัวเองแล้วจะไปดูใครได้วะ ป่ะลุกเลย” ขุนแผนเห็นอาการนั้นก็รู้ทันที เขาหยัดกายลุกขึ้นแล้วยกแขนเกี่ยวคออีกฝ่ายให้ลุกตามมาด้วยกัน


    มื้อเย็นวันนั้นจบลงที่สุกี้หม้อใหญ่ บรรดาเนื้อสัตว์และผักนาๆชนิดอวดโฉมอยู่ในนั้นกำลังถูกจัดการด้วยคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน


    “เอามาทำไมไม่กิน” ติณณกรท้วงเมื่ออีกฝ่ายคีบผักใบเขียวมาใส่จานเขา


    “แดกเข้าไป”


    “ยุ่งจังวะ”


    ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่คนตัวเล็กกว่าก็ยอมกินผักชิ้นนั้นและอีกหลายๆชิ้นที่ถูกส่งมาแต่โดยดี ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงได้มาสนิทกับคนตรงหน้านี้ได้ รู้ตัวอีกทีคนตรงหน้าก็กลายมาเป็นคนขับรถ เป็นตากล้องส่วนตัว เป็นผู้จัดการส่วนตัวบางทีที่พี่แนนไม่ว่าง และเป็นคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะในบางเวลา


    เอาเข้าจริงการมีพี่มันอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้แย่อะไรออกจะดีเสียด้วยซ้ำ


    ขุนแผนมองคนที่กินไปเล่นโทรศัพท์ด้วยแววตาอ่อนลง ในใจนึกย้อนไปถึงบทสนทนากับเพื่อนรักที่พึ่งคุยกันไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

     

    “เป็นไงมึง ถึงไหนแล้ว”


    ขุนแผนเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามาหาจากด้านหลังขณะที่เขากำลังเช็คภาพจากมอนิเตอร์ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายถามถึงงาน แต่เจ้าตัวกลับเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน


    “น้องติณณ์อ่ะ ยังไง”


    “ก็ไม่ยังไง”


    “ไม่ยังไงอะไรวะ กูเห็นเทียวรับเทียวส่งได้กันยัง” เสียงตอนท้ายถูกลดลงให้ได้ยินกันเพียงสองคน และสิ้นเสียงนั้นเพื่อนตัวดีของเขาก็ถูกมะเหงกเขกไปกลางหัวหลังจากพูดเรื่องไม่เข้าหู


    “เอาดีๆ?”


    “ยัง”


    “เชี่ยย เป็นไปได้ไง เสียชื่อพี่แผนสิบนาทีได้ไงวะ”


    เขาปรายตามองเพื่อนแล้วส่ายหัวเบาๆ จริงๆฉายานั้นเป็นฉายาที่เพื่อนในกลุ่มตั้งให้ตั้งแต่สมัยมหาลัย แล้วไอ้ที่สิบนาทีที่ว่าคือสิบนาทีที่หลังจากที่เขาสบตากับสาวสวยสักคนจนจบถึงนาทีพี่พาขึ้นเตียงไม่นับรวมเวลาหลังจากนั้น


    “ทำไมวะ”


    “กูไม่รีบ”


    “จริงจัง?”


    เขาเลือกที่จะเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายว่าอย่างไร มือหนาเร่งมือจากงานเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานของคนที่เป็นหัวข้อสนทนาแล้ว จนกระทั่งเขาเก็บของเสร็จเพื่อนรักก็ยังไม่ขยับไปไหน แถมยังพูดปิดท้ายประโยคที่ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกเบาๆ


    “ไอ้แผนมึงจะยึกๆยักๆทำห่าอะไรเนี่ย ระวังหมาคาบไปแดกนะครับ”

     


    “ไอ้พี่ขุน!!


    “หือ” เสียงเรียกกับมือที่โบกไปมาอยู่ตรงหน้าปลุกเจ้าของชื่อให้ตื่นจากภวังค์ มองหัวคิ้วอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันงงๆ “มีไร?”


    “เป็นไรวะ”


    “คิดอะไรเพลินๆ”


    ติณณกรเลิกคิ้วกับคำตอบนั้นแต่ก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อ ปล่อยให้มื้ออาหารดำเนินต่อไปโดยมีผักตักใส่จานตัวเองเรื่อยๆ เรื่องสัพเพเหระถูกยกมาเป็นประเด็นจนกระทั่งหม้อตรงหน้าว่างเปล่า


    ทั้งสองเดินเคียงกันมาจนถึงหน้าห้องแล้วก็เป็นติณณกรที่เดินตามร่างสูงเข้าห้องไป ขุนแผนมองคนตัวเล็กกว่าที่เดินเลยไปนั่งเล่นอยู่บนโซฟากลางห้องของเขา


    “ไม่กลับห้องตัวเองวะ”


    “พี่แนนพาเพื่อนมาตี้อ่ะ ขี้เกียจไปนั่งปั้นหน้า”


    ขุนแผนพยักหน้ารับรู้แล้วเดินเอาของตัวเองไปเก็บไว้ในห้องสตู ปล่อยให้แขกทำตัวเป็นเจ้าของห้องด้วยการกดปุ่มรีโมทเลื่อนหาช่องที่ตัวเองต้องการ ไม่นานเจ้าของห้องตัวจริงก็เดินมานั่งอยู่ข้างกัน


    “ติณณ์ พรุ่งนี้ไปทำงานเองนะ”


    นิ้วเรียวที่กดปุ่มรีโมทอยู่ชะงักลงเสี้ยววินาทีก่อนทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติ ติณณกรครางรับคำในลำคอแล้วเงียบไป เขาแค่แปลกใจนิดหน่อยกับคำพูดของอีกฝ่าย ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนพูดตลอดแท้ๆว่าไม่ต้องไปส่งไปเองได้ แต่พออีกฝ่ายพูดแบบนี้แล้วมัน


    “กูมีงานต่างจังหวัด ไม่ต้องทำหน้าเป็นหมาป่วยแบบนั้น”


    “ไปกี่วัน” คนโดนว่าเป็นหมาป่วยเบะปากแล้วออกปากถามไปทั้งๆที่ตายังจ้องอยู่ที่ทีวีจอใหญ่ เขาจึงไม่เห็นว่าอีกฝ่ายมามองด้วยสายตาแบบไหน


    “สามสี่วันมั้ง”


    “อืม” ติณณกรรับคำในลำคอแล้วทั้งคู่ก็นั่งดูหนังที่เอามาฉายย้อนหลังจบไปเรื่องหนึ่งก่อนที่ร่างสูงจะขยับตัวไปทำงาน ส่วนคุณหมอร่างบางก็ปลีกตัวไปอาบน้ำในห้องน้ำ


    ติณณกรมองแปรงสีฟันที่ถูกวางไว้คู่กันในแก้วน้ำสีขาวถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองมานอนค้างห้องนี้บ่อยแค่ไหน ร่างบางถอนหายใจเบาๆ แล้วจัดการธุระของตัวเองแล้วพาตัวเองมานอนอยู่บนเตียงกว้าง ส่งข้อความไปบอกณกานว่าคืนนี้จะนอนที่นี่ให้เจ้าหล่อนใช้ห้องได้ตามสบาย


    กว่าเจ้าของห้องจะกลับเข้ามาในห้องติณณกรก็เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว ร่างสูงเดินเข้าไปจัดการชำระล้างร่างกายแล้วเดินกลับมาที่เตียงของตัวเอง แล้วยกมือลูบกลุ่มเส้นผมของคนที่หลับตาพริ้มอยู่เบาๆ


    “นอนดิพี่ ดึกแล้ว” คนที่หลับตาอยู่ทำลายความเงียบลง นัยน์ตาที่เคยหลบอยู่ใต้เปลือกตาช้อนขึ้นมาสบกับคนที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่


    ขุนแผนเลียริมฝีปากแห้งของตัวเองแล้วสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกันกับคนที่ขยับตัวยันข้อศอกไว้กับเตียงแล้วแนบแก้มตัวเองไว้บนมือ


    “มองไร”


    “มองคนแอบแต๊ะอั๋งคนอื่น เห้ยย พี่ทำไรวะ” ติณณกรโวยวายเมื่อโดนคนอยู่ด้านล่างรวบเอวแล้วดึงเข้าหาตัวจนเขาถลาลงไปเกยอยู่บนอกอีกฝ่าย


    “ไม่แอบแล้ว”


    “ปล่อยเลย เล่นเชี่ยไรเนี่ย”


    “ก็มึงยั่วกูก่อน” ขุนแผนยกยิ้มแล้วกระชับเอวอีกฝ่ายมากขึ้นจนคนด้านบนขยับไม่ได้ แล้วหันมาตีหน้ายุ่งใส่เขาแทน


    “ยั่วอะไร ถ้ายั่วต้องแบบนี้”


    ติณณกรยิ้มทะเล้นเมื่อความคิดบางอย่างแล่นริ้วเข้ามาในหัว คนตัวเล็กยกมือที่เป็นอิสระลูบตามสันกรามของอีกฝ่าย ไล้มาจนถึงแผ่นอกกว้างแล้วปัดไปปัดมาจงใจให้เฉียดตุ่มไตกลางอก ร่างบางจงใจช้อนสายตาขึ้นสบกับคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้วหลุบลงมองมือตัวเอง นิ้วเรียววนเป็นวงกลมบนอกกว้างแล้วหลุดหัวเราะออกมาเอง


    “ใจพี่เต้นโคตรแรงเลยว่ะ คิดไรกับผมป่ะเนี่--- เห้ยย!!


    ร่างบางร้องเสียงหลงเมื่ออีกฝ่ายพลิกกายเขาให้นอนติดเตียง หัวทุยหนุนอยู่บนแขนแกร่งข้างหนึ่งของคนที่คร่อมทับอยู่ด้านบนที่สอดเข้ามารองไว้


    ติณณกรกลืนน้ำลายลงคอเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รดอยู่ข้างแก้ม ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงการรุกล้ำเข้ามาใต้เสื้อนอน มือสากจากการทำงานเลื่อนขึ้นมาช้าๆจนมาหยุดที่ตำแหน่งเดียวกันกับที่เขาจงใจแกล้งอีกฝ่ายเมื่อครู่ ต่างกันตรงที่นิ้วหัวแม่มือของคนที่คร่อมอยู่ด้านบนปัดผ่านกลางอกอย่างตั้งใจแล้วหมุนวนอยู่อย่างนั้นจนมันแข็งขืนขึ้นเป็นไต ลมหายใจอุ่นๆเคลื่อนจากพวงแก้มไปหยุดอยู่ที่ซอกคอ เสียงแหบๆที่กระซิบอยู่ข้างหูทำเอาคนฟังขนลุกซู่


    “ใจมึงเต้นโคตรแรงเลยว่ะ คิดไรกับกูป่ะเนี่ย”


    “อื้ออ ไอ้เหี้ยพี่ขุน มึงปล่อยเลย” ติณณกรตะครุบมือใหญ่ใต้เสื้อให้หยุดเคลื่อนไหวก่อนที่เขาจะลูบอะไรต่อมิอะไรไปมากกว่านี้ ร่างเล็กหัวหูแดงกับประโยคที่อีกฝ่ายลอกคำพูดเขามาวางทั้งดุ้น


    ดาเมจแรงสัดๆ


    ขุนแผนดึงมืออกจากเสื้อตัวบาง ทิ้งตัวลงนอนข้างกันแล้วรั้งเอวบางเข้ามากอดไว้หลวมๆ เอาคางเกยหัวคนที่ซุกหน้าเข้ากับอกเขาเอาไว้แล้วเปรยเบาๆ


    “กวนตีนดีนัก โดนสักทีดีมั้ง”


    “พี่มึงแม่ง”


    คนโดนกอดพึมพัมไม่เป็นภาษาแล้วขยับตัวหันหน้าออกจากอกกว้าง แขนเล็กคว้าหมอนข้างที่อยู่ไม่ไกลมากอดไว้และปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหมอนข้างของคนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยหัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ เช่นเดียวกับจังหวะการเต้นหนักๆของอีกฝ่ายที่เขาสัมผัสได้เมื่อแผ่นหลังแนบชิดอยู่กับแผงอกกว้าง


    ทำไงดีวะ พี่มันอันตรายต่อหัวใจมากเกินไปแล้ว 



    ติณณกรค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อแสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาผ่านม่านที่เปิดทิ้งไว้ เตียงด้านข้างที่ว่างเปล่าแสดงว่าคนที่เคยนอนอยู่ด้วยกันลุกไปก่อนหน้านี้แล้ว พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็พาลหน้าแดงเสียเฉยๆ


    คุณหมอสะบัดหัวไล่ความคิดแล้วลุกขึ้นเตรียมจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เสียงครางต่ำๆที่ลอดผ่านช่องประตูออกมาทำให้คนที่กำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดชะงักลง


    “อืมมม”


    ติณณกรขยับตัวเข้าใกล้ประตูอีกนิดแล้วเงี่ยหูฟังอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเบื้องหลังประตูบานนี้ไม่มีสิ่งชีวิตแปลกประหลาดอยู่ แต่เสียงที่ลอดออกมาทำเอาคนแอบฟังหน้าแดงอีกรอบ


    ไอ้เหี้ยพี่ขุน มึง....


    ติณณกรก้มลงมาลูกชายตัวเองที่ผงกหัวเคารพธงชาติอยู่ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของผู้ชายวัยนี้แหละนะ  คนหน้าประตูสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกดน้ำจากข้างใน เขารีบพาตัวเองกลับมาที่เตียงที่พึ่งลุกไป เอนตัวลงนอนหันหลังให้ทางที่พึ่งเดินจากมาแล้วตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ ภาวนาให้อีกฝ่ายเดินออกไปข้างนอกเร็วๆ


    ร่างสูงที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำมองก้อนผ้าห่มแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกแปลกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์หลังจากนั้นไม่กี่นาที 


    ขุนแผนมองภาพคนตัวเล็กขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาแล้วได้แต่นึกขำในใจ เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวเองขี้ร้อนแค่ไหน ตื่นมาแต่ละครั้งผ้าห่มไม่เคยได้อยู่ติดกายอีกฝ่ายเลยสักวันแต่วันนี้ดันห่อซะมิดเชียว


    โคตรจะไม่เนียนเลย...ไอ้เด็กขี้แอบฟัง


    รอยยิ้มยังพรายอยู่บนใบหน้า แผนการบางอย่างแล่นริ้วอยู่ในหัว เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นบ่งบอกว่าร่างสูงนึกสนุกมากแค่ไหน


    หาเรื่องให้หัวใจของคุณหมอได้ออกกำลังกายยามเช้าหน่อยแล้วกัน


    เร็วเท่าความคิดขุนแผนก้าวเท้ายาวๆไม่กี่ก้าวก็ถึงเตียง ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งข้างๆคนที่ยังหลับตาพริ้มอยู่แล้วจงใจส่งมือไล้แก้มใสนั้นเบาๆ คนแกล้งหลับสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังคงตีเนียนแกล้งหลับต่อไป


    “จะตื่นดีๆ หรือจะให้พี่จูบปลุกครับ”


    “เชี่ยยยย พี่มึงไปไกลๆตีนกูเลยนะ”


    สิ้นเสียงกระซิบที่ข้างหูคนแกล้งหลับก็ลืมตาพรวด แล้วเด้งตัวเตรียมหนีออกห่างคนที่นั่งหัวเราะอยู่ไม่ไกล แต่ขุนแผนไวกว่าเขาดึงแขนข้างหนึ่งของติณณกรเอาไว้ออกแรงดึงรวบเอวอีกฝ่ายให้มานั่งอยู่บนตักของตน


    “ปล่อย!!”


    “ไม่ปล่อย”


    “ปล่อย!!”


    “ไม่ครับ”


    “อย่ามากวนตีนแต่เช้าดิ้ ปล่อยเว้ย! ผมจะไปห้องน้ำ” ติณณกรออกแรงสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุม แต่เหมือนมันจะไม่เป็นผล เมื่อแขนแกร่งยังเกี่ยวเอวของเขาไว้แน่นแถมยังออกแรงกระชับทำให้แผนหลังของเขาแนบไปกับแผงอกของอีกฝ่ายจนแทบจะจมหายเข้าไป


    “เข้าไปทำไร? อ๋ออออ ให้พี่ช่วยไหมครับหืมม” ขุนแผนแสร้งเบนสายตามองกลางลำตัวของอีกฝ่ายที่นูนออกมานอกกางเกง มือข้างที่ว่างถูกส่งไปลูบหน้าขาของอีกฝ่ายเบาๆ “ไหนๆก็แอบฟังแล้ว สนใจลองด้วยตัวเองสักทีไหมครับ”


    “เล่นเชี่ยไรของพี่มึงเนี่ย ปล่อยเลย” ติณณกรหัวหูแดงไปหมดกับทั้งการกระทำและคำพูดของอีกฝ่ายยิ่งลมหายใจร้อนๆที่รดอยู่ตรงต้นคอยิ่งแล้ว


    เอากูออกไปจากตรงนี้ที!!


    ร่างบางตะโกนอยู่ในใจแล้วออกแรงขยับตัวไปมาจนคนที่นั่งอยู่ด้านล่างต้องกัดฟันจนสันกรามขึ้น ขุนแผนกลืนก้อนเหนียวๆลงคอก่อนจะเอ่ยปากปรามให้อีกฝ่ายหยุดดิ้น


    “ติณณ์ อยู่นิ่งๆ”


    “ทำมะ—”  ติณณกรเอี้ยวตัวกลับไปมองหน้าคนพูดแล้วเขาก็ต้องชะงักกลางคันเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆที่สะโพก “เอ่อออ พี่ก็ปล่อยผมดิ”


    แอดดดด~


    “เฮียตื่นยั---- เชี่ยยย เอ้ย โทษทีครับ”


    ปังง!!!


    ประตูห้องนอนถูกเปิดออกและปิดลงแทบจะทันที ติณณกรใช้จังหวะที่ร่างสูงเผลอรีบลุกขึ้นจากตักอีกฝ่ายแล้วเดินเร็วๆหนีเข้าห้องน้ำไป ก่อนจะปิดประตูคนโดนแกล้งส่งสายตาคาดโทษมาให้แล้วชี้ไม้ชี้มือเชิงว่าให้ออกไปเคลียร์ด้วย 


    “อ่าวว ไม่ต่อหรอเฮีย โทษทีผมนึกว่าเฮียยังไม่ตื่นเลยจะเข้าไปปลุก ไม่คิดว่าจะเข้าไปขัดจังหวะ”


    ก้าวเท้าออกมาจากห้องยังไม่พ้นสองก้าว คำพูดเร็วๆกับสายตาล้อๆของรวีก็ดังขึ้นโดยมีหน้าแดงๆของณกานเป็นฉากหลัง


    “ต่อเหี้ยไร กูเล่นกันเฉยๆ แล้วพี่แนน...มารับติณณ์หรอครับ”


    “อะ...เอ่อ พี่ออกไปข้างนอกมาเลยซื้อข้าวมาให้ติณณ์กับแผนแหละ” ณกานบอกแล้วชี้ไปที่ข้างกล่องสองกล่องที่วางอยู่บนโต้ะ ดูจากสีหน้ากับรอยยิ้มเขินๆของเธอแล้วคาดว่าไอ้คนขัดจังหวะชาวบ้านคงสังคายนาเรื่องที่มันเห็นไปแล้วเรียบร้อยแล้ว


    “พี่แนนอย่าทำหน้าอย่างนั้นดิ มันไม่มีอะไรจริงๆ ผมแค่แกล้งมันเฉยๆ”


    “แกล้งไรวะเฮีย มือหายเข้าไปในกางเก--- อุ่ยย แกล้งก็แกล้งครับ” รวีหุบปากฉับเมื่อรุ่นพี่ส่งสายตาเย็นๆไปให้


    “เออ รู้แล้วก็เลิกพูดไปเลย เลิกแซว เลิกกวนตีน ถ้าไม่เลิกมึงจะโดนตีน”


    “คร้าบบบ”


    หลังจากนั้นคนโดนแกล้งก็เดินหน้าแดงหัวยุ่งออกมาจากห้องแล้วเดินกลับห้องตัวเองไม่พูดไม่จากับใครสักคนโดยมีณกานเดินตามออกไป


    “เมียงอน ไปง้อสิเฮีย”


    “เมียพ่องง ไปเตรียมของไป” ขุนแผนบอกแล้วเลี่ยงเข้ามาจัดการธุระส่วนตัว เสื้อผ้าสองสามชุดถูกยัดลงกระเป๋าเป้ลวกๆ ใช้เวลาไม่นานร่างสูงก็พาตัวเองมาอยู่บนถนนสายมิตรภาพมุ่งหน้าสู่จุดหมายของวันนี้



    TBC.

    ------------------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์


    23/05/61  อย่าแกล้งกันบ่อย อิน้องใจบ่ดี เวลาพี่ขุนพูดเพราะๆนี่มันดีต่อใจจังเลยนะคะ เม้นให้เค้าหน่อยนะคนดี ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3





    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×