ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #6 : SHUTTER 6 : ข้อเสนอ

    • อัปเดตล่าสุด 26 มิ.ย. 61



     THE SHUTTER  6 ข้อเสนอ

     

     

              ติณณกรยืนเอาหัวพิงกำแพงข้างประตูห้องรอให้เจ้าของห้องมาเปิด หลังจากที่เขากดออดให้สัญญาณว่ามีแขกมาเยือนไปเรียบร้อยแล้ว รอไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดอออกพร้อมร่างสูงที่ช่วงนี้มาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาบ่อยเหลือเกิน


              “มาเอางาน” ชายหนุ่มผู้มาเยือนในชุดที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งเลิกกงานเอ่ยขึ้นก่อนเพื่อบอกจุดประสงค์ แขนเรียวเล็กกว่าผู้ชายทั่วไปแต่ยังคงมีมัดกล้ามจางๆให้เห็นยกขึ้นแบมือตรงหน้าอีกฝ่าย นิ้วเรียวทั้งห้ากระดิกขึ้นลงเร็วๆเชิงว่าให้เอาสิ่งที่ตนต้องการมาให้เขาเสียที “เร็วๆจะกลับไปนอน”


              “พึ่งเลิกงาน?”


              “เออสิ”


              “เข้ามาก่อน” ขุนแผนเบี่ยงตัวให้คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ดึงมือเล็กที่แบค้างอยู่ให้เดินตามไปนั่งที่โต๊ะสีขาวไม้สีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดสี่ที่นั่ง “กินข้าวมายัง”


              ขุนแผนเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเขาก็ผละออกไปหยิบชามสีขาวสองใบแล้วจัดการตักข้าวต้มหมูใส่เห็ดหอมที่เขาพึ่งทำเสร็จแล้วเดินมาวางชามหนึ่งตรงหน้าอีกฝ่ายและอีกชามสำหรับตัวเอง


              “กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปนอน”


              ติณณกรหยิบช้อนตักข้ามต้มที่ส่งกลิ่นยั่วยวนเข้าปากอย่างว่าง่ายเพราะเขาง่วงเต็มแก่อยากจะรีบกลับไปนอนไวๆ และมันก็ดีไม่น้อยที่ได้กินข้าวต้มร้อนๆแบบนี้เป็นมื้อเช้า


              “ค่อยๆกินก็ได้ กูไม่แย่งหรอก” ขุนแผนพูดยิ้มๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตากิน และหลังจากสิ้นเสียงเขานัยน์ตาหวานก็ถลึงใส่อย่างไม่ค่อยชอบใจ พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มวางมือร่างสูงก็เลื่อนแก้วน้ำไปให้


              “เสร็จไหม?” หลังจากจัดการข้าวต้มจนหมดชามและดื่มน้ำล้างปากเรียบร้อยแล้วติณณกรก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ของตัวเอง


              “เสร็จแล้ว ให้ส่งเมลไปให้ทีมงานไหม มึงจะได้ไปนอน”


              “เอาใส่แฟลชไดช์ให้ด้วยสิ อยากได้รูป” ติณณกรพยักหน้าหงึกหงัก สมองเขาประมวลผลแล้วสั่งให้ตอบรับไปอย่างนั้นโดยไม่ได้สนใจสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้


    “เอารูปเมื่อวานด้วยไหม”


    “ได้ก็ดี”


    “งั้นไปนั่งรอที่โซฟาเดี๋ยวเอามาให้” ขุนแผนพูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกเอาชามเปล่าไปแช่ไว้ในซิงค์ล้างจาน พาตัวเองเดินเลยไปที่แล็ปท็อปที่วางอยู่ในห้องของตัวเองเพื่อจัดการตามคำขอของคนที่เดินไปนั่งรอที่โซฟาตามคำสั่ง


    พอเดินกลับออกมาอีกทีร่างสูงก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อเห็นอาคันตุกะตัวเล็กเอนหัวซบลงกับพนักพิงของโซฟาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราทั้งอย่างนั้น และก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มสละเตียงนอนของตัวเองให้อีกฝ่ายได้พักพิง


    ร่างสูงย้ายตัวเองไปที่โต๊ะทำงานที่ถูกจัดวางให้หันหน้าเข้าหาหน้าต่างกระจกบานสูง ต้นไม้กระถางเล็กๆถูกจัดวางไว้สองสามต้น ขุนแผนเปิดไฟล์งานแล้วจัดการส่งไปตามอีเมลที่ลูกค้าให้ไว้ แล้วจัดการเปิดรูปเซ็ตใหม่ขึ้นมาแต่งสีเพื่อรอเวลาส่งให้ลูกค้าอีกรายตอนเย็นของวันนี้


    เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนเข็มยาวกับเข็มสั้นเคลื่อนมาทับกัน ขุนแผนจึงเริ่มขยับตัวเมื่องานที่ทำเสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ร่างเล็กยังคงนอนขดตัวอยู่บนเตียง


    ร่างสูงของเจ้าของห้องเดินมาเปิดตู้เย็นแล้วกวาดตามองของสดที่เขาพึ่งซื้อมาไว้เมื่อวาน แล้วเลือกหยิบวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อถัดไปออกมาวาง เพราะว่าย้ายออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่สมัยมหาลัย ฝีมือการทำอาหารของเขาจึงพอมีติดตัวอยู่บ้าง ต้องขอบคุณแม่ที่ขยันเรียกเข้าไปใช้งานในครัวและขอบคุณเพื่อนที่ขยันแบกหน้าหอบเหล้ามาให้เขาทำกับแกล้มให้ประจำ


    แอดด


    เสียงประตูที่เปิดออกเรียกความสนใจจากคนที่กำลังง่วนกับการเตรียมวัตถุดิบอยู่ได้เป็นอย่างดี ร่างสูงโปร่งของรวีที่เดินฉีกยิ้มมาทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเบาๆ


    “เห้ยย! เฮียทำกับข้าวหรอ ดีจังผมไม่ได้กินอาหารฝีมือเฮียมานานแล้วอ่ะ”


    “เออ เบาๆหน่อย มึงจะแหกปากทำไม”


    “ทำไมอ่ะ อ๋ออออ” รวีลากเสียงในท้ายประโยคเมื่อเห็นใครบางคนเดินหัวยุ่งตาปรือออกมาจากทางห้องนอนของคนที่กำลังโยนเนื้อไก่ลงหม้อ รุ่นน้องเอนกายเข้าไปใกล้แล้วลดระดับเสียงให้ได้ยินกันแค่สองคน “เมื่อคืนจัดหนักหรอเฮีย สภาพดูไม่จืดเลยอ่ะ โอ๊ยย! ผมเจ็บนะ”


    ขุนแผนเขกหัวรุ่นน้องจอมทะเล้นพร้อมส่งสายตาคาดโทษไว้แล้วหันไปสนใจคนที่เดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามาใกล้ เขาเอ่ยถามด้วยเสียงที่พอรวีได้ยินแล้วแอบเบะปากอย่างนึกหมั่นไส้


    “หิวยัง”


    ติณณกรผงกหัวแทนคำตอบแล้วเดินเข้ามาใกล้ ร่างเล็กชะโงกหน้ามองน้ำที่เดือดอยู่ในหม้อสลับกับพ่อครัวที่ยืนอยู่อีกฝั่ง


    “จะกินได้ไหมเนี่ย”


    “กวนตีนละมึง กลับห้องไปอาบน้ำก่อนไป เหม็นเน่าว่ะ” ขุนแผนโบกมือไล่ให้คนพึ่งตื่นกลับไปอาบน้ำอาบท่าห้องตัวเอง พอร่างบางลับสายตาไปรวีก็ส่งสายตาล้อๆมาให้แล้วเดินหนีเข้าไปในห้องสตูดิโอก่อนที่จะโดนประทุษร้ายอีกรอบ


    เมื่อติณณกรอาบน้ำเปลี่ยนชุดกลับมาอาหารทุกอย่างก็วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย จริงๆ เขาก็ไม่อยากจะมาสุงสิงกับอีกฝ่ายมากนัก แต่อืม จริงๆรสมือของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่ เออๆ ก็อร่อยนั่นแหละ แถมในตอนเที่ยงวันที่แดดร้อนเปรี้ยงแบบนี้ มีคนทำอาหารให้กินมันก็น่าจะดีกว่าขับรถออกไปหาอะไรกินข้างนอกอยู่แล้ว


    “วันนี้มีงานที่ไหนอีกหรือเปล่า” ขุนแผนเอ่ยถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายสอดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่รอให้เขาบอก


    “มีเวรดึกอ่ะแล้วส่งรูปไปให้แล้วใช่ป่ะ”


    “อืม ส่งตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ของมึง” ขุนแผนเลื่อนแฟลชไดช์สีเทาอันเล็กให้อีกฝ่าย ติณณกรรับมาใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองไว้แล้วบ่นอุบอิบ


    “มาบังคับให้คนอื่นพูดเพราะ ละดูตัวเองพูด”


    “ก็กูแก่กว่าอ่ะ แล้วมึงก็กวนตีน”


    “พี่มึงก็กวนตีน” ติณณกรกระตุกยิ้มแล้วตักกุ้งผัดพริกหยวกในจานมาใส่ปาก ขุนแผนคิ้วกระตุกกับสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะเป็นเขาเองที่เริ่มใช้ก่อน


    ก็อยากจะดูสนิทกันมากกว่านี้อีกหน่อย


    “พี่ติณณ์กับเฮียไปสนิทกันตอนไหนครับเนี่ย”


    “ก็ไม่ได้อยากจะสนิทด้วยหรอก” ติณณกรตอบแล้วยักคิ้วให้คนถาม รวียิ้มรับแล้วก็ต้องหุบยิ้มลงเมื่อหันไปสบตากับสายตาดุๆของคนที่โดนไม่อยากสนิทด้วย


    “แต่กูอยากสนิทกับมึงนะ ได้ป่ะ”


    “ไม่เว้ย แค่พี่มึงไปพูดวันนั้นก็เยอะละนะ ”


    “อะไรเยอะ”


    “วุ้!


    “ก็ที่ผมเอาให้ดูวันนั้นไงเฮีย” รวีที่ฟังอยู่นานอธิบายให้ขุนแผนฟังเมื่อเห็นติณณกรเงียบไม่ยอมอธิบายอะไรต่อ “เขาตามหาเฮียกันให้กวั่ก แถมมีแฮชแทกเรือผีคู่ของเฮียกับพี่ติณณ์ด้วยนะติดเทรนทวิตตั้งแต่เมื่อวานอ่ะ”


    “แฮชแท็กอะไรวะ”


    “ในทวิตเตอร์ไง เดี๋ยวผมเปิดให้ดู”


    “พอเลย พอๆ” ติณณกรเอ่ยห้ามเมื่อเห็นรวีทำท่าจะหยิบโทรศัพท์เปิดให้คนที่ดูเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรดู ปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปน่ะดีแล้ว ขืนรู้ขึ้นมาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆอีกหรือเปล่า


    “อย่างนี้ต้องประกาศให้เขารู้ดิ ว่าเราสนิ๊ทททท สนิทกัน”


    “อย่าแม้แต่จะคิดเลย”



    “หึหึ” ขุนแผนหัวเราะในลำคอแล้วเลิกต่อล้อต่อเถียงในประเด็นนี้ทั้งๆที่ในใจเขาเองก็มีแผนการบางอย่างในหัวแล้ว


    รวีเป็นคนเริ่มบทสนทนาหัวข้อใหม่ซึ่งขุนแผนก็ได้แต่ฟังแล้วเออๆออๆตามไป แต่ที่น่าขัดใจคือเหมือนว่าทั้งสองคนนี้จะเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฮึ ทีกับกูนะพูดแต่ละทีเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก


    RRRRRRR


    โทรศัพท์เครื่องเล็กแผดเสียงมาจากห้องนอน จนขุนแผนต้องผละออกมาเพื่อเดินไปหาเสียงที่หยุดไปและดังขึ้นอีกรอบ เมื่อเห็นชื่อที่โชว์หลาอยู่บนหน้าจอเขาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะโทรมาพูดเรื่องอะไร


    “ว่าไง”


    [เฮียยย!!! เห็นข่าวยัง]


    “ข่าวอะไร”


    [ก็เฮียอ่ะที่ไปบอกว่าชอบพี่ติณณ์กลางงานอีเว้นท์เขาอ่ะเรื่องจริงไหมเนี่ย ขวัญพึ่งได้เล่นทวิตพึ่งเห็น ตลกลงมันเป็นยังไง พี่ไปชอบพี่ติณณ์ตอนไหน แล้ว…]


    “เดี๋ยว! ใจเย็นๆเดี๋ยวก็ขาดใจตายหรอก” ขุนแผนเอ่ยขัดน้องสาวที่รัวคำถามใส่ แล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง


    [ตกลงคนในรูปเป็นเฮียจริงๆใช่ไหม]


    “เออ”


    [แล้วพี่ชอบพี่ติณณ์จริงหรอ]


    “เปล่า จะแกล้งมันเฉยๆ” ขุนแผนเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น ทั้งๆที่ในใจมันคำตอบมันเอนไปอีกฝั่งมากกว่า


    [มัน? ทำไมเรียกพี่ติณณ์แบบนั้นสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่]


    “ก็รู้จักกัน ไม่ได้สนิทขนาดนั้น” ร่างสูงเว้นช่วงคำตอบค่อนข้างนานเพราะประโยคที่อีกฝ่ายพูดว่าไม่ได้อยากจะสนิทกับเขามันยังดังก้องอยู่ในหัว


    เสียเซลฟ์ฉิบหาย ฝากไว้ก่อนนะไอ้หนู ไม่อยากสนิทกับกูนักใช่ไหม พ่อจะตีสนิทให้ร้องเลย


    [หรออ กระแสคู่จิ้นเต็มเลยอ่ะ นี่แค่พี่โผล่ไปไบอกว่าชอบนะเนี่ย]


    “แล้วมันดีหรือไม่ดีวะไอ้คู่จิ้นของแกเนี่ย”


    [มันก็ดีแหละ คนชอบเยอะมากกกกกกกกกก]


    “เออ แล้วไม่ต้องไปบอกใครอ่ะว่ารู้จักพี่อยากใช้ชีวิตเงียบๆว้อย” ขุนแผนกำชับกลับไป ก็รู้หรอกว่าน้องสาวคงไม่ทำแบบนั้นแต่เผื่อว่าเจ้าหล่อนดันเผลอปากไป


    [รู้แล้วน่าาา ถ้ารู้จักก็ฝากขอลายเซนให้หน่อยดิ นะๆๆๆๆๆ รูปที่ถ่ายรูปตอนคอนเสิร์ตอ่ะ เซ็นมาในรูปเลยนะ เอาใหญ่ๆ จะเอาไปแปะฝาห้อง]


    “เออๆ เดี๋ยวขอให้แล้วกัน เออขวัญช่วยอะไรหน่อยดิ”


    [เรื่อง?]


    “ก็พี่อยากรู้เรื่อง” ขุนแผนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออะไป “เรื่องไอ้ติณณ์น่ะ”


    [แหมมมม มาอีหรอบนี้ไม่ใช่ว่าหลงเสน่ห์พี่ติณณ์ของขวัญเข้าแล้วหรอกหรออ]


    “พูดมากจังวะ จะช่วยไม่ช่วย”


    [ก็เอารูปพร้อมลายเซนต์พี่ติณณ์มาก่อน พร้อมปลาดิบมื้อใหญ่เคป่ะ]


    “เออ”


    ขุนแผนมองสายที่ตัดไปด้วยสายตาเอือมๆ เหนื่อยใจกับนิสัยติดเอาแต่ใจของน้องสาวตัวเองเหลือเกิน ร่างสูงพาตัวเองออกมานอกห้องก็เห็นรวีเก็บจานล้างอยู่โดยปราศจากร่างบางของใครอีกคน


    “พี่ติณณ์กลับไปแล้วครับบบบ”


    “เออ กูมีตา ล้างจานเสร็จแล้วฝากส่งงานของคุณฟ้าทีไฟล์งานอยู่ในคอมกูอ่ะยกไปเลย กูจะนอนกลัวไม่ตื่นมาส่ง”


    “เอ้า เฮียยังไม่ได้นอนหรอ”


    “เออ พอดีมีงานเร่ง”


    “แล้วทำไมไม่เมื่อเช้าไม่นอน อ้อออ มีคนยึดเตียงแถมยังต้องรอทำกับข้าวให้ว่าที่แฟนกินด้วยยย บ้าๆๆ” รวีว่าแล้วถอยไปชิดกำแพงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอื้อมมือมาหมายจะทำร้ายร่างกาย “เนี่ย ชอบเขินรุนแรงอ่ะเราอ่ะ”


    “เขินพ่องงง!! ทำงานมึงไป” ขุนแผนทิ้งไว้เท่านั้นแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องของตัวเองไป รอยยิ้มที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวกว่าจะข่มตาหลับก็ผ่านไปนานหลายนาที

     


              ขุนแผนนั่งเท้าคางมองหญิงสาวตรงหน้าพูดจ้อยๆ สลับกับคีบปลาดิบเนื้อสีส้มเข้าปากอย่างนี้เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะหยุดพูด


              “พี่ติณณ์น่ะ ไม่ชอบกินข้าว ชอบกินแต่ขนมถึงได้ตัวเล็กแบบนั้น แต่ก็นั่นแหละ น่าอิจฉาชะมัดที่กินขนมหวานๆเท่าไหร่ก็ไม่ยอมอ้วน”


              “ใกล้จบยัง” ขุนแผนมองน้องสาวที่คว่ำปากใส่ทันทีที่เขาพูดคำนี้ จริงๆแล้วเรื่องราวตรงหน้าก็ไม่ได้น่าเบื่อสักเท่าไหร่แต่หน้างอๆของสาวเจ้าต่าหากที่ทำให้เขานึกสนุก


              “ชิส์ ไม่พูดแล้วก็ได้ อย่ามาถามทีหลังแล้วกัน”


              “กับเรื่องเรียนจริงจังแบบนี้มั่งไหมหืม”


              “พี่ขุน!!! เดี๋ยวเหอะ น้องจะเอารูปพี่ไปว่อนให้ทั่วเน็ทเลย”


              “เดี๋ยวเถอะรีบๆกินเข้าไปใกล้เวลาเรียนแล้วนี่ เดี๋ยวพี่ไปส่ง” ขุนแผนว่าแล้วคีบปลาดิบที่เหลืออยู่ในจานยัดปากน้องสาวจนอีกฝ่ายสำลักหน้าดำหน้าแดง


              “ไอ่อี๋อ้าาา”


              ขุนแผนหัวเราะในลำคอกับท่าทางเหล่านั้นก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำของตัวเองที่ยังเหลือน้ำอยู่เต็มให้อีกฝ่ายแทน หลังจากนั้นก็จัดการจ่ายเงินแล้วพาน้องสาวสุดที่รักไปส่งจนถึงหน้าตึกเรียน


              “วันนี้สุดที่รักของแกงานอีเว้นท์ที่ไหนหรือเปล่า”


              “ไม่บอกกก แบร่!!” ขวัญใจพูดแค่นั้นแล้วปลดเบลล์หนีลงจากรถไป วันนี้เขาเลือกเอารถยนต์มาใช้เพราะว่าตั้งใจจะมาหาน้องสาวโดยเฉพาะขี้เกียจฟังมันบ่นว่าใส่กระโปรงนั่งรถมอไซต์ยากทั้งๆที่เมื่อก่อนจะเห็นชอบนั่งจะตายไป แล้วร่างสูงก็ต้องละความสนใจจากร่างเล็กของน้องสาวที่เดินหายไปตรงมุมเสามาสนใจโทรศัพท์เครื่องเล็กที่แผดเสียงอยู่ตรงช่องวางของมัน


              RRRRR


              “ว่าไง”


              [มึงมาหากูหน่อยดิ]


    “ตอนนี้?”


    [ว่างป้ะ ร้านเดิมนะ]


    ปลายสายพูดเท่านั้นก็ตัดสายไปโดยไม่ฟังคำตอบ ขุนแผนกรอกตามองบนกับนิสัยนี้ของเพื่อนสนิทไม่รู้ว่าทำไมรอบตัวเขาถึงได้มีแต่คนเอาแต่ใจก็ไม่รู้


    ใช้เวลาไม่นานขุนแผนก็พาตัวเองมาถึงร้านกาแฟร้านที่นัดกับเพื่อนประจำ เขากวาดสายๆตารอบๆก็เจอร่างสูงของเพื่อนสนิทที่โบกมือให้อยู่ตรงมุมหนึ่งของร้านและส่งเสียงทักทายเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้


    “ว่าไงครับ พี่แผนของน้องงงง”


              “ส้นตีนกูนี่” ขุนแผนลากเก้าอี้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่าย หันไปสั่งเมนูเดิมๆกับพนักงานที่เดินมารับออเดอร์แล้วหันมาสนใจหนึ่งในเพื่อนรักสมัยเรียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มีไรวะ”


              “นี่อ่ะ มึงใช่ไหม”


              ขุนแผนมองภาพตัวเองที่เห็นผ่านมาแล้วสองสามครั้งบนจอสี่เหลี่ยมที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ เลื่อนสายตาขึ้นสบกับคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว จริงๆเขาไม่จำเป็นต้องตอบด้วยซ้ำเพราะสายตาที่เพื่อนรักมองมาทำให้เขารู้ว่ามันมีคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว


              “เออ แล้ว?”


              “พอดีมันมีงานโฆษณาตัวหนึ่ง ที่กูอยากให้น้องติณณ์เล่นแต่ลูกค้าเสือกรีเควสมาว่าอยากให้มึงไปเล่นด้วย”


              “ไม่เอา”


              “เชี่ยแผนช่วยกูหน่อยดิ กูนี่อิจฉามึงจะตายห่า”


              “เรื่อง?”


    “กูหยอดของกูมาตั้งนานแขนยังไม่เคยได้จับ มึงโผล่มาแปปเดียวคาบไปแดกเฉย”


    “เออ เห็นจากวันนั้นก็รู้อยู่หรอก” ขุนแผนยกกาแฟขึ้นจิบพลางมองหน้าเพื่อนรักไปด้วย และคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้คือ ภูษิต หรือที่คนอื่นรู้จักกันในชื่อ ว่าน คนที่มาวอแวติณณกรวันที่เขาถ่ายปกอัลบั้มให้นั่นแหละ


              “ตกลง มึงชอบน้องมันจริงดิ”


              “หึ” ขุนแผนไม่ตอบเพียงแต่ส่งยิ้มจางๆกลับไป


    ภูษิตถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของเพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบสิบปี รอยยิ้มที่เพื่อนของขุนแผนทุกคนรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ถ้าลองตัวพ่อยิ้มแบบนี้แล้วเขาคงต้องยอมหลีกทางให้แต่โดยดีแล้วล่ะ


    “งั้นถ้ามึงยอมทำ กูจะเลิกวอแวกับน้องเลย”


              “อืม ขอคิดดูก่อน”


              “ไอ้สัดแผน อย่าเยอะ!” ภูษิตแยกเขี้ยวใส่เพื่อนที่ทำเป็นยึกยัก ทั้งๆที่แววตาของมันพราวระยับไปด้วยความพอใจกับข้อเสนอของเขา


              “เออ แล้วมึงไม่ต้องเสนอหน้าไปวอแวกับมันอีกนะ”

     

    TBC.

    ----------------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×