ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The fallen dream and the tale of another world ความฝันที่พังทลายกับเรื่องราวของต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 : Her

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 62


         หลังจากวันนั้นผมก็จำเป็นต้องเตรียมของสำหรับการเรียนไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวต่างๆซึ่งผมนั้นไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมอะไรมากมายเพราะทางโรงเรียนได้จัดเตรียมไว้หมดแล้ว


         อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเข้าไปเรียนนั้นผมก็ยังจำเป็นที่จะต้องศึกษาพื้นฐานเอาไว้ก่อนเวลาที่ผมนั้นจะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อศึกษาเรื่องต่างๆภายในเมืองก่อนที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น


         แต่ถ้าหากจะไปอยู่ก่อนละก็คุณแม่ผู้รักลูกชายจนเกินเหตุคุณจะไม่อนุญาตให้เขาไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองตามลำพังอย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นผมจึงต้องการแอบออกจากบ้านไปโดยที่ไม่ให้แม่รู้ การทำแบบนี้นั้นจะเป็นต้องทำให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ถ้าช้าเกินไปอาจจะแม่ตามทัน


         ตอนนี้ผมเตรียมไปนั้นมีไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารและน้ำดื่มเท่านั้นส่วนอื่นๆที่เหลือนั้นจะเป็นส่วนของอุปกรณ์ทำแผลแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เตรียมไปไม่ได้เลยคือดาบซึ่งพวกเราตั้งชื่อให้เธอว่า'เมเลีย'


         แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะได้เวลาเดินทางแล้วล่ะเพราะถ้าช้าไปมากกว่านี้มันจะเลยเวลาที่สามารถออกจากบ้านได้


         ถ้าถามว่าผมสามารถเดินทางไปยังเมืองยังไงผมก็ขอตอบเลยว่า แผนที่เท่านั้น ผมเดินไปได้เรื่อยๆตามทางที่มีหิมะตกเล็กน้อยจนทำให้ป่านี้ดูสวยงามขึ้นมามากกว่าปกติ ระหว่างทางนั้นผมก็ได้เจอกับกระต่ายหิมะที่ออกจากโพรงของมันเป็นจำนวนหลายสิบตัว ผมจึงตัดสินใจล่ามันมาเป็นอาหารในระหว่างเดินทางแต่ดูเหมือนว่าพวกมันรู้ตัวกันเร็วกว่าที่คิดทำให้ผมต้องตามจับมันอยู่พักนึงก่อนที่จะหาสถานที่ในการย่างเนื้อกระต่าย


         ผมเดินมาเรื่อยๆจนตอนนี้ระยะทางที่เดินทางได้นั้นเป็น 1ใน 5 ของเส้นทางทั้งหมดแล้ว ซึ่งถือว่าเร็วเป็นอย่างมากสำหรับการเดินทางโดยไม่ใช่รถม้าโดยที่ระหว่างทางที่ผมเดินทางผ่านมามันก็มีบางสิ่งที่แปลกประหลาด เศษกระจก นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรที่จะมาอยู่กลางป่าแบบนี้แต่มันก็โชว์ข้างทางผมไปตลอดมันทำให้ผมเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่ามันคืออะไรกันแน่จนผมทนความสงสัยของตัวเองไม่ไหวทำให้ผมหยิบมันขึ้นมาแต่หลังจากที่ผมคิดมันขึ้นมานั้นสติของผมก็กับไปพร้อมกับภาพบางอย่างที่ไหลเข้ามาในสมองของผม


         ภาพที่ผมได้เห็นนั้นเป็นภาพที่เลือนลางอย่างมากมันมืดและดูน่ากลัวแต่กลับมีเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องหันเหความสนใจไปที่เสียงนั้น


         "ท่านแม่คะ ทำไมข้าถึงออกไปข้างนอกไม่ได้ล่ะ ทั้งที่ตนอื่นก็ออกไปกันได้แล้วทำไมมีเพียงข้าตนเดียวล่ะ ทำไมกัน"เป็นเสียงเด็กสาวที่เหมือนกับว่ากำลังไม่พอใจอะไรสักอย่างโดยที่อีกฝ่ายนั้นเป็นแม่ของเธอเอง


         "สักวันหนึ่งเราจะรู้เองว่าทำไมแต่ถ้าหากว่าไม่ต้องการที่จะไปแม่ก็คงจะไม่สามารถห้ามลูกได้ต่อไป"เสียงของผู้เป็นแม่นั้นมีน้ำเสียงกังวลเป็นอย่างมากแต่ถ้าอย่างนั้นก็พยายามคุมเสียงของตัวเองให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะทำให้ลูกของตัวเองสงสัย


         ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรแต่กลับได้ยินเสียงชัดเจนทำให้ผมหลับตาลงละฟังเสียงอย่างเดียว


         "ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ก็ตอบข้าหน่อยสิว่าทำไมท่านถึงต้องกีดกันไม่ให้ข้าออกไปข้างนอกด้วย ถ้าแค่ต้องการที่จะออกไปดูโลกภายนอกก็แค่นั้น"เด็กสาวคนนั้นกลับไม่เห็นความต้องการของคุณแม่เลยแม้แต่น้อยเธอขึ้นเสียงเธอแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินแม่ของตนเองพูดอย่างนั้นออกมา


         "ลูกไม่ต้องการที่จะออกไปข้างนอกหรอกถ้าหากว่าข้างนอกนั่นมันมีอะไรบ้างแล้วจงจำไว้เสมอว่าที่แม่ทำทุกอย่างก็เพื่อให้ลูกปลอดภัย ขอให้โชคดีกับการเดินทาง"แม่ของเธอพูดจบเธอก็วิ่ง(?)ออกไปจากสถานที่ที่เธอยู่ทันที


         "ได้โปรดท่านเทพแห่งความเมตตาไม่ว่าท่านจะต้องการหนึ่งสิ่งใดก็ตามข้าขอเพียงลูกสาวของค่าปลอดภัยข้าก็ยินยอมที่จะได้ชีวิตของตัวเองเพื่อให้นางกลับมาโดยที่ไม่เป็นอันตรายกับตัวนาง"


         ภาพที่แสดงออกมาในหัวผมจบลงแค่นั้นโดยที่คำพูดสุดท้ายของผู้เป็นแม่นั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวใจของผมซึ่งมันทำให้ฉันนั้นรู้สึกถึงความเป็นห่วงและความรักที่ผู้เป็นแม่นั้นมีให้กับลูกสาวของนาง


         ผมที่เดินทางต่อไปเรื่อยๆก็เริ่มรู้สึกแปลกประหลาดกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในตอนนี้ ร่องรอยการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานนั้นทำให้ผมรู้ว่าต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้นในเร็วๆนี้แน่นอน แต่ว่ามันอยู่ที่ไหนกันล่ะ


         ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องใหญ่ก็ตามแต่ว่าผมก็ยังต้องเดินทางต่อไปเพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะถึงเมืองออล์เนลล์ แต่ถ้าเห็นผมจะรีบยังไงก็ตามผมไม่งั้นต้องระวังตัวจากการถูกซุ่มโจมตี ซึ่งไม่มีใครต้องการเป็นเหยื่อของการซุ่มโจมตีแน่นอน


         "นี่เจ้าน่ะ เป็นใครกันทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของใครถ้าอยากทานก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางมาก่อนไม่อย่างนั้นก็ตายซะ"ผมที่เดินทางต่ออีกครั้งได้เดินทางมาไม่ถึง 5 นาทีก็เจอเข้ากับกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งที่พร้อมที่จะฆ่าผมได้ทุกเมื่อแล้วดูเหมือนว่ากลุ่มโจรกลุ่มนั้นจะไม่ใช่มนุษย์ซะด้วย


         และแน่นอนว่าสิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้นั้นมันได้เกิดขึ้นแล้วซึ่งผมก็ได้แต่เอามือกุมขมับของตัวเองให้กับความโชคร้ายของผม


         "เฮ้ยไอ้หนูไม่ได้ยินที่หัวหน้าพูดหรือไงจะยอมจ่ายค่าผ่านทางมาดีๆหรือจะกลายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่"ซึ่งผมที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดหัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่ตอนนี้ผมจะทำอะไรหัวหน้าโจรพรุ่งนี้ก็ได้ยกดาบขึ้นมาชี้หน้าผมพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า


         "สรุปแกจะจ่ายหรือไม่จ่าย ท่าทางเป็นลูกคุณหนูอย่างงั้นก็ต้องมีจ่ายอยู่แล้ว หรือแกอยากจะตายอยู่ที่นี่"สิ้นเสียงของหัวหน้าโจรลูกน้องทั้งหมดของมันก็เดินเข้ามาล้อมผมพร้อมกับชี้ดาบมาทางผม


         "เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ เอาเป็นว่าพวกแก่รอคนอื่นมาช่วยละกันนะแต่คงจะไม่มีใครช่วยแกหรอกมั้ง เอาเถอะจบเลยดีกว่า endless windwall"หลังจากที่ผมร่ายเวทจบก็เกิดกำแพงแห่งสายลมขึ้นมารอบตัวของพวกโจรในทันทีโดยที่ลมพวกนั้นกันไม่ให้พวกโจรไปไหนได้ได้ยังป้องกันการโจมตีจากด้านนอกอีกด้วยซึ่งเป็นหนึ่งในเวทมนต์ที่ผมพัฒนาขึ้นมาจากหนังสือที่แม่เป็นคนเก็บเอาไว้ในห้องสมุดของบ้าน


         หลังจากที่ผมจัดการกับพวกโจรเสร็จแล้วนั้นผมก็ได้เดินทางต่อซึ่งการเดินทางนั้นก็เป็นการเดินทางที่เงียบสงบเธอปราศจากการรบกวนของสิ่งใดก็ตามได้แล้วก็สงบสุขก็อยู่ได้ไม่นานรักเมียผมเห็นใส่กระจกอีกชิ้นหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นแน่นอนว่าผมก็ต้องเก็บมันขึ้นมาและมันก็เป็นเหมือนครั้งแรกที่ผมเก็บมันขึ้นมา


         แต่สิ่งที่แปลกไปในตอนนี้คือภาพที่ผมเห็นนั้นไม่ใช่มุมมองบุคคลที่ 3 แต่เป็นมุมมองบุคคลที่ 1 ซึ่งน่าจะเป็นมุมมองของเด็กคนนั้นแต่ทว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันก็มีเพียงแค่สีแดง มันไม่ใช่สีแดงที่เป็นธรรมชาติไม่ใช่สีแดงของดอกไม้แต่เป็น...เลือด


         ไม่เอา...อย่างนี้สิ"เสียงของเธอนั้นสันคอเป็นอย่างมากจากภาพที่เห็นแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามไม่กรีดร้องออกมา


         เศษชิ้นส่วนต่างๆของผู้เป็นแม่ของเธอนั้นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นซึ่งมือแม่ของเธอนั้นพยายามกำลังสิ่งบางอย่างเอาไว้และไม่ยอมปล่อยมันออกมาแต่เมื่อเด็กสาวมาถึงมือนั้นกลับปล่อยสิ่งที่กำออกมาซึ่งของที่อยู่ในกำมือนั้นเป็นเพียงเสื้อตัวเล็กๆเพียงตัวเดียวเท่านั้น


         "อย่าล้อเล่นกันแบบนี้สิ..มันไม่สนุกเลยนะ"เสียงของเธอพยายามบอกตัวเองว่ามันคือเรื่องโกหกมันคือการกลั่นแกล้งของใครบางคนเท่านั้นแต่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธภาพที่เห็นได้ความเจ็บปวดเริ่มกัดกินหัวใจของเด็กสาวจนไม่สามารถยืนได้ต่อไปร่างของเธอล้มลงนั่งไปกับพื้นทำกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างของเธอ


         "ทำไมกันล่ะ...ทำไมถึงต้องจะเข้าไปล่ะ...ทำไมไม่อยู่กับข้าต่อล่ะ...เธอไม่ถึงต้องทิ้งให้ข้าอยู่ตนเดียว...ขอร้องล่ะอย่าแกล้งกันอย่างนี้สิ...ถ้านี่คือการโกหกก็บอกข้าหน่อยสิ...ท่านแม่..."ร่างกายของเด็กสาวเริ่มที่จะสั่นสภาพที่เกิดขึ้นมันคงจะเป็นอะไรที่ยากสำหรับเธอในการทำใจกับเรื่องนี้เพราะคงไม่มีใครต้องการให้คนที่รักจากไปหรอก


         "ถ้าตอนนั้นข้าไม่ออกไปท่านก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้...ถ้าตอนนั้นข้าอยู่กับท่านแล้วมันก็คงจะไม่เป็นแบบนี้...ตอนนั้นถ้าอยู่กับท่านข้าจะทำอะไรได้มากกว่านี้...ถ้าหาก...ถ้าหาก!"


    กรี๊ดดด!!!!


         เสียงกรีดร้องของเธอดังขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลเป็นสายเลือดความเจ็บปวดทางใจที่ได้รับนั้นมันเกินกว่าที่จะรับไว้แล้วภาพที่เห็นก็ค่อยๆเลือนลางไปจนตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่ในป่าเหมือนเดิม


         แต่ว่าสิ่งที่ผมเห็นตรงหน้ากลับเป็นเศษกระจกหลายๆชิ้นรวมอยู่ตรงหน้าผมแล้วมันก็เริ่มกลายเป็นกระจกเต็มใบแบบที่ไม่มีรอยแตกอยู่เลยแม้แต่น้อย


    แต่มันก็เหมือนกับเศษกระจกอันอื่นๆที่เมื่อผมหยิบขึ้นมานั้นมันทำให้ผมเห็นบางสิ่งบางอย่างแต่ว่ารอบนี้นั้นกลับมีแค่เสียงเท่านั้นแต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่แปลกก็ไปนั่นก็คือความรู้สึกที่ได้รับมาด้วย


    "เมื่อไหร่แม่จะได้เจอเจ้าตัวน้อยของแม่นะ แม่กำลังรออยู่นะ'ลูเซีย'ของแม่"


    "เจ้าหนูน้อยของแม่ในที่สุดก็เดินได้สักทีแม่นะเป็นห่วงจริงๆถ้าเกิดว่าเจ้าเดิน

    ไม่ได้จะเป็นยังไง"


    "ทานอาหารหน่อยสิลูกถ้าไม่ทานเดี๋ยวก็ไม่แข็งแรงหรอกนะ"


    "เดินเร็วๆหน่อยสิเดี๋ยวก็หลงหรอกนะ"


    "นอนได้แล้วนะเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาฝึกทำเสื้อกันนะ"


    เสียงนั้นได้ดำเนินไปเรื่อยๆจนมีเสียงหนึ่งทำให้ผมสนใจกับเสียงเสียงนั้น


    "ท่านแม่ทำไมข้าถึงทำได้ไม่เหมือนท่านแม่ล่ะ"มันเป็นเสียงของเด็กสาวที่ดูเหมือนกับว่ากำลังสับสนกับบางสิ่งบางอย่างอยู่


    "ก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ลูกต้องฝึกมันไปเรื่อยจนกว่าลูกจะเก่งขึ้นจนทำได้เหมือนกับที่แม่ทำยังไงล่ะคะ"ความอบอุ่นที่ออกมาจากเสียงของผู้เป็นแม่นั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความห่วงใยที่เธอมีให้กับลูกสาวตัวน้อยๆของเธอ


         "ถ้างั้นหนูจะสึกฝึกจนทำให้เหมือนกับท่านแม่เลย"เสียงของเด็กสาวนั้นดูมีความสุขมากทีได้อยู่กับผู้เป็นแม่ของเธอ


         "ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้หนูต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกกับแม่นะคะ"


         "ค่ะ"


         แล้วเสียงทั้งหมดก็จบลงทำให้ผมได้สติอีกครั้งและเริ่มออกเดินทางต่ออีกครั้งนึงแต่ว่าเจ้ากระจกที่อยู่ในมือผมนั้นกลับมีลูกศรที่กำลังชีไปทำด้านในของป่าซึ่งดูเหมือนว่าจารุศรนี้จะชี้ไปยังทางเดิมตลอดซึ่งทำให้ผมสงสัยว่าที่นั่นมีอะไรกันแน่


         ผมเดินไปได้สักพักก็พบกับใยแมงมุมมากมายเต็มไปหมดและมีสิ่งเดียวที่ทำให้ผมนึกได้ตอนนี้คือรังแมงมุมมันไม่มีเหตุผลอื่นที่ต้องให้คิดเป็นอย่างอื่นแล้วไม่เห็นดังนั้นผมจึงลังเลเล็กน้อยที่จะเข้าไปแต่ดูเหมือนว่าเจ้ากระจกนี่กลับต้องการให้ผมเข้าไปข้างในเท่านั้นซึ่งผมเองก็คงจะต้องลองเสี่ยงกับมันดู


         กรี๊ดดด!!!!


         ใช่ มันเป็นเสียงเดียวกับเสียงที่ผมได้ยินในตอนที่ผมเก็บเศษกระจกขึ้นมาทำให้ผมเดินเข้าไปในถ้ำในมุมแห่งนี้ทันที


         สภาพภายในถ้ำแห่งนี้นัั้นเต็มไปด้วยรอยเลือดที่สดใหม่อยู่แล้วดูเหมือนว่าจะมีร่างร่างหนึ่งกำลังร้องไห้อยู่กลางห้อง


         "ท่านแม่ข้าขอโทษ ข้าเป็นลูกที่ไม่ดีเป็นลูกที่ไม่ควรมีชีวิตอยู่!!"


         ผมได้แต่นิ่งเงียบให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีคำพูดใดๆที่สามารถออกมาได้ในตอนนี้มีเพียงแต่ความเจ็บปวดที่แพรออกมาจะตัวเด็กคนนั้น


         'นี่หนุ่มน้อย พาข้าไปหานางที่สิ'เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวผมซึ่งมันทำให้ผมตกใจมากจนถึงกับสะดุดก้อนหินที่อยู่บนพื้นจนล้มลง


         "นั่นใครน่ะ!!"เสียงของเด็กสาวดังขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงทรงผมที่สะดุดหินแล้วล้มลง


         'นำข้าไปให้นางแล้วข้าจะเป็นตนพูดกับนางเอง'เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงเดินไปหาเด็กสาวที่กำลังกอดชิ้นส่วนของแม่เธออยู่


         และเมื่อผมเดินเข้ามาเรื่อยๆมันทำให้ผมสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัดเจนขึ้นไม่ว่าจะเป็นสภาพต่างๆภายในห้องนี้หรือแม้แต่ร่างกายของเธอเองก็ตาม


         แต่สิ่งที่แน่นอนนั่นก็คือเธอไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอารัคเน่และเมื่อเห็นดังนั้นผมจึงถอนหายใจและพยายามทำท่าทีไม่ไหวกลัวเธอพร้อมกับเดินไปหาเธอไปเรื่อยๆ


         "มนุษย์สินะแกเป็นตนที่ฆ่าแม่อย่างนั้นสินะถ้าอย่างนั้นก็ขอให้แกตายไปเลยแล้วกัน"


         แต่ก่อนที่เธอจะทำอะไรผมผมก็หยิบกระจกขึ้นมาแล้วยืนไปทางเธอ


         'ขอบคุณเจ้ามากนะหนุ่มน้อยตอนนี้เจ้าช่วยหลับตาลงสักพักนะ'ไม่ได้ยินดังนั้นผมจึงหลับตาลงสิ่งที่ผมเห็นแม่หลับตาลงนั้นเป็นพื้นที่ที่เป็นทุ่งหญ้ากว่าแล้วผมก็เห็นอารัคเน่ตนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผมให้เธอก็ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า


         "ขอบคุณที่เชื่อใจข้านะหนุ่มน้อย นามของข้าคือ'เลย์เซีย'ราชินีแห่งอารัคโนทีเลีย อารัคเน่กลุ่มสุดท้ายของโลก แต่ดูเหมือนว่าบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าเห็นนั้นค่อนข้างจะน่าอายไปมากพอสมควรสำหรับข้าล่ะนะ"หน้าของเธอแดงขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่พูดประโยคนั้นจบซึ่งทำให้ผมคิดว่าเธอนั้นค่อนข้างที่จะอายกับเรื่องมีพอสมควร


         "สำหรับผมแล้วเรื่องราวทั้งหมดนั้นทำให้ผมได้รู้ว่าคุณเป็นแม่ที่วิเศษขนาดไหน ถ้าอย่างนั้นผมถึงได้คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสำหรับสิ่งที่ผมได้เห็นและได้ยิน"ผมพูดออกมาพร้อมกับเดินไปนั่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งทีีมีอยู่ต้นเดียว


         "ได้ยินนั้นข้าก็คงจะสามารถฝากลูกสาวของข้าให้กับเจ้าได้"ไม่ได้ยินดังนั้นผมก็หันไปมองเธอพร้อมกับทำหน้าสงสัยเล็กน้อยกับสิ่งที่เธอพูดออกมา


         "ตามที่ได้ยินนั่นแหละข้าต้องการที่จะฝากฝังลูกสาวของข้าให้เจ้าดูแลถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์ก็ตามแต่ว่าจิตใจของเจ้านั้นทำให้ข้ารู้สึกว่าเป็นจิตใจที่ดีมากกว่าอมนุษย์อย่างพวกข้าซะอีก"เธอพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนและยื่นและมาทางผม


         "แล้วคำตอบของเจ้าล่ะหนุ่มน้อย เจ้าสามารถช่วยดูแลลูกสาวของข้าได้หรือเปล่า"เธอพูดพร้อมกับยิ้มออกมาแต่มีหรอผมฉันไม่รู้ว่ารอยยิ้มที่เธอส่งให้ผมมานั้นเป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าๆเป็นอย่างมาก


         "ผมจะดูแลเธอเองครับ ดูแลแทนคุณที่ฝากฝังไว้"เมื่อผมพูดดังนั้นเธอก็ยิ้มออกมาพร้อมกับหยดน้ำตาที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นของเธอ


         ภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นคือละอองแสงทีเป็นไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจของผมอยากให้ผมลืมตาขึ้นมานั้นก็ได้พบกับเด็กสาวทีนอนอยู่ข้างๆผม


         เมื่อเห็นอย่างนั้นผมจึงลูบหัวเธอเบาๆพร้อมกับหยิบกระจกขึ้นมาแต่ภายในกระจกกลับมีภาพของสองคนนั้นอยู่ด้วยไม่เห็นดังนั้นผมจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่ภาพนั้นจะหายไปและมีตัวอักษรเขียนอยู่ตรงกลางกระจกว่า'lilith'


         เมื่อเห็นดังนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเก็บกระจกเอาไว้กับตัวพร้อมกับขยับหัวของเธอให้มานอนบนตักของผม


         เมื่อสังเกตเธอดีๆก็พบว่าตัวเธอนั้นมีเส้นผมสีม่วงเข้มเป็นประกายงดงามเหมือนกับท้องฟ้าของทวีปนี้และดูเหมือนว่าผิวของเธอนั้นขาวราวหิมะเลยทีเดียวซึ่งดวงตาของเธอนั้นเป็นสีแดงประกายสดใสราวกับอัญมณีราคาแพงเลยทีเดียวเลยที่ร่างกายส่วนล่างของเธอนั้นเป็นรูปร่างของแมงมุมที่มีขาที่แหลมคมเป็นอย่างมาก


         ผมก็ได้รอเธอตื่นขึ้นมาระหว่างรอนั้นผมก็ได้ตรวจสอบกระจกบานนี้ไปด้วยจนผมเริ่มสงสัยว่าทำไมกระจกตอนนี้ถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้ทั้งๆที่มันไม่ควรจะมาอยู่กับอารัคเน่แต่ควรจะไปอยู่กับซัคคิวบัสหรืออินคิวบัสมากกว่าแต่เมื่อผมตรวจสอบดูภายในกระจกนี้เรื่อยๆก็เข้ากับเศษวิญญาณของคุณเลย์เซียมันทำให้ผมรู้สึกดีใจมากพอสมควรที่เขายังไม่หายไปไหนแต่ถึงอย่างนั้นการที่จะเข้าไปยุ่งกับวิญญาณที่เหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวนั้นมันเป็นไปได้ยากมากถึงมากที่สุดทำให้ผมในตอนนี้ไม่กล้าที่จะไปทำอะไรกับมัน


         เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งเริ่มเย็นผมก็โดนเวทมนตร์ตรวจจับของแม่เข้าทำให้ผมถึงกับยิ้มไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้แต่ทำใจและร่ายเวทเก็บเสียงเอาไว้ก่อนที่แม่จะเทเลพอร์ตเข้ามาในถ้ำแห่งนี้


         "เลีย!! ออกมาข้างนอกโดยไม่บอกแม่อีกแล้ว...."ก่อนที่เธอจะพูดจบประโยคนั้นเธอก็สังเกตเห็นถึงลูเซียกำลังนอนอยู่บนตักของผมและเงียบไปสักพักก่อนที่จะเทเลพอร์ตผมและลูเซียกลับบ้าน


         เมื่อมาถึงบ้านแล้วผมก็พาเธอไปนอนบนเตียงของห้องห้องหนึ่งที่เหลืออยู่และห่มผ้าให้เธอ


         หลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็ออกจากห้องมาคุยกับแม่ที่กำลังอบขนมอยู่


         "ทีหลังอย่าออกไปข้างนอกตัวที่ไม่บอกกันอีกนะ"แม่บอกผมพร้อมกับหยิบขนมที่เอาใส่ถาดและยกมาให้ผม


         "เป็นยังไงบ้างโลกข้างนอกนะ"เธอวางถาดขนมเอาไว้บนโต๊ะและหันมาถามผม


         "ไม่เหมือนที่คิดไว้เพราะมันมีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ผมสงสัยว่าที่นี่มีมนุษย์อยู่หรือเปล่า หรือมีแค่ผมคนเดียวที่เป็นมนุษย์"แม่ของผู้จบแม่ก็ยิ้มออกมาพร้อมกับเดินเข้ามากอดผมแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แปลกออกไป


         "แค่ออกไปรอบเดียวก็รู้แล้วหรอเนี่ยสมกับเป็นลูกของแม่เลยนะดีใจมากเลยล่ะที่ลูกเป็นคนเก่งแบบนี้ ใช่แล้วล่ะ ลูกเป็นมนุษย์คนเดียวที่อยู่ในอาณาจักรนี้และเป็นมนุษย์คนเดียวที่อยู่ในทวีปนี้"แล้วผมได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังแม่ของผมสายตาเล็กน้อย


         แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกมานั้นผมก็สังเกตเห็นถึงความอ่อนนุ่มทีโดนอยู่รอบตัวผมแล้วเมื่อผมหันไปมองผมก็พบกับหาง หาของจิ้งจอกที่มีถึง 9 หางด้วยกันทำให้ผมสีตามองไปยังแม่ซึ่งเธอก็ยิ้มกลับมาพร้อมกับเอาหางกอดผมไว้


         "เห็นอย่างนี้แม่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นจิ้งจอกมนตราเลยนะแต่เพราะว่าแข็งแกร่งเกินไปจนไม่สามารถอยู่กับตนอื่นได้ทำให้ต้องมาอยู่ในป่าแบบนี้ยังไงล่ะแต่ถึงอย่างนั้นก็เพราะว่ามีเลียเลยทำให้แม่มีความสุขมากจนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ"เธอพูดพร้อมกับลูกหัวผมด้วยซึ่งผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอ


         ผมโดนลูบหัวอย่างนั้นเรื่องที่จะง่วงนอนขึ้นมาทำให้ผมซุกตัวลงไปนอนกับหางของเธอจึงทำให้เธอหน้าแดงออกมาปิดไม่มิดเมื่ออย่างนั้นผมจะหัวเราะออกมาเบาๆก่อนที่จะหลับไป


         "เมื่อลูกตื่นขึ้นมาอีกครั้งนึงลูกจะยอมรับแม่นะหรือเปล่านะ ลูกจะอภัยให้แม่ได้หรือเปล่านะ ลูกจะยอมรับอดีตของแม่ได้หรือเปล่านะ ลูกจะทิ้งแม่ไปหรือเปล่านะ ถ้าหากลูกจากไปตอนนี้ล่ะก็แม่คงจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน"





    ตอนแต่งนี่น้ำตาไหลเลย ซึ้งมากการตาย อาจจะมีดราม่าอีกในตอนหน้าระวังไว้นิดนึงล่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×