ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [iKON] The Ship That I'm Sailing [SF,Drabble]

    ลำดับตอนที่ #50 : [SF] How To Make Caramel Candy [Yunhyeong x Junhoe]

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ย. 58


    Title : How To Make Caramel Candy


    Pairing: Yunhyeong x Junhoe

     

     






    ...คุณรู้จัก คาราเมลแคนดี้ ไหม?...


    ลูกอมสีน้ำตาลไหม้ กลิ่นหอมวานิลา รสชาติหวานเข้มข้นของน้ำตาลเม็ดที่ถูกเคี่ยวด้วยความร้อนสูง มีทั้งแบบแข็งและนุ่มหยุ่นเคี้ยวจนติดฟัน ความจริงมันเป็นขนมที่สามารถทำกินเองได้ที่บ้านและมีขั้นตอนไม่เยอะมากแต่ต้องใช้เวลากับความระมัดระวังพอสมควรเลยล่ะ


    งั้นเราจะมาเรียนรู้วิธีทำคาราเมลแคนดี้ไปพร้อมกับเรื่องราวความรักที่กว่าจะเริ่มต้นและลงเอยกันได้ไม่ต่างจากการทำขนมชนิดนี้เลย


    เริ่มต้นเราต้องมีวัตถุดิบกันก่อน วัตถุดิบสำคัญอย่างแรกคือ ครีมชนิดข้น

     


    ครีมสีขาวเหมือนกับสีผิวของเจ้าของร้านน้ำชาซึ่งอยู่ในตรอกถัดมาจากถนนเส้นอันแสนพลุกพล่านใกล้กับมหาลัยชื่อดังโดยเฉพาะสุดสัปดาห์ แต่ปกติวันธรรมดาร้านเองไม่ค่อยมีคนเข้ามาไม่บ่อยนักยกเว้นลูกค้าประจำซึ่งค่อนข้างมีอายุของเจ้าของร้านคนก่อนหรือนักศึกษาที่บังเอิญเดินหลงมา

     


    กูจุนฮเว เจ้าของร้านคนใหม่ที่รับหน้าที่นี้มาเกือบครึ่งปีแล้ว เขาผูกผ้ากันเปื้อนสีดำสนิทตรงเอวทับเสื้อสเวตเตอร์สีขาวแขนยาวเกือบปิดนิ้ว ปัดผมหน้าม้าด้วยความเคยชินก่อนจะนึกได้ว่าพึ่งตัดให้สั้นลงและกัดสีผมเป็นสีขาวแล้ว ดวงตาออกดุไปนิดและใบหน้าออกจะไม่รับแขกเท่าไร แต่เมื่อมีลูกค้าเข้ามาเขาเองก็มีมารยาทพอที่จะยิ้มให้บางๆ พูดยินดีต้อนรับไม่ใช่ว่าไล่ลูกค้าออกไป

     


    ดั่งเช่นลูกค้าในวันนี้ แต่ลูกค้าคนนี้พิเศษกว่าวันอื่นๆเพราะเป็นลูกค้าที่เหมือนกับ น้ำตาลทราย วัตถุสำคัญอีกอย่างสำหรับทำคาราเมลแคนดี้ และเป็นคนที่จะมาเพิ่มความหวานให้กับเจ้าของร้านน้ำชาของเรา


    เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูกระจกไม้ของร้านซึ่งมีป้ายแขวนว่า 'Open' ผลักเข้ามา มือขาวของจุนฮเวสอดที่คั่นหนังสือคั่นหน้าหนังสือเล่มหนาที่เขากำลังอ่านอยู่ วางมันบนโต๊ะเคาเตอร์ไม้ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้บุกนวมกำมะหยี่สีแดงออกโบราณ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบประจำตัว


    "ยินดีต้อนรับครับ"

     


    รอยยิ้มละไมอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์จากคนที่พึ่งเข้ามาตอบรับแทนคำพูด ใบหน้าหวาน ดวงตาคู่โต ริมฝีปากอวบอิ่ม ส่วนสูงมาตราฐานชายทั่วไปในเสื้อเชิ้ตสีดำผูกไทด์เรียบร้อยและเสื้อสูทคลุมทับดูเหมือนพนักงานบริษัทธรรมดาแต่มีเสน่ห์มากกว่า ชายคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้สตูลไม้ตัวสูง วางหนังสือห่อปกหนังอย่างดีและกระเป๋าหนังสีดำใบขนาดเอสี่บนเคาเตอร์ สายตาของเขามองเมนูซึ่งเขียนด้วยชอล์กบนกระดานดำด้านหลังจุนฮเว ทำสีหน้าครุ่นคิดสักครู่


    "ขออเมริกาโน่เย็นทีหนึ่งครับ"


    เสียงหวานราวกับน้ำตาลแต่ไม่อาจจะทำให้จุนฮเวซ่อนตาขวางและคำกร่นด่าอยู่ในใจได้ คนตรงหน้าแต่งตัวดูมีการศึกษาดี แต่อ่านเมนูไม่ออกหรือไงว่าที่นี่ขายแต่น้ำชาไม่ขายกาแฟ


    "ที่นี่เราขายแต่น้ำชาครับ ไม่มีกาแฟ"


    เจ้าของร้านน้ำชาได้แต่พยายามพูดออกไปด้วยน้ำเสียงใจเย็นและสงบใจตัวเองมากที่สุด จะโวยวายออกไปก็ไม่ได้เพราะยังไงเขายังต้องทำมาหากินอยู่


    "ผมก็ว่าแบบนั้นล่ะ แต่ถามไปก่อนเพื่อมีเมนูซ่อนไว้ จะว่าไปไม่คิดลองขายกาแฟบ้างหรอครับ?"  


    รอยยิ้มกว้างกับข้อเสนอของลูกค้าแปลกๆคนนี้ทำให้จุนฮเวได้แต่จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี


    "ล้อเล่นน่ะครับ งั้นขอชาเขียวบ๊วยเย็นแล้วกันครับ"


    ถึงจะที่ร้านจะเน้นขายเครื่องดื่มร้อนแต่ก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มเย็นอยู่ แล้วยิ่งดูแสงแดดนอกร้านแม้มีฟิลม์กั้นยังรู้สึกร้อนแทนคนภายนอก ชาเขียวที่ถูกชงและกรองอย่างดีไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแช่เย็นเพื่อไม่ให้กลิ่นและความเข้มข้มจางหายไปผสมเข้ากับน้ำเชื่อมกับผลบ๊วยสับจนเข้ากัน เสิร์ฟใส่เหยือกพร้อมกับแก้วใสใส่น้ำแข็งและน้ำเปล่าเพื่อให้ลูกค้าได้ผสมรสที่ตัวชอบได้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดถูกนำมาวางไว้หน้าลูกค้าเพียงคนเดียวในร้านซึ่งกำลังก้มหน้าเขียนอะไรบ้างอย่างในสมุดตรงหน้า


    มองสีหน้าแช่มชื่นของเจ้าของใบหน้าหวานเมื่อได้รับรู้ถึงรสเปรี้ยวและความเย็นของเครื่องดื่มก่อนจุนฮเวจะนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมของตัวเองอีกครั้ง หยิบหนังสือที่กำลังอ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ ยังไงลูกค้าก็มีแค่นี้ ต้องการอะไรก็เรียกเบาๆก็ยังได้ยิน




    "ขอโทษครับ ขอผมดูหนังสือเล่มนั้นได้ไหมครับ?"




    เสียงทักจากลูกค้าเพียงคนเดียวหลังจากเขาอ่านหนังสือไปประมาณสองหน้าทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นและมองหนังสือที่อยู่ในมือของตัวเองอีกครั้งราวกับถามว่าเล่มที่อยู่ในมือน่ะหรอ ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำตอบ จุนฮเวคั่นหน้าที่ตัวเองอ่านค้างไว้ ปิดหนังสือ เครื่องหมายและสัญลักษณ์ในคริสต์ศิลป์ ฉบับภาษาอังกฤษและส่งให้ด้วยความงงงวยซึ่งอีกฝ่ายรับมาและค่อยๆ เปิดดูอย่างทะนุถนอม


    "ผมขอยืมหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหมครับ แล้วพรุ่งนี้ผมเอามาคืน ผมไม่มีสอนพอดี"

     


    รอยยิ้มละไมกับคำขอไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยทำให้เจ้าของร้านชะงักไปสักครู่


    "เออ...." 


    "ออ หนังสือเล่มนี้คงมีค่ามากเลยใช่ไหมครับ ถ้าผมยืมไปคุณคงต้องห่วงแน่เลย ผมเอาป้ายชื่อกับนาฬิกาพกเป็นค่ามัดจำไว้แล้วกัน"   

     


    "เดี๋ยวนะ คุณ..." 

     


    "เนี่ย ถ้าผมไม่มีป้ายชื่อผมก็ไปทำงานไม่ได้นะครับ เอ๊ะ! สายแล้วนี่หว่า ผมมีธุระต้องรีบไปทำก่อน สัญญาว่าพรุ่งนี้ผมจะเอามาคืน ขอบคุณนะครับ"

     


    มาไวไปไวราวกับสายลม โดยที่จุนฮเวยังไม่ทันได้ตอบกลับอะไรด้วยซ้ำเพราะมัวแต่อึ้งอยู่ คนเราพึ่งได้เจอกันแค่ครู่เดียวจะสามารถกล้ายืมหนังสือซึ่งราคาเท่าไรเขาเองก็ไม่แน่ใจเพราะเป็นของมาสเตอร์คนเก่าแต่คงแพงพอสมควรเลยล่ะเนื่องจากเป็นหนังสือเล่มหนาแถมเป็นภาษาอังกฤษซะด้วย จุนฮเวยกมือขึ้นมาเกาหัวพลางพ่นลมออกทางจมูกอย่างไม่พอในนัก หยิบสิ่งของที่คนยืมหนังสือไปทิ้งไว้เป็นค่ามัดจำค่าหนังสือจากบนเคาเตอร์

     


    นาฬิกาพกทองเหลืองซึ่งมีรอยขูดขีดเต็มไปหมดดูผ่านช่วงเวลาการใช้งานมานาน เมื่อกดตรงเม็ดมะยมภายในนั้นฟันเฟืองของนาฬิกากำลังทำงานอย่างแข็งขันและเข็มวินาทีกำลังวิ่งวน ดูท่านาฬิกาพกเรือนนี้ราคาท่าจะแพงทีเดียว แต่ที่น่าสนใจกว่าคือป้ายแขวนคอขนาดเท่านามบัตรที่เหมือนกับป้ายของพนักงานบริษัท

     


    ซงยุนฮยอง อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาลัยxxx  

     


    "เป็นถึงอาจารย์เลยหรอ? อาจารย์ประสาอะไรวะมารยาทเป็นแบบนี้"

     


    กูจุนฮเวสบถอย่างหัวเสียเมื่อหนังสือที่ถูกเอาไปเขาก็ยังอ่านค้างไว้และค่าน้ำชาอีกฝ่ายก็ยังไม่จ่าย ยังดีที่มหาลัยที่ซงยุนฮยองทำงานอยู่ใกล้แค่นี้ ถ้าเจ้าตัวไม่กลับมาจริงๆ เขาคงได้ไปบุกถึงในคณะแน่นอน ถอนหายใจก่อนยกเหยือกกับแก้ววางลงในอ่างล้างจาน เดินเข้าไปในห้องหนังสือด้านหลังเพื่อเลือกหนังสือเล่มใหม่มาอ่านแทน

     



    ...ขั้นตอนต่อไปเรานำน้ำตาลทรายและครีมข้มแล้วก็เพิ่มน้ำเชื่อมเข้าไปอีกหนึ่งอย่างเทใส่รวมกันใส่หม้อ ตั้งไฟปานกลางค่อยๆคนให้ทุกอย่างละลายรวมกัน

     


    ถ้าในเปรียบกับขั้นตอนนี้กับเรื่องราวของซงยุนฮยองและกูจุนฮเว ร้านน้ำชาคงเป็นกับหม้อสำหรับใส่ส่วนผสมเหมือนกับสถานที่ที่ทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกัน ส่วนความสนใจที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคงคล้ายกับความร้อนที่กำลังทำให้ทั้งสองค่อยๆรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น 

    .

    .

    .

    "เฮ้!" 

     


    "มาอีกแล้วหรอ?"


    เสียงของลูกค้าที่มาบ่อยตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทักขึ้นหลังจากเปิดประตูร้านเข้ามาตอนเย็นของวันพฤหัส ตอนแรกก็เป็นเพียงแค่ลูกค้าธรรมดาแต่เมื่อความสนิทมีมากขึ้นความเกรงใจต่อลูกค้าคนนี้ของกูจุนฮเวก็ลดน้อยลงตาม บอกได้จากประโยคตอบกลับที่ออกรำคาญนิดๆ    


    "วันนี้สอนสองคลาสติดตั้งแต่เช้า โคตรเหนื่อยเลย ชงชามะลิให้หน่อยสิ อยากกินอ่ะ"

     


    จุนฮเวเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามาดของอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ตะวันตกตอนสอนอยู่หน้าห้องเรียนนั้นเป็นไง แต่ภาพคนที่กำลังยืดมือทั้งสองข้างมาด้านหน้าและคางเท้าไปกับเคาเตอร์พูดเสียงยานกับเขาอย่างกับเด็กห้าขวบตอนนี้ทำให้ตาของเขากลอกขึ้นมองเพดานอย่างไม่รู้ตัว


    "ชงให้กินแล้วจ่ายเงินวันนี้ด้วย พี่แม่งกินแล้วชิ่งตลอด"   


    "แต่พี่ก็จ่ายเงินของคราวก่อนทุกครั้งที่มาในครั้งต่อไปน่า ชงชาให้หน่อยย"


    "รอแปปนึง และเอามือออกจากโหลคุ๊กกี้ด้วย ของซื้อของขายรู้ไหม"  


    ดวงตาคมส่งสายตาอาฆาตให้คนที่กำลังจะล้วงมือเข้าไปในขวดโหลแก้วเพื่อหยิบคุ๊กกี้ขนาดพอคำจังหวะที่เขากำลังจะต้มน้ำ ยุนฮยองจิ๊ปากเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน


    "ก็ไม่ค่อยมีลูกค้าพี่ก็กินแทนให้ เดี๋ยวเสียซะก่อน"


    "ของแห้งทิ้งไว้นานไม่เป็นไรและอีกอย่างพี่ควรลองมาวันเสาร์กับวันอาทิตย์ ขายดีโคตรๆ"


    "โทษนะ วันเสาร์กับวันอาทิตย์คิวพี่โคตรแน่นเลย"


    ยุนฮยองมักจะมาที่ร้านน้ำชาทุกวันอังคาร วันพฤหัสและวันศุกร์เย็นบ้าง ส่วนวันเสาร์ยุนฮยองมีสอนพิเศษที่อื่นส่วนวันอาทิตย์เป็นวันของครอบครัว ช่วงเวลาที่ยุนฮยองมาที่ร้านเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้านสักเท่าไรและร้านแห่งนี้จะปิดทุกวันพุธแต่จุนฮเวก็มักจะอยู่ที่ร้านเพราะเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนครอบครัวของเขาทั้งพ่อแม่และพี่สาวอยู่ที่ญี่ปุ่น

     


    ใบชาเขียวมะลิใส่เตรียมใว้ในป้านชากระเบื้องเคลือบสีน้ำตาลเข้มที่ลวกรอไว้แล้ว มือขาวเทน้ำร้อนจากกาน้ำสีเงินยกสูงขึ้นเพื่อให้น้ำร้อนคลายใบชาออก ก่อนรินน้ำชาแรกสำหรับการกระตุ้นใบชาออกจากป้านชาให้หมดและเทน้ำร้อนลงไปในป้านชาอีกครั้งซึ่งรอบนี้รสและกลิ่นหอมของน้ำชาเด่นชัดกว่าเดิม รินน้ำชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบเข้าชุดป้านชาตรงหน้ายุนฮยองหนึ่งถ้วยและสำหรับตัวเขาเองหนึ่งถ้วย


    “ขอบคุณมากครับ คุณกูจุนฮเว”

     


    รอยยิ้มกว้างจากอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ส่งให้เขาหลังจากเงยขึ้นจากนิตยสารท่องเที่ยวยุโรปรายสัปดาห์ที่กำลังเปิดค้างไว้อยู่บนเคาเตอร์ มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ผ่อนคลายไปกับรสและกลิ่นหอมของสิ่งที่ตัวเองขอไว้

     


    "หืม? วางแผงแล้วหรอ? แต่ไปรษณีย์ยังไม่มาส่งแฮะ" จุนฮเวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของตัวเองยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นดื่มเช่นกัน


    "นายก็อ่านเหมือนกันหรอ มันมีคอลัมน์นึงของนิตยสารเล่มนี่ที่พี่ชอบมากเลยรู้ไหม เขาเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับพวกงานศิลปะในยุโรปเนี่ยๆ”

     


    ยุนฮยองพลิกหน้านิตยสารไปจนถึงคอลัมน์ที่เขาชื่นชอบแต่เมื่อสายตาไล่ตามชื่อหัวข้อสำหรับฉบับนี้แล้วถึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

     


    'สาวในอุดมคติในแต่ล่ะยุคสมัยกับงานศิลปะ'? ทำไมมันคล้ายกับสิ่งเราเคยคุยกันเมื่อสามอาทิตย์ก่อนล่ะ"


    "ก็ผมเอาไปเขียนเอง พอดีนั่งคิดมาวันสองวันยังไม่รู้ว่าจะเขียนหัวข้ออะไรดี เลยเอาที่คุยกับพี่มาเรียบเรียงคร่าวๆพร้อมอ้างอิงอย่างดี ส่งให้คุณบก.ดูก่อนแล้วผ่าน แจ่มชะมัด"

     


    จุนฮเวรินชาให้ตัวเองและยกขึ้นดื่มอีกครั้งโดยไม่สนใจสีหน้าเหรอหราของยุนฮยองที่กำลังไล่อ่านบทความในคอลัมน์อย่างรวดเร็ว

     


    สำหรับกูจุนฮเวถึงซงยุนฮยองเป็นคนค่อนข้างวุ่นวายเกินไปสำหรับความสงบที่เขาต้องการในร้านนี้ แต่บ่อยครั้งที่ยุนฮยองยกเรื่องทั่วไปขึ้นมาคุยและโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ยุโรปโดยเฉพาะด้านศิลปะเป็นด้านที่เขาสนใจเป็นพิเศษ การโต้เถียงกันอย่างมีเหตุผลและข้ออ้างอิงถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างมากมายและไม่มีทางท่าจะจบได้ง่ายทำให้เขาเองค่อยข้างสนุกกับการพูดคุยกับอีกฝ่ายเหมือนกัน

     


    อย่างเช่นหัวข้อในนิตยสารที่จุนฮเวเป็นคอลัมนิสต์ของคอลัมน์เกี่ยวกับศิลปะตะวันตกในฉบับนี้ เริ่มต้นแค่ยุนฮยองพูดขึ้นลอยๆตอนเห็นสาวร่างอวบกำลังพิงกระจกร้านว่า ถ้าหุ่นแบบนี้ก็คงเป็นวีนัสสำหรับยุคกรีก ไม่รู้ว่าบทสนทนาไปไกลแค่ไหนถึงได้เข้าเรื่องรูปร่างของสาวตะวันตกในยุคต่างๆ ตั้งแต่สาวผิวขาวรูปร่างสมบูรณ์ในยุคเรอเนสซองส์ จนถึงสาวเอวคอดในชุดคอร์เซ็ตในยุควิกตอเรีย และมาจบลงที่สาวสวยหุ่นดีแบบนางแบบชุดชั้นในสตรีชื่อดังในยุคปัจจุบัน

     


    "ไรวะ เล่นง่ายๆแบบนี้เลยหรอ แล้วนี่เป็นนักเขียนด้วยไม่เห็นบอกกันเลย?”

     


    “ก็พี่ไม่เคยถามนิน่า งั้นวันนี้ผมเลี้ยงพี่แล้วกัน ถือเป็นค่าที่ทำให้ผมมีเงินกินข้าวไปอีกเดือนนึง" จุนฮเวยักคิ้วให้อีกฝ่ายอย่างสะใจและรินชาเติมใส่ถ้วยทั้งคู่ ซึ่งคนฟังทำได้แค่เบ้ปากเบาๆ


    “งั้นเลี้ยงของวันนี้ และส่วนของคราวที่แล้วพี่จะไปจ่ายในคราวหน้า”

     


    “ทำไมพี่ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วยวะ?”

     


    "ก็จะได้ให้นายได้รู้ว่ายังไงพี่จะต้องมาหานายอีกแน่นอน"


    "ไม่ต้องมาบ่อยก็ได้รำคาญ"

     


    รอยยิ้มละไมประดับขึ้นบนหน้าของอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ตะวันตก มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นให้อีกฝ่ายแทนคำท้าทาย


    "ใครจะรู้ว่าจากรำคาญอาจจะกลายเป็นตั้งตารอก็ได้นะ"

     



    ...ถึงขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากแล้ว เมื่อส่วนผสมกำลังเดือดเป็นสีน้ำตาลเหลืองอยู่ในหม้อ เราต้องใช้ไฟปานกลางปล่อยให้ความร้อนเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่พอดีจนกลายเป็นคาราเมลแคนดี้ เพราะถ้าใช้ไฟแรงเกินไปสิ่งที่อยู่ในหม้อก็จะลอยขึ้นมา ประทุอย่างรุนแรงจนอาจจะทำให้บาดเจ็บได้และถ้าใช้ไฟเบาเกินไปส่วนผสมก็จะไม่เดือดเข้ากัน ระหว่างนี้เราจะไม่ใช้ไม้ไปคนมัน แต่จะหมุนวนกับหม้อเบาๆและใช้แปรงแตะน้ำทารอบขอบหม้อเพื่อไม่ใช่น้ำตาลตกผลึกเพราะจะทำให้คารเมลของเราเสีย

     


    นั้นคงไม่ต่างกับคือช่วงสำคัญที่จะรักษาความพอดีของความรักที่กำลังก่อตัวของทั้งคู่

    .

    .

    .

    “เป็นไงละครวันนี้สนุกไหม?”

     


    “ก็ดี โชคดีที่ไม่ใช่ โรมิโอกับจูเลียต ไม่งั้นผมคงได้ปาบัตรใส่หน้าพี่ตั้งแต่หน้าหอประชุม”

     


    ฝัน ณ กลางคืนฤดูร้อน ยังไงมันก็เป็นบทละครของเชกสเปียร์เหมือนกัน น้ำเน่าไม่ต่างกันหรอกน่า”

     


    คืนวันศุกร์กับชายหนุ่มสองคนกำลังเดินออกมาจากหอประชุมใหญ่ของมหาลัยที่ยุนฮยองทำงานอยู่พร้อมผู้ชมคนอื่น ซงยุนฮยองชวนกูจุนฮเวมาดูละครของคณะนิเทศโดยไม่ยอมบอกด้วยว่าเรื่องอะไรและปฏิเสธไม่ได้เพราะถูกคุณอาจารย์รบเร้าว่าซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว ที่นั่งดีมากด้วย เจ้าของร้านน้ำชาจึงทำได้แค่ต้องปิดร้านในวันศุกร์เร็วกว่าทุกวัน

     


    ‘A Midsummer Night’s Dream หรือ ฝัน ณ กลางคืนฤดูร้อน บทละครของเชกสเปียร์กวีและนักเขีบนบทละครชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เรื่องราวความรักของคนสี่คนที่วุ่นวายอลเวงตกหลุมรักกันไปตกหลุมรักกันมาเพราะเทพและภูตตัวน้อยก่อนจะลงเอยด้วยความสุขและสมหวังดั่งความฝันในคืนหนึ่งของฤดูร้อนซึ่งน่าจะร้อนไม่ต่างกับคืนวันนี้เท่าไร

     


    “แต่เรื่องนี้มันสนุกกว่าตรงที่มีพวกเทพเนี่ยล่ะ จะว่าไปพี่โคตรเหมือน พัค ในเรื่องเลยขี้เล่น รวดเร็ว และทำตัววุ่นวายมาก”

     


    “ถ้าพี่เป็น พัค พี่จะแกล้งนายจนหัวปั่นเลย”

     


    “ทำได้ก็ลองดู แต่ทุกวันนี้ก็วุ่นวายพอแล้--”

     


    “อาจารย์ยุนฮยอง!

     


    “อ้าว ว่าไงครับแชยอง มาดูละครเหมือนกันหรอ?”

     


    รอยยิ้มละไมกับมาดของอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ตะวันตกผู้แสนสุภาพและดูดีสำหรับนักศึกษาถูกสวมเข้าร่างของซงยุนฮยองจนทำให้จุนฮเวอดเบ้ปากไม่ได้ แต่มิวายโดยเท้าอีกฝ่ายเตะขาเขาเบาๆ ตอนแรกทั้งคู่คุยกันเรื่องละครคืนนี้นิดหน่อยแต่พอบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ที่ดูท่าทางจะเริ่มยาวขึ้นเมื่อโยงไปถึงไฟนอลโปรเจคมิดเทอมจุนฮเวจึงชี้ตรงเสาไฟฟ้าและเดินออกมารอเมื่อได้รับการพยักหน้าเบาๆว่ารับรู้

     


    “กู จุน ฮเว!

     


    เสียงทักทายอย่างร่าเริงและมือที่ตบมาตรงบ่าของจุนฮเวจนเขาสะดุ้งเฮือกแทบพุ่งไปด้านหน้า เขาหันกลับมาพบกับ คิมจินฮวาน พี่ชายตัวเล็กเจ้าของร้านขนมที่เขาอุดหนุนเป็นประจำรวมถึงเจ้าของผลงานคุ๊กกี้ทุกชิ้นที่นำมาเสิร์ฟแกล้มน้ำชาในร้านและ คิมดงฮยอก เพื่อนสนิทร่วมคณะของเขาที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นพ่อครัวขนมร้านของจินฮวาน

     


    “พี่มาดูด้วยหรอ?”

     


    “ก็ชานอูมันมาช่วยกำกับการแสดงเลยให้บัตรมาชมด้วย”

     


    “แล้วไหนคุณอาจารย์ไม่มาด้วยหรอไง?”

     


    จุนฮเวจิ๊ปากกับสายตาที่กำลังสอดส่องไปทั่วของดงฮยอก พลางคิดว่าอาทิตย์ก่อนไม่น่าพลาดให้อีกฝ่ายนำขนมมาส่งให้ที่ร้านแล้วเข้ามาเจอตอนเขากับยุนฮยองกำลังแย่งคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายในโหลแก้ว เพื่อนสนิทตัวดีถึงกับรีบเข้ามาทำความรู้จักกับยุนฮยองทันทีเพราะนานทีปีหนจะได้เห็นใครคุยกับเขาถึงขั้นตีกันแบบนี้ มิวายให้บัตรลดที่ร้านตัวเองเพื่อให้ไปคุยกันเมื่ออีกฝ่ายว่างอีกด้วย

     


    “อยู่แถวนี้ล่ะเดี๋ยวก็มา นั่นไงตายยากชะมัด”

     


    “ว่าไง ดงฮยอก สวัสดีครับ คุณจินฮวาน ละครวันนี้สนุกไหมครับ?”

     


    “รู้จักกันแล้ว? นี่แสดงว่าพี่ไปร้านของพี่จินฮวานมาแล้วใช่ไหมเนี่ย?”

     


    จุนฮเวขมวดคิ้วมองหน้าทั้งสองฝ่ายที่ยกยิ้มลอยหน้าลอยตาส่วนดงฮยอกอมยิ้มกับสีหน้าหงุดหงิดของเพื่อนสนิทตัวเอง

     


    “ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไรหรอก แล้วนี่คุณยุนฮยองพาจุนฮเวมาเดทคืนนี้หรอครับ?”

     


    “อันนี้ผมตอบไม่ได้นะต้องถามเจ้าตัวเอาว่ายอมให้เรียกว่าเดทหรือเปล่านะ”

     


    “เฮ้ย! ใครบอกกันว่าผม----”

     


    “นี่วันนี้มหาลัยมีจัดบูธเกมส์กับซุ้มอาหารด้วยนิ เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”

     


    ดงฮยอกลากแขนของจุนฮเวที่กำลังจะระเบิดลงจากคำถามตอบของคนแก่กว่าทั้งสองที่ยิ้มกรุ่มกริ่มราวกับสนุกที่หาประเดนมาแกล้งเขาได้และยังคงหาเรื่องมาแกล้งเขาอย่างต่อเนื่องตลอดที่เดินหาอะไรกินกัน ว่ามีซงยุนฮยองก็ปวดหัวแล้วนะนี่มีคิมจินฮวานอีก กูจุนฮเวต้องเอาข้าวโพดย่างยัดปากของทั้งคู่ไว้ถึงจะสงบๆสักที

     


    ลมของฤดูร้อนพัดผ่านไปพร้อมกับคนสองคนกำลังเดินบนฟุตบาทจากถนนเส้นหลักเพื่อกลับไปยังร้านน้ำชาหลังจากแยกกับอีกคู่หน้ามหาลัย ตุ๊กตาลิงตัวขนาดกลางซึ่งยุนฮยองได้รางวัลมาจากร้านปาเป้าขี่อยู่บนคอของคุณอาจารย์และมือจับตรงขาไว้กันหล่นราวกับเป็นเด็กสามขวบ ยุนฮยองเรียกว่าเป็นตัวแทนของตัวเองเพราะเขาให้จุนฮเวเลือกจากบรรดาตุ๊กตาสัตว์หลายตัวในร้านว่าตัวไหนเหมือนเจ้าตัวมากที่สุดและเจ้าของร้านน้ำชาเลือกลิงอย่างไม่ต้องคิด

     


    “วันหลังพี่กับพี่จินฮวานอย่ามาอยู่ด้วยกันเชียวนะ ปวดหัวชะมัด”

     


    “ทำไมล่ะ สนุกจะตาย ว่าแต่นายตอบคำถามคุณจินฮวานได้หรือยังว่าจะยอมเรียกคืนนี้ของเราว่าเดทหรือเปล่า?”

     


    คิ้วของจุนฮเวเลิกขึ้นกับคำถามที่คิดว่าน่าจะจบไปตั้งแต่ที่ทั้งคู่ยกขึ้นมาเป็นเรื่องล้อเลียนเขา

     


    "เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”

     


    “แล้วอยากให้เป็นหรือเปล่าล่ะ?”

     


    “พี่พูดอย่างกับพี่ชอบผม”

     


    รอยยิ้มของคนที่เดินนาบข้างเขา โยกหัวไปพร้อมกับตุ๊กตาลิง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงตามปกติของตน

     


    “อืมม ไม่รู้สินะ แต่การที่พี่มาหานายบ่อยๆ ซื้อของอร่อยๆมาให้นายกิน ไปร้านหนังสือกับนายในเย็นวันพุธ ชวนนายมาดูละครเวทีและเดินมาส่งนายที่ร้านทั้งที่หอพักพี่อยู่ตรงหลังมหาลัย พี่เองก็รู้สึกว่าพี่แสดงออกชัดเจนแล้วนะ...

     


    ...แล้วนายเองอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบไหนล่ะ?”

     


    “ก็....อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่แย่เท่าไรนะ ถึงพี่เองจะน่ารำคาญไปนิดก็เถอะ”

     


    จุนฮเวเกาท้าทอยตัวเองเบาๆ เสตามองไปอีกทาง พูดออกมาตามตรงที่ตัวเองรู้สึกทำให้ยุนฮยองอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

     


    “งั้นก็ค่อยเพิ่มไปทีล่ะนิดละกัน พี่ว่านายคงจะไม่รำคาญพี่ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”

     


    มือข้างที่ว่างอยู่ของยุนฮยองเอื้อมจับมือของจุนฮเวกุมไว้ พูดคุยกันเล็กน้อยจนถึงหน้าร้านน้ำชาถึงได้ปล่อยมือออกก่อนยุนฮยองยัดตุ๊กตาลิงใส่อกอีกฝ่ายพร้อมบอกลาโดยไม่ลืมขอให้ฝันดี เจ้าของร้านน้ำชาไขกุญแจประตูร้าน วางตุ๊กตาลิงบนเคาเตอร์ จ้องตากับมันสักครู่ก่อนมองมือตัวเองที่ยังคงรู้สึกถึงไออุ่นและหัวใจที่ยังเต้นจังหวะแปลกไปตั้งได้สัมผัสมือของยุนฮยองเป็นครั้งแรก 

     


    กูจุนฮเวคิดว่าเขาคงโดนเวทมนตร์ของซงยุนฮยองในกลางคืนฤดูร้อนเข้าซะแล้ว

     



    ...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่กำลังดำเนินไปเช่นเดียวกับคาราเมลแคนดี้ของเราที่ใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน เมื่อความร้อนถึงที่ 250 องศาฟาเรนไฮต์ยกหม้อลงจากเตา ใส่เนย กลิ่นวานิลาและเกลือเล็กน้อยลงไปในหม้อใช้ทัพพีคนทุกอย่างให้เข้ากันและเทส่วนทั้งหมดลงไปในถาดสี่เหลี่ยมที่ปูไว้ด้วยกระดาษไขและทาเนยทับอีกชั้นเพื่อให้สามารถเอาออกมาได้โดยง่าย

     


    ขั้นตอนที่ดูง่ายดายแต่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือรอ รอจนกว่าคาราเมลแคนดี้จะแข็งตัวซึ่งต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงโดยที่เราต้องไม่ได้แตะมันหรือจิ้มลงไปให้เสียรูป ช่างเหมือนกับความรู้สึกของเจ้าของร้านน้ำชาที่กำลังใช้เวลาและครุ่นคิดความรู้สึกแท้จริงของตัวเองอยู่ตอนนี้เลย

    .

    .

    .

    ฤดูฝนกับสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่นอกร้าน ช่วงปิดเทอมของเด็กมหาลัยทำให้ร้านน้ำชาตอนบ่ายวันอังคารค่อนข้างเงียบกับลูกค้าแค่คนสองคนที่เข้ามาหลบฝน

     


    ดวงตาคมของจุนฮเวสบตากับกระดุมสีดำสองเม็ดของลูกตาตุ๊กตาลิงที่นั่งอยู่บนสตูไม้หน้าข้ามกับเขาเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน ถอนหายใจอีกรอบก่อนใช้ดินสอขีดฆ่าหัวข้อที่คิดจะเขียนสำหรับคอลลัมน์ของเขาในเดือนนี้ทิ้งอีกครั้ง มองกระดาษซึ่งเต็มไปด้วยรอยขีดของดินสอ ยกชาพีชของทไวท์นิ่งในแก้วใบโปรดของเขาขึ้นดื่มก่อนเบ้ปากและเทชาทั้งหมดลงอ่างเนื่องจากเย็นชืดแล้ว

     


    ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาจุนฮเวรู้สึกว่าภายในร้านน้ำชาของเขาเงียบลงและเย็นเฉียบเหมือนกับความเย็นจากสายฝนอาจจะเพราะไม่มีเสียงน่ารำคาญและความอบอุ่นของลูกค้าประจำในช่วงนี้เนื่องด้วยซงยุนฮยองอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ผู้โชคดีแบบไม่รู้ว่าจะดีได้กว่านี้อีกแล้วจะได้ไปทัวร์และดูงานที่ประเทศฝรั่งเศสกับอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์พร้อมกับนักศึกษาที่เรียนช่วงปิดเทอมไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทั้งที่ทำงานมาแค่ปีเดียว

     


    น้ำเสียงตื่นเต้นและพูดจ้อไม่หยุดหลังจากได้รู้ว่าจะได้ออกนอกประเทศครั้งแรกและเป็นประเทศที่ตัวเองอยากไปมากที่สุด ไล่รายการสถานที่ต่างๆ ทั้งพิพิธภัณฑ์ โบสถ์ รวมถึงสถานที่สำคัญอย่างหอไอเฟลและประตูชัย ถามถึงของฝากที่อยากได้ แถมมาฝึกพูดภาษาฝรั่งเศสกับเขาอย่างสนุกสนาน

     


    พอเห็นสภาพกระดี้กระด้าของคนแก่กว่าเจ้าของร้านน้ำชาอดที่จะบ่นไม่ได้ว่าอย่าไปทำตัวซุ่มซ่ามหรือไม่ระวังคนจนโดนโจรจิ๊กกระเป๋าหาทางติดต่อไม่ได้และตายอยู่ที่โน่น ซึ่งคุณอาจารย์เองตอบกลับมาด้วยสีหน้าและท่าทางน่าหมั่นไส้จนไม่น่าแสดงความเป็นห่วงออกไปเลย

     


    ยังไงก็กลับมาน่า พี่ยังไม่ได้จ่ายค่าชามะลิของคราวก่อนเลยรู้ไหม แล้วก็อย่าบ่นคิดถึงพี่ตอนพี่ไม่อยู่แล้วกัน

     


    เสียงโทรศัพท์รุ่นโบราณแต่ยังคงใช้งานได้แผดเสียงดังจากในห้องหนังสือด้านในจนจุนฮเวเกือบทำแก้วชาในมือตกลงอ่างล้างจาน สองขายาวเดินตรงไปรับโทรศัพท์อย่างไม่รีบร้อน ไม่สนใจหรอกว่าจะวางสายไปก่อนในเมื่อคนที่โทรมาเป็นคนที่เขารู้จักดีและเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เบอร์นี้

     


    [Bonjour ma petit frère! (สวัสดีตอนเช้า น้องชายตัวน้อยของพี่!)] 

     


    เสียงทักทุ้มต่ำอย่างร่าเริงดังมาจากปลายสาย แต่ประโยคภาษาฝรั่งเศสติดสำเนียงเกาหลีและความหมายไม่ค่อยเข้าหูเท่าไรทำให้จุนฮเวเลือกที่จะเงียบใส่

     


    [Allô? (ฮัลโหล) จุนฮเว?]

     


    “อยู่ที่โน่นพูดภาษาเกาหลีไม่เป็นแล้วหรือไงกันพี่มิโน? อีกอย่างที่นี่เป็นตอนบ่ายแล้ว ผมคงต้องพูดว่า Bonsoir (สวัสดีตอนบ่าย) และผมไม่ใช่  petit frère (น้องชายตัวน้อย) ของพี่ด้วย”

     


    ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายและได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายดังมาจากปลายสาย เสียงหัวเราะอันคุ้นเคยที่แค่ได้ยินก็รู้ว่าทำหน้าแบบไหนลอยเด่นชัดมาในหัวของเจ้าของร้านน้ำชาทั้งที่ไม่ได้เจอกันเกือบครึ่งปีแล้ว

     


    [เป็นไงบ้าง? ร้านของพี่ยังคงอยู่ดีใช่ไหม? ไม่ใช่ไฟไหม้หรือกระจกหน้าร้านแตกแล้วเพราะนายไปมีเรื่องกับใครรึเปล่า?]

     


    คำทักทายของคนแก่กว่าพร้อมกับคำพูดกวนประสาททำให้จุนฮเวอดเบ้ปากไม่ได้ ซงมินโฮเจ้าของร้านน้ำชาแห่งนี้คนก่อน ความจริงก็ยังเป็นเจ้าของร้านคนปัจจุบันด้วยเพราะเจ้าของร้านคนแรกจริงๆคือคุณลุงของมินโฮซึ่งเสียไปแล้วและยกร้านซึ่งเป็นบ้านของตัวเองด้วยให้กับหลานสุดที่รักผู้ชื่นชอบในศิลปะและวัฒนธรรมยุโรปเหมือนตัวเอง

     


    ระหว่างมินโฮที่เปิดร้านน้ำชาของคุณลุงแก้เบื่อไปพลางๆ ซึ่งจริงๆเขาเองไม่ต้องทำงานยังได้เพราะมรดกกองโตของคุณลุงที่ได้มาทำให้เขาใช้ชีวิตสบายๆได้ไปสักปีสองปีวาดรูปสีน้ำมันในห้องหนังสือด้านหลังไปเรื่อยๆยังได้ กูจุนฮเวนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ คณะและมหาลัยเดียวกับที่ยุนฮยองกำลังทำงานอยู่เดินดุ่มๆหาร้านนั่งเขียนเปเปอร์ เจอร้านน้ำชาไร้ผู้คนแห่งนี้ เหมือนกับโชคชะตาที่เขาได้พบกับมินโฮและได้มาทำงานพิเศษที่นี่เนื่องจากอยู่ใกล้มหาลัยนิดเดียว

     


    “ทำมาเป็นพูดดี พี่ต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำที่มีคนมาเฝ้าร้านให้ พี่ถึงได้ไปเที่ยวยุโรปอย่างที่ต้องการสักที แล้วโทรมามีอะไร พึ่งนึกออกว่ามีน้องชายอย่างผมหรือไง ครึ่งปีโทรมาอยู่สองครั้ง”

     


    [ได้ข่าวจากจินฮวานว่ามีแฟนแล้วนิ]

     


    เบ้ปากเป็นครั้งที่สองแถมกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเดิม มินโฮกับจินฮวานอายุเท่ากันและเป็นเพื่อนสนิทกัน พอจะรู้อยู่ที่ไม่ค่อยโทรมาหาเขาเพราะรับรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขาจากการโทรหาพี่ชายตัวเล็กจากร้านขนมเป็นหลักนั่นล่ะ แต่เมื่อได้รู้เรื่องสนุกๆเกี่ยวกับตัวเขาเนี่ยล่ะโทรมาไวเชียว

     


    “พี่จินฮวานมั่วเหอะ ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”

     


    [ที่ยังไม่ได้เป็นเนี่ย เพราะว่านายไม่ยอมตอบตกลงกับเขาหรือว่ายังไง หืม?]

     


    อาจจะเพราะสนิทกับมินโฮมากเกินไปจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพี่ชายเขาเลยก็ได้ หลายครั้งกับการคุยกับอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่ต้องพูดอะไรมากมายแต่กลับสามารถถามเขาเข้าประเดนที่กำลังคิดอยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

     


    “ผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน....”

     


    ดวงตาคมเหม่อออกไปนอกห้องหนังสือ แต่ตำแหน่งสายตากลับหยุดตรงสตูลไม้หน้าเคาเตอร์ที่ประจำของคนที่ทั้งคู่กำลังพูดถึง ราวกับเห็นรอยยิ้มละมุนของยุนฮยองส่งให้จากตรงนั้นทั้งที่ไม่มีใครอยู่จนจุนฮเวต้องส่ายหัวกับความเพ้อของตัวเอง

     

     


    [อืมม...ความรู้สึกรักใครสักคนมันเป็นสิ่งแปลกดีนะ อาจจะเข้าใจยากและโคตรมั่วซั่วอย่างภาพสลัดสีของแจ๊กสัน โพลล๊อคหรือมันอาจจะง่าย ตรงไปตรงมาและสดใสอย่างภาพสไตล์ Pop Art นั่นล่ะมันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนนั้น...

     


    ...แต่สำหรับคนสองคน บางทีไม่ต้องมีคำพูดมายืนยันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้ แต่ความรู้สึกในใจที่เรียกหากันและกัน คิดถึงกันและกัน มันตอบได้ดีกว่าทุกอย่างแล้วล่ะว่าทั้งคู่รู้สึกต่อกันแบบไหน]

     



    คำตอบของศิลปินหนุ่มผิวเข้มที่ดูจะเข้าใจยากยิ่งกว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้ ไม่รู้จะโยงเรื่องภาพวาดเข้ามาทำไม แต่กลับทำให้เขาอมยิ้มได้ไม่ยาก

     


    [ไม่ต้องมานินทาในใจด้วยว่าไอ้พี่นี่พูดบ้าอะไรออกมาพี่รู้ ไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวลูกค้าชิ่งหนีไม่จ่ายตังหรอก]


     

    พอพูดถึงคนซิ่งไม่จ่ายเงินยิ่งทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ อาจจะเพราะช่วงเวลากับระยะห่างของทั้งคู่และการคุยกับมิโนทั้งที่แค่เพียงเล็กน้อยแต่พอทำให้เขาเข้าใจหัวใจของตัวเองขึ้นบ้าง

     



    ...ในเมื่อพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรือจะไปทางไหนมันก็เห็นใบหน้าของอีกคนลอยมาตลอดนิน่า...

     

     

    ...ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่หัวใจขอกูจุนฮเวเอาแต่เรียกหาซงยุนฮยอง โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ...

     

     


    ค่ำคืนนี้ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง จุนฮเวละสายตาจากหนังสือที่อยู่ในมือมองเครื่องมือสื่อสารจอขาวดำที่ยังคงนิ่งเฉยอยู่ข้างตัวเขาบนโซฟา นาฬิกาเรือนเก่าบนผนังส่งเสียงร้องเมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวชี้เลขสิบสอง ทั้งที่ยุนฮยองบอกไว้แล้วว่ากลับวันนี้ช่วงเย็นๆและย้ำไม่ต้องไปรับที่สนามบินซึ่งเขาเองคงไม่คิดจะไปอยู่ดี แต่ ณ เวลานี้แม้แต่เงาหรือเสียงไม่มีสัญญาณใดๆจากอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

     


    เจ้าของร้านน้ำชาถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันไม่รู้ ก่อนปิดหนังสือที่พยายามอ่านมาตั้งแต่ปิดร้านแต่ก็ไม่มีอะไรเข้าหัว มือขาวหยิบนาฬิกาพกที่อีกฝ่ายฝากเขาไว้เช่นเคย ดูมองฟันเฟืองภายในด้วยสายตาเลื่อนลอย เสียงฟ้าร้องดังจากด้านนอกทำให้เขาสะดุ้งและเผลอปล่อยมันจากมือ วัตถุทองเหลืองกลิ้งไปบนพื้น จุนฮเวสบถอย่างหัวเสียเอื้อมมือจะไปหยิบนาฬิกา

     


    แต่แล้วทุกอย่างในห้องกลับมืดสนิท

     


    เขานั่งเฉยสักครู่ปล่อยให้สายตาปรับตัวเข้ากับความมืดพร้อมกับความรู้สึกหน่วงในใจก่อนลุกขึ้นจากโซฟา สองขายาวก้าวออกจากห้องหนังสือด้านหลังด้วยความเคยชิน เดินตรงไปยังเคาเตอร์และเปิดลิ้นชักหยิบไฟฉายออกมา ส่องไฟไปทั่วห้องสังเกตุเห็นว่าข้างนอกก็มืดสนิทเช่นกัน ไฟแถวนี้คงดับทั้งหมดจึงตัดสันใจว่าจะเข้านอน

     


    กำลังจะเดินกลับเข้าไปห้องด้านหลังแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูร้านอย่างบ้าคลั่ง เลิกคิ้วด้วยความสงสัยใครมันจะมาที่นี่ตอนเที่ยงคืนกัน เดินตรงไปปลดล็อกประตู แง้มดูเผื่อเป็นคนสติไม่ได้หรือขโมย



    ....และดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่หลังประตู...

     


    "เคาะตั้งนานแล้วรู้ไหม หนาวจะตายอยู่แล้วเนี่ย"  



     

    น้ำเสียงบ่นอันคุ้นเคยและใบหน้ายู่ลงของคนที่เขานึกถึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา รีบเดินแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาในร้าน ยุนฮยองวางร่มพิงกับกำแพง สะบัดเสื้อคลุมตัวนอกเบาๆแขวนบนราวไม้ข้างร้าน

     


    แต่ออกทุลักทุเลอยู่เมื่อแขนซ้ายอยู่ในเฝือกสีขาว


    "แขนพี่ไปทำไรมา?"

     


    "ซุ่มซ่ามเล็กน้อยตอนออกมาจากหอหลังจากเอาของไปเก็บแล้ว ฝนตกปรอยๆพอให้พื้นลื่นรีบลงบันไดไปหน่อยถึงได้ตกบันไดเป็นโชคดีรับวันกลับบ้านทันที เอาเถอะช่างมัน แต่ตอนนี้หนาวชะมัด" 


    ยุนฮยองบ่นพลางนั่งลงบนสตูลไม้ตัวที่นั่งประจำตรงเคาเตอร์มือขวาลูบแขนตัวเองเบาๆ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มลู่ลงด้วยความชื้นของละอองฝน


    "ไฟดับอยู่คงชงชาไม่ได้ เดี๋ยวหยิบผ้าห่มให้ รอแปป"


    ถึงจุนฮเวอยากจจะบ่นใส่และยิงคำถามอีกหลายข้อในใจตอนนี้ แต่เห็นสภาพคล้ายลูกหมาตากฝนแถมแขนใส่เฝือกอยู่ รู้สึกอนาถแบบบอกไม่ถูกแต่เป็นห่วงอยู่ในใจเหมือนกัน

     


    ...สองขาที่กำลังจะก้าวกลับไปยังห้องด้านใน กลับต้องหยุดชะงักเมื่อแขนถูกรั้งด้วยแรงดึงจากอีกคน..


    "ไม่ต้องไปไหนหรอก แค่นี้ก็น่าจะอุ่นพอแล้ว"


    แขนข้างที่ไม่เจ็บของยุนฮยองคว้าเอวของเจ้าของร้านน้ำชากอดเข้าไปเต็มวงแขนซุกหน้าลงไปตรงกลางหลังกว้าง

     



    "คิดถึงชะมัด....คิดถึงนายชะมัดเลยกูจุนฮเว"  

     



    เสียงอ้อนที่ทำให้หัวใจของจุนฮเวเต้นรัวยิ่งกว่าตอนถูกจับมือครั้งแรก

    เสียงหัวใจของเขาที่ดังก้องอยู่ในหูของตัวเองที่เขาเองไม่แน่ใจว่าอาจจะดังจนอีกฝ่ายจะได้ยินมันด้วย

    เสียงสายฝนที่เข้ามาแทนเสียงพูดของคนทั้งคู่และปล่อยให้บรรยากาศตอนนี้เป็นแบบนี้ไปสักครู่


    "ไหนว่าถึงเย็นๆไง" ถามกลับไปด้วยเสียงเรียบ ทั้งที่หัวใจยังคงเต้นแรงอยู่


    "เครื่องดีเลย์มาถึงก็สองทุ่มล่ะ กลับมาถึงหอแล้วก็ไปโรงพยาบาลอีก"


    "แล้วไม่โทรมาบอกว่าถึงแล้วจะได้ไม่ต้องลำบากมา เจ็บตัวอยู่แล้วจะมาทำไม"


    "ก็คิดถึงนายนินี่เลยรีบมาหาในวันนี้เลยนะ ความจริงอยากจะโทรมาบอกอยู่หรอกแต่ทำโทรศัพท์ตกตอนตกบันได เครื่องตายสนิทเลย ต้องเสียตังซื้อเครื่องใหม่อีก เซ็งชะมัด"

     


    เสียงอู้อี้เพราะซุกเข้าไปกับหลังเขามากกว่าเดิมแก้ตัวราวกับเด็กน้อยทำความผิดมา ได้ยินแบบนั้นเจ้าของร้านน้ำชาได้แต่กลอกตาและพยายามขืนตัวหนี แต่ก็ล่ะคิดว่าคุณอาจารย์จะยอมปล่อยง่ายๆ เล่นจับเสื้อของเขาไว้แน่ จุนฮเวถอนหายใจยอมแพ้ที่จะหนีและหันตัวมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแทน


    "พี่นี่จะซุ่มซ่ามให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่ไหม ดีนะไม่ไปโดนแทงตายอยู่ที่โน่น"


    "ก็บอกแล้วว่ายังไม่จ่ายค่าน้ำชายังไงก็กลับมาน่า เห็นไหมยังกลับมากอดนายได้อยู่นะ แล้วไม่คิดจะกอดพี่กลับบ้างหรอ?"


     

    เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่เขาอยากเห็นมาตลอดทั้งอาทิตย์ น้ำเสียงกวนนิดๆแอบอ้อนหน่อยๆ และแววตาในดวงตาคู่โตแวววาวเหมือนกับหมาน้อยอ้อนเจ้าของ รู้สึกเขินอย่างประหลาด แต่ไฟดับมีแค่แสงสลัวๆของไฟฉายแบบนี้ไม่เห็นหน้าเขาที่กำลังแดงอยู่แน่ๆ ดีแล้ว วางมาดนิ่งของตัวเองและเบ้ปากใส่เป็นคำตอบ


    "ฝันไปเถอะ ยอมให้กอดแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แล้วนี่จะยังไง ฝนตกซะขนาดนี้คงกลับหอได้หรอก"


    "ถ้าคุณกูจุนฮเวไม่ว่าอะไรวันนี้ให้ซงยุนฮยองนอนที่นี่ด้วยนะครับ พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้ามหาลัยด้วย แล้วจะช่วยเปิดร้านตอนเช้านะครับ"

     


    ก้มหัวทีเล่นทีจริงตามนิสัยกวนโอ๊ยของตนและฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งอ้อนด้วยน้ำเสียงที่หวานมากกว่าเดิม จุนฮเวถอนหายใจ ตีหน้านิ่งพูดด้วยเสียงเรียบ

     


    “ความจริงตอนดึกยังมีแท๊กซี่อยู่ อยากจะไล่ให้กลับหอไปอยู่หรอก แต่ถ้าพี่จ่ายหนี้ทุกอย่างที่ติดไว้ผมอาจจะอนุญาตให้นอนที่โซฟาในห้องหนังสือ....

     


    ...แต่วันนี้ผมอารมณ์ดีและก็สงสารคนเจ็บสภาพน่าอนาถอุตสาห์ฝ่าฝนมาทั้งที่แขนเดี้ยง ไว้จ่ายคราวหน้าก็ได้และจะแบ่งทีข้างเตียงให้ด้วย แต่พรุ่งนี้ต้องตื่นมาช่วยเปิดร้าน ห้ามลืมล่ะ”

     


    คนแก่กว่าได้ยินเช่นนั้นถึงกับเด้งตัวขึ้นจากสตูลไม้ทันทีโดยไม่สนใจสีหน้าแสร้งทำเป็นเป็นนิ่งของเขา มือข้างที่ไม่เจ็บเอื้อมมือจับมือขาวของเขาจูงมือเขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือด้านหลังเพื่อจะขึ้นบันไดไปชั้นสองราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

     


    ไฟในร้านสว่างขึ้นราวกับรู้จังหวะ ในเมื่อทั้งคู่กำลังหันหน้าเข้าหากันและยกยิ้มกว้าง

     

     


    "มีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะเยะเลย"

     

    "ก็ดีผมกำลังนึกหัวข้อของเดือนนี้ไม่ออกพอดี"

     

     


    ...ในที่สุดคาราเมลแคนดี้ของเราก็แข็งตัวถึงเวลาตัดเป็นชิ้นขนาดพอคำและเอากระดาษไขห่อให้เรียบร้อย เสร็จแล้วขนมหวานสีน้ำตาลเข้มแสนอร่อยที่เหลือก็แค่หยิบมันขึ้นมากินและถึงยามลิ้มรสคาราเมลแคนดี้ของเราจะเผลอกัดมันลงไปให้เสียรูปบ้างอะไรบ้าง แต่แน่นอนรสชาติความหวานเข้มข้มยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป ยังคงติดอยู่บนลิ้นกับในกระพุ้งแก้ม ให้เรารู้สึกอยากลิ้มลองความหวานของมันอีกครั้งและอีกครั้ง

     

    .

    .

    .

    "อยากไปฝรั่งเศสอีกรอบชะมัด"


    "พี่จะบ่นเหมือนเดิมอีกกี่รอบ"


    คนที่กำลังนอนหนุนตักเจ้าของร้านน้ำชาเงยหน้ามุ่ยขึ้นมาจากหนังสือที่ตัวเองนอนอ่านอยู่มองหน้าอีกฝ่ายที่ยังทำหน้านิ่งไม่ละสายตาจากหนังสือที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ด้วยซ้ำ


    "ก็มันเจ๋งมากเลยนิน่า กลิ่นไอ วัฒนธรรม ศิลปะ และความรักทุกอย่างซึมเข้ามาในรูขุมขน เสียดายตอนนี้หมดงบ ต้องทำงานเก็บเงินอีกกี่เดือนถึงจะได้ไปอีกก็ไม่รู้"


    "อืมๆ พี่พูดเป็นรอบที่ร้อยแล้ว"        


    "ไว้คราวหน้าไปด้วยกันนะ พี่ว่าเราคงได้เถียงตั้งแต่ลงสนามบินยันในพิพิธภัณฑ์ลูฟ"


    "มีแต่พี่คนเดียวนั่นล่ะที่จะเสียงดังโวยวาย"


    "ไว้รอดูกันดีกว่าว่าจะมีใครร้องว้าวเมื่อไปถึงกัน"


    เสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นทำให้ทั้งสองที่อยู่บนโซฟาห้องหนังสือด้านหลังหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัยเพราะวันนี้ร้านปิด จุนฮเวลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อจะไปดูว่าใครกันเข้ามาในร้าน


    "บองชูร์ My Bro!"

     


    ร่างสูงผิวเข้มที่พุ่งตัวตัวเข้ามากอดจุนฮเวทั้งที่ของยังเต็มไม้เต็มมือ เพราะโดนกอดโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว เจ้าของร้านน้ำชาเกือบล้มหงายหลังในเมื่ออีกฝ่ายตัวใหญ่ไม่ใช่ย่อยแล้วดูท่าจะตัวใหญ่ขึ้นจากที่พบกันครั้งล่าสุดด้วยซ้ำ

     


    สงสัยในยุโรปของกินจะอุดมสมบูรณ์เกินไปสินะ...

     


    “ปล่อยเดี๋ยวนี่เลย ไอ้พี่มิโน”

     


    ทั้งผลักทั้งถีบก่อนอีกฝ่ายจะยอมปล่อยเขา ถึงจะพูดน้ำเสียเบื่อหน่ายและทำท่าทางรังเกียจแต่มุมปากกำลังยกยิ้มกว้างบอกให้รู้เป็นอย่างดีว่าดีใจที่ได้พบอีกคนแค่ไหน ฟังคำสาธยายหรือว่าคำโม้นั้นล่ะของพี่ชายซึ่งพูดไม่ยอมหยุดตั้งแต่วางของลงบนเคาเตอร์ หยิบโน่นหยิบนี่ส่งให้วุ่นวายไปหมด

     


    “ใครน่ะจุนฮเว?”

     


    “หืม? นายมันซงยุนฮยอง ม.5 ห้อง 6 โรงเรียน XXX ใช่ไหม!

     


    โผล่หน้าออกมาจากห้องหนังสือด้านหลังไม่เพียงเท่าไรกลับถูกมือสีเข้มยกขึ้นชี้หน้าแถมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตกใจออกไม่พอใจ ยุนฮยองมองหน้าอีกฝ่ายยืนคิดสักครู่ก่อนจะนึกออก

     


    “ไอ้พี่มิโนตัวดำนี่หว่า! อ้วนขึ้นจนจำไม่ได้ แต่สีตัวนี่เป๊ะเลย” 

     


    “เห้ย ไอ้นี่ ปา—“


     

    “พี่สองคนรู้จักกันด้วยหรอ?”

     


     รีบพูดขึ้นมาขัดจังหวะด้วยสีหน้างงงวยว่าทั้งคู่ไปรู้จักกันตอนไหนและดูท่าจะเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำในเมื่ออีกสองคนเดินตรงเข้าหากันและเตรียมพร้อมจะเปิดสงครามน้ำลายกันแล้ว

     


    “อย่าให้พูดไปกับไอ้เด็กนี้คดีเยอะ”

     


    “ไรวะ พี่นั่นล่ะ แก่ก็แก่กว่าเป็นพี่สาขาแท้ๆแต่ทำตัวโคตรน่านับถือเลย”

     


    “จะเอาหรอ ยังไม่ได้คิดบัญชีที่มาป่วนบูธงาน Open House ตอนม.6 เลยนะเฟ้ย”

     


    “จะทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันที่อื่น อย่าม----“

     


    ยังไม่ทันจะได้ห้ามทัพ เสียงกระดิ่งจากประตูร้านดังขึ้นพร้อมด้วยพี่ชายตัวเล็กจากร้านขนมที่มาได้ถูกเวลาเหลือเกิน คิมจินฮวานรีบเดินเข้ามาในร้านและโวยวายเสียงดัง

     


    “ย่าาาาาา ซงมินโฮ กลับมาไม่บอกกล่าว ไหนของฝากฉัน เอามาครบหรือเปล่า ไม่ครบมีไล่กลับไปเอาที่ปารีสแน่”

     


    ปวดหัวซะยิ่งกว่าปวดหัวจุนฮเวได้แต่นวดขมับตัวเองเบาๆ มองภาพพี่ชายสองคนที่กำลังเถียงกันตรงหน้าและมีชายอีกหนึ่งคนผสมโรงเถียงด้วยเพลาๆ ว่ามีซงยุนฮยองนี่ปวดหัว มีคิมจินฮวานเพิ่มเข้าไปแล้วยิ่งปวดหัวกว่า เจอซงมินโฮเข้าไปอีกเรียกได้ว่าโวยวายกันจนแทบร้านแตก ดีนะวันนี้ร้านน้ำชาปิด เขาไม่อยากคิดสภาพในระยะยาวจริงๆ


     

    “หนีกันเถอะ”

     


    จังหวะที่กำลังคำนวนความน่ารำคาญและความเสียหายในอนาคต ไม่ทันได้พูดหรือตอบอะไรกลับไปมือของเขาถูกจับและดึงออกไปทางหน้าประตูร้านโดยยุนฮยอง ดันตัวเขาออกไปนอกร้านก่อนและมิวายแล่บลิ้นส่งท้ายให้มินโฮ จนมินโฮแทบจะวิ่งตามออกมาแต่ไม่ทันคนที่จับแขนตัวเองไว้ไม่ให้หนี

     


    “กลับมานี่นะเฟ้ย ทั้งสองคนเลย” // “ซงมินโฮ อย่ามาหนี ตอบคำถามฉันก่อนทำไมวานิลาที่ฉันสั่ง.....”

     



    “ปวดหัวชะมัด แล้วนี่พี่มิโนกลับมาคงจะอยู่นี่อีกนาน พี่มาที่ร้านคงจะทะเลาะกันอีกใช่ไหม?”

     


    “ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็จะมาหานายอยู่ดี ทะเลาะกันให้ตายไปข้าง”

     


    กอดอกและทำเสียงฮึดฮัดเป็นเด็กทำให้จุนฮเวได้แต่ส่ายหัวเบาๆก่อนที่ยุนฮยองจะถามขึ้นด้วยความสงสัย

     


    “ว่าแต่พี่เขากลับมาแล้วเขาก็ต้องมาอยู่ที่ห้องนายสิ ที่ร้านมีห้องนอนห้องเดียวนิ?”

     


    “เออแหะ ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย สงสัยต้องไปหาหอแถวนี้อยู่”

     


    เริ่มครุ่นคิดเพราะมินโฮเองดูท่าจะกลับมาอยู่ยาวและตัวเขาเองก็ไม่มีที่อยู่ที่อื่นบริเวณนี้ต้องบอกว่าไม่มีบ้านในเกาหลีด้วยซ้ำ ถ้าจะต้องหาหอใหม่แถวนี้คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง สงสัยจะได้นอนบนโซฟาในห้องหนังสือไปก่อน จะให้นอนกับพี่แกก็กระไรอยู่

     


    “งั้นผมมีข้อเสนอดีๆให้กับคุณกูจุนฮเวนะครับ ห้อง 403 หอพักหลังมหาลัย ทำเลดีไม่ใกล้จากร้านน้ำชามาก เจ้าของห้องคือคุณซงยุนฮยอง เตียงในห้องขนาดกว้างพอขนาดนอนสองคนถ้าเอาหนังสือทั้งหลายบนเตียงออก ถ้าคุณกูจุนฮเวย้ายไปในวันพรุ่งนี้ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้องแถมมีคนช่วยขนของด้วย พร้อมสัญญาว่าจะไปที่ร้านน้ำชาน้อยลงไม่ให้ต้องปวดหัวเวลางาน เป็นไงครับได้หนึ่งแถมอีกสิบ”

     


    รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้าหวานหลังจากคำสาธยายาวเหยียดถึงทางเลือกของตัวเอง เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อระหว่างทางเดินกันไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ตรงหน้ามหาลัย มือขวาของตัวเองยังคงจับมือของจุนฮเวไว้ก่อนหันมาเผชิญหน้าและยกยิ้มกว้าง

     


    “ว่าไงครับ? นี่ฝนก็ใกล้จะตกล่ะ ไปเซอร์เวย์ห้องวันนี้เลยไหม ถึงจะลืมมือถือกับกระเป๋าเงินไว้ที่ร้านแต่กุญแจห้องยังอยู่กับตัว เดี๋ยวจะชงชามะลิให้ดื่มแล้วพูดคุยเรื่องสัญญากันนะครับ”

     


    ความจริงจุนฮเวก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจ อย่างน้อยเรื่องพฤติกรรมในการนอนแม้อีกฝ่ายจะนอนกรนเสียงดังนิดหน่อยพอรับได้อยู่ แต่ไม่ได้ล่ะของแบบนี้ต้องขอดูสถานที่จริงก่อนและต้องต่อรองสัญญาเพิ่มกันอีกนิดหน่อย

     


    “ไปก็ได้ ขอดูหน่อยสิว่าจะดีแบบที่พูดไว้ไหม แล้วจะพิจารณาข้อสัญญากันอีกที แล้วชาไม่ต้องชงก็ได้นะ พี่ชงรสชาติห่วยสิ้นดี”

     


    “ถ้างั้นนายก็ชงแล้วกัน ชงให้ดื่มทุกเช้าเลยนะแถมกอดก่อนออกไปทำงานด้วย ตกลงไหม?”

     


    “ก็บอกแล้วว่าขึ้นอยู่กับสัญญา คงไม่รับปาก”

     


    ยกยิ้มอย่างกวนประสาทที่สุดแทนคำตอบซึ่งอีกคนเองไม่รู้สึกหวั่นใจแม้แต่นิดมิหน่ำซ้ำในสายตายังมีความมั่นใจยังคงเต็มเปี่ยมขณะรีบเดินกันไปให้เร็วขึ้นตรงไปยังห้องรีบหนีสายฝนที่กำลังจะตกลงมา

     


    ตลอดบ่ายนั้นระหว่างที่ฝนโปรยปรายทั้งคู่อาจจะดื่มชากับถกถึงข้อสัญญา อาจจะคุยถึงเรื่องราวอื่นๆทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มสองเล่มในห้องของยุนฮยอง หรืออาจจะแค่นอนฟังสายฝนอยู่ข้างกันจนหลับไปถึงฟ้ามืด


    ก่อนตื่นขึ้นมาและมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มกว้างกันทั้งคู่






    Talk: บอกได้เลยว่าเป็นฟิคที่เขียนไว้เมื่อนานมากกกกกกกกกก ตั้งแต่เริ่มจะเขียนฟิคต่อเรือก็ว่าได้ ตอนแรกกะจะแต่งอันนี้เป็นเรื่องยาวห้าตอนจบค่ะ แต่ไหนๆรวบๆมาแล้วก็เอาเถอะ ฮ่าๆๆๆ มีปัญหากับการจบไม่ลง+ขี้เกียจ สุดท้ายมาต่อให้จบกันดีกว่า ชอบคาแรกเตอร์ของยุนฮยองฟิคนี้มากค่ะ เหมือนสลับกับจุนฮเวยังไงอย่างงั้น มาแบบเด็กกวนประสาททั้งที่แก่แล้ว เอิ๊กๆๆ น่ารักดีค่ะ ไว้เจอกันเรื่องหน้าค่ะ 







    。SYDNEY♔
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×