ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The fallen dream and the tale of another world ความฝันที่พังทลายกับเรื่องราวของต่างโลก

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 : Girl and latter

    • อัปเดตล่าสุด 8 มิ.ย. 62


         "เลียลงมาหน่อยสิแม่มีอะไรที่จะคุยกับลูกหน่อยน่ะ"เสียงของแม่ที่ดังมาจากชั้นล่างทำให้ผมตื่นขึ้นมาซึ่งวันนี้เป็นวันที่ผมได้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้หรือก็คือเป็นวันเกิดของผมนั่นเอง

          หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลา 3 ปีแล้วขณะนี้ผมมีอายุได้ 8 ขวบซึ่งเป็นวัยที่เด็กส่วนใหญ่ต้องเข้ารับการศึกษาในเมืองหลวงไม่ว่าจะเป็นใครๆก็ตามขุนนางจนไปถึงลูกของชาวบ้านธรรมดาก็ต้องได้รับสิทธิ์นี้

          ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเข้าไปในเมืองเลยก็เถอะแต่ว่าภายหนังสือมีบอกทุกอย่างแล้วแต่ถ้าจะถามว่าทำไมผมถึงไม่เข้าไปในเมืองก็คงจะตอบได้แค่ว่าแม่ของผมนั้นไม่อนุญาตให้เดี๋ยวเข้าไปในเมืองโดยลำพังซึ่งถึงแม้ว่าจะขอให้เธอพาไปก็ตามเธอก็ไม่พาไปอยู่ดี(?)

          "คิดเรื่องที่เรียนเอาไว้หรือยังล่ะถ้ายังไม่คิดแม่จะได้หาให้"หลังจากที่ผมได้นั่งฝั่งตรงข้ามกับเธอเห็นไหมว่าตอนนี้ผมจะเรียกเธอว่าแม่ได้เต็มปากแต่ความรู้สึกลึกๆในใจของผมดันกลับมองเธอได้เป็นแค่เพียงพี่น้องเท่านั้น

          "ก็น่าจะเป็นที่'แกรนเฟสต้า'ในเมืองหลวงนั่นแหละครับแต่ก็คงจะต้องนั่งทำข้อสอบที่น่าเบ่ื่อพวกนนั้นอีก"

          "ถ้าอย่างนั้นลูกควรที่จะเรียนไปที่อื่นแทนที่จะเป็นแกรนเฟสต้านะ ระดับลูกแล้วน่าจะไปเรียนที่อาณาจักรแห่งเวทมนตร์ได้โดยที่ไม่ต้องมาเรียนอยู่ที่นี่"

          "แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแม่ก็ต้องอยู่คนเดียวสิแบบนั้นไม่เอาด้วยหรอกเพราะว่าถ้าเกิดอยู่คนเดียวทีไรบ้านมักจะค่อนข้างเละจนไม่ค่อยเหมือนบ้านสักเท่าไหร่"

          มันเป็นเรื่องหลังจากที่ผมได้รับรู้ว่าแม่ไม่ได้นอนเลยเพราะว่ามัวแต่เก็บกวาดบ้านที่ตัวเองทำรกไว้ก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นมา

          "อย่าพูดอย่างนั้นสิ ถึงแม้ว่าแม่จะทำรกแต่แม่ก็เก็บนะ แต่ถึงเรียนจะไม่อยู่แม่ก็ยังสามารถทำอาหารกินเองได้อยู่ดีนั่นแหละ"แม่บอกเขาเอาออกมาแบบนั้นผมก็หันไปมองกล่องใส่อาหารพี่อยู่ด้านนอกของบ้านทันที

          ได้อย่างดีทุกคนคิดเธอไม่ใช่แม่ที่เพอร์เฟคขนาดนั้นถึงแม้จะเอาใจใส่ลูกของตัวเองเป็นอย่างดีแต่เรื่องงานบ้านนั้นก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องฝึกกันอีกยาว

          "เอาเถอะ ถึงผมจะว่าอะไรไปแม่ก็ไม่ฟังอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงแต่ว่าการที่จะให้ผมเอาไปเรียนไกลๆก็คงจะไม่ได้หรอก แล้วก็อย่าลืมสิว่าแม่เป็นใคร สิ่งที่แม่สอนมามีค่าขนาดไหน เพราะถ้าหากออกไปในโลกภายนอกแล้วก็มันคงจะวุ่นวายน่าดู"

          ถ้าจะถามว่าสิ่งที่แม่สอนนั้นมีอะไรบ้างนะหรอก็คงต้องอธิบายกันยาวเลยล่ะตั้งแต่เรื่องของการผสมเวทย์ การเรียบเรียงเวทย์ รวมถึงการบีบอัดพลังเวทย์ต่างๆนานาที่ถ้าเกิดคนทั่วไปทำความเข้าใจมันแล้วก็คงจะเป็นเรื่องใหญ่มากในสงคราม

          ในขณะที่คุยกันอยู่นั้นข้างนอกก็เริ่มที่จะมีหิมะตกแล้วเมื่อเห็นดังนั้นแม่ก็เข้ามากอดผมจากข้างหลัง

          "แต่ถึงอย่างนั้นลูกก็หาทางแก้ไขมันได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงดูเป็นเด็กฉลาดนี่เป็นความภูมิใจที่ถ้าหากวันหนึ่งลูกเหนือกว่าแม่ก็คงจะดี"เธอพูดพร้อมกับหอมแก้มผมเบาๆจากนั้นก็เดินไปจุดเตาผิงแล้วเดินไปหยิบพายในห้องครัวมา

          แต่ถึงแม้ว่าอาหารจะแย่ยังไงสิ่งที่ทำออกมาแล้วมันยังไม่ได้แย่เท่าไรนั้นก็คือขนมหวานยังไงล่ะ แต่ฉันจะบอกว่าดีก็เถอะแต่ก็ยังมีรอยไหม้เล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่ากินได้โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

          "มาทานกันเถอะนะถึงจะเห็นแบบนี้แม่ก็ทำสุดฝีมือเลยนะแล้วก็รอบนี้ไม่ไหม้ด้วย เพราะฉะนั้นขอคำชมหน่อยสิ"และนี่ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมยอมกินตลอดนั่นก็คือการเอายังไงล่ะ เขามีทุกอย่างที่ผมเอาแต่อ่านหนังสือจนไม่ยอมกินข้าวมันทำให้เธอร้องไห้ออกมาอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทำไมผมต้องยอมกินอาหารทุกรอบยังไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่

          แสงเทียนเสียงไฟกับหิมะที่โปรยปรายลงมาช่างเป็นเวลาที่มีความสุขซะเหลือเกินแต่ว่าเวลาแห่งความสุขนั้นมันก็คงจะผ่านไปได้ไม่นาน

          ปึ๊กๆๆ

          เสียงของประตูที่เหมือนกับว่าถูกบางสิ่งบางอย่างเคาะอยู่ได้ทำให้เราทั้งสองหันไปมองมันอย่างสงสัยเพราะเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วแต่กลับมีคนมาเคาะหน้าประตูซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะที่นี่อยู่กลางป่าที่อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควรนั่นจึงทำให้ผมและแม่หยิบไม้คฑาขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปยังประตู

          "เลียอย่าส่งเสียงเด็ดขาดนะ"เมื่อเธอพูดจบก็ค่อยๆเดินไปเปิดประตูและเริ่มร่ายเวทออกมาพร้อมกับมือเปิดประตูแต่สิ่งที่ได้เห็นนั้นทำให้พวกเราสองคนแปลกใจเป็นอย่างมากเพราะว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าประตูนั้นคือหัวของมนุษย์

          เห็นดังนั้นเธอก็ได้ร่ายเวทย์ตรวจสอบออกมาโดยที่พยายามปกปิดพลังเวทย์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อตรวจสอบไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกแปลกๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะว่ามันไม่มีอะไรเลย

          มาแล้วคุณอาจจะคิดว่ามันแตกสำหรับการที่มันไม่มีอะไรเลยแต่สำหรับในป่ามันคือสิ่งที่แปลกประหลาดมากๆเพราะว่าในป่านั้นมันควรจะมีเสียงของแมลงอย่างน้อยสักตัวสองตัวมันจะทำให้เรารู้ว่ายังปลอดภัยอยู่แต่ถ้าหากเป็นแบบนี้ควรจะระวังตัวให้มากที่สุดที่จะทำได้

          แต่แล้วเมื่อพวกเราทั้งสองคนกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้านก็พบเข้ากับดาบทีอยู่กับผมมาตั้งแต่แรกลอยอยู่กลางอากาศท้องจะมีเลือดหยดลงมาจากปลายดาบ

          แต่แล้วดาบเล่มนั้นก็เป็นแสงออกมาจนทั่วทั้งพื้นที่สว่างเป็นอย่างมากจนทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้แต่ถ้าอย่างนั้นแสงสว่างนั้นก็สว่างได้ไม่นานจึงทำให้พวกเราสามารถมองเห็นได้อีกครั้งซึ่งสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมนั่นคือจุดที่ถามรออยู่นั้นกลับมีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่แทน

          เด็กสาวคนนั้นมีเส้นผมสีทองสว่างรวมถึงตาของเธอนั้นถ้าเป็นสีทองประกายด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตามรูปร่างของเธอนั้นไม่ได้ผิดไปจากเด็กอายุ 8 ขวบเลยแม้แต่น้อยแต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาดกว่ามนุษย์ทั่วไปนั้นก็คือขาของเธอนั้นเป็นใบมีดสีขาวนวล

          "เธอเป็นอะไรกันทำไมถึงไม่อยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่สิต้องถามว่าทำไมดาบถึงกลายเป็นมนุษย์ได้ต่างหาก"ผมได้ถามออกไปพร้อมกันยกไม้คฑาขึ้นมาอยู่ในกระดับสายตา

          "......"เด็กคนนั้นยังไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับมาแต่กลับเดินเข้ามาพร้อมกันกอดผมเอาไว้โดยที่มีสายตาที่เอากับลูกแมวกำลังหิวโหย

          "......." "......."

          ความเงียบคือสิ่งที่สามารถอธิบายได้ภายในเวลานี้ไม่สามารถบอกได้ว่าใครคิดอะไรอยู่แต่ว่าในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่คิดว่าถูกต้องที่สุดนั่นก็คือเด็กสาวคนนี้คือใครกัน ในขณะที่พวกเรานั้นกำลังนิ่งเงียบกันอยู่นั้นก็ได้มีเสียงดังออกมาจากตัวเด็กสาว

          ฟี้ ฟี้ ฟี้

          เธอหลับไปแล้วซึ่งผมเองก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมดาบเล่มนั้นถึงกลายมาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นได้เพียงแค่ดาบที่มีพลังเวทย์สูง

          "ถ้าอย่างนั้นเราคงจะต้องให้เด็กคนนี้ไปพักสักหน่อยแล้วล่ะ เด็กคนนี้เองก็ดูไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร"เมื่อผมพูดจบแม่ก็ได้หันมามองหน้าผมโดยที่มีสายตางอนอยู่เล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ทำท่าทีที่ไม่พอใจอย่างชัดเจน

          แต่ก่อนทีผมจะเดินเข้าไปส่งเธอให้นอนบนเตียงสำรองก็ได้พบกับจดหมายฉบับหนึ่งที่วางอยู่ตรงโต๊ะในห้องนั่งเล่นซึ่งจดหมายเขียนชื่อของผมเอาไว้ซึ่งมันน่าแปลกทีจะมีใครมาเขียนชื่อผมเพราะว่าผมเองก็ไม่เคยออกไปไหนแล้วไม่เคยเจอใครมาก่อน แต่ในเมื่อจดหมายฉบับมีส่งถึงผมผมก็ควรที่จะอ่านมัน
     
         'ถึงท่าน เลียแกนส์ เพอร์รินิล ทางเราต้องการเชิญท่านเข้าไปยังสถานศึกษาของเรา ซึ่งทางเราจะเตรียมห้องพักและอุปกรณ์การศึกษาทุกอย่างไว้ให้ท่านหากท่านตอบรับจดหมายฉบับนี้โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องทำการสอบเข้าใดๆทั้งสิ้น สำหรับการเดินทางนั้นทางเราจะจัดเตรียมรถมาไว้ให้ท่านซึ่งวิธีการตอบจดหมายนั้นขอเพียงแค่ท่านเซ็นชื่อลงไปในจดหมายฉบับนี้จดหมายฉบับนี้จะกลายเป็นแหวนที่นิ้วนางข้างขวาของท่านซึ่งเป็นอุปกรณ์ระบุตำแหน่งของทางสถานศึกษาของเราโดยที่แหวนของท่านนั้นจะเป็นสีทองซึ่งบ่งบอกถึงสถานะพิเศษเพิ่งถึงเป็นจดหมายผ่านเข้าเมืองได้โดยที่ไม่ต้องตรวจสอบใด
     หวังว่าท่านจะตอบรับจดหมายของพวกเรา สถาบันศึกษาเวทมนตร์และอัศวิน อินควอเทียร์ ลีเฟอร์ริน ดิ อลลเนลล์ ลงวันที่ 28 เดือนเฟล ปีกิลเลี่ยนที่6892'

         เมื่ออ่านจบผมก็หันไปสังเกตเห็นถึงจดหมายฉบับอื่นๆซึ่งมีเนื้อหาใกล้เคียงกันแต่การให้ความเคารพนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงซึ่งชอบคนอื่นมีเนื้อหาว่าจงมาเข้าร่วมกับเราซะถ้าหากต้องการที่จะมีความสามารถมากขึ้นหรืออย่างอื่นใดก็ตามซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยต้องการสักเท่าไหร่โดยที่ผมเก็บจดหมายทุกฉบับเข้าไปไหนห้องนอนไว้ก่อนแต่เก็บจดหรกไว้กลับตัวก่อนที่จะขึ้นไปนอนบนเตียงและนอนหลับไป


          ในวันรุ่งขึ้นผมก็ได้เดินออกมาล้างหน้าแปรงฟันตามปกติแต่ถ้าว่ามีสิ่งหนึ่งที่แปลกไปนั่นก็คือเมื่อผมลงมาข้างล่างในห้องของนั่งเล่นนั้นกลับเต็มไปด้วยจดหมายเชิญเข้าสถาบันเต็มไปหมดโดยที่ผมเห็นแม่ที่นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้พร้อมกับเปิดอ่านจดหมายที่วางอยู่

          "อ้าวเลีย ตื่นแล้วหรอมาดูนี่สิจดหมายเทียบเชิญเยอะแยะไปหมดเลยที่นี้จะได้เลือกให้ได้สักทีว่าจะเข้าเรียนที่ไหนดี"

          ไม่เห็นยังไงผมก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับนั่งลงข้างๆแล้วหยิบจดหมายที่ผมเก็บไว้กับตัวออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ

          "แม่ก็หยิบปากกาขนนกมาให้ผมหน่อยสิ"ผมพูดออกมาทำให้เธอมองหน้าผมยังสงสัยว่าผมจะเอาปากกาขนนกไปทำอะไรซึ่งเธอก็ไม่ได้ถามอะไรและยื่นปากกาขนนกมาให้

          เมื่อได้รับปากกาขนนกมาผมก็ทำการเซ็นลงไปในจดหมายท่านที่และเมื่อเซ็นตัวอักษรตอนสุดท้ายลงไปนั้นจดหมายก็เปล่งแสงออกมาพร้อมกับกลายเป็นแหวนสีทองวงหนึ่งที่นิ้วนางข้างขวาของผม ซึ่งแม่ที่เห็นดังนั้นเธอถึงกับดีใจจนออกนอกหน้าพร้อมกับน้ำตาซึมออกมาทันที

          "ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเลือกแล้วนะถ้าอย่างนั้นผมไปอ่านหนังสือต่อล่ะ แล้วตอนบ่ายๆจะได้ไปซ้อมเวทมนต์ต่อ"ผมพูดออกมาพร้อมกับเดือนเข้าไปในห้องอาหารโดยที่ไม่หันกลับมามองว่าแม่ของตัวเองนั้นทำสีหน้ายังไงอยู่

          "ดูเหมือนว่าจะได้เวลาทำสิ่งนั้นแล้วสินะ เวลานี้ช่างผ่านไปเร็วจริงๆอยากจะอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้แท้ๆนะ แต่ว่าถ้าเข้าเป็นอาจารย์ในที่ที่เลียไปก็ได้นี่ เอาเป็นว่าเงียบไปก่อนเอาไว้ให้เลียตกใจเล่นดีกว่า"เมื่อเธอพูดจบเธอก็ได้หายตัวไปจากห้องนั่งเล่น


         ในขณะเดียวกัน สถานศึกษาอินควอเทีบร์ ห้องผู้อำนวยการ

          "ท่านคะ ท่านเลียแกนส์ตอบรับคำเชิญของพวกเราแล้วค่ะ จะให้ทางเราไปรับท่านเลียแกนส์ตอนไหนคะ"เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเอ่ยถามเจ้าของห้องที่กำลังนั่งอยู่บนส่วนเก้าอี้ส่วนตัว

          "ยิ่งเร็วเทาไหร่ยิ่งดีแต่ถ้าเกิดจะให้ดีที่สุดก็คือวันพรุ่งนี้ จะได้เตรียมการอะไรหลายๆอย่างให้พร้อมก่อนที่เขาจะมาถึง"ผู้อำนวยการสถานศึกษาตอบหญิงสาวที่เดินเข้ามาด้วยน้ำเสียงระรื่นพร้อมกับหยิบแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม

         "แต่ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นท่านเลียแกนส์จะจัดเตรียมการทันหรอคะเพราะว่าถ้ากระชั้นชิดเกินไปมันคงจะไม่ดีต่อฝ่ายนั้น"

         "เด็กตนนั้นน่าจะเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้วเราไม่จำเป็นต้องไปยุ่งวุ่นวายอะไรมากขอเพียงแค่บอกเขาล่วงหน้าสัก 1 วันก็คงจะพอสำหรับการที่เขาจะเตรียมตัวทุกอย่างแล้วนะ"

         สิ้นเสียงนั้นร่างของผู้อำนวยการก็ได้หายไปพร้อมกับทิ้งจดหมายหนึ่งฉบับบนโต๊ะของตัวเองซึ่งสมัยนั้นจ่าหน้าซองถึง

         "เป็นคนที่เอาแต่ใจจริงๆเลยนะอย่างนี้ท่านเลียแกนส์ก็น่าเป็นห่วงแย่ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องขอให้ท่านดลียแกนส์โชคดีแล้วกันนะ เพราะยังไงถ้าหากท่านผู้นั้นต้องการแล้วคงจะเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับการนี้ท่านผู้นั้น"


         กลับมาทางเลียแกนส์

         หลังจากที่เลียได้กลับมาจากการฝึกเวทมนต์ประจําวันเขาก็ได้กลับมาอ่านหนังสือต่อในห้องสมุดของบ้านโดยทีมีเด็กสาวนั่งอยู่ข้างๆผมโดยที่เธอนั้นนั่งมองผมอ่านหนังสือโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหนมาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้วแต่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผมเลยแม้แต่น้อยแถมยังเล่นอ่านหนังสือที่ผมอ่านไปแล้วอีกต่างหาก

         "นี่เธอไม่หิวบ้างหรอ"เอาไม่ทันหรอกไปพร้อมกับเอาหนังสือในเมื่อเรามันโต๊ะของห้องสมุดแต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือการสายน่าปฏิเสธ

         "ถ้าอย่างนั้นผมขอถามหน่อยสิ ทำไมเธอถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยล่ะ อย่างน้อยถ้าเป็นไปได้การพูดคุยก็ทำให้เข้าใจกันมากขึ้นนะ"

         และเป็นเช่นเดิมการตอบกลับของเธอนั้นก็ไม่ใช่คำพูดแต่เป็นการพยักหน้าเท่านั้นทำให้ผมเริ่มรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับตัวเธอ

         "นี่เธอไม่เข้าใจภาษานั้นหรอหรือว่าไม่ไว้ใจผม"ผมพูดออกไปพร้อมกับหันไปหยิบหนังสือภาษาของรูปนี้มาให้เด็กคนนั้นก็หยิบขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็วซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่ผมพูดออกมานั้นมันถูกต้องเมื่อผ่านไปได้สักพักแค่ก็ได้ปิดหนังสือลงและหันมามองหน้าผม

         "ต้....อ....ง....ฝึ....ก....อ....อ....ก....เ....สี....ย....ง"เธอลองพูดออกมาเป็นคำช้าๆซึ่งมันทำให้ผมคิดว่าเธอคงจะไม่เคยออกเสียงหรือพูดคุยมาก่อน(แน่ล่ะเป็นดาบนี่)หลังจากที่เธอพูดจบประโยคนั้นเธอก็ลุกขึ้นพร้อมกับเดินออกไปจากห้องสมุดซึ่งทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอต้องการที่จะไปไหน

         ผมคิดนานเธอออกมาข้างนอกได้เห็นว่าเธอนั้นได้ไปฝึกซ้อมออกเสียงอยู่ข้างนอกบ้านเพื่อไม่ให้รบกวนผมที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างในห้องสมุดทำให้ผมอดสงสัยว่าเธอนั้นมีความคิดความอ่านอยู่ในระดับที่เท่าไหร่แต่เรื่องนั้นวางเอาไว้ก่อนตอนนี้ผมต้องการที่จะอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อนที่จะเข้าสถาบันการศึกษา

         ผมอ่านไล่ตั้งแต่ประวัติศาสตร์โลก พื้นฐานเวทมนต์ เวทมนตร์เสริม รวมไปถึงสังคมของบุคคลโดยรวมแล้วนั้นที่ผมหยิบมามีหนังสือทั้งหมด 130 เล่มโดยประมาณ

         โลกนี้มีทั้งหมด 9 ทวีปโดยที่ทั้ง 9 ทวีปนั้นไม่ได้เชื่อมต่อกันแต่อย่างใด แต่ถึงอย่างนั้นทวีปทั้งหมดก็มีข้อแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงซึ่งในแต่ละทวีปนั้นก็มีข้อดีและประวัติแตกต่างกันไป

         ทวีปที่ 1 พากอส คือทวีปแห่งน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย โดยที่ส่วนใหญ่แล้วทวีปนี้จะไม่ค่อยมีผู้อาศัยสักเท่าไหร่แต่ว่ากลับมีนักเวทย์อยู่เป็นจำนวนมากหากคิดเป็นอัตราส่วนแล้วแล้วก็มีนักเวทย์อยู่ที่ทวีปน้ำแข็งเป็น 5 ใน 10 ของโลกใบมีเลยทีเดียว โดยตำนานของทวีปนี้คือมีมังกรน้ำแข็งอาศัยอยู่ใต้ทวีปแห่งนี้แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพบเจอมังกรน้ำแข็งเลยแม้แต่คนเดียว

         ทวีปที่ 2 โฟเทียร์ เป็นทวีปแห่งไฟที่ไม่มีวันดับเป็นทวีปที่มีความป่าเถื่อนมากที่สุดในบรรดา 9 ทวีปโดยทวีปนี้มีนักดาบผู้เก่งกาจทำไมอาศัยอยู่ ใจกลางของทวีปนั้นเชื่อกันว่ามีฟีนิกส์อยู่ซึ่งทำให้ไฟในทวีปนี้ไม่มีวันดับ

         ทวีปที่ 3 คือ โออาเนโมส ทวีปในสายลมอันแปรปรวน ทวีปที่ขึ้นชื่อว่าหากไม่ระวังตัวจะตายได้ง่ายๆเพราะในทวีปนี้มีสภาพอากาศที่รุนแรงเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นพายุฝนหรือกระแสอากาศที่แปรปรวน ผู้ที่อยู่ในสภาพอากาศแบบนี้ได้นั้นส่วนใหญ่คือผู้ที่มีความสามารถในการควบคุมลมซึ่งในทวีปมีนั้นมีทั้งนักดาบ อัศวิน นักเวทย์ รวมไปถึงนักฆ่าที่เก่งกาจ เชื่อกันว่าเมื่อที่ทวีปแห่งสายลมนี้เกิดการฟ้าผ่า แต่ละครั้งนั้นมีบางสิ่งบางอย่างมาพร้อมกับสายฟ้าด้วยนั่นก็คือหมาป่าสายฟ้าซึ่งเป็นตำนานของที่แห่งนี้

         ทวีปที่ 4 พิลอส ทวีปแห่งผืนแผ่นดินกว้างใหญ่เป็นทวีปที่มีพลังชีวิตมากที่สุดทำให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทวีปนั้นมีพลังชีวิตที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในทวีปอื่นๆเปรียบเสมือนกับว่าสิ่งที่อยู่ในทวีปนี้คือพลังชีวิตของโลกนี้ซึ่งอัศวินและนักรบกล้าจะมาจากที่แห่งนี้ สิ่งที่เป็นตำนานของที่นี่คือที่นี่คือที่สิงสถิตของเทพผู้สร้างโลกหรือเป็นที่ที่เก็บหัวใจของเทพผู้สร้างเอาไว้

         ทวีป 5 ทวีปใต้บาดาล แอตแลนติส ผมไม่รู้ว่าที่นั่นสามารถอยู่ได้ยังไงแต่ที่นั่นก็เป็นสถานที่ที่มีสมุนไพรหลากหลายชนิดที่มีผลมากกว่าสมุนไพรบางชนิดบนพื้นดินทำให้อีกชื่อหนึ่งของดินแดนใต้บาดาลนี้มีชื่อว่าดินแดนแห่งสมุนไพร โดยที่ตำนานกล่าวไว้ว่าใต้ผืนน้ำอันกว้างใหญ่แห่งนั้นมีสัตว์อสูรในตํานานลิเวียธานหลับไหลอยู่ใต้ผืนน้ำแห่งนั้น

         ทวีปที่ 6 ทวีปศักดิ์สิทธิ์หรือทวีปโฟสฟิลเป็นทวีปที่มีนักบวชแล้วพาลาดินอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งพวกเขาเหล่านั้นศรัทธาแสงศักดิ์สิทธิ์ที่จะปรากฏขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี โดยที่พวกเขานั้นได้เล่าขานตำนานแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ว่าแสงนั้นมาจากเทพองค์หนึ่ง

         ทวีปที่ 7 คือทวีปที่เต็มไปด้วยปีศาจและผู้ศรัทธาในความมืด สกอล์ทาดี ผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นปีศาจหรือผู้ชายคำสาปและศาสตร์มืดเป็นส่วนใหญ่โดยที่บุคคลที่อยู่ในทวีปนี้นั้นเชื่อกันว่ามีอสูรโบราณที่จะทำลายโลกสถิตอยู่

         ทวีปที่ 8 โอรานอส ทวีปลอยฟ้าเป็นทวีปที่ลอยไปเรื่อยๆไม่อยู่เป็นที่ โดยที่ทวีปแห่งนี้เป็นทวีปที่สวยงามที่สุดในบรรดา 9 ทวีป ซึ้งแห่งนี้นั้นสามารถเดินทางได้โดยนั่งเรือเหาะที่มีจุดหมายปลายทางที่ทวีปลอยฟ้าแห่งนี้สิ่งที่เป็นตำนานของทวีปนี้ก็คือพลังเวทย์ที่ไม่มีวันหมดของทวีปก็คือพลังเวทย์ที่ไม่มีวันหมดของทวีปฟ้าแห่งนี้ลอยฟ้าแห่งนี้มาจากการรวมตัวกันของประจุพลังเวทย์ที่สัตว์อสูรตนหนึ่งได้ทำเอาไว้

         ทวีปที่ 9 คือทวีปกลางหาพูดให้ชัดเจนคือเป็นทวีปที่อยู่ใจกลางของทวีปทั้งหมดเป็นสถานที่ที่ผมอาศัยอยู่ณตอนนี้เป็นสถานที่ที่รวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างพัฒนาขึ้นจากการที่รวบรวมรายละเอียดเข้าด้วยกันแต่ตำนานนั้นกลับเลือนหายไปตามกาลเวลาและการพัฒนาของสิ่งต่างๆ

         แต่ถ้าหากต้องการรายละเอียดมากกว่านี้ก็คงจะต้องไปที่ทวีปนั้นๆด้วยตัวเอง หลังจากที่ผมอ่านประวัติของโลก จบไป 1 เล่มผมก็ออกไปมองนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้เข้าสู่ช่วงตอนเย็นแล้วผมควรที่จะออกจากห้องสมุดและเดินไปทำอาหารก่อนที่แม่จะกลับมาบอกว่าทุกคนคงจะไม่อยากกินอาหารที่มันไหม้หรอกนะ

         เมื่อผมออกมาจากห้องสมุดผมก็พบเข้ากับขอหนังสือจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับการทำอาหารที่แม่เป็นคนซื้อและเก็บเอาไว้เพื่อที่จะฝึกทำอาหารให้ผมทาน

         เมื่อผมเดินเข้าไปห้องครัวก็พบกับเด็กสาวคนนั้นกำลังทำอาหารอยู่ซึ่ง...มันน่าทาน....ใช่มันน่าทานเหมือนกับในหนังสือเล่มนั้นโดยที่รูปร่างของอาหารนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากภาพเลยแม้แต่นิดเดียวแถมกลิ่นยังหอมมากจนทำให้น้ำลายสอ เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงเดินเข้าไปหาเธอพร้อมกับเก็บหนังสือที่อยู่ตามทางไปด้วย

         "อ่านหนังสือจบแล้วหรอคะพี่ชาย"เธอเรียกผมว่าพี่ชาย มันคงเป็นอะไรที่แปลกมากถ้าหากจู่ๆมีคนอื่นมาเรียกคุณว่าพี่ชายโดยที่ไม่เคยที่จะมีน้องสาวมาก่อนแต่ถึงอย่างนั้นมันคงจะเป็นอะไรที่น่าดีใจสำหรับหลายๆคนที่ต้องการมีน้องสาวเป็นของตัวเอง

         "อย่าบอกนะว่าเธอแค่อ่านวิธีทำแล้วก็ทำอาหารเป็นเลยน่ะ"ผมเลยถามอย่างสงสัยและชิมอาหารที่อยู่ในจานโดยที่มีเด็กสาวจ้องมองและคาดหวังคำชมทำผมอยู่

         "หนูสามารถทำได้ทุกอย่างค่ะไม่ว่าจะเป็นทำอาหารทำความสะอาดการดูแลรักษาบ้านเครื่องใช้ต่างๆหรือแม้แต่การต่อสู้ค่ะ"เธอพูดพร้อมกับยิ้มให้ผมแต่สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นทำให้ผมวัดสงสัยเป็นไม่ได้จึงได้ถามถึงเรื่องราวของเธอ

         "นี่เธอน่ะ เธอเป็นใครกันแน่รวมถึงเรื่องเมื่อคืนนั้นด้วย"เมื่อเธอได้ยินคำถามนั้นเธอก็ยิ้มออกมาพร้อมกับกอดแขนผมเอาไว้

         "หนูเป็นน้องสาวของพี่ชายค่ะเพราะว่าสิ่งที่ทำให้หนูเกิดขึ้นมาได้นั่นคืิอพลังเวทย์ส่วนหนึ่งของพี่ชายโดยที่หนูได้ดึงพลังเวทย์มาจากพี่ชายส่วนหนึ่งทำให้หนูมีร่างกายมาเป็นแบบนี้"เธอพูดออกมาพร้อมกับเปลี่ยนร่างกลับกลายเป็นดาบเหมือนก่อนหน้านี้แต่ดาบนั้นเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีทอง แต่แล้วเธอก็เปลี่ยนกลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง

         "ต่อจากนี้หนูจะเป็นคนดูแลพี่ชายเองนะคะ"แล้วดูเหมือนว่าผมเองก็น่าจะต้องมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีก 1 เรื่องแล้วล่ะ


         อีกด้านหนึ่ง ประเทศแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากประเทศออลเนลล์มากนักได้มีคนสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ในปราสาทกลางเมือง

         "เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ท่านเมลิด้ามหาจอมเวทย์ผู้หญิงใหญ่มาหาข้าแบบนี้"เจ้าของปราสาทได้พูดขึ้นมาพร้อมกับสั่งให้เมดยกน้ำชามาให้

         "ข้ามาที่นี่เพื่อจะไปกับเจ้าไม่ใช่จะมาหาเรื่องราชาเห็นสงคราม หากว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะสนทนากับข้า ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป"เธอบอกพร้อมกับเดินออกไปจากประสาทแต่ก่อนที่จะเดินออกไปนั้นเสียงของราชาก็ดังขึ้นมาหยุดเธอก่อนที่เธอจะออกไป

         "ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นท่านมหาจอมเวทย์แต่มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดพี่ท่านออกมาจากป่าแห่งนั้น"เมื่อราชาพูดจบเมดก็ยกน้ำชามาเสิร์ฟให้กับเมลิด้า

         "ถ้าอย่างนั้นข้าขอเข้าเรื่องเลยละกัน เจ้าต้องการอะไรกันแน่เจ้าไม่น่าที่จะชอบเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับสงครามนี่"เมลิด้าเอ่ยถามพร้อมกับจิบชาที่เมดนำมาเสิร์ฟให้

         "ข้าเพียงแค่ต้องการกำลังพลเพิ่มในการทำสงครามเท่านั้นข้าจึงจำเป็นที่จะต้องเลือกเข้าทางสถานศึกษาของทวีปเพื่อที่จะได้กำลังพลมาไว้ในครอบครอง"ราชาพูดจบเขาก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยังหน้าต่างพร้อมกับพูดกันใหม่ประโยคว่า

         "หวังว่าท่านเมลิด้าจะปล่อยผ่านการกระทำนี้ของข้าเพราะข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดบัญญัติของทวีปเลยแม้แต่น้อยหวังว่าท่านคงเข้าใจ"ได้พูดจบก็ยกยิ้มขึ้นมาแล้วมองขึ้นไปบนฟ้าอย่าเหม่อลอย

         "ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีไป แต่อย่าให้ข้ามารู้ทีหลังว่าเจ้ากำลังวางแผนที่ละเมิดต่อบัญญัติของทวีปทั้ง 9 ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องขอลา"เมลิด้าหายตัวไปจากท้องพระโรงจึงทำให้เหลือแต่ราชาที่กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่

         "แม่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายลูกเด็ดขาด ไม่มีวัน"

         โชคชะตานั้นได้ก่อกำเนิด สิ่งที่เกิดจากความฝันอันลุ่มหลง สิ่งที่เจ้าทำให้อยู่ดำรง จะจบลงด้วยมือข้ามลายไป

    สิ่งที่เจ้าคาดหวังจากความฝัน ความมืดนั้นกัดกินทุกแห่งหน สิ่งที่เจ้าต้องเสียไปคือตัวตน สิ่งที่เจ้าเหลือเอาไว้มีเพียงกาย

    จงปวดร้าวร่ำไห้จากตัวเจ้า สิ่งใดเล่าเจ้าต้องการจากความหวัง ความสุขหรือที่ต้องการเป็นพลัง สุดท้ายเป็นความหลังมันปวดใจ

    จงเจ็บปวดรวดร้าวทรมาน จงกรีดร้องออกมาให้สุดเสียง เจ้าทำตนของเจ้าให้ใกล้เคียง เป็นได้เพียงแค่ความมืดที่เลือนลาง

    แสงสว่างที่เจ้านั้นได้นับถือ มันมีหรือสิ่งที่เจ้าได้ประสงค์ แสงสว่างสุดท้ายก็ดับลง เจ้าเพียงแค่กราบลงและบูชา

    หากว่าแสงของเจ้านั้นมีจริง คงเป็นสิ่งที่เท่านั้นไปหา เป็นได้เพียงแค่แสงที่ส่องมา จากฟากฟ้าที่ไหลแม้แต่ลม

    จงฟังข้าพวกเจ้าที่โง่เขลา จงขัดเกลาปัญญาให้หลักแหลม จงใช้มันชี้นำและทิ่มแทง ศัตรูเจ้าจะมาหลายที่ปลายทาง

    นามแห่งข้าจงกล่าวขานบันลือโลก จงเศร้าโศกเสียใจหากเจ้าหวัง คิดทำร้ายพวกข้าอย่าจีรัง ดั่งความหวังของเจ้ามาหลายไป


    เมลิด้า ดิ อี เทีย เพอร์รินิลล์(Malidar The E Tear Perrinill) วันที่1 เดือนกราว ปีกิลเลี่ยนที่980
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×