คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : SHUTTER 6 : ข้อเสนอ
ติณณกรยืนเอาหัวพิงกำแพงข้างประตูห้องรอให้เจ้าของห้องมาเปิด
หลังจากที่เขากดออดให้สัญญาณว่ามีแขกมาเยือนไปเรียบร้อยแล้ว รอไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดอออกพร้อมร่างสูงที่ช่วงนี้มาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาบ่อยเหลือเกิน
“มาเอางาน” ชายหนุ่มผู้มาเยือนในชุดที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งเลิกกงานเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อบอกจุดประสงค์
แขนเรียวเล็กกว่าผู้ชายทั่วไปแต่ยังคงมีมัดกล้ามจางๆให้เห็นยกขึ้นแบมือตรงหน้าอีกฝ่าย
นิ้วเรียวทั้งห้ากระดิกขึ้นลงเร็วๆเชิงว่าให้เอาสิ่งที่ตนต้องการมาให้เขาเสียที
“เร็วๆจะกลับไปนอน”
“พึ่งเลิกงาน?”
“เออสิ”
“เข้ามาก่อน”
ขุนแผนเบี่ยงตัวให้คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ดึงมือเล็กที่แบค้างอยู่ให้เดินตามไปนั่งที่โต๊ะสีขาวไม้สีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดสี่ที่นั่ง
“กินข้าวมายัง”
ขุนแผนเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเขาก็ผละออกไปหยิบชามสีขาวสองใบแล้วจัดการตักข้าวต้มหมูใส่เห็ดหอมที่เขาพึ่งทำเสร็จแล้วเดินมาวางชามหนึ่งตรงหน้าอีกฝ่ายและอีกชามสำหรับตัวเอง
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปนอน”
ติณณกรหยิบช้อนตักข้ามต้มที่ส่งกลิ่นยั่วยวนเข้าปากอย่างว่าง่ายเพราะเขาง่วงเต็มแก่อยากจะรีบกลับไปนอนไวๆ
และมันก็ดีไม่น้อยที่ได้กินข้าวต้มร้อนๆแบบนี้เป็นมื้อเช้า
“ค่อยๆกินก็ได้ กูไม่แย่งหรอก”
ขุนแผนพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตากิน
และหลังจากสิ้นเสียงเขานัยน์ตาหวานก็ถลึงใส่อย่างไม่ค่อยชอบใจ
พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มวางมือร่างสูงก็เลื่อนแก้วน้ำไปให้
“เสร็จไหม?” หลังจากจัดการข้าวต้มจนหมดชามและดื่มน้ำล้างปากเรียบร้อยแล้วติณณกรก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ของตัวเอง
“เสร็จแล้ว ให้ส่งเมลไปให้ทีมงานไหม มึงจะได้ไปนอน”
“เอาใส่แฟลชไดช์ให้ด้วยสิ อยากได้รูป” ติณณกรพยักหน้าหงึกหงัก
สมองเขาประมวลผลแล้วสั่งให้ตอบรับไปอย่างนั้นโดยไม่ได้สนใจสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้
“เอารูปเมื่อวานด้วยไหม”
“ได้ก็ดี”
“งั้นไปนั่งรอที่โซฟาเดี๋ยวเอามาให้” ขุนแผนพูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกเอาชามเปล่าไปแช่ไว้ในซิงค์ล้างจาน
พาตัวเองเดินเลยไปที่แล็ปท็อปที่วางอยู่ในห้องของตัวเองเพื่อจัดการตามคำขอของคนที่เดินไปนั่งรอที่โซฟาตามคำสั่ง
พอเดินกลับออกมาอีกทีร่างสูงก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นอาคันตุกะตัวเล็กเอนหัวซบลงกับพนักพิงของโซฟาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราทั้งอย่างนั้น
และก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มสละเตียงนอนของตัวเองให้อีกฝ่ายได้พักพิง
ร่างสูงย้ายตัวเองไปที่โต๊ะทำงานที่ถูกจัดวางให้หันหน้าเข้าหาหน้าต่างกระจกบานสูง
ต้นไม้กระถางเล็กๆถูกจัดวางไว้สองสามต้น ขุนแผนเปิดไฟล์งานแล้วจัดการส่งไปตามอีเมลที่ลูกค้าให้ไว้
แล้วจัดการเปิดรูปเซ็ตใหม่ขึ้นมาแต่งสีเพื่อรอเวลาส่งให้ลูกค้าอีกรายตอนเย็นของวันนี้
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนเข็มยาวกับเข็มสั้นเคลื่อนมาทับกัน
ขุนแผนจึงเริ่มขยับตัวเมื่องานที่ทำเสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ร่างเล็กยังคงนอนขดตัวอยู่บนเตียง
ร่างสูงของเจ้าของห้องเดินมาเปิดตู้เย็นแล้วกวาดตามองของสดที่เขาพึ่งซื้อมาไว้เมื่อวาน
แล้วเลือกหยิบวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อถัดไปออกมาวาง
เพราะว่าย้ายออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่สมัยมหาลัย ฝีมือการทำอาหารของเขาจึงพอมีติดตัวอยู่บ้าง
ต้องขอบคุณแม่ที่ขยันเรียกเข้าไปใช้งานในครัวและขอบคุณเพื่อนที่ขยันแบกหน้าหอบเหล้ามาให้เขาทำกับแกล้มให้ประจำ
แอดด
เสียงประตูที่เปิดออกเรียกความสนใจจากคนที่กำลังง่วนกับการเตรียมวัตถุดิบอยู่ได้เป็นอย่างดี
ร่างสูงโปร่งของรวีที่เดินฉีกยิ้มมาทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
“เห้ยย! เฮียทำกับข้าวหรอ
ดีจังผมไม่ได้กินอาหารฝีมือเฮียมานานแล้วอ่ะ”
“เออ เบาๆหน่อย มึงจะแหกปากทำไม”
“ทำไมอ่ะ อ๋ออออ” รวีลากเสียงในท้ายประโยคเมื่อเห็นใครบางคนเดินหัวยุ่งตาปรือออกมาจากทางห้องนอนของคนที่กำลังโยนเนื้อไก่ลงหม้อ
รุ่นน้องเอนกายเข้าไปใกล้แล้วลดระดับเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เมื่อคืนจัดหนักหรอเฮีย สภาพดูไม่จืดเลยอ่ะ โอ๊ยย! ผมเจ็บนะ”
ขุนแผนเขกหัวรุ่นน้องจอมทะเล้นพร้อมส่งสายตาคาดโทษไว้แล้วหันไปสนใจคนที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาใกล้
เขาเอ่ยถามด้วยเสียงที่พอรวีได้ยินแล้วแอบเบะปากอย่างนึกหมั่นไส้
“หิวยัง”
ติณณกรผงกหัวแทนคำตอบแล้วเดินเข้ามาใกล้ ร่างเล็กชะโงกหน้ามองน้ำที่เดือดอยู่ในหม้อสลับกับพ่อครัวที่ยืนอยู่อีกฝั่ง
“จะกินได้ไหมเนี่ย”
“กวนตีนละมึง กลับห้องไปอาบน้ำก่อนไป เหม็นเน่าว่ะ”
ขุนแผนโบกมือไล่ให้คนพึ่งตื่นกลับไปอาบน้ำอาบท่าห้องตัวเอง
พอร่างบางลับสายตาไปรวีก็ส่งสายตาล้อๆมาให้แล้วเดินหนีเข้าไปในห้องสตูดิโอก่อนที่จะโดนประทุษร้ายอีกรอบ
เมื่อติณณกรอาบน้ำเปลี่ยนชุดกลับมาอาหารทุกอย่างก็วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย
จริงๆ เขาก็ไม่อยากจะมาสุงสิงกับอีกฝ่ายมากนัก แต่…อืม
จริงๆรสมือของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่ เออๆ ก็อร่อยนั่นแหละ แถมในตอนเที่ยงวันที่แดดร้อนเปรี้ยงแบบนี้
มีคนทำอาหารให้กินมันก็น่าจะดีกว่าขับรถออกไปหาอะไรกินข้างนอกอยู่แล้ว
“วันนี้มีงานที่ไหนอีกหรือเปล่า”
ขุนแผนเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายสอดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้เขาบอก
“มีเวรดึกอ่ะแล้วส่งรูปไปให้แล้วใช่ป่ะ”
“อืม ส่งตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ของมึง”
ขุนแผนเลื่อนแฟลชไดช์สีเทาอันเล็กให้อีกฝ่าย ติณณกรรับมาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองไว้แล้วบ่นอุบอิบ
“มาบังคับให้คนอื่นพูดเพราะ ละดูตัวเองพูด”
“ก็กูแก่กว่าอ่ะ แล้วมึงก็กวนตีน”
“พี่มึงก็กวนตีน” ติณณกรกระตุกยิ้มแล้วตักกุ้งผัดพริกหยวกในจานมาใส่ปาก
ขุนแผนคิ้วกระตุกกับสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเป็นเขาเองที่เริ่มใช้ก่อน
ก็อยากจะดูสนิทกันมากกว่านี้อีกหน่อย
“พี่ติณณ์กับเฮียไปสนิทกันตอนไหนครับเนี่ย”
“ก็ไม่ได้อยากจะสนิทด้วยหรอก” ติณณกรตอบแล้วยักคิ้วให้คนถาม
รวียิ้มรับแล้วก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อหันไปสบตากับสายตาดุๆของคนที่โดนไม่อยากสนิทด้วย
“แต่กูอยากสนิทกับมึงนะ ได้ป่ะ”
“ไม่เว้ย แค่พี่มึงไปพูดวันนั้นก็เยอะละนะ ”
“อะไรเยอะ”
“วุ้!”
“ก็ที่ผมเอาให้ดูวันนั้นไงเฮีย”
รวีที่ฟังอยู่นานอธิบายให้ขุนแผนฟังเมื่อเห็นติณณกรเงียบไม่ยอมอธิบายอะไรต่อ
“เขาตามหาเฮียกันให้กวั่ก แถมมีแฮชแทกเรือผีคู่ของเฮียกับพี่ติณณ์ด้วยนะติดเทรนทวิตตั้งแต่เมื่อวานอ่ะ”
“แฮชแท็กอะไรวะ”
“ในทวิตเตอร์ไง เดี๋ยวผมเปิดให้ดู”
“พอเลย พอๆ”
ติณณกรเอ่ยห้ามเมื่อเห็นรวีทำท่าจะหยิบโทรศัพท์เปิดให้คนที่ดูเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรดู
ปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปน่ะดีแล้ว
ขืนรู้ขึ้นมาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆอีกหรือเปล่า
“อย่างนี้ต้องประกาศให้เขารู้ดิ ว่าเราสนิ๊ทททท สนิทกัน”
“อย่าแม้แต่จะคิดเลย”
“หึหึ” ขุนแผนหัวเราะในลำคอแล้วเลิกต่อล้อต่อเถียงในประเด็นนี้ทั้งๆที่ในใจเขาเองก็มีแผนการบางอย่างในหัวแล้ว
รวีเป็นคนเริ่มบทสนทนาหัวข้อใหม่ซึ่งขุนแผนก็ได้แต่ฟังแล้วเออๆออๆตามไป
แต่ที่น่าขัดใจคือเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฮึ ทีกับกูนะพูดแต่ละทีเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก
RRRRRRR
โทรศัพท์เครื่องเล็กแผดเสียงมาจากห้องนอน
จนขุนแผนต้องผละออกมาเพื่อเดินไปหาเสียงที่หยุดไปและดังขึ้นอีกรอบ เมื่อเห็นชื่อที่โชว์หลาอยู่บนหน้าจอเขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะโทรมาพูดเรื่องอะไร
“ว่าไง”
[เฮียยย!!! เห็นข่าวยัง]
“ข่าวอะไร”
[ก็เฮียอ่ะที่ไปบอกว่าชอบพี่ติณณ์กลางงานอีเว้นท์เขาอ่ะเรื่องจริงไหมเนี่ย ขวัญพึ่งได้เล่นทวิตพึ่งเห็น
ตลกลงมันเป็นยังไง พี่ไปชอบพี่ติณณ์ตอนไหน แล้ว…]
“เดี๋ยว! ใจเย็นๆเดี๋ยวก็ขาดใจตายหรอก”
ขุนแผนเอ่ยขัดน้องสาวที่รัวคำถามใส่ แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง
[ตกลงคนในรูปเป็นเฮียจริงๆใช่ไหม]
“เออ”
[แล้วพี่ชอบพี่ติณณ์จริงหรอ]
“เปล่า จะแกล้งมันเฉยๆ”
ขุนแผนเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น ทั้งๆที่ในใจมันคำตอบมันเอนไปอีกฝั่งมากกว่า
[มัน? ทำไมเรียกพี่ติณณ์แบบนั้นสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่]
“ก็…รู้จักกัน
ไม่ได้สนิทขนาดนั้น” ร่างสูงเว้นช่วงคำตอบค่อนข้างนานเพราะประโยคที่อีกฝ่ายพูดว่าไม่ได้อยากจะสนิทกับเขามันยังดังก้องอยู่ในหัว
เสียเซลฟ์ฉิบหาย ฝากไว้ก่อนนะไอ้หนู ไม่อยากสนิทกับกูนักใช่ไหม พ่อจะตีสนิทให้ร้องเลย
[หรออ กระแสคู่จิ้นเต็มเลยอ่ะ นี่แค่พี่โผล่ไปไบอกว่าชอบนะเนี่ย]
“แล้วมันดีหรือไม่ดีวะไอ้คู่จิ้นของแกเนี่ย”
[มันก็ดีแหละ คนชอบเยอะมากกกกกกกกกก]
“เออ แล้วไม่ต้องไปบอกใครอ่ะว่ารู้จักพี่อยากใช้ชีวิตเงียบๆว้อย”
ขุนแผนกำชับกลับไป
ก็รู้หรอกว่าน้องสาวคงไม่ทำแบบนั้นแต่เผื่อว่าเจ้าหล่อนดันเผลอปากไป
[รู้แล้วน่าาา ถ้ารู้จักก็ฝากขอลายเซนให้หน่อยดิ นะๆๆๆๆๆ
รูปที่ถ่ายรูปตอนคอนเสิร์ตอ่ะ เซ็นมาในรูปเลยนะ เอาใหญ่ๆ จะเอาไปแปะฝาห้อง]
“เออๆ เดี๋ยวขอให้แล้วกัน เออ…ขวัญช่วยอะไรหน่อยดิ”
[เรื่อง?]
“ก็พี่อยากรู้เรื่อง…” ขุนแผนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออะไป “เรื่องไอ้ติณณ์น่ะ”
[แหมมมม มาอีหรอบนี้ไม่ใช่ว่าหลงเสน่ห์พี่ติณณ์ของขวัญเข้าแล้วหรอกหรออ]
“พูดมากจังวะ จะช่วยไม่ช่วย”
[ก็เอารูปพร้อมลายเซนต์พี่ติณณ์มาก่อน พร้อมปลาดิบมื้อใหญ่เคป่ะ]
“เออ”
ขุนแผนมองสายที่ตัดไปด้วยสายตาเอือมๆ
เหนื่อยใจกับนิสัยติดเอาแต่ใจของน้องสาวตัวเองเหลือเกิน
ร่างสูงพาตัวเองออกมานอกห้องก็เห็นรวีเก็บจานล้างอยู่โดยปราศจากร่างบางของใครอีกคน
“พี่ติณณ์กลับไปแล้วครับบบบ”
“เออ กูมีตา ล้างจานเสร็จแล้วฝากส่งงานของคุณฟ้าทีไฟล์งานอยู่ในคอมกูอ่ะยกไปเลย
กูจะนอนกลัวไม่ตื่นมาส่ง”
“เอ้า เฮียยังไม่ได้นอนหรอ”
“เออ พอดีมีงานเร่ง”
“แล้วทำไมไม่เมื่อเช้าไม่นอน อ้อออ มีคนยึดเตียงแถมยังต้องรอทำกับข้าวให้ว่าที่แฟนกินด้วยยย
บ้าๆๆ” รวีว่าแล้วถอยไปชิดกำแพงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอื้อมมือมาหมายจะทำร้ายร่างกาย
“เนี่ย ชอบเขินรุนแรงอ่ะเราอ่ะ”
“เขินพ่องงง!! ทำงานมึงไป”
ขุนแผนทิ้งไว้เท่านั้นแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องของตัวเองไป
รอยยิ้มที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวกว่าจะข่มตาหลับก็ผ่านไปนานหลายนาที
ขุนแผนนั่งเท้าคางมองหญิงสาวตรงหน้าพูดจ้อยๆ
สลับกับคีบปลาดิบเนื้อสีส้มเข้าปากอย่างนี้เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะหยุดพูด
“พี่ติณณ์น่ะ ไม่ชอบกินข้าว
ชอบกินแต่ขนมถึงได้ตัวเล็กแบบนั้น แต่ก็นั่นแหละ น่าอิจฉาชะมัดที่กินขนมหวานๆเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอ้วน”
“ใกล้จบยัง”
ขุนแผนมองน้องสาวที่คว่ำปากใส่ทันทีที่เขาพูดคำนี้ จริงๆแล้วเรื่องราวตรงหน้าก็ไม่ได้น่าเบื่อสักเท่าไหร่แต่หน้างอๆของสาวเจ้าต่าหากที่ทำให้เขานึกสนุก
“ชิส์ ไม่พูดแล้วก็ได้
อย่ามาถามทีหลังแล้วกัน”
“กับเรื่องเรียนจริงจังแบบนี้มั่งไหมหืม”
“พี่ขุน!!! เดี๋ยวเหอะ
น้องจะเอารูปพี่ไปว่อนให้ทั่วเน็ทเลย”
“เดี๋ยวเถอะรีบๆกินเข้าไปใกล้เวลาเรียนแล้วนี่
เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
ขุนแผนว่าแล้วคีบปลาดิบที่เหลืออยู่ในจานยัดปากน้องสาวจนอีกฝ่ายสำลักหน้าดำหน้าแดง
“ไอ่อี๋อ้าาา”
ขุนแผนหัวเราะในลำคอกับท่าทางเหล่านั้นก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำของตัวเองที่ยังเหลือน้ำอยู่เต็มให้อีกฝ่ายแทน
หลังจากนั้นก็จัดการจ่ายเงินแล้วพาน้องสาวสุดที่รักไปส่งจนถึงหน้าตึกเรียน
“วันนี้สุดที่รักของแกงานอีเว้นท์ที่ไหนหรือเปล่า”
“ไม่บอกกก แบร่!!” ขวัญใจพูดแค่นั้นแล้วปลดเบลล์หนีลงจากรถไป
วันนี้เขาเลือกเอารถยนต์มาใช้เพราะว่าตั้งใจจะมาหาน้องสาวโดยเฉพาะขี้เกียจฟังมันบ่นว่าใส่กระโปรงนั่งรถมอไซต์ยากทั้งๆที่เมื่อก่อนจะเห็นชอบนั่งจะตายไป
แล้วร่างสูงก็ต้องละความสนใจจากร่างเล็กของน้องสาวที่เดินหายไปตรงมุมเสามาสนใจโทรศัพท์เครื่องเล็กที่แผดเสียงอยู่ตรงช่องวางของมัน
RRRRR
“ว่าไง”
[มึงมาหากูหน่อยดิ]
“ตอนนี้?”
[ว่างป้ะ ร้านเดิมนะ]
ปลายสายพูดเท่านั้นก็ตัดสายไปโดยไม่ฟังคำตอบ
ขุนแผนกรอกตามองบนกับนิสัยนี้ของเพื่อนสนิทไม่รู้ว่าทำไมรอบตัวเขาถึงได้มีแต่คนเอาแต่ใจก็ไม่รู้
ใช้เวลาไม่นานขุนแผนก็พาตัวเองมาถึงร้านกาแฟร้านที่นัดกับเพื่อนประจำ
เขากวาดสายๆตารอบๆก็เจอร่างสูงของเพื่อนสนิทที่โบกมือให้อยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านและส่งเสียงทักทายเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้
“ว่าไงครับ พี่แผนของน้องงงง”
“ส้นตีนกูนี่”
ขุนแผนลากเก้าอี้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย
หันไปสั่งเมนูเดิมๆกับพนักงานที่เดินมารับออเดอร์แล้วหันมาสนใจหนึ่งในเพื่อนรักสมัยเรียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มีไรวะ”
“นี่อ่ะ มึงใช่ไหม”
ขุนแผนมองภาพตัวเองที่เห็นผ่านมาแล้วสองสามครั้งบนจอสี่เหลี่ยมที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ เลื่อนสายตาขึ้นสบกับคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว จริงๆเขาไม่จำเป็นต้องตอบด้วยซ้ำเพราะสายตาที่เพื่อนรักมองมาทำให้เขารู้ว่ามันมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว
“เออ แล้ว?”
“พอดีมันมีงานโฆษณาตัวหนึ่ง
ที่กูอยากให้น้องติณณ์เล่นแต่ลูกค้าเสือกรีเควสมาว่าอยากให้มึงไปเล่นด้วย”
“ไม่เอา”
“เชี่ยแผนช่วยกูหน่อยดิ กูนี่อิจฉามึงจะตายห่า”
“เรื่อง?”
“กูหยอดของกูมาตั้งนานแขนยังไม่เคยได้จับ มึงโผล่มาแปปเดียวคาบไปแดกเฉย”
“เออ เห็นจากวันนั้นก็รู้อยู่หรอก”
ขุนแผนยกกาแฟขึ้นจิบพลางมองหน้าเพื่อนรักไปด้วย และคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้คือ ‘ภูษิต’ หรือที่คนอื่นรู้จักกันในชื่อ ‘ว่าน’ คนที่มาวอแวติณณกรวันที่เขาถ่ายปกอัลบั้มให้นั่นแหละ
“ตกลง มึงชอบน้องมันจริงดิ”
“หึ”
ขุนแผนไม่ตอบเพียงแต่ส่งยิ้มจางๆกลับไป
ภูษิตถอนหายใจเบาๆ
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของเพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบสิบปี รอยยิ้มที่เพื่อนของขุนแผนทุกคนรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
ถ้าลองตัวพ่อยิ้มแบบนี้แล้วเขาคงต้องยอมหลีกทางให้แต่โดยดีแล้วล่ะ
“งั้นถ้ามึงยอมทำ กูจะเลิกวอแวกับน้องเลย”
“อืม ขอคิดดูก่อน”
“ไอ้สัดแผน อย่าเยอะ!” ภูษิตแยกเขี้ยวใส่เพื่อนที่ทำเป็นยึกยัก ทั้งๆที่แววตาของมันพราวระยับไปด้วยความพอใจกับข้อเสนอของเขา
“เออ แล้วมึงไม่ต้องเสนอหน้าไปวอแวกับมันอีกนะ”
TBC.
----------------------------------
#จักรวาลขุนติณณ์
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
ความคิดเห็น