ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #2 : SHUTTER 2 : สิ่งแปลกปลอม

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 61


    THE SHUTTER  2 สิ่งแปลกปลอม

     

     

    ติณณกรนั่งหลับตาอยู่บนโซฟาสีแดงภายในห้องรับรองของสตูดิโอ ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนที่กระดุมสองเม็ดแรกถูกปลดออกเผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่เจ้าตัวเพียรสร้างขึ้นมาตลอดซุกซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์ ชายเสื้อถูกสอดไว้ภายใต้กางเกงสีขาวเข้ารูป เสื้อสูทสีเดียวกับกางเกงถูกวางพาดไว้ไม่ห่าง ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซตเป็นทรงรับกับใบหน้าที่ออกจะหวานไปสำหรับผู้ชาย


              “ติณณ์ ไปเซ็ตฉากกัน”


    เสียงเรียกจากหญิงสาวร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวดึงให้คนที่หลับตาอยู่ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ


              เซ็ตฉากสำหรับวันนี้ที่มีเพียงเก้าอี้ทรงสูงกับฉากสีเขียวด้านหลังเท่านั้น ติณณกรขยับสูทให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้น ส่งยิ้มบาง ๆ เป็นการขอบคุณพี่ช่างแต่งหน้าที่เดินเข้ามาซับเหงื่อเติมหน้าให้ตามหน้าที่


    นัยน์สีเข้มสะดุดอยู่ที่ร่างสูงที่กำลังง่วนอยู่กับอุปกรณ์วันนี้ พลันคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมุ่นเมื่อพบว่าเขาไม่ใช่ตากล้องคนเดิมที่ถ่ายงานให้เขาเป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไปจวบจนเขารู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างไม่ปิดบัง


              เมื่อหันไปก็พบนัยน์ตาสีนิลส่อแววบางอย่างมองตรงมาจนติณณกรเริ่มรู้สึกอึดอัด ชายหนุ่มเจ้าของดวงตานั้นอยู่ในชุดธรรมดาแต่งกลับดูโดดเด่นกว่าใครทั้งหมดในสตูนี้ ผมยาวสีเข้มถูกรวบไปข้างหลังลวกๆยิ่งทำให้เขาดูดีมากยิ่งขึ้นไปอีก


    ทั้งคู่ประสานสายตากันเนิ่นนานจนเป็นติณณกรที่เบนสายตาหลบเมื่อรับรู้ถึงประกายบางอย่างในแววตากับรอยยิ้มเหยียดของริมฝีปากใต้ไรหนวดเขียวครึ้ม


              ไร้มายาทจริง ๆ


              ชายหนุ่มรำพึงในใจ ก่อนจะหันมาสนใจเมื่อทีมงานให้สัญญาณว่าให้เริ่มถ่ายงานได้ ติณณกรขยับตัวเปลี่ยนท่าตามคำบอกของทีมงานบ้าง เขาหรี่ตามองกล้องพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากกระชากใจที่ถ้าสาว ๆ เห็นคงกรี้ดสลบ แต่เหมือนว่าตากล้องจะไม่กดชัตเตอร์เสียทีจนนายแบบหุบยิ้มแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม


    “เฮียย ไม่ถ่ายต่อวะ”


    ขุนแผนได้สติเพราะแรงสะกิดจากรุ่นน้องผู้ช่วยที่เขามักเรียกให้มาช่วยงานประจำ เขาหันกลับไปตั้งสติกับการทำงานต่อทั้ง ๆ ที่เหมือนว่าหัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นเมื่อความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว เร็วเท่าความคิดขายาว ๆ ก็พาตัวเองตรงเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่กลางฉาก


              “จะทำอะไร?”


              ร่างสูงไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายเพียงแต่เอื้อมมือไปดึงกระดุมเม็ดที่สามของเสื้อเชิ้ตให้หลุดออกเผยให้เห็นผิวเนียนละเอียดมากขึ้น มือหนาจัดทรงเสื้อทั้งตัวในและตัวนอกก่อนจะถอยออกมายืนมองผลงานตัวเองแล้วกดมุมปากยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกลับไปประจำที่อีกครั้ง โดยไม่สนใจสายตาอึ้ง ๆ ของทั้งทีมงานและตัวนายแบบเอง


              “ขอยิ้มแบบเมื่อกี้อีกทีนะครับ”


              ติณณกรลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงแม้จะไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่ายเท่าไหร่แต่เพราะอยากให้งานวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นจึงต้องทำตามคำบอกของตากล้องไร้มารยาทคนนี้


              แล้วทั้งวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเหตุการณ์นั้นตากล้องร่างสูงก็ไม่ได้ทำอะไรให้ติณณกรไม่พอใจอีก จะมีก็แต่เพียงนัยน์ตาวาววับกับรอยยิ้มที่เขาแปลความหมายไม่ออกถูกส่งมาให้อยู่เนื่องๆ


              หลังจากถ่ายรูปเซ็ตสุดท้ายเสร็จ ติณณกรก็ปลีกตัวเข้ามาเปลี่ยนชุดเพื่อกลับบ้านปล่อยให้ผู้จัดการตัวเล็กกับทีมงานเดินไปเช็คภาพแทนทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาจะเช็คเองทุกครั้ง แต่เป็นเพราะสายตาของตากล้องคนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกกระอั่กกระอ่วนแปลกๆ ทำให้เขาเลือกที่จะเลี่ยงออกมา


              “สวัสดีครับ น้องติณณ์”


    เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ขาเรียวที่กำลังก้าวออกจากห้องแต่งตัวชะงักลง เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเจ้าของเสียง ติณณกรก็นึกอยากจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจนึกได้แต่ส่งเสียงแก่นๆกลับไป


     “ครับ”


     “วันนี้เหนื่อยไหมครับ ไปทานข้าวกับพี่นะ”


     “ขอโทษนะครับพี่ว่าน แต่บ่ายนี้ติณณ์มีธุระต่อครับ” ติณณกรว่าพลางส่งรอยยิ้มเจื่อนๆไปให้ นึกรำคาญคนที่ตามวอแวไม่เลิก จะให้ปฏิเสธไปแรงๆก็ไม่ได้ด้วยเพราะอีกฝ่ายมีเส้นสายในวงการนี้มากพอสมควรเขาจึงทำได้เพียงเลี่ยงสิ่งที่เลี่ยงได้อย่างละมุนละม่อมเท่านั้น


    ขาเรียวที่กำลังจะก้าวหลบไปอีกทางชะงักเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนตัวมาขวางไว้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะโต้ตอบอะไรแขนข้างหนึ่งของเขาก็โดนรั้งให้ไปชิดตัวเจ้าของมือปริศนา บุคคลที่สามที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้


    “ติณณ์ไปเช็ครูปด้วยกันหน่อยสิครับ” ขุนแผนที่ยืนประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบและออกแรงดึงแขนของเจ้าของชื่อให้เดินตามมาโดยไม่รอคำตอบ 


     “ปล่อยได้แล้ว”


     “เสน่ห์แรงจริงๆนะ นี่ผมไปขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” ขุนแผนหยุดเดินและหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ยังตีหน้านิ่งอยู่ 


    น้ำเสียงเรียบๆออกจะยียวนทำให้เจ้าของใบหน้าหวานส่อแววไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป ทั้งๆ ที่ในตอนแรกเขานึกของคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจที่พาเขาออกมาจากสถานการณ์เมื่อครู่ แต่พอได้ยินคำพูดห้วน ๆ ของอีกฝ่ายคำขอบคุณก็ถูกกลืนลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้


     “เรื่องรูปพี่แนนเช็คแล้วบอกว่าโอเค จะดูอีกรอบไหม”


     “ไม่ ถ้าพี่แนนโอเคก็โอเค ขอตัวนะ” ติณณกรพูดเท่านั้นและหมุนตัวเดินห่างออกมา โดยไม่มีการดึงรั้งอะไรให้นึกรำคาญใจ


    ขุนแผนยกยิ้มจางๆเมื่อแผ่นหลังกว้างค่อยๆห่างออกไป ก่อนจะรอยยิ้มนั้นจะหุบลงเมื่อหันไปเจอรอยยิ้มล้อๆของผู้ช่วยตัวดี


     “มองตามขนาดนี้ไม่ตามไปเลยล่ะเฮีย”


     “ยุ่ง”


     “แหน่ะๆๆ เจอรอยยิ้มกระชากใจไปสติหลุดเลโอ้ยย เฮีย ผมเจ็บนะ”


    ขุนแผนปรายตามมองรวีที่ลูบหัวตัวเองปรอยๆ หลังจากที่โดนเขาใช้ม้วนกระดาษฟาดไปเต็มแรงโทษฐานเอาความจริงมาล้อเล่น เพราะว่าเขาดันสติหลุดจริงๆ ตอนที่เห็นรอยยิ้มนั้น


    หึ ติณณ์มึงต้องรับผิดชอบที่มาทำให้ใจกูสั่น


    หลังจากเก็บของเสร็จขุนแผนก็ช่วยรวีขนของมาเก็บที่รถมาสด้าสีขาวคันเก่งของอีกฝ่ายแล้วบอกให้รุ่นน้องกลับไปรอที่คอนโดของเขา ส่วนเขาเดินเลี่ยงมาที่รถจักรยานยนต์สีดำสนิทคันงามที่จอดอยู่ไม่ไกลกันมานัก


    หลังจากเลี้ยวรถออกมาจากตึกได้ไม่ไกล ขุนแผนก็ต้องชะลอความเร็วรถลงเมื่อเห็นร่างคุ้นตายืนพิงรถตัวเองอยู่ คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะที่มือเล็กกดเครื่องมือสื่อสารในมือไปด้วย


    “มีอะไรให้ช่วยไหม”


    ติณณกรหันไปตามเสียงเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน เขาไม่รู้ว่าจะดีใจดีไหมที่ร่างสูงจอดรถของตัวเองไว้ไม่ไกลแล้วเดินเข้ามาถามไถ่ ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเขาถึงส่งคนๆนี้เข้ามาช่วยทุกทีที่เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งสองครั้งของวันนี้


     “รถเป็นไรไม่รู้ อยู่ดีๆก็กระตุกแล้วก็ดับไป”


     “อืมม แล้วมีธุระไปไหนต่อหรือเปล่า” ขุนแผนเหลือบตามองรถเพียงชั่วครู่แล้วตรึงสายตาไว้ที่เจ้าของรถแทน จะให้เขาซ่อมให้ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของลูกชายเจ้าของอู่ซ่อมรถอย่างเขา แต่ถ้าหากได้หาโอกาสอยู่ใกล้คนตรงหน้าได้ขุนแผนก็อยากที่จะเลือกอย่างหลังมากกว่า


    “ต้องไปเข้าเวรต่อ”


    "เข้าเวร?"


    “เป็นหมอ”


    ขุนแผนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับคำตอบที่ได้ในตอนแรกก่อนจะพยักหน้ารับเมื่ออีกฝ่ายอธิบายเพิ่มให้ เขาไม่ซักไซร้อะไรต่อเพียงแต่หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาแล้วต่อสายถึงเจ้าของอู่ที่คุ้นกันเป็นอย่างดี


    “เข้าไปรอในรถก่อน”


    “แล้ว


    “รออู่มาลากรถแล้วเดี๋ยวไปส่งที่โรงพยาบาล”


    ติณณกรไม่ตอบอะไรกลับเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งรอในรถ ปล่อยให้คนตัวสูงยืนพิงรถรออยู่ข้างนอก ร่างบางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถออกแล้วเอ่ยปากเรียกให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งรอด้วยกัน


    จะให้ยืนรอข้างนอกอย่างนั้นก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย


    “ขึ้นรถสิ”


    “อืม” ขุนแผนตอบรับก่อนจะก้าวขายาวๆ อ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งขึ้นไปนั่งแล้วเปิดประตูทิ้งไว้ให้อากาศถ่ายเท เขาเหลือบตามอง คุณหมอที่ยังทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้ามาช้าๆ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา


    “ทำไมเป็นหมอด้วย”


    “ก็เรียนมา”


    ขุนแผนกัดริมฝีปากอย่างขัดใจกับบทสนทนาที่ไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ ตัวของเขาเองไม่ใช่คนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีนักแล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อยากคุยกับเขาสักเท่าไหร่ ความประทับใจในการคุยกันของทั้งคู่ครั้งนี้จึงแทบจะติดลบ


     “แล้วอายุเท่าไหร่”


     “28” ติณณกรตอบเสียงเอื่อยๆ มองรถที่ยังเคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่สนใจจะต่อบทสนทนากับคนตรงหน้าสักเท่าไหร่


    “พี่ชื่อขุนแผนนะครับ….น้องติณณ์”


    ขุนแผนจงใจเอนตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายในตอนท้ายของประโยค ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะหันกลับมาสบตากับเขาตรงๆ ร่างบางดูตกใจไม่น้อยกับคำสรรพนามที่เปลี่ยนไป


    “เรียกติณณ์เฉย ๆ เหอะ เรียกน้องมันขนลุก”


    “หึๆ”


    ติณณกรเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วหันกลับไปมองภาพท้องถนนต่อ ภาวนาให้ช่างมาถึงเร็วๆ ต่างจากอีกฝ่ายที่หัวเราะในลำคอเบาๆ แถมยังฮัมเพลงอย่างสบายใจอีกด้วย


    หลังจากนั้นไม่นานช่างก็มาถึงขุนแผนลงไปคุยไม่นานร่างสูงก็เดินมาเคาะกระจกให้เขาลงไป ติณณกรเอื้อมตัวหยิบของแล้วเปิดประตูลงไป ส่งกุญแจรถให้ช่างพร้อมรับนามบัตรของทางนั้นมาแล้วเดินตามร่างสูงไปที่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกล


    “อ่ะ”


    ติณณกรย่นคอลงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายใส่หมวกกันน็อคให้แล้วหันไปคร่อมรถรอ ติณณกรกระชับสายกระเป๋าสะบายแน่นๆ ก่อนจะปีนไปซ้อนอย่างเก้ๆกังๆ เขาไม่ค่อยถูกกับรถจักรยานยนต์คันใหญ่แบบนี้เท่าไหร่


    “จับดีๆ”


    เจ้าของเสียงไม่ว่าเปล่าแต่มือหนาเอื้อมมาดึงมือของเข้าให้ไปจับเอวของเขาเอาไว้ แต่หลังจากที่ขุนแผนปล่อยมือไปแล้วติณณกรก็เลื่อนมือของตัวเองมาจับเพียงชายเสื้อด้านหลังอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆเท่านั้น


    หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ติณณกรลงจากรถแล้วยื่นหมวกกันน็อคคืนให้เจ้าของ คุณหมอเอ่ยขอบคุณเบาๆตามมารยาท และหมุนเท้าเตรียมจะหมุนตัวจากไป


    “เดี๋ยว”


    ติณณกรชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาตามเสียงเรียก เห็นอีกฝ่ายนั่งกอดหมวกกันน็อคอยู่ในขณะที่มืออีกข้างแบมาตรงหน้าพร้อมกระดิกนิ้วถี่ๆ เขามองมือหนาสลับจับใบหน้าคมเข้มจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยอธิบายเพิ่ม


    “ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”


    “เอาไปทำไม”


    “เอามาเหอะน่า”


    ติณณกรล้วงโทรศัพท์มือถือส่งไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะเห็นเวลาว่ามันจวนเข้ามาทุกที แล้วได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ของเขาแล้วส่งคืนมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากเช่นเคย


              “ไว้เจอกัน”


    “อืม” ติณณกรรับคำอย่างไม่ค่อยใส่ใจเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรกับคนๆนี้อีก ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในที่ทำงานโดยไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์ของเขามีบางอย่างแปลกปลอมเพิ่มขึ้นมา


    สิ่งแปลกปลอมที่กำลังจะก้าวเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขาต่อจากนี้


    TBC.

    -----------------------------

    #จักรวาลขุนติณณ์

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ><

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×