ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #7 : SHUTTER 7 : แฟนยังไม่มี มีแต่...

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 61


    THE SHUTTER  7 แฟนยังไม่มี มีแต่….

     

     

              “กับใครนะ?” ติณณกรเอ่ยถามย้ำอีกครั้งเมื่อได้ยินชื่อคนที่จะมาร่วมงานกับเขาในครั้งนี้ ผู้จัดการคนสวยของเขาส่งยิ้มหวานมาให้แล้วพยักหน้าขึ้นลงสองสามทีเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง


              “ก็ขุนแผนไง ตากล้องสุดหล่อคนนั้นอ่ะ”


              “โหว พี่แนนผมไม่อยากยุ่งกับไอ้บ้าพี่ขุนมันแล้วอ่ะ” ติณณกรโอดครวญหน้าง้ำ ทั้งที่ชีวิตช่วงนี้หลีกเลี่ยงจากการโดนก่อกวนมาได้สักพักนึงแล้วแต่ดันต้องมาเจอกันอีกแบบนี้ แถมยังเป็นโฆษณาโหนกระแสวายอีก แค่นึกถึงสายตาแพรวพราวที่อีกฝ่ายชอบส่งมาที่เขา ขนก็ลุกไปหมดแล้ว


    “น่าาา ลูกค้าเขาก็รีเควสมาเองเลยอ่ะ พี่เห็นว่าติณณ์ก็สนิทกับเขาออก เห็นเข้าออกห้องนั้นออกบ่อย  น่านะ จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆด้วยไง” ณกานรีบเข้าไปลูบแขนของคนที่ขมวดคิ้วอยู่อย่างเอาใจ จริงๆแล้วที่เธอตกลงรับงานนี้ไปเพราะได้ยินมาว่าฝ่ายนู้นยอมรับงานแล้วนั่นแหละ


    ไม่มีอะไรมากไปกว่าการสนองนี้ดของตัวเองล้วนๆนี่แหละค่ะ


              “เห้อออ ยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย”


              “ใช่จ่ะ เพราะพี่รับปากเขาไปแล้วไม่อยากเสียผู้ใหญ่อ่ะ นะๆ วันนี้ไปเซ็นสัญญากันนะ”


              “เลี้ยงเค้ก”


              “จ้าาาา” ณกานลากเสียงยาวๆ แล้วดึงแขนอีกฝ่ายให้เดินตามมาด้วยกัน

     


              การถ่ายงานโฆษณาเริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน โลเคชั่นที่ใช้ถ่ายใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงเพียงสองชั่วโมงเศษเป็นถนนเลียบอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ถูกขนาบด้วยต้นนางพญาเสือโคร่งที่ชูช่อบานสะพรั่งตลอดทั้งสาย เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพาคนรักมาขี่รถเล่นเป็นอย่างยิ่งถ้าไม่นับรวมแดดเดือนธันวาคมที่ไม่ตรงตามฤดูกาล


              “น้องติณณ์ครับ เดี๋ยวพอขับไปสักพักก็เอื้อมมือไปโอบเอวไอ้แผนนะครับ ไอ้แผนส่วนมึงขี่ๆก็หันมามองหน้าน้องติณณ์แล้วยิ้มนะ ยิ้มหวานๆอ่ะ เออๆ แบบนั้นแหละ ที่เหลืออยากได้เป็นโมเมนต์แบบคุยเล่นกันไม่มีบทนะ เอาตามฟีลเลย เคป่ะ”


              ขุนแผนที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนรถจักรยานยนต์ยี่ห้อหนึ่งพยักหน้ารับคำเพื่อนรักที่ยืนกำกับอยู่ไม่ห่าง ด้านหลังเขามีเจ้าของชื่ออีกชื่อนั่งซ้อนอยู่ด้วย ร่างสูงหันไปมองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสารเพราะแดดที่ค่อนข้างแรงทำให้ดวงหน้าขาวละเอียดเริ่มแดงระเรือด้วยสีเลือดฝาด


              “จะถ่ายจริงได้ยัง กูร้อน” ร่างสูงหันไปบ่นกับเพื่อนที่ยืนอยู่ไม่ไกล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยืดตัวเต็มความสูงเพื่อให้คนข้างหลังได้หลบแดด ภูษิตเบ้ปากกับท่าทางนั้นของเพื่อน หันไปสั่งกับทีมงานสองสามคำแล้วหันกลับมาหาเพื่อนรักอีกครั้ง


              “เออ ทำดีๆแล้วกันจะได้เทคเดียวผ่าน ไม่ต้องขี่เร็วนะ แล้วก็ตอนมองหน้ากันอ่ะ ขอหวานๆ หวานแบบมองแฟนอ่ะ”


              “เออ มึงย้ำมาสิบรอบละ” ขุนแผนรับคำแล้วทอดสายตามองเพื่อนรักเดินห่างออกไป เขาเหลือบตามองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังแล้วแกล้งบิดคันเร่งให้รถกระชากตัวออกมาเร็วๆ แล้วกำเบรกจนอีกฝ่ายที่เกือบหงายหลังในจังหวะแรกถลากลับมากระแทกที่แผ่นหลังกว้างอย่างแรงพร้อมเสียงโวยวายตามลำดับ


              “เล่นเชี่ยไรของพี่เนี่ย”


              “หึหึ รถมันแรง” ขุนแผนหัวเราะในลำคอแล้วเอี้ยวตัวกลับไปตบกระจกหมวกกันน็อคที่อีกฝ่ายเปิดขึ้นไว้ลงจนอีกฝ่ายชักสีหน้าใส่ “จับดีๆ”


              ติณณกรเบ้ปากแต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับชายเสื้ออีกฝ่ายไว้หลวมๆ ก่อนคนที่รับหน้าที่เป็นพลขับจะเคลื่อนตัวออกไประหว่างทางก็มีบางครั้งที่อีกฝ่ายแกล้งเบรกกระทันหันจนคนซ้อนต้องโวยวายอยู่หลายหน โดยมีสายตาหลายคู่มองไปยิ้มไป


              “ไอ้แนน ฉันอยากจะถ่ายคลิปไปลงจริงๆ อยากให้โลกรู้”


              “นั่นดิ เวลาเขาอยู่ด้วยกันน่ารักจริงๆว่ะ”


              หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ต้องขี่รถกลับไปกลับมาอีกสามสี่รอบก่อนผู้กำกับจะพอใจแล้วเปลี่ยนไปถ่ายที่ทั้งคู่จอดรถไว้กลางถนนเป็นหน้าที่ของติณณ์ที่ต้องพูดสโลแกนโดยมีร่างสูงนั่งอยู่บนรถอยู่เป็นฉากหลัง


              “มาซิ่งไปกับเราสิครับ”


              เจ้าของเสียงยิ้มหวานแล้วขยิบตาให้กล้องตามสเต็ปของเจ้าตัวแล้วหมุนตัวเดินกลับมาหาคนที่ยังนั่งหน้าหล่ออยู่ที่เดิม พอหันหลังให้กล้องติณณกรก็เบ้ปากแล้วทำปากลมๆใส่คนที่นั่งอยู่เฉยว่า กินแรง จนคนมองหลุดขำออกมา


    ฉากสุดท้ายคือฉากที่ติณณกรซ้อนรถแล้วทั้งคู่ก็ขับออกไป แต่เมื่อเขาเดินมาถึงรถร่างสูงที่นั่งอยู่ก่อนกลับขยับตัวไปข้างหลังแล้วพยักเพยิดให้ติณณกรนั่งข้างหน้าและเป็นคนขี่ทั้งๆที่เจ้าตัวขี่ไม่เป็น


              “เล่นเชี่ยไรเนี่ย ผมขี่ไม่เป็น”


              “ขึ้นมา กูก็อยู่มึงจะกลัวอะไร เร็วๆ เดี๋ยวก็ได้ถ่ายอีกรอบหรอก”


              “มันตัดต่อได้หรอก ไม่เอา พี่มาขี่ดิ”


              “เร็วว กูหิวข้าวแล้วเนี่ย” ไม่ว่าเปล่าขุนแผนดึงแขนคนที่ยืนหน้าง้ำอยู่ให้มานั่งแล้วจัดแจงท่าให้อีกฝ่าย “ค่อยๆบิดไป ยังคับให้มันตรงทาง”


              ติณณกรเบะปากแต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกดีๆ เมื่อเห็นว่าจะไปไม่รอดขุนแผนก็เอื้อมตัวเข้ามาช่วยจับแฮนด์ให้อีกฝ่ายขี่ไปได้ตรงทาง กลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆจากซอกคอคนข้างหน้าทำเอาคนเป็นพี่สติแทบหลุด เกือบเผลอตัวฟัดคอมันไปหลายทีดีเท่าไหร่ที่ติณณกรมัวแต่สนใจการบังคับรถจนไม่ได้สังเกตว่ามีหมาป่าตัวโตในคราบมนุษย์จ้องจะงาบตัวเองอยู่




     

              “วันนี้เก่งมากเลยนะครับน้องติณณ์ ฉากที่ติณณ์ขี่มอไซต์ตอนสุดท้ายเซอร์ไพรส์มากเลย”


              ติณณกรยิ้มรับคำชมนั้นแล้วรับขวดน้ำที่เปิดแล้วขึ้นมาดื่ม นัยน์ตาสีเข้มกวาดสายตามองทีมงานเก็บของแล้วหันหน้าไปหาผู้จัการส่วนตัวเพราะว่าวันนี้เขามีงานอีเว้นท์ที่ห้างดังกลางเมืองของจังหวัดนี้


              “พี่แนนไปกันยัง”


              “ไปสิ ติณณ์ไปรอพี่ที่รถเลยนะเดี๋ยวพี่ตามไป  นี่ๆ แผนกลับไงอ่ะ” ณกานโบกมือให้ติณณกรเดินไปอีกทางแล้วหันหน้ากลับไปถามคนที่ยืนคุยกับเพื่อนตัวเองอยู่


              “คงกลับพร้อมไอ้ว่านแหละครับ” ร่างสูงหันมาตอบแล้วเตรียมจะเดินแยกไปกับเพื่อนรักแต่โดนอีกฝ่ายดึงแขนไว้ก่อน ผู้จัดการร่างเล็กขยับเข้ามาใกล้แล้วลดระดับเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน


              “คือว่าพี่อยากให้แผนไปส่งติณณ์หน่อยอ่ะ คือพี่มีนัดสำคัญอ่ะ ช่วยพี่หน่อยได้ไหม”


              ขุนแผนยิ้มรับคำขอ แล้วฟังณกานร่ายรายละเอียดเกี่ยวกับงานเล็กน้อยพร้อมให้เบอร์ติดต่อเจ้าของงานมาโดยบอกว่าจะโทรไปย้ำให้ถ้าถึงที่หมายแล้วให้ขุนแผนโทรหาได้เลย


              ร่างสูงพาตัวเองไปยังรถที่คุ้นตา นัยน์ตาสีเข้มมองผ่านกระจกไปเห็นว่าคนตัวเล็กกว่านั่งหลับตาพิงเบาะอยู่ฝั่งข้างคนขับเรียบร้อยแล้ว


              “ช้าจัง เห้ยย!!


              ปฎิกิริยาแรกที่อีกฝ่ายแสดงออกมาไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจมากนัก ร่างสูงส่งยิ้มจางๆหยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวมแล้วเริ่มทำหน้าทีสารถีของตัวเองเงียบๆ


              “มาได้ไงเนี่ย แล้วพี่แนนอ่ะ”


              “พี่แนนไม่ว่างมั้ง ลองโทรไปถามดูดิ”


              ติณณกรขมวดคิ้วมุ่น แต่หลังจากนั้นไม่นานข้อความจากผู้จัดการของเขาก็ถูกส่งมาอธิบายพร้อมคำขอโทษขอโพยตบท้ายด้วยสัญญาว่าจะพาไปกินบุพเฟ่ขนมหวานมื้อใหญ่ เห็นเขาเป็นคนเห็นแก่กินไปได้


              “ง่วงก็นอนไป จะได้มีแรงทำงาน”


              ติณณกรเหล่ตามองเจ้าของเสียงแล้วพิงหัวกับเบาะอย่างว่าง่าย เพราะวันนี้ตื่นมาแต่ฟ้ายังไม่สว่างแถมยังต้องตากแดดมาครึ่งวันทำเอาคนที่เลิกงานตอนเที่ยงคืนรู้สึกเพลียอย่างช่วยไม่ได้


              ทั้งรถคลอไปด้วยเสียงเพลงที่เจ้าของรถเปิดไว้ ทั้งคู่ใช้เวลาฝ่ารถติดยามเย็นของเมืองที่ค่อนข้างเจริญมาเกือบชั่วโมงก็มาถึงที่หมาย ขุนแผนจัดการนัดแนะกับเจ้าของงาน ไม่นานก็มีหญิงสาวร่างเล็กเดินออกมาจากประตูทางออกเขาจึงเริ่มออกแรงเขย่าแขนคนที่อยู่ข้างๆเบาๆ


              “ติณณ์ ตื่น!!


              “ฮื่ออ”


              เปลือกตาสีเปลือกไม้ค่อยๆเคลื่อนเปิดขึ้นช้าๆ นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองรอบกายแล้วหยัดตัวลุกขึ้นนั่งดีๆ มือขาวลูบหน้าตัวเองเบาๆ ปรับสีหน้าจากง่วงงุนเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วเปิดประตูรถลงไปเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาใกล้


              “พี่ฟ้าสวัสดีครับ นี่ผมมาช้าหรือเปล่า”


              “ไม่ช้าจ่ะ ป่ะไปเตรียมตัว แล้ว


              “กูรอในรถนะ” ขุนแผนเปิดกระจกแล้วโผล่มาบอกแค่นั้นแล้วหายกลับไปในรถเหมือนเดิม ติณณกรถอนหายใจแล้วเคาะกระจกรถข้างนั้นเบาๆ กระจกรถถูกลดลงอีกครั้งพร้อมคิ้วหนาที่เลิกขึ้นเชิงถามว่ามีอะไร


              “ไปข้างในดิ มันนาน”


              “กูจะนอน”


              “เออ ตามใจ” ติณณกรพูดแค่นั้นแล้วหันกลับไปส่งยิ้มให้หญิงสาวอีกคนที่มองมาที่ทั้งคู่ด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม “ไปกันเถอะครับ”


              ติณณกรเปลี่ยนชุดใหม่แล้วนั่งให้พี่ช่างแต่งหน้าเติมเครื่องสำอางเล็กน้อยก่อนจะไปแสตนบายรอที่หลังเวทีที่บัดนี้พื้นที่รอบๆถูกจับจองด้วยแฟนคลับจนเกือบเต็ม


              “สวัสดีครับบบ”


              ติณณกรก้าวขึ้นเวทีเมื่อพิธีกรประกาศเรียกชื่อตัวเอง รอยยิ้มหวานๆถูกส่งไปแทบจะตลอดเวลาที่ยืนอยู่บนเวที เสียงกรี้ดที่ดังมาเป็นระรอกเหมือนเป็นเครื่องปัดเป่าความเหนื่อยล้าของวันนี้ไปจนหมด


    เขาร้องเพลงไปสี่เพลงรวดก่อนจะถึงคิวพิธีกรขึ้นมาพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ที่เขาเองก็ตอบอย่างเต็มใจยกเว้นคำถามนี้


              “สายข่าวของพี่บอกมาว่าวันนี้พี่แนนไม่ได้มาส่งเหมือนทุกที วันนี้ใครมาส่งคะน้องติณณ์”


              “เอ่ออ รุ่นพี่ที่รู้จักกันน่ะครับ” ติณณกรตอบไปยิ้มๆ และประโยคถัดมาของพิธีกรสาวก็ทำให้เวทีตรงนั้นกระหึ่มไปด้วยเสียงกรี้ด


              “รุ่นพี่คนที่เป็นตากล้องด้วยหรือเปล่าคะ”


              ติณณกรไม่ตอบเพียงแต่ส่งยิ้มการค้าไปให้ กวาดสายมองเห็นแฟนคลับด้านล่างยิ้มกันจนแก้มแทบแตกยิ่งทำให้เขายิ้มกว้างขึ้นไปอีกเพราะนึกขำในสิ่งที่ทุกคนกำลังมโนกันไปไกล แต่เหมือนว่ารอยยิ้มของเขาจะถูกคนมองตีความไปอีกอย่างนึง


              “ต้องเป็นพี่ตากล้องคนนั้นแน่เลย”


              “ดูพี่ติณณ์ยิ้มดิ โอ้ยยย”


              “ใจฉันบางไปหมดแล้ววว”

             


              ติณณกรเดินออกมาตามทางจนเห็นรถของตัวเองจอดอยู่ไม่ไกล เขาพาตัวเองไปอยู่ข้างกระจกฝั่งคนขับที่ลดลงเกือบครึ่ง เบาะสีดำสนิทถูกเอนลงจนสุดถูกทาบทับด้วยคนตัวสูงที่นอนกอดอกหลับตาอยู่นิ่งๆ


    คนอะไรวะ ขนาดนอนยังเก๊ก


    ติณณกรคิดในใจแล้วยกนิ้วเรียวยกเคาะกระจกเบาๆสองสามครั้ง เพื่อปลุกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาปลดล็อครถให้


              ก๊อกๆ


              ขุนแผนเปิดเปลือกตาขึ้นมองแล้วขยับตัวลุกขึ้นนั่งหลังตรงเอื้อมมือปลดล็อครถให้ แล้วหันไปขยับเบาะให้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม


              “ผมขับเอง ง่วงก็นอนไป” ติณณกรเปิดกระตูรถฝั่งคนขับแล้วเท้าแขนข้างหนึ่งกับประตูที่เปิดออกแล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยประโยคเดียวกับที่อีกฝ่ายเคยพูดกับเขา


              “ละเมอหรือไง กูได้นอนแล้วมึงแหละไปนั่งทีตัวเองไป”


              ติณณกรกรอกตากับคำพูดนั้นแต่ก็ยอมเดินอ้อมไปอีกฝั่งแต่โดยดี ในระหว่างที่เดินผ่านหน้ารถหางตาเขาก็เห็นกล้องใส่เลนส์ซูมที่ส่องมาทางนี้แล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ได้แต่ภาวนาขอให้มันเป็นกล้องของแฟนคลับ


              “จะไปงานเลี้ยงหรือเปล่า”


              “คงไม่อ่ะ เหนื่อยจะตาย” ติณณกรตอบตอนที่หันไปดึงเบลล์มาคาด ขณะที่รถค่อยเคลื่อนที่ออกไปพร้อมกับเสียงรับคำในลำคอของอีกฝ่าย

     


              RRRRRR


              หลังจากรถเคลื่อนที่ออกมาได้ราวชั่วโมงเศษ โทรศัพท์เครื่องเล็กของขุนแผนก็แผนเสียงดังขึ้นจนคนที่นั่งโดยสารมาสะดุ้งจากอาการสลืมสลือ หยิบโทรศัพท์มารับแล้วกรอกเสียงง่วงๆลงไปโดยไม่ได้สังเกตว่านั่นไม่ใช่ของของตัวเอง


              “ครับ”


              [ไอ้แผน มึงจะมาไหมเนี่ย]


              ติณณกรขมวดคิ้วกับสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกแล้วดึงเครื่องมือสื่อสารออกมามองชื่อที่ปรากฏอยู่บนจอสลับกับคนที่ยังขับรถต่อไปโดยไม่สนใจอะไร


              “ของพี่อ่ะ” ติณณกรส่งโทรศัพท์ในมือให้อีกฝ่ายที่ปรายตามองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ไปเปิดสปีคเกอร์โฟนแล้ววางไว้ที่เดิม


              “เออ ว่าไง”


              [อยู่ไหนวะ]


              “ขับรถอยู่”


              [จะมาไหม]


              “เดี๋ยวตามไปดึกๆ”


              [ให้ไวเลยไอ้สัด]


              แล้วสายก็ถูกตัดไปทิ้งให้ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบเช่นเดิม จนในที่สุดติณณกรก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง


              “จะไปงานเลี้ยงหรอ”


              “อืม แต่เดี๋ยวกลับไปส่งมึงที่คอนโดก่อน” ขุนแผนพยักหน้ารับคำ จริงๆก็ไม่ใช่งานเลี้ยงใหญ่อะไรมากมายแค่มีเป็นการสังสรรค์กันหลังถ่ายทำเสร็จเท่านั้น ภูษิตเพื่อนเขารบเร้ามาตั้งแต่ยังไม่เริ่มถ่ายเลยด้วยซ้ำ


              “ไปเลยก็ได้ ผมไปด้วย”


              “พรุ่งนี้ไม่มีงาน?”


              “มีเวรดึก” ติณณกรบอกเพียงเท่านั้นแล้วเลื่อนสายตาไปหยุดที่วิวยามค่ำคืนของถนนทางหลวงพิเศษหมายเลขเจ็ด

     


              เสียงบีทหนักๆดังเข้ามาในโสตประสาททันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ผู้คนมากหน้าหลายตาขยับตัวตามจังหวะดนตรีจนแทบจะเดินแทรกเข้าไปไม่ได้ ข้อมือขาวของติณณกรถูกรวบไว้โดยคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าจนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงชั้นลอยโซนหนึ่งที่ถูกจับจองด้วยคนที่คุ้นตา


              “กว่าจะมา ลีลาสัดด” ภูษิตเอ่ยทักเพื่อนรักทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏตัวพร้อมใครอีกคนที่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาด้วย เขาส่งแก้วที่เต็มไปด้วยน้ำสีอำพันให้เพื่อนรักแล้วพูดเสียงเบา “มาด้วยกันหรอวะ”


              ขุนแผนรับแก้วมาจรดริมฝีปาก ยกยิ้มให้เพื่อนแทนคำตอบทอดสายตามองคนตัวเล็กกว่าที่เดินไปนั่งข้างผู้จัดการส่วนตัวของตัวเอง


              “ร้าย”


              ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากเสียงหัวเราะในลำคอ เวลาผ่านไปแก้วในมือของเขาถูกเพื่อนรักหยิบออกไปจัดการชงให้ใหม่แล้วถูกส่งกลับมาแก้วแล้วแก้วเหล่า สีของน้ำในแก้วเข้มขึ้นเรื่อยๆตามระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายของคนชง


              “พี่แผนมีแฟนหรือยังคะ” เสียงของน้องในกองที่เริ่มจะสนิทกันเมื่อน้ำเมาเข้าปากขยับเข้ามาถามใกล้ๆ ซึ่งคำถามนั้นก็ทำให้ทั้งวงเงียบเสียงลงทันที


    ทุกสายตาในโต๊ะพุ่งความสนใจมาที่คนที่นั่งจิบเหล้าในมือเงียบๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ขุนแผนหยุดสายตาไว้เนิ่นนาน แก้วในมือถูกลดลงไว้ที่หน้าตักก่อนที่ริมฝีปากบางจะยกยิ้มจางๆ โดยที่สายตาตรึงอยู่ที่ร่างบางที่กำลังยกแก้วในมือขึ้นจิบ


              “แฟนยังไม่มีหรอกครับ มีแต่คนที่


              “


              “มองๆอยู่”


    TBC.

    -----------------------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3


    21/05/61  ไม่แค่มองแล้วมั้งคะพี่แผนนนน แหมๆๆ เจอสายตาแบบนี้ไปน้องติณณ์จะหวั่นไหวมั่งไหนเนี่ยยยย >///<

     ถ้าชอบก็เม้นให้เค้าหน่อยนะคนดี ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ จุ้บบบบบ <3 

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×