ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [END] THE SHUTTER ♡ ยิ้ม...ให้คนหลังกล้อง

    ลำดับตอนที่ #10 : SHUTTER 10 : เรื่องของความรู้สึก

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 61


    THE SHUTTER  10 เรื่องราวของความรู้สึก

     

     

    การจราจรในตอนพลบค่ำเช่นนี้ทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถได้แต่ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ สายฝนโปรยปรายลงมาทำให้ทัศนียภาพรอบด้านดูอึมครึมไปหมด ที่เห็นชัดเจนคงมีเพียงแสงสีแดงยาวต่อกันเป็นสายจนไม่รู้ต้นขบวนนั้นอยู่ตรงไหน คุณหมอร่างเล็กเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนคลื่นวิทยุเมื่อช่องที่ฟังอยู่เริ่มมีคลื่นแทรกเข้ามาจนฟังไม่รู้เรื่อง

     

    อยากรู้ค่ำนี้เธออยู่ไหน คิดถึงใครหรือเปล่า
    ยังจำคนๆ นี้ได้ไหม อยากรู้ยิ่งคิดใจยิ่งเหงา
    ไม่รู้นานอีกสักเท่าไร จะได้พบเธออีก
    ได้แต่เฝ้าคอยอย่างนี้

     

              นิ้วเรียวเคาะตามจังหวะเพลงแล้วก็ดันเผลอคิดไปถึงคนที่เคยนั่งอยู่ด้วยกันในรถด้วยบรรยากาศเหล่านี้ ถ้าพี่มันอยู่ด้วยป่านนี้เขาคงได้เอนหลังเล่นเกมแล้วแท้ๆ

     

              คิดถึงแฮะ

     

    “อีกแล้วที่น้ำตาต้องไหลที่หัวใจมันสั่น
    ยังจดจำแค่เพียงเรื่องเธอ
    อีกแล้วยิ่งฝืนใจยิ่งเพ้อ คิดถึงเธอคนนี้ที่สุด
    อยากจะพบที่สุด อยากให้รู้ว่าคิดถึง” *

     

    RRRRRR

     

    เสียงเรียกเข้าที่ดังขึ้นดึงความสนใจจากคนที่กำลังฮัมเพลงอยู่ในลำคอให้หันกลับไปมอง ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้ริมฝีปากบางเจื่อไปด้วยรอยยิ้ม เจ้าของโทรศัพท์เลือกที่จะปล่อยให้เสียงนั้นดังจนสายตัดไปแล้วเงียบไปทั้งอย่างนั้น


    ติณณกรเบ้ปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โทรมาอีกก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปยังเบอร์ที่พึ่งโทรเข้ามา รอจนอีกฝ่ายรับสายแล้วจึงกรอกเสียงทะเล้นตามไป


    “ว่าไงครับพ่อ”


    [พ่อมึงสิ ทำไรไม่รับสาย]


    “ขับรถอยู่ แล้วโทรมามีไร?”


    [ไม่มีไร]


    “เอ้า?”


    [อยากได้ยินเสียงเฉยๆ]


    “คิดถึงผมอ่ะดิ”


    [เออ]


    น้ำเสียงห้วนๆที่ตอบกลับมาทำเอาคนฟังทำปากพะงาบๆ หาเสียงตัวเองไม่เจออยู่หลายนาที ในตอนแรกเขาเพียงอยากแกล้งเย้าอีกฝ่ายเล่นๆเท่านั้น ไม่คิดว่าคำตอบที่ได้มาจะทำให้ตัวเองใบ้แดกอย่างนี้ จนปลายสายเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงด้วยการถามสารทุกข์สุขดิบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกสองสามคำแล้ววางสายไป ทิ้งให้ติณณกรอยู่บนท้องถนนเช่นเคย


    ตึ้งงง


    เสียงแจ้งเตือนจากแอพอินสตาแกรมเด้งขึ้นมาเมื่อมีคนส่งข้อความมาหา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันกับข้อความที่ปรากฏอยู่


    -พรุ่งนี้ จะกลับไปเอาคำตอบนะ-


    “เชี่ยไรของแม่งวะ”


    ติณณกรวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม แล้วหันมาสนใจท้องถนนตรงหน้าต่อเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว ใช้เวลาอีกราวชั่วโมงร่างบางก็พาตัวเองขึ้นมาถึงห้องพักได้สำเร็จ เปิดประตูเข้ามาก็เจอผู้จัดการคนสวยยืนยิ้มแฉ่งอยู่ก่อนแล้ว


    “มากินข้าวกัน หิวยัง”


    “หิวมากกกก ไส้จะขาดแล้วพี่”


    “มาๆ เสร็จพอดีเลย”


    ติณณกรเลิกคิ้วมองการกระทำเหล่านั้นแล้วคลี่ยิ้มออกมาบางๆ วันนี้ผู้จัดการของเขาดูระริ้กระรี้เหลือเกินจนเขาอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ “จะเอาอะไรครับ”


    “เปล่าซะหน่อย เห็นพี่เป็นคนยังไงเนี่ย”


    “ก็วันนี้ใจดีแปลกๆ” ติณณกรว่าพลางตักกับข้าวเข้าปาก ยิ้มทะเล้นรับค้อนวงโตที่ถูกส่งมาโดยคนตัวเล็กกว่า


    "อารมณ์ดีเฉยๆย่ะ"


    จริงๆแล้วณกานเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เขาคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก ส่วนตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวนี่เจ้าตัวเป็นคนเสนอเองทั้งๆที่ก็มีงานประจำอยู่แล้ว โชคดีที่เขาไม่ได้ทำงานในวงการเต็มตัวเหมือนตอนเข้าวงการมาใหม่ๆแล้ว หลังจากปล่อยเพลงใหม่ไปรับแค่งานอีเว้นท์เล็กๆ กับรายการทีวีแค่เดือนละสองสามงาน ส่วนงานหลักจริงๆอยู่ที่โรงพยาบาล เจ้าหล่อนเลยไม่เหนื่อยมากนัก


    ถึงเหนื่อยก็มีบางคนพร้อมเสนอตัวมาทำหน้าที่แทนอยู่แล้ว พอคิดมาถึงตรงนี้ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัวจนกระทั่งได้ยินเสียงทักจากคนที่อยู่ตรงหน้า


    “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คิดถึงใครจ๊ะ”


    “ป่าวซะหน่อย”


    “ใช่พ่อหนุ่มห้องตรงข้ามหรือเปล่าน้ออออ”


    “เพ้อเจ้อละพี่ กินข้าวไปเลย”


    “จ้าาา” ณกานยิ้มกว้างกลับไปให้ นึกขำคนที่ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อนทั้งๆที่หูแดงไปหมดสงสัยว่าเธอจะพูดจี้ใจดำเข้าจังๆ สงสัยกามเทพจะแผลงศรเข้าเต็มรักแล้วกระมั่งนี่

     


    กิจวัตประจำวันของติณณกรดำเนินต่อไปอย่างเฉื่อยชาไม่มีอะไรตื่นเต้น วันนี้เขาเลยตัดสินใจรับคำชวนของรุ่นพี่ที่ชวนไปดูภาพยนต์เวลาฉายรอบแรกหลังเลิกงาน กว่าหนังจะจบเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสามทุ่ม และกว่าเขาจะฝ่าการจราจรมาได้ก็เกือบสี่ทุ่ม


    “ทำไมพึ่งกลับ”


    คนที่เดินลากขาตัวเองมาสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดุๆของคนที่ยืนพิงกำแพงหน้าห้องเขาอยู่ ไรหนวดเขียวครึ้มทำให้ใบหน้าคมคายนั้นดูดุขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้


    “ไปดูหนังมา พี่มายืนทำไรตรงนี้”


    “มารอมึงเนี่ย โทรไปก็ไม่รับนึกว่าไปจูบเสาไฟฟ้าที่ไหนตายห่าไปแล้ว”


    “ปากหรอน่ะ” ติณณกรส่งเสียงเนื่อยๆกลับไป ขยับตัวไปไขกุญแจห้องตัวเองโดยมีร่างสูงยืนมองอยู่ไม่ห่าง จนกระทั่งร่างเล็กก้าวเข้าไปในห้องแล้วหมุนตัวกลับมาปิดประตู สายตาสองคู่ประสานกันเงียบๆ ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน


    หนึ่งคนส่อแววหงุดหงิดเพราะเหนื่อยจากงานแล้วยังต้องมาฟังคำพูดไม่เข้าหู


    ส่วนอีกหนึ่งแววตาไหววูบส่อแววน้อยใจระคนเป็นห่วงเพียงวูบเดียวก่อนจะกลับไปเรียบเฉยเช่นเดิม


    กึก


    ขุนแผนมองประตูห้องฝั่งตรงข้ามที่ปิดลงแล้วถอนหายหนักๆออกมา ร่างสูงหมุนตัวเดินเข้าห้องตัวเองบ้าง เขากลับมาถึงกรุงเทพตั้งแต่บ่าย หลังจากถ่ายงานเสร็จเมื่อเช้าก็ตีรถกลับมาเลยโดยปฏิเสธอาหารมื้อกลางวันของลูกค้าเพราะว่าอยากจะมาเจอไอ้เด็กบ้านั่นเร็วๆ แล้วดูสิ่งที่เจอสิ


    เฮ้อออ น่าน้อยใจชะมัด


    เบียร์สองกระป๋องถูกหยิบติดมือมายังระเบียงห้อง อากาศชื้นๆหลังฝนตกไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกดีเท่าไหร่นัก เบียร์กระป๋องแรกหมดไปอย่างรวดเร็ว


    ร่างสูงเท้าแขนกับราวระเบียงแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเลื่อนไปที่อินสตาแกรมแอคเคาท์หนึ่งที่มีภาพเล็กๆ 9 ภาพที่เรียงต่อกันเป็นรูปของคนที่พึ่งปิดประตูหนีไปเมื่อครู่


    ภาพที่เป็นสาเหตุหลักที่อยากกลับมากรุงเทพเร็ว ๆ และสาเหตุที่ทำให้กูต้องมายืนเป็นหมาอกหักอยู่ตรงนี้ ไอ้ฉิบหาย ไน่าน่าบ้าจี้ไปกับพวกแม่งเลย ไหนว่าทำแล้วจะโรแมนติกไงวะ ไหงออกมาดราม่างี้อ่ะ


    นิ้วเรียวกดล็อคโทรศัพท์แล้วเก็บลงในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะหันมาสนใจเบียร์อีกกระป๋องที่ถูกปล่อยทิ้งจนความเย็นแทบจะไม่เหลือ ของเหลวรสขมปร่าในกระป๋องถูกกระดกลงคอรวดเดียวหมด


    RRRRRRR


    โทรศัพท์แผดเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกงถูกปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้นจนเสียงเงียบไป และแม้ว่ามันจะดังขึ้นอีกกี่ครั้งชายหนุ่มก็ไม่สนใจจะหยิบมันขึ้นมาดู


    ความผิดหวังนี่มันเจ็บเหมือนกันแฮะ


    สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง ละอองฝนเย็นๆสาดเข้ามากระทบผิวกายจนชายหนุ่มต้องพาตัวเองกลับเข้ามาอยู่บนโซฟาในห้องแทน สายตาเหลือไปเห็นซองสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือที่วางแอบอยู่บนชั้นวางทีวีแล้วถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบบุหรี่มวนเล็กขึ้นมาคาบไว้ที่ปาก


    หลบอยู่ตั้งนานพอกูเครียดล่ะ เสนอหน้ามาให้เห็นเชียวนะ


    ขุนแผนพาตัวเองมาอยู่ที่ระเบียงห้องอีกครั้ง ประกายไฟถูกจุดขึ้นที่ปลายมวนก่อนที่ควันสีขาวจะถูกพ่นออกมาทีหลัง ร่างสูงเอนกายแนบกับกำแพงเย็นๆเพื่อไม่ให้ไฟที่ปลายมวนถูกละอองฝนจนดับลง


    ก๊อกๆ


    เสียงเคาะที่ประตูกระจกเบาๆ เรียกให้คนที่ทอดสายตาไปข้างหน้าหันกลับไปมอง คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นคุณหมอห้องตรงข้ามยืนนิ่วหน้าอยู่ตรงนั้น


    “มีไร”


    “เป็นห่าไรไม่รับโทรศัพท์”


    “พอใจ” ร่างสูงเบือนหน้าหนีกลับมามองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับแรงดึงของบางอย่างออกจากกระเป๋าหลัง เจ้าของห้องเหลือบตามองคนที่เดินมายืนอยู่ข้างกันแล้วเอ่ยปากทักเบาๆ


    “ออกมาทำเชี่ยไร ฝนตกเดี๋ยวก็ป่วย”


    “พอใจ”


    “อย่ากวนตีน เข้าห้องไป” ขุนแผนเพิ่มความเข้มของเสียงขึ้นเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายก็ยังคงลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ


    “ที่พี่ยังยืนได้เลย”


    “กูดูดบุหรี่”


    “ผมก็จะดูดเหมือนกัน” คนตัวเล็กกว่าหยิบบุหรี่มวนเล็กจากซองที่เขาดึงมาจากคนข้างๆเมื่อกี้ขึ้นมาคาบไว้ในปากบ้าง “ขอไฟแช็กหน่อยดิ”


    ขุนแผนหันกลับมามองหน้าคนที่ยืนคาบบุหรี่อยู่เต็มตา มือหนาเชยคงอีกฝ่ายให้เงยหน้าขึ้นแล้วก้มหน้าลงไปบรรจงขยับให้ปลายบุหรี่ของตัวเองที่ยังติดไฟอยู่ต่อกับเข้าปลายมวนของอีกฝ่าย ร่างเล็กดูดเบาๆอย่างรู้จังหวะไม่นานปลายมวนของเขาก็ติดสีแดงระเรื่อแล้วพ่นควันใส่หน้าคนที่ยังไม่ขยับไปไหน


    ร่างสูงขยับตัวออกมาแนบแผ่นหลังเข้ากับกำแพงเช่นเดิม ทั้งสองคุยกันผ่านความเงียบกับเสียงสายฝนที่กระทบพื้นถนนด้านล่าง


    “พอ” ติณณกรพูดแค่นั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมจะหยิบบุหรี่ขึ้นจุดอีกมวน เขาดูดบุหรี่ในมือตัวเองเร็วๆจนหมดมวนแล้วขยี้ส่วนที่เหลือลงกับที่เขี่ยบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วออกแรงดึงให้อีกคนเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยกัน


    “แล้วตกลงมึงมาทำไม”


    “ซันโทรมาบอกให้มาดู เห็นโทรไม่รับ”


    “แล้วมึงเข้ามาได้ไงวะ”


    “ลงไปขอกุญแจพี่หนุ่มมา”


    ขุนแผนพยักหน้ารับรู้แล้วไม่พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จนติณณกรทนไม่ไหวจึงต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงเอง


    “พี่เป็นเหี้ยไรวะ”



    “เป็นอะไรก็พูดสิวะ อมพะนำอยู่ได้”



    “เออ!! ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดแม่ง พรุ่งนี้มีงานตอนบ่ายไปส่งด้วย!


    ขุนแผนมองคนที่พูดเร็วๆใส่แล้วลุกหนีออกไปจากห้องทั้งอย่างนั้น รอยยิ้มเหยียดๆอย่างนึกสมเพชตัวเอง เหมือนอีกฝ่ายจะให้ตำแหน่งเขาไว้แค่คนขับรถแฮะ


    เออ คนขับรถก็คนขับรถ





    เพลงคิดถึงอีกแล้ว Ost. Wake Up ชะนีเบนจามิน โจเซฟ วาร์นี




    TBC.

    -------------------------------------------

    #จักวาลขุนติณณ์

    พบคนงี่เง่า 1ea ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×