คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : SHUTTER 2 : สิ่งแปลกปลอม
THE
SHUTTER ♡ 2 สิ่งแปลกปลอม
ติณณกรนั่งหลับตาอยู่บนโซฟาสีแดงภายในห้องรับรองของสตูดิโอ
ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีชมพูอ่อนที่กระดุมสองเม็ดแรกถูกปลดออกเผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อที่เจ้าตัวเพียรสร้างขึ้นมาตลอดซุกซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์ ชายเสื้อถูกสอดไว้ภายใต้กางเกงสีขาวเข้ารูป
เสื้อสูทสีเดียวกับกางเกงถูกวางพาดไว้ไม่ห่าง
ผมสีน้ำตาลเข้มถูกเซตเป็นทรงรับกับใบหน้าที่ออกจะหวานไปสำหรับผู้ชาย
“ติณณ์ ไปเซ็ตฉากกัน”
เสียงเรียกจากหญิงสาวร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวดึงให้คนที่หลับตาอยู่ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ
เซ็ตฉากสำหรับวันนี้ที่มีเพียงเก้าอี้ทรงสูงกับฉากสีเขียวด้านหลังเท่านั้น
ติณณกรขยับสูทให้เข้าที่ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้น ส่งยิ้มบาง ๆ เป็นการขอบคุณพี่ช่างแต่งหน้าที่เดินเข้ามาซับเหงื่อเติมหน้าให้ตามหน้าที่
นัยน์สีเข้มสะดุดอยู่ที่ร่างสูงที่กำลังง่วนอยู่กับอุปกรณ์วันนี้
พลันคิ้วเรียวก็เริ่มขมวดมุ่นเมื่อพบว่าเขาไม่ใช่ตากล้องคนเดิมที่ถ่ายงานให้เขาเป็นประจำ
แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไปจวบจนเขารู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างไม่ปิดบัง
เมื่อหันไปก็พบนัยน์ตาสีนิลส่อแววบางอย่างมองตรงมาจนติณณกรเริ่มรู้สึกอึดอัด
ชายหนุ่มเจ้าของดวงตานั้นอยู่ในชุดธรรมดาแต่งกลับดูโดดเด่นกว่าใครทั้งหมดในสตูนี้ ผมยาวสีเข้มถูกรวบไปข้างหลังลวกๆยิ่งทำให้เขาดูดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งคู่ประสานสายตากันเนิ่นนานจนเป็นติณณกรที่เบนสายตาหลบเมื่อรับรู้ถึงประกายบางอย่างในแววตากับรอยยิ้มเหยียดของริมฝีปากใต้ไรหนวดเขียวครึ้ม
ไร้มายาทจริง ๆ
ชายหนุ่มรำพึงในใจ
ก่อนจะหันมาสนใจเมื่อทีมงานให้สัญญาณว่าให้เริ่มถ่ายงานได้ ติณณกรขยับตัวเปลี่ยนท่าตามคำบอกของทีมงานบ้าง
เขาหรี่ตามองกล้องพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากกระชากใจที่ถ้าสาว ๆ เห็นคงกรี้ดสลบ
แต่เหมือนว่าตากล้องจะไม่กดชัตเตอร์เสียทีจนนายแบบหุบยิ้มแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม
“เฮียย ไม่ถ่ายต่อวะ”
ขุนแผนได้สติเพราะแรงสะกิดจากรุ่นน้องผู้ช่วยที่เขามักเรียกให้มาช่วยงานประจำ
เขาหันกลับไปตั้งสติกับการทำงานต่อทั้ง ๆ ที่เหมือนว่าหัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นเมื่อความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว เร็วเท่าความคิดขายาว ๆ ก็พาตัวเองตรงเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่กลางฉาก
“จะทำอะไร?”
ร่างสูงไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายเพียงแต่เอื้อมมือไปดึงกระดุมเม็ดที่สามของเสื้อเชิ้ตให้หลุดออกเผยให้เห็นผิวเนียนละเอียดมากขึ้น
มือหนาจัดทรงเสื้อทั้งตัวในและตัวนอกก่อนจะถอยออกมายืนมองผลงานตัวเองแล้วกดมุมปากยิ้มอย่างพอใจก่อนจะกลับไปประจำที่อีกครั้ง
โดยไม่สนใจสายตาอึ้ง ๆ ของทั้งทีมงานและตัวนายแบบเอง
“ขอยิ้มแบบเมื่อกี้อีกทีนะครับ”
ติณณกรลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ถึงแม้จะไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่ายเท่าไหร่แต่เพราะอยากให้งานวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นจึงต้องทำตามคำบอกของตากล้องไร้มารยาทคนนี้
แล้วทั้งวันนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเหตุการณ์นั้นตากล้องร่างสูงก็ไม่ได้ทำอะไรให้ติณณกรไม่พอใจอีก
จะมีก็แต่เพียงนัยน์ตาวาววับกับรอยยิ้มที่เขาแปลความหมายไม่ออกถูกส่งมาให้อยู่เนื่องๆ
หลังจากถ่ายรูปเซ็ตสุดท้ายเสร็จ ติณณกรก็ปลีกตัวเข้ามาเปลี่ยนชุดเพื่อกลับบ้านปล่อยให้ผู้จัดการตัวเล็กกับทีมงานเดินไปเช็คภาพแทนทั้งๆ
ที่ปกติแล้วเขาจะเช็คเองทุกครั้ง แต่เป็นเพราะสายตาของตากล้องคนนี้ที่ทำให้เขารู้สึกกระอั่กกระอ่วนแปลกๆ
ทำให้เขาเลือกที่จะเลี่ยงออกมา
“สวัสดีครับ น้องติณณ์”
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ขาเรียวที่กำลังก้าวออกจากห้องแต่งตัวชะงักลง
เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นเจ้าของเสียง ติณณกรก็นึกอยากจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งแต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจนึกได้แต่ส่งเสียงแก่นๆกลับไป
“ครับ”
“วันนี้เหนื่อยไหมครับ
ไปทานข้าวกับพี่นะ”
“ขอโทษนะครับพี่ว่าน
แต่บ่ายนี้ติณณ์มีธุระต่อครับ” ติณณกรว่าพลางส่งรอยยิ้มเจื่อนๆไปให้
นึกรำคาญคนที่ตามวอแวไม่เลิก จะให้ปฏิเสธไปแรงๆก็ไม่ได้ด้วยเพราะอีกฝ่ายมีเส้นสายในวงการนี้มากพอสมควรเขาจึงทำได้เพียงเลี่ยงสิ่งที่เลี่ยงได้อย่างละมุนละม่อมเท่านั้น
ขาเรียวที่กำลังจะก้าวหลบไปอีกทางชะงักเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนตัวมาขวางไว้
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะโต้ตอบอะไรแขนข้างหนึ่งของเขาก็โดนรั้งให้ไปชิดตัวเจ้าของมือปริศนา
บุคคลที่สามที่เดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ติณณ์ไปเช็ครูปด้วยกันหน่อยสิครับ” ขุนแผนที่ยืนประสานสายตากับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบและออกแรงดึงแขนของเจ้าของชื่อให้เดินตามมาโดยไม่รอคำตอบ
“ปล่อยได้แล้ว”
“เสน่ห์แรงจริงๆนะ นี่ผมไปขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า” ขุนแผนหยุดเดินและหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ยังตีหน้านิ่งอยู่
น้ำเสียงเรียบๆออกจะยียวนทำให้เจ้าของใบหน้าหวานส่อแววไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป
ทั้งๆ ที่ในตอนแรกเขานึกของคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจที่พาเขาออกมาจากสถานการณ์เมื่อครู่ แต่พอได้ยินคำพูดห้วน ๆ ของอีกฝ่ายคำขอบคุณก็ถูกกลืนลงคอไปอย่างช่วยไม่ได้
“เรื่องรูปพี่แนนเช็คแล้วบอกว่าโอเค
จะดูอีกรอบไหม”
“ไม่
ถ้าพี่แนนโอเคก็โอเค ขอตัวนะ” ติณณกรพูดเท่านั้นและหมุนตัวเดินห่างออกมา โดยไม่มีการดึงรั้งอะไรให้นึกรำคาญใจ
ขุนแผนยกยิ้มจางๆเมื่อแผ่นหลังกว้างค่อยๆห่างออกไป
ก่อนจะรอยยิ้มนั้นจะหุบลงเมื่อหันไปเจอรอยยิ้มล้อๆของผู้ช่วยตัวดี
“มองตามขนาดนี้ไม่ตามไปเลยล่ะเฮีย”
“ยุ่ง”
“แหน่ะๆๆ
เจอรอยยิ้มกระชากใจไปสติหลุดเล…โอ้ยย เฮีย ผมเจ็บนะ”
ขุนแผนปรายตามมองรวีที่ลูบหัวตัวเองปรอยๆ หลังจากที่โดนเขาใช้ม้วนกระดาษฟาดไปเต็มแรงโทษฐานเอาความจริงมาล้อเล่น
เพราะว่าเขาดันสติหลุดจริงๆ ตอนที่เห็นรอยยิ้มนั้น
หึ ติณณ์มึงต้องรับผิดชอบที่มาทำให้ใจกูสั่น
หลังจากเก็บของเสร็จขุนแผนก็ช่วยรวีขนของมาเก็บที่รถมาสด้าสีขาวคันเก่งของอีกฝ่ายแล้วบอกให้รุ่นน้องกลับไปรอที่คอนโดของเขา
ส่วนเขาเดินเลี่ยงมาที่รถจักรยานยนต์สีดำสนิทคันงามที่จอดอยู่ไม่ไกลกันมานัก
หลังจากเลี้ยวรถออกมาจากตึกได้ไม่ไกล ขุนแผนก็ต้องชะลอความเร็วรถลงเมื่อเห็นร่างคุ้นตายืนพิงรถตัวเองอยู่
คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะที่มือเล็กกดเครื่องมือสื่อสารในมือไปด้วย
“มีอะไรให้ช่วยไหม”
ติณณกรหันไปตามเสียงเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียงคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากัน
เขาไม่รู้ว่าจะดีใจดีไหมที่ร่างสูงจอดรถของตัวเองไว้ไม่ไกลแล้วเดินเข้ามาถามไถ่
ไม่รู้โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเขาถึงส่งคนๆนี้เข้ามาช่วยทุกทีที่เขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งสองครั้งของวันนี้
“รถเป็นไรไม่รู้
อยู่ดีๆก็กระตุกแล้วก็ดับไป”
“อืมม แล้วมีธุระไปไหนต่อหรือเปล่า”
ขุนแผนเหลือบตามองรถเพียงชั่วครู่แล้วตรึงสายตาไว้ที่เจ้าของรถแทน จะให้เขาซ่อมให้ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของลูกชายเจ้าของอู่ซ่อมรถอย่างเขา
แต่ถ้าหากได้หาโอกาสอยู่ใกล้คนตรงหน้าได้ขุนแผนก็อยากที่จะเลือกอย่างหลังมากกว่า
“ต้องไปเข้าเวรต่อ”
"เข้าเวร?"
“เป็นหมอ”
ขุนแผนเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับคำตอบที่ได้ในตอนแรกก่อนจะพยักหน้ารับเมื่ออีกฝ่ายอธิบายเพิ่มให้
เขาไม่ซักไซร้อะไรต่อเพียงแต่หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาแล้วต่อสายถึงเจ้าของอู่ที่คุ้นกันเป็นอย่างดี
“เข้าไปรอในรถก่อน”
“แล้ว…”
“รออู่มาลากรถแล้วเดี๋ยวไปส่งที่โรงพยาบาล”
ติณณกรไม่ตอบอะไรกลับเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งรอในรถ
ปล่อยให้คนตัวสูงยืนพิงรถรออยู่ข้างนอก ร่างบางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูรถออกแล้วเอ่ยปากเรียกให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งรอด้วยกัน
จะให้ยืนรอข้างนอกอย่างนั้นก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย
“ขึ้นรถสิ”
“อืม” ขุนแผนตอบรับก่อนจะก้าวขายาวๆ
อ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่งขึ้นไปนั่งแล้วเปิดประตูทิ้งไว้ให้อากาศถ่ายเท เขาเหลือบตามอง
‘คุณหมอ’ ที่ยังทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวเข้ามาช้าๆ
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ทำไมเป็นหมอด้วย”
“ก็เรียนมา”
ขุนแผนกัดริมฝีปากอย่างขัดใจกับบทสนทนาที่ไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ ตัวของเขาเองไม่ใช่คนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีนักแล้วดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อยากคุยกับเขาสักเท่าไหร่ ความประทับใจในการคุยกันของทั้งคู่ครั้งนี้จึงแทบจะติดลบ
“แล้วอายุเท่าไหร่”
“28” ติณณกรตอบเสียงเอื่อยๆ มองรถที่ยังเคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่สนใจจะต่อบทสนทนากับคนตรงหน้าสักเท่าไหร่
“พี่ชื่อขุนแผนนะครับ….น้องติณณ์”
ขุนแผนจงใจเอนตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายในตอนท้ายของประโยค
ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักไปก่อนจะหันกลับมาสบตากับเขาตรงๆ
ร่างบางดูตกใจไม่น้อยกับคำสรรพนามที่เปลี่ยนไป
“เรียกติณณ์เฉย ๆ เหอะ เรียกน้องมัน…ขนลุก”
“หึๆ”
ติณณกรเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วหันกลับไปมองภาพท้องถนนต่อ
ภาวนาให้ช่างมาถึงเร็วๆ ต่างจากอีกฝ่ายที่หัวเราะในลำคอเบาๆ แถมยังฮัมเพลงอย่างสบายใจอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นานช่างก็มาถึงขุนแผนลงไปคุยไม่นานร่างสูงก็เดินมาเคาะกระจกให้เขาลงไป
ติณณกรเอื้อมตัวหยิบของแล้วเปิดประตูลงไป
ส่งกุญแจรถให้ช่างพร้อมรับนามบัตรของทางนั้นมาแล้วเดินตามร่างสูงไปที่รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ไม่ไกล
“อ่ะ”
ติณณกรย่นคอลงเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายใส่หมวกกันน็อคให้แล้วหันไปคร่อมรถรอ
ติณณกรกระชับสายกระเป๋าสะบายแน่นๆ ก่อนจะปีนไปซ้อนอย่างเก้ๆกังๆ
เขาไม่ค่อยถูกกับรถจักรยานยนต์คันใหญ่แบบนี้เท่าไหร่
“จับดีๆ”
เจ้าของเสียงไม่ว่าเปล่าแต่มือหนาเอื้อมมาดึงมือของเข้าให้ไปจับเอวของเขาเอาไว้
แต่หลังจากที่ขุนแผนปล่อยมือไปแล้วติณณกรก็เลื่อนมือของตัวเองมาจับเพียงชายเสื้อด้านหลังอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ติณณกรลงจากรถแล้วยื่นหมวกกันน็อคคืนให้เจ้าของ คุณหมอเอ่ยขอบคุณเบาๆตามมารยาท และหมุนเท้าเตรียมจะหมุนตัวจากไป
“เดี๋ยว”
ติณณกรชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมาตามเสียงเรียก
เห็นอีกฝ่ายนั่งกอดหมวกกันน็อคอยู่ในขณะที่มืออีกข้างแบมาตรงหน้าพร้อมกระดิกนิ้วถี่ๆ
เขามองมือหนาสลับจับใบหน้าคมเข้มจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยอธิบายเพิ่ม
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
“เอาไปทำไม”
“เอามาเหอะน่า”
ติณณกรล้วงโทรศัพท์มือถือส่งไปอย่างช่วยไม่ได้เพราะเห็นเวลาว่ามันจวนเข้ามาทุกที
แล้วได้แต่ยืนมองอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ของเขาแล้วส่งคืนมาพร้อมรอยยิ้มมุมปากเช่นเคย
“ไว้เจอกัน”
“อืม” ติณณกรรับคำอย่างไม่ค่อยใส่ใจเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรกับคนๆนี้อีก
ร่างบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในที่ทำงานโดยไม่รู้เลยว่าโทรศัพท์ของเขามีบางอย่างแปลกปลอมเพิ่มขึ้นมา
สิ่งแปลกปลอมที่กำลังจะก้าวเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขาต่อจากนี้
TBC.
-----------------------------
#จักรวาลขุนติณณ์
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ><
ความคิดเห็น