ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #4 : SHUTTER 4 : หมอนข้างจำเป็น

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 67


    THE SHUTTER  4 หมอนข้างจำเป็น

     

     

              ติณณกรปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านตัวอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าฟ้าชังหรือสวรรค์แกล้งทำให้วาร์ลน้ำห้องเขาเกิดมีปัญหาในวันที่เจ้าของห้องมีเวรเช้าเฉกเช่นวันนี้


     

    คุณหมอหนุ่มจึงทำได้เพียงโทรหาผู้จัดการว่าให้มาอยู่รอช่างซ่อมแล้วพาตัวเองมาขอความช่วยหลือจากคนที่ไม่อยากจะเจอสักเท่าไหร่


     

              หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จร่างเล็กก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำช้าๆ สายตาสอดส่องหาเจ้าของห้องไม่พบในอาณาเขตสายตา เขาจึงเดินออกไปเงียบๆโดยไม่ลืมล็อคประตูให้เรียบร้อย


     

              ใบหน้าอิดโรยของอีกฝ่ายทำให้คนเป็นหมอนึกห่วงอยู่ลึกๆ แม้จะไม่ค่อยชอบใจอีกฝ่ายเท่าไหร่นักแต่ขุนแผนก็ช่วยเขาไว้หลายอย่าง ติณณกรให้เหตุผลกับตัวเองแบบนั้นขณะที่มองถุงใส่กล่องใสที่บรรจุแซนวิสไส้ต่างๆไว้จนเต็มในมือตัวเอง เขาเลือกที่จะไม่เคาะห้องเพื่อรบกวนเวลานอนของอีกฝ่ายแล้วแขวนถุงนั้นไว้ที่ลูกบิดประตูก่อนจะออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง


     

              “คุณหมอ ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ”


     

              “ครับ” ติณณกรตอบรับคำขอของหญิงสาวที่ขยับเข้ามาใกล้ ฉีกยิ้มให้กล้องแล้วผงกหัวรับคำขอบคุณเบาๆ


     

    เพราะว่าอาชีพทั้งสองที่ทำคู่กันอยู่ทั้งแพทย์ทั้งนักร้องทำให้ชายหนุ่มมีเวลาของตัวเองน้อยกว่าคนอื่นแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มใจและทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง


     

    “หล่อมาแต่เช้าเชียวนะคะ”


     

    “ปากหวานแบบนี้จะเอาอะไรครับพี่อร” ติณณกรถามเย้าพร้อมกับส่งยิ้มบางๆให้พยาบาลหน้าห้อง อีกฝ่ายเป็นหญิงวัยกลางคนเจ้าเนื้ออารมณ์ดีที่ค่อนข้างสนิทกับเขาพอสมควร


     

    “มาเป็นลูกเขยพี่สิคะ ได้หรือเปล่า”


     

    “สงสารลูกสาวพี่อรนะครับ”


     

    บทสนทนาสั้นๆจบลงเมื่อคนไข้คนแรกเริ่มทยอยมา ติณณกรเดินเข้าห้องถอดเสื้อนอกที่ใส่มาออกแล้ววางพาดไว้กับพนักเก้าอี้ง่ายๆ ไม่นานข้อมูลคนไข้รายแรกก็ถูกส่งมาระบบ คุณหมอร่างบางกวาดสายตาอ่านประวัติกับอาการเบื้องต้นคร่าวๆ ไม่นานประตูก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของประวัติก็เดินมานั่งตรงหน้า


     

    “สวัสดีครับ คุณขวัญใจ”


     

    “พี่ติณณ์”


     

    “ครับ?” ติณณกรเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเพ้อๆ หญิงสาวตรงหน้ายิ้มหวานทั้งปากทั้งตาจนคนมองต้องยิ้มตาม “ไม่ปวดท้องแล้วหรอครับ”


     

    “เห็นหน้าพี่ติณณ์ก็หายเลยค่ะ” ขวัญใจพูดยิ้มๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกเจ็บจี้ดๆที่ท้องทางด้านขวา ร่างบางงอตัวลงแล้วเงยหน้ายิ้มแหยๆให้คุณหมอ


     

    “ขอหมอดูหน่อยนะ” ติณณกรลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วช่วยพยุงหญิงสาวให้ขึ้นไปนั่งบนเตียงตรวจที่ตั้งอยู่ข้างๆ รั้งมือบางที่กดท้องตัวเองให้คลายออก “นอนลงครับ”


     

    ขวัญใจทำตามอย่างว่าง่ายๆ เธอก็ปวดท้องหน่วงๆ สลับกับเจ็บจี้ดๆ มาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นทานยาแก้ปวดก็หายแค่สามชั่วโมงแล้วกลับมาปวดอีก พอรุ่งเช้ามาก็ทนไม่ไหวจนต้องลากสังขารตัวเองมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้จริงๆ สาเหตุหลักที่เธอเลือกมาที่นี่ก็เพราะคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างเตียงนี่แหละ ไม่คิดว่าฟ้าจะเข้าข้างขนาดนี้


     

    “โอ๊ยย” แรงกดตรงที่ปวดอยู่ทำให้หญิงสาวนิ่วหน้า ก่อนจะมองหน้าคุณหมออย่างตัดเพ้อหน่อยๆ “เจ็บนะคะคุณหมอ”


     

    “อดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ติณณกรตอบยิ้มๆ เขากดที่ท้องอีกสองสามจุดก่อนจะผละออกมา “น่าจะไส้ติ่งครับอักเสบหมอจะส่งตัวไปตรวจเลือดนะครับ”


     

    ติณณกรจัดการส่งเรื่องผ่านระบบ ไม่นานบุรุษพยาบาลก็เข้ามาพาขวัญใจออกไปและคนไข้คนใหม่ก็เดินเข้ามาวนไปอย่างนี้จนผ่านไปราวเกือบชั่วโมง ผลตรวจจเลือดที่ของคนไข้คนแรกก็ถูกส่งกลับมาแล้วคุณหมอก็พบว่าการวินิจฉัยของตัวเองนั้นถูกต้อง จำนวนเม็ดเลือดขาวเยอะเกินไปแถมอาการปวดกับอาการที่พยาบาลซักมาก็ตรงกันเกือบร้อยเปอร์เซ็น


     

    “เป็นไงบ้างคะ คุณหมอ”


     

    “ไส้ติ่งอักเสบครับ คงต้องผ่าตัด”


     

    คุณหมอคุยรายละเอียดการผ่าตัดกับคนไข้สรุปได้ว่าให้แอดมิดและรอผ่าตัดในค่ำวันนี้ หญิงสาวพยักหน้าหงอยๆ เมื่อรู้ว่าต้องผ่าตัดแต่ยังไม่วายขยับตัวเข้ามาขอถ่ายรูปกับเขาด้วย


     

    “แล้วมีญาติมาไหมครับ”


     

    “ไม่มีค่ะ ขับรถมาเองแต่เดี๋ยวคงต้องเรียกพี่ชาย”


     

    ติณณกรพยักหน้ารับรู้ แล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลพาตัวเธออกไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่แล้วทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปจนถึงเวลาเลิกงาน ติณณกรมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว เขาเริ่มเก็บของแล้วเดินทอดน่องไปในทิศทางของประตูทางออก


     

    “พี่ติณณ์”


     

    ติณณกรหันไปตามเสียงเรียกก็พบคนไข้คนแรกของวันในชุดโรงพยาบาลนั่งอยู่บนรถเข็นที่ถูกจับด้วยร่างสูงที่คุ้นตา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อสบตาก็ร่างสูงที่เข็นรถเข้ามาใกล้


     

    “พึ่งเลิกงานหรอคะ”


     

    “ครับ แล้วผ่าตัดเป็นไง” คุณหมอพยักหน้ารับแล้วถามไถ่เมื่อเห็นว่าเลยเวลาผ่าตัดของอีกฝ่ายมานานมากแล้ว


     

    “เจ็บมากกกกก ถ้าพี่ติณณ์เป็นคนผ่าให้คงไม่เจ็บขนาดนี้”


     

    “เยอะ” เสียงแหบๆ ของคนที่ยืนอยู่ด้วยเรียกความจากทั้งคู่ไป ขวัญใจย่นจมูกใส่ต่างจากติณณกรที่มองภาพนั้นด้วยแววตาเฉยๆ ขุนแผนยกมือขยี้กลุ่มเส้นผมนุ่มอย่างหมั่นไส้


     

    “ไม่ขัดสักวันจะตายป่ะ”


     

    “ตาย”


     

    “เอ่ออ ขอตัวนะครับ” ติณณกรเอ่ยขัดทั้งคู่แล้วหมุนตัวออกมาโดยไม่รอคำตอบ เห็นคู่รักมาสวีทกันต่อหน้าแล้วมันอดรู้สึกแปลกๆไม่ได้


     

     


     

    ตึก ตึก ตึก


     

    เสียงฝีเท้าสะท้อนดังก้องในลานจอดรถใต้ดินของโรงพยาบาล ติณณกรไม่ได้สนใจว่ามีฝีเท้าหนักๆของใครอีกคนที่เดิมตามมาจนรู้สึกถึงแรงดึงที่แขนข้างหนึ่ง


     

    “หมอ!”


     

    “อะไร?” ติณณกรหันไปตามแรงฉุดแล้วก็พบร่างสูงที่ยืนหายใจหอบอยู่ตรงหน้า คิ้วเรียวของคนโดนรั้งขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์


     

    “กลับด้วย”


     

    “ไม่มีรถหรือไง”


     

    “ไม่มี เอากุญแจรถมาพี่ขับให้” ขุนแผนแบมือแล้วกระดิกนิ้วเรียกร้องตามความต้องการของตัวเอง ติณณกรปรายตามองมือนั้นแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ


     

    “ไม่ต้อง ไปเฝ้าแฟนคุณไป”


     

    “ไอ้ขวัญเป็นน้องไม่ใช่แฟน เอากุญแจรถมาเร็วๆ ทำงานมาทั้งวันไม่เหนื่อยหรือไง” ขุนแผนพูดยาวๆ แล้วฉุดอีกฝ่ายให้เดินตามมาจนถึงรถคันงาม


     

    ติณณกรได้แต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วหยิบกุญแจรถแล้วขึ้นมาปลดล็อคแล้วส่งให้อีกฝ่ายง่ายๆ เขาเหนื่อยจนขี้เกียจจะเถียงกับคนพูดไม่รู้เรื่องอย่างหมอนี่แล้ว วันนี้เขาทำงานลากตั้งแต่เช้ายันดึกก็ดีเหมือนกันถ้าจะมีคนขับรถให้นั่ง


     

    “กินข้าวหรือยัง”


     

    “กินแล้ว” ติณณกรตอบทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่เป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาไม่ต้องการจะคุยอะไรด้วยอีก ทั้งรถจึงคลอไปด้วยเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุที่เปิดอยู่และเสียงของเครื่องปรับอากาศตั้งแต่เริ่มเคลื่อนตัวจนถึงจุดหมาย


     

    ขุนแผนหันกลับมามองเจ้าของรถที่หลับตาพิงเบาะอยู่ แม้ว่าเขาจะเขย่าแขนเล็กแล้วส่งเสียงเรียกก็แล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะลืมตาขึ้นมา ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มจางๆก่อนจะดับเครื่องยนต์แล้วเคลื่อนตัวมาฝั่งของผู้โดยสาร แขนแกร่งช้อนคนตัวเล็กกว่ามาไว้ในอก จัดการล็อครถแล้วพาเจ้าของรถที่ยังหลับสนิทขึ้นไปจนถึงห้องพัก


     

    ขุนแผนเลือกที่จะเปิดประตูห้องตัวเองแล้วพาร่างเล็กของคุณหมอไปวางบนเตียงของเขา จัดการถอดรองเท้าถุงเท้าออกให้แล้วดึงผ้าห่มห่มให้จนถึงคอ


     

    “ขี้เซาจริงๆ” เจ้าของห้องรึมพึงเบาๆ ก่อนจะหยิบกล้องตัวเล็กที่ว่างอยู่บนโต๊ะข้างเตียง แล้วกดซัตเตอร์เก็บภาพคนตรงหน้าอย่างอดใจไม่ได้กว่าจะรู้ตัวในกล้องของเขาก็มีภาพของคนที่นอนอยู่บนเตียงหลายรูป


     

    ขุนแผนผละออกมาเข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วกลับมาที่เตียงกว้างอีกครั้ง วันนี้เขาได้งีบหลับไปเพียงสองชั่วโมงน้องสาวตัวดีก็โทรมาบอกว่าต้องผ่าตัดไส้ติ่ง เขาเลยต้องแหกขี้ตาตื่นไปหาและเฝ้าจนถึงดึกดื่นจนแม่พึ่งมาเปลี่ยนเวรเฝ้าตอนห้าทุ่มเขาถึงได้ปลีกตัวออกมาได้


     

    ตอนแรกเขากะว่าจะโบกแท็กซี่กลับเพราะเหนื่อยจนไม่อยากขับรถกลับเอง แต่พอเห็นแววตาเหนื่อยๆของคนตัวเล็กกว่าเขาเลยเลือกที่จะวิ่งตามไปเพื่ออาสาเป็นสารถีให้


     

    ไฟกลางห้องถูกปิดลง ก่อนที่ร่างสูงจะสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับที่คนตัวเล็กนอนอยู่ เขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเพียงแค่อยากจะอยู่ใกล้ๆอีกฝ่ายเท่านั้น


     

    จริงๆนะ


     

     

    ติณณกรขยับตัวหนีแสงแดดยามอรุ่นรุ่งที่สาดเข้ามา ร่างบางพลิกกายซุกหน้ากับหมอนอย่างที่ทำประจำ คิ้วเรียวขมวดมุ่มเมื่อรู้สึกหนักๆที่เอวแถมหมอนข้างที่เคยนุ่มวันนี้กลับแข็งแปลกๆ


     

    แพขนตากระพริบถี่ๆเพื่อปรับแสงก่อนภาพตรงหน้าจะค่อยๆชัดขึ้น นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หมอนข้างแต่เป็นคนที่มักจะมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขา


     

    “เหี้ยยย!!!”


     

    “ฮืออ อย่าเสียงดัง” เสียงแหบๆดังขึ้นพร้อมกับแขนแกร่งที่ดึงรั้งเอวให้เขาเข้าไปใกล้ มือหนากดหัวของคนตัวเล็กให้ซุกลงกับอกตัวเองไว้


     

    “นี่! ปล่อย” ติณณกรพยายามขืนตัวแต่ก็ไม่สำเร็จ นัยน์ตาสีเข้มของอีกฝ่ายมองมาอย่างดุๆ ก่อนที่จะขยับหน้าเข้ามาใกล้


     

    “ถ้ายังไม่หยุดดิ้นจะจูบนะ”


     

    “!!”


     

    ติณณกรตัวแข็งกับคำพูดของอีกฝ่าย นัยน์ตาสีเข้มถูกปิดลงอีกครั้งแขนแกร่งรั้งตัวเขาเข้าไปใกล้แล้วยกขาขึ้นมาก่ายตัวเขาด้วย เป็นอันว่าเขาต้องนอนเป็นหมอนข้างกิตติมศักดิ์ให้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก


     

    เนิ่นนานจนแสงแดดถดถอยไปจนไม่สาดเข้ามาถึงเตียงแล้วร่างสูงที่กอดก่ายเขาอยู่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะขยับออกไปจนคนโดนกอดเริ่มหัวเสีย


     

    “นี่!! ไม่มีงานการทำหรือไงวะตื่นสักที”


     

    “ที่พูดนั่นปากหรอ”


     

    “ตูดมั้ง ตื่นแล้วก็ลุกไป” ติณณกรขยับตัวเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาเบาๆ นัยน์ตาดุๆถูกส่งมาอีกครั้งก่อนที่แขนและขาจะถูกยกออกไป ร่างสูงยันกายเอนพิงหัวเตียงแล้วมองหน้าคนที่มองมาอย่างไม่พอใจ


     

    “คนเขาอุตส่าห์แบกขึ้นมาถึงห้อง แล้วดูพูด”


     

    “ใครขอ”


     

    “นี่คุณหมอ ทำไมพูดไม่เพราะเลยล่ะครับ” ขุนแผนมองคนที่ลุกไปยืนหน้ามุ่ยอยู่ปลายเตียง


     

    “หึ เอาไว้พูดกับคนดีๆ” ติณณกรหันมากระตุกยิ้มมุมปากแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ขุนแผนมองตามแผ่นหลังบางไปด้วยรอยยิ้มจางๆ


     

     

    น่ารักจริงๆแฮะ


     

    TBC.

    ---------------------------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านะคะ <3

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×