คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #50 : [SF] How To Make Caramel Candy [Yunhyeong x Junhoe]
Title : How To Make Caramel Candy
Pairing: Yunhyeong x Junhoe
...คุณรู้จัก คาราเมลแคนดี้
ไหม?...
ลูกอมสีน้ำตาลไหม้ กลิ่นหอมวานิลา
รสชาติหวานเข้มข้นของน้ำตาลเม็ดที่ถูกเคี่ยวด้วยความร้อนสูง
มีทั้งแบบแข็งและนุ่มหยุ่นเคี้ยวจนติดฟัน ความจริงมันเป็นขนมที่สามารถทำกินเองได้ที่บ้านและมีขั้นตอนไม่เยอะมากแต่ต้องใช้เวลากับความระมัดระวังพอสมควรเลยล่ะ
งั้นเราจะมาเรียนรู้วิธีทำคาราเมลแคนดี้ไปพร้อมกับเรื่องราวความรักที่กว่าจะเริ่มต้นและลงเอยกันได้ไม่ต่างจากการทำขนมชนิดนี้เลย
เริ่มต้นเราต้องมีวัตถุดิบกันก่อน
วัตถุดิบสำคัญอย่างแรกคือ ครีมชนิดข้น
ครีมสีขาวเหมือนกับสีผิวของเจ้าของร้านน้ำชาซึ่งอยู่ในตรอกถัดมาจากถนนเส้นอันแสนพลุกพล่านใกล้กับมหาลัยชื่อดังโดยเฉพาะสุดสัปดาห์
แต่ปกติวันธรรมดาร้านเองไม่ค่อยมีคนเข้ามาไม่บ่อยนักยกเว้นลูกค้าประจำซึ่งค่อนข้างมีอายุของเจ้าของร้านคนก่อนหรือนักศึกษาที่บังเอิญเดินหลงมา
กูจุนฮเว เจ้าของร้านคนใหม่ที่รับหน้าที่นี้มาเกือบครึ่งปีแล้ว
เขาผูกผ้ากันเปื้อนสีดำสนิทตรงเอวทับเสื้อสเวตเตอร์สีขาวแขนยาวเกือบปิดนิ้ว ปัดผมหน้าม้าด้วยความเคยชินก่อนจะนึกได้ว่าพึ่งตัดให้สั้นลงและกัดสีผมเป็นสีขาวแล้ว ดวงตาออกดุไปนิดและใบหน้าออกจะไม่รับแขกเท่าไร แต่เมื่อมีลูกค้าเข้ามาเขาเองก็มีมารยาทพอที่จะยิ้มให้บางๆ
พูดยินดีต้อนรับไม่ใช่ว่าไล่ลูกค้าออกไป
ดั่งเช่นลูกค้าในวันนี้ แต่ลูกค้าคนนี้พิเศษกว่าวันอื่นๆเพราะเป็นลูกค้าที่เหมือนกับ
น้ำตาลทราย วัตถุสำคัญอีกอย่างสำหรับทำคาราเมลแคนดี้ และเป็นคนที่จะมาเพิ่มความหวานให้กับเจ้าของร้านน้ำชาของเรา
เสียงกระดิ่งดังขึ้นพร้อมกับประตูกระจกไม้ของร้านซึ่งมีป้ายแขวนว่า
'Open' ผลักเข้ามา มือขาวของจุนฮเวสอดที่คั่นหนังสือคั่นหน้าหนังสือเล่มหนาที่เขากำลังอ่านอยู่
วางมันบนโต๊ะเคาเตอร์ไม้ก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้บุกนวมกำมะหยี่สีแดงออกโบราณ
พูดด้วยน้ำเสียงเรียบประจำตัว
"ยินดีต้อนรับครับ"
รอยยิ้มละไมอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์จากคนที่พึ่งเข้ามาตอบรับแทนคำพูด
ใบหน้าหวาน ดวงตาคู่โต ริมฝีปากอวบอิ่ม ส่วนสูงมาตราฐานชายทั่วไปในเสื้อเชิ้ตสีดำผูกไทด์เรียบร้อยและเสื้อสูทคลุมทับดูเหมือนพนักงานบริษัทธรรมดาแต่มีเสน่ห์มากกว่า
ชายคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้สตูลไม้ตัวสูง วางหนังสือห่อปกหนังอย่างดีและกระเป๋าหนังสีดำใบขนาดเอสี่บนเคาเตอร์
สายตาของเขามองเมนูซึ่งเขียนด้วยชอล์กบนกระดานดำด้านหลังจุนฮเว ทำสีหน้าครุ่นคิดสักครู่
"ขออเมริกาโน่เย็นทีหนึ่งครับ"
เสียงหวานราวกับน้ำตาลแต่ไม่อาจจะทำให้จุนฮเวซ่อนตาขวางและคำกร่นด่าอยู่ในใจได้
คนตรงหน้าแต่งตัวดูมีการศึกษาดี แต่อ่านเมนูไม่ออกหรือไงว่าที่นี่ขายแต่น้ำชาไม่ขายกาแฟ
"ที่นี่เราขายแต่น้ำชาครับ
ไม่มีกาแฟ"
เจ้าของร้านน้ำชาได้แต่พยายามพูดออกไปด้วยน้ำเสียงใจเย็นและสงบใจตัวเองมากที่สุด
จะโวยวายออกไปก็ไม่ได้เพราะยังไงเขายังต้องทำมาหากินอยู่
"ผมก็ว่าแบบนั้นล่ะ
แต่ถามไปก่อนเพื่อมีเมนูซ่อนไว้ จะว่าไปไม่คิดลองขายกาแฟบ้างหรอครับ?"
รอยยิ้มกว้างกับข้อเสนอของลูกค้าแปลกๆคนนี้ทำให้จุนฮเวได้แต่จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
"ล้อเล่นน่ะครับ
งั้นขอชาเขียวบ๊วยเย็นแล้วกันครับ"
ถึงจะที่ร้านจะเน้นขายเครื่องดื่มร้อนแต่ก็ยังมีเมนูเครื่องดื่มเย็นอยู่
แล้วยิ่งดูแสงแดดนอกร้านแม้มีฟิลม์กั้นยังรู้สึกร้อนแทนคนภายนอก
ชาเขียวที่ถูกชงและกรองอย่างดีไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแช่เย็นเพื่อไม่ให้กลิ่นและความเข้มข้มจางหายไปผสมเข้ากับน้ำเชื่อมกับผลบ๊วยสับจนเข้ากัน
เสิร์ฟใส่เหยือกพร้อมกับแก้วใสใส่น้ำแข็งและน้ำเปล่าเพื่อให้ลูกค้าได้ผสมรสที่ตัวชอบได้ด้วยตัวเอง
ทั้งหมดถูกนำมาวางไว้หน้าลูกค้าเพียงคนเดียวในร้านซึ่งกำลังก้มหน้าเขียนอะไรบ้างอย่างในสมุดตรงหน้า
มองสีหน้าแช่มชื่นของเจ้าของใบหน้าหวานเมื่อได้รับรู้ถึงรสเปรี้ยวและความเย็นของเครื่องดื่มก่อนจุนฮเวจะนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมของตัวเองอีกครั้ง
หยิบหนังสือที่กำลังอ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อ ยังไงลูกค้าก็มีแค่นี้
ต้องการอะไรก็เรียกเบาๆก็ยังได้ยิน
"ขอโทษครับ
ขอผมดูหนังสือเล่มนั้นได้ไหมครับ?"
เสียงทักจากลูกค้าเพียงคนเดียวหลังจากเขาอ่านหนังสือไปประมาณสองหน้าทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นและมองหนังสือที่อยู่ในมือของตัวเองอีกครั้งราวกับถามว่าเล่มที่อยู่ในมือน่ะหรอ
ซึ่งอีกฝ่ายพยักหน้าแทนคำตอบ จุนฮเวคั่นหน้าที่ตัวเองอ่านค้างไว้ ปิดหนังสือ ‘เครื่องหมายและสัญลักษณ์ในคริสต์ศิลป์’ ฉบับภาษาอังกฤษและส่งให้ด้วยความงงงวยซึ่งอีกฝ่ายรับมาและค่อยๆ
เปิดดูอย่างทะนุถนอม
"ผมขอยืมหนังสือเล่มนี้หน่อยได้ไหมครับ
แล้วพรุ่งนี้ผมเอามาคืน ผมไม่มีสอนพอดี"
รอยยิ้มละไมกับคำขอไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยทำให้เจ้าของร้านชะงักไปสักครู่
"เออ...."
"ออ
หนังสือเล่มนี้คงมีค่ามากเลยใช่ไหมครับ ถ้าผมยืมไปคุณคงต้องห่วงแน่เลย ผมเอาป้ายชื่อกับนาฬิกาพกเป็นค่ามัดจำไว้แล้วกัน"
"เดี๋ยวนะ คุณ..."
"เนี่ย
ถ้าผมไม่มีป้ายชื่อผมก็ไปทำงานไม่ได้นะครับ เอ๊ะ! สายแล้วนี่หว่า ผมมีธุระต้องรีบไปทำก่อน
สัญญาว่าพรุ่งนี้ผมจะเอามาคืน ขอบคุณนะครับ"
มาไวไปไวราวกับสายลม
โดยที่จุนฮเวยังไม่ทันได้ตอบกลับอะไรด้วยซ้ำเพราะมัวแต่อึ้งอยู่ คนเราพึ่งได้เจอกันแค่ครู่เดียวจะสามารถกล้ายืมหนังสือซึ่งราคาเท่าไรเขาเองก็ไม่แน่ใจเพราะเป็นของมาสเตอร์คนเก่าแต่คงแพงพอสมควรเลยล่ะเนื่องจากเป็นหนังสือเล่มหนาแถมเป็นภาษาอังกฤษซะด้วย
จุนฮเวยกมือขึ้นมาเกาหัวพลางพ่นลมออกทางจมูกอย่างไม่พอในนัก
หยิบสิ่งของที่คนยืมหนังสือไปทิ้งไว้เป็นค่ามัดจำค่าหนังสือจากบนเคาเตอร์
นาฬิกาพกทองเหลืองซึ่งมีรอยขูดขีดเต็มไปหมดดูผ่านช่วงเวลาการใช้งานมานาน
เมื่อกดตรงเม็ดมะยมภายในนั้นฟันเฟืองของนาฬิกากำลังทำงานอย่างแข็งขันและเข็มวินาทีกำลังวิ่งวน
ดูท่านาฬิกาพกเรือนนี้ราคาท่าจะแพงทีเดียว แต่ที่น่าสนใจกว่าคือป้ายแขวนคอขนาดเท่านามบัตรที่เหมือนกับป้ายของพนักงานบริษัท
’ซงยุนฮยอง อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาลัยxxx’
"เป็นถึงอาจารย์เลยหรอ? อาจารย์ประสาอะไรวะมารยาทเป็นแบบนี้"
กูจุนฮเวสบถอย่างหัวเสียเมื่อหนังสือที่ถูกเอาไปเขาก็ยังอ่านค้างไว้และค่าน้ำชาอีกฝ่ายก็ยังไม่จ่าย
ยังดีที่มหาลัยที่ซงยุนฮยองทำงานอยู่ใกล้แค่นี้ ถ้าเจ้าตัวไม่กลับมาจริงๆ เขาคงได้ไปบุกถึงในคณะแน่นอน
ถอนหายใจก่อนยกเหยือกกับแก้ววางลงในอ่างล้างจาน เดินเข้าไปในห้องหนังสือด้านหลังเพื่อเลือกหนังสือเล่มใหม่มาอ่านแทน
...ขั้นตอนต่อไปเรานำน้ำตาลทรายและครีมข้มแล้วก็เพิ่มน้ำเชื่อมเข้าไปอีกหนึ่งอย่างเทใส่รวมกันใส่หม้อ
ตั้งไฟปานกลางค่อยๆคนให้ทุกอย่างละลายรวมกัน
ถ้าในเปรียบกับขั้นตอนนี้กับเรื่องราวของซงยุนฮยองและกูจุนฮเว
ร้านน้ำชาคงเป็นกับหม้อสำหรับใส่ส่วนผสมเหมือนกับสถานที่ที่ทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกัน
ส่วนความสนใจที่ทั้งคู่มีเหมือนกันคงคล้ายกับความร้อนที่กำลังทำให้ทั้งสองค่อยๆรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น
.
.
.
"เฮ้!"
"มาอีกแล้วหรอ?"
เสียงของลูกค้าที่มาบ่อยตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาทักขึ้นหลังจากเปิดประตูร้านเข้ามาตอนเย็นของวันพฤหัส
ตอนแรกก็เป็นเพียงแค่ลูกค้าธรรมดาแต่เมื่อความสนิทมีมากขึ้นความเกรงใจต่อลูกค้าคนนี้ของกูจุนฮเวก็ลดน้อยลงตาม
บอกได้จากประโยคตอบกลับที่ออกรำคาญนิดๆ
"วันนี้สอนสองคลาสติดตั้งแต่เช้า
โคตรเหนื่อยเลย
ชงชามะลิให้หน่อยสิ อยากกินอ่ะ"
จุนฮเวเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามาดของอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ตะวันตกตอนสอนอยู่หน้าห้องเรียนนั้นเป็นไง
แต่ภาพคนที่กำลังยืดมือทั้งสองข้างมาด้านหน้าและคางเท้าไปกับเคาเตอร์พูดเสียงยานกับเขาอย่างกับเด็กห้าขวบตอนนี้ทำให้ตาของเขากลอกขึ้นมองเพดานอย่างไม่รู้ตัว
"ชงให้กินแล้วจ่ายเงินวันนี้ด้วย
พี่แม่งกินแล้วชิ่งตลอด"
"แต่พี่ก็จ่ายเงินของคราวก่อนทุกครั้งที่มาในครั้งต่อไปน่า
ชงชาให้หน่อยย"
"รอแปปนึง และเอามือออกจากโหลคุ๊กกี้ด้วย
ของซื้อของขายรู้ไหม"
ดวงตาคมส่งสายตาอาฆาตให้คนที่กำลังจะล้วงมือเข้าไปในขวดโหลแก้วเพื่อหยิบคุ๊กกี้ขนาดพอคำจังหวะที่เขากำลังจะต้มน้ำ
ยุนฮยองจิ๊ปากเมื่ออีกฝ่ายรู้ทัน
"ก็ไม่ค่อยมีลูกค้าพี่ก็กินแทนให้
เดี๋ยวเสียซะก่อน"
"ของแห้งทิ้งไว้นานไม่เป็นไรและอีกอย่างพี่ควรลองมาวันเสาร์กับวันอาทิตย์
ขายดีโคตรๆ"
"โทษนะ วันเสาร์กับวันอาทิตย์คิวพี่โคตรแน่นเลย"
ยุนฮยองมักจะมาที่ร้านน้ำชาทุกวันอังคาร
วันพฤหัสและวันศุกร์เย็นบ้าง ส่วนวันเสาร์ยุนฮยองมีสอนพิเศษที่อื่นส่วนวันอาทิตย์เป็นวันของครอบครัว
ช่วงเวลาที่ยุนฮยองมาที่ร้านเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้าเข้าร้านสักเท่าไรและร้านแห่งนี้จะปิดทุกวันพุธแต่จุนฮเวก็มักจะอยู่ที่ร้านเพราะเขาอาศัยอยู่ที่นี่
ส่วนครอบครัวของเขาทั้งพ่อแม่และพี่สาวอยู่ที่ญี่ปุ่น
ใบชาเขียวมะลิใส่เตรียมใว้ในป้านชากระเบื้องเคลือบสีน้ำตาลเข้มที่ลวกรอไว้แล้ว
มือขาวเทน้ำร้อนจากกาน้ำสีเงินยกสูงขึ้นเพื่อให้น้ำร้อนคลายใบชาออก
ก่อนรินน้ำชาแรกสำหรับการกระตุ้นใบชาออกจากป้านชาให้หมดและเทน้ำร้อนลงไปในป้านชาอีกครั้งซึ่งรอบนี้รสและกลิ่นหอมของน้ำชาเด่นชัดกว่าเดิม
รินน้ำชาลงถ้วยกระเบื้องเคลือบเข้าชุดป้านชาตรงหน้ายุนฮยองหนึ่งถ้วยและสำหรับตัวเขาเองหนึ่งถ้วย
“ขอบคุณมากครับ คุณกูจุนฮเว”
รอยยิ้มกว้างจากอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ส่งให้เขาหลังจากเงยขึ้นจากนิตยสารท่องเที่ยวยุโรปรายสัปดาห์ที่กำลังเปิดค้างไว้อยู่บนเคาเตอร์
มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆ ผ่อนคลายไปกับรสและกลิ่นหอมของสิ่งที่ตัวเองขอไว้
"หืม? วางแผงแล้วหรอ?
แต่ไปรษณีย์ยังไม่มาส่งแฮะ" จุนฮเวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของตัวเองยกถ้วยชาของตัวเองขึ้นดื่มเช่นกัน
"นายก็อ่านเหมือนกันหรอ
มันมีคอลัมน์นึงของนิตยสารเล่มนี่ที่พี่ชอบมากเลยรู้ไหม
เขาเขียนวิเคราะห์เกี่ยวกับพวกงานศิลปะในยุโรปเนี่ยๆ”
ยุนฮยองพลิกหน้านิตยสารไปจนถึงคอลัมน์ที่เขาชื่นชอบแต่เมื่อสายตาไล่ตามชื่อหัวข้อสำหรับฉบับนี้แล้วถึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ 'สาวในอุดมคติในแต่ล่ะยุคสมัยกับงานศิลปะ'? ทำไมมันคล้ายกับสิ่งเราเคยคุยกันเมื่อสามอาทิตย์ก่อนล่ะ"
"ก็ผมเอาไปเขียนเอง
พอดีนั่งคิดมาวันสองวันยังไม่รู้ว่าจะเขียนหัวข้ออะไรดี เลยเอาที่คุยกับพี่มาเรียบเรียงคร่าวๆพร้อมอ้างอิงอย่างดี
ส่งให้คุณบก.ดูก่อนแล้วผ่าน แจ่มชะมัด"
จุนฮเวรินชาให้ตัวเองและยกขึ้นดื่มอีกครั้งโดยไม่สนใจสีหน้าเหรอหราของยุนฮยองที่กำลังไล่อ่านบทความในคอลัมน์อย่างรวดเร็ว
สำหรับกูจุนฮเวถึงซงยุนฮยองเป็นคนค่อนข้างวุ่นวายเกินไปสำหรับความสงบที่เขาต้องการในร้านนี้
แต่บ่อยครั้งที่ยุนฮยองยกเรื่องทั่วไปขึ้นมาคุยและโยงเข้ากับประวัติศาสตร์ยุโรปโดยเฉพาะด้านศิลปะเป็นด้านที่เขาสนใจเป็นพิเศษ
การโต้เถียงกันอย่างมีเหตุผลและข้ออ้างอิงถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างมากมายและไม่มีทางท่าจะจบได้ง่ายทำให้เขาเองค่อยข้างสนุกกับการพูดคุยกับอีกฝ่ายเหมือนกัน
อย่างเช่นหัวข้อในนิตยสารที่จุนฮเวเป็นคอลัมนิสต์ของคอลัมน์เกี่ยวกับศิลปะตะวันตกในฉบับนี้
เริ่มต้นแค่ยุนฮยองพูดขึ้นลอยๆตอนเห็นสาวร่างอวบกำลังพิงกระจกร้านว่า ‘ถ้าหุ่นแบบนี้ก็คงเป็นวีนัสสำหรับยุคกรีก’ ไม่รู้ว่าบทสนทนาไปไกลแค่ไหนถึงได้เข้าเรื่องรูปร่างของสาวตะวันตกในยุคต่างๆ
ตั้งแต่สาวผิวขาวรูปร่างสมบูรณ์ในยุคเรอเนสซองส์ จนถึงสาวเอวคอดในชุดคอร์เซ็ตในยุควิกตอเรีย
และมาจบลงที่สาวสวยหุ่นดีแบบนางแบบชุดชั้นในสตรีชื่อดังในยุคปัจจุบัน
"ไรวะ เล่นง่ายๆแบบนี้เลยหรอ
แล้วนี่เป็นนักเขียนด้วยไม่เห็นบอกกันเลย?”
“ก็พี่ไม่เคยถามนิน่า งั้นวันนี้ผมเลี้ยงพี่แล้วกัน
ถือเป็นค่าที่ทำให้ผมมีเงินกินข้าวไปอีกเดือนนึง" จุนฮเวยักคิ้วให้อีกฝ่ายอย่างสะใจและรินชาเติมใส่ถ้วยทั้งคู่
ซึ่งคนฟังทำได้แค่เบ้ปากเบาๆ
“งั้นเลี้ยงของวันนี้
และส่วนของคราวที่แล้วพี่จะไปจ่ายในคราวหน้า”
“ทำไมพี่ต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากด้วยวะ?”
"ก็จะได้ให้นายได้รู้ว่ายังไงพี่จะต้องมาหานายอีกแน่นอน"
"ไม่ต้องมาบ่อยก็ได้รำคาญ"
รอยยิ้มละไมประดับขึ้นบนหน้าของอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ตะวันตก
มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นให้อีกฝ่ายแทนคำท้าทาย
"ใครจะรู้ว่าจากรำคาญอาจจะกลายเป็นตั้งตารอก็ได้นะ"
...ถึงขั้นตอนที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากแล้ว
เมื่อส่วนผสมกำลังเดือดเป็นสีน้ำตาลเหลืองอยู่ในหม้อ เราต้องใช้ไฟปานกลางปล่อยให้ความร้อนเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่พอดีจนกลายเป็นคาราเมลแคนดี้
เพราะถ้าใช้ไฟแรงเกินไปสิ่งที่อยู่ในหม้อก็จะลอยขึ้นมา ประทุอย่างรุนแรงจนอาจจะทำให้บาดเจ็บได้และถ้าใช้ไฟเบาเกินไปส่วนผสมก็จะไม่เดือดเข้ากัน
ระหว่างนี้เราจะไม่ใช้ไม้ไปคนมัน แต่จะหมุนวนกับหม้อเบาๆและใช้แปรงแตะน้ำทารอบขอบหม้อเพื่อไม่ใช่น้ำตาลตกผลึกเพราะจะทำให้คารเมลของเราเสีย
นั้นคงไม่ต่างกับคือช่วงสำคัญที่จะรักษาความพอดีของความรักที่กำลังก่อตัวของทั้งคู่
.
.
.
“เป็นไงละครวันนี้สนุกไหม?”
“ก็ดี โชคดีที่ไม่ใช่ โรมิโอกับจูเลียต
ไม่งั้นผมคงได้ปาบัตรใส่หน้าพี่ตั้งแต่หน้าหอประชุม”
“ฝัน ณ
กลางคืนฤดูร้อน ยังไงมันก็เป็นบทละครของเชกสเปียร์เหมือนกัน
น้ำเน่าไม่ต่างกันหรอกน่า”
คืนวันศุกร์กับชายหนุ่มสองคนกำลังเดินออกมาจากหอประชุมใหญ่ของมหาลัยที่ยุนฮยองทำงานอยู่พร้อมผู้ชมคนอื่น
ซงยุนฮยองชวนกูจุนฮเวมาดูละครของคณะนิเทศโดยไม่ยอมบอกด้วยว่าเรื่องอะไรและปฏิเสธไม่ได้เพราะถูกคุณอาจารย์รบเร้าว่าซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว
ที่นั่งดีมากด้วย เจ้าของร้านน้ำชาจึงทำได้แค่ต้องปิดร้านในวันศุกร์เร็วกว่าทุกวัน
‘A Midsummer Night’s Dream’
หรือ ’ฝัน
ณ กลางคืนฤดูร้อน’ บทละครของเชกสเปียร์กวีและนักเขีบนบทละครชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
เรื่องราวความรักของคนสี่คนที่วุ่นวายอลเวงตกหลุมรักกันไปตกหลุมรักกันมาเพราะเทพและภูตตัวน้อยก่อนจะลงเอยด้วยความสุขและสมหวังดั่งความฝันในคืนหนึ่งของฤดูร้อนซึ่งน่าจะร้อนไม่ต่างกับคืนวันนี้เท่าไร
“แต่เรื่องนี้มันสนุกกว่าตรงที่มีพวกเทพเนี่ยล่ะ
จะว่าไปพี่โคตรเหมือน พัค ในเรื่องเลยขี้เล่น
รวดเร็ว และทำตัววุ่นวายมาก”
“ถ้าพี่เป็น พัค
พี่จะแกล้งนายจนหัวปั่นเลย”
“ทำได้ก็ลองดู
แต่ทุกวันนี้ก็วุ่นวายพอแล้--”
“อาจารย์ยุนฮยอง!”
“อ้าว ว่าไงครับแชยอง มาดูละครเหมือนกันหรอ?”
รอยยิ้มละไมกับมาดของอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ตะวันตกผู้แสนสุภาพและดูดีสำหรับนักศึกษาถูกสวมเข้าร่างของซงยุนฮยองจนทำให้จุนฮเวอดเบ้ปากไม่ได้
แต่มิวายโดยเท้าอีกฝ่ายเตะขาเขาเบาๆ ตอนแรกทั้งคู่คุยกันเรื่องละครคืนนี้นิดหน่อยแต่พอบทสนทนาระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ที่ดูท่าทางจะเริ่มยาวขึ้นเมื่อโยงไปถึงไฟนอลโปรเจคมิดเทอมจุนฮเวจึงชี้ตรงเสาไฟฟ้าและเดินออกมารอเมื่อได้รับการพยักหน้าเบาๆว่ารับรู้
“กู จุน ฮเว!”
เสียงทักทายอย่างร่าเริงและมือที่ตบมาตรงบ่าของจุนฮเวจนเขาสะดุ้งเฮือกแทบพุ่งไปด้านหน้า
เขาหันกลับมาพบกับ คิมจินฮวาน พี่ชายตัวเล็กเจ้าของร้านขนมที่เขาอุดหนุนเป็นประจำรวมถึงเจ้าของผลงานคุ๊กกี้ทุกชิ้นที่นำมาเสิร์ฟแกล้มน้ำชาในร้านและ
คิมดงฮยอก เพื่อนสนิทร่วมคณะของเขาที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นพ่อครัวขนมร้านของจินฮวาน
“พี่มาดูด้วยหรอ?”
“ก็ชานอูมันมาช่วยกำกับการแสดงเลยให้บัตรมาชมด้วย”
“แล้วไหนคุณอาจารย์ไม่มาด้วยหรอไง?”
จุนฮเวจิ๊ปากกับสายตาที่กำลังสอดส่องไปทั่วของดงฮยอก
พลางคิดว่าอาทิตย์ก่อนไม่น่าพลาดให้อีกฝ่ายนำขนมมาส่งให้ที่ร้านแล้วเข้ามาเจอตอนเขากับยุนฮยองกำลังแย่งคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายในโหลแก้ว
เพื่อนสนิทตัวดีถึงกับรีบเข้ามาทำความรู้จักกับยุนฮยองทันทีเพราะนานทีปีหนจะได้เห็นใครคุยกับเขาถึงขั้นตีกันแบบนี้
มิวายให้บัตรลดที่ร้านตัวเองเพื่อให้ไปคุยกันเมื่ออีกฝ่ายว่างอีกด้วย
“อยู่แถวนี้ล่ะเดี๋ยวก็มา
นั่นไงตายยากชะมัด”
“ว่าไง ดงฮยอก สวัสดีครับ คุณจินฮวาน
ละครวันนี้สนุกไหมครับ?”
“รู้จักกันแล้ว?
นี่แสดงว่าพี่ไปร้านของพี่จินฮวานมาแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
จุนฮเวขมวดคิ้วมองหน้าทั้งสองฝ่ายที่ยกยิ้มลอยหน้าลอยตาส่วนดงฮยอกอมยิ้มกับสีหน้าหงุดหงิดของเพื่อนสนิทตัวเอง
“ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไรหรอก
แล้วนี่คุณยุนฮยองพาจุนฮเวมาเดทคืนนี้หรอครับ?”
“อันนี้ผมตอบไม่ได้นะต้องถามเจ้าตัวเอาว่ายอมให้เรียกว่าเดทหรือเปล่านะ”
“เฮ้ย!
ใครบอกกันว่าผม----”
“นี่วันนี้มหาลัยมีจัดบูธเกมส์กับซุ้มอาหารด้วยนิ
เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”
ดงฮยอกลากแขนของจุนฮเวที่กำลังจะระเบิดลงจากคำถามตอบของคนแก่กว่าทั้งสองที่ยิ้มกรุ่มกริ่มราวกับสนุกที่หาประเดนมาแกล้งเขาได้และยังคงหาเรื่องมาแกล้งเขาอย่างต่อเนื่องตลอดที่เดินหาอะไรกินกัน
ว่ามีซงยุนฮยองก็ปวดหัวแล้วนะนี่มีคิมจินฮวานอีก กูจุนฮเวต้องเอาข้าวโพดย่างยัดปากของทั้งคู่ไว้ถึงจะสงบๆสักที
ลมของฤดูร้อนพัดผ่านไปพร้อมกับคนสองคนกำลังเดินบนฟุตบาทจากถนนเส้นหลักเพื่อกลับไปยังร้านน้ำชาหลังจากแยกกับอีกคู่หน้ามหาลัย
ตุ๊กตาลิงตัวขนาดกลางซึ่งยุนฮยองได้รางวัลมาจากร้านปาเป้าขี่อยู่บนคอของคุณอาจารย์และมือจับตรงขาไว้กันหล่นราวกับเป็นเด็กสามขวบ
ยุนฮยองเรียกว่าเป็นตัวแทนของตัวเองเพราะเขาให้จุนฮเวเลือกจากบรรดาตุ๊กตาสัตว์หลายตัวในร้านว่าตัวไหนเหมือนเจ้าตัวมากที่สุดและเจ้าของร้านน้ำชาเลือกลิงอย่างไม่ต้องคิด
“วันหลังพี่กับพี่จินฮวานอย่ามาอยู่ด้วยกันเชียวนะ
ปวดหัวชะมัด”
“ทำไมล่ะ สนุกจะตาย
ว่าแต่นายตอบคำถามคุณจินฮวานได้หรือยังว่าจะยอมเรียกคืนนี้ของเราว่าเดทหรือเปล่า?”
คิ้วของจุนฮเวเลิกขึ้นกับคำถามที่คิดว่าน่าจะจบไปตั้งแต่ที่ทั้งคู่ยกขึ้นมาเป็นเรื่องล้อเลียนเขา
"เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“แล้วอยากให้เป็นหรือเปล่าล่ะ?”
“พี่พูดอย่างกับพี่ชอบผม”
รอยยิ้มของคนที่เดินนาบข้างเขา
โยกหัวไปพร้อมกับตุ๊กตาลิง ตอบกลับด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงตามปกติของตน
“อืมม ไม่รู้สินะ
แต่การที่พี่มาหานายบ่อยๆ ซื้อของอร่อยๆมาให้นายกิน ไปร้านหนังสือกับนายในเย็นวันพุธ
ชวนนายมาดูละครเวทีและเดินมาส่งนายที่ร้านทั้งที่หอพักพี่อยู่ตรงหลังมหาลัย พี่เองก็รู้สึกว่าพี่แสดงออกชัดเจนแล้วนะ...
...แล้วนายเองอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นแบบไหนล่ะ?”
“ก็....อย่างเป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่แย่เท่าไรนะ
ถึงพี่เองจะน่ารำคาญไปนิดก็เถอะ”
จุนฮเวเกาท้าทอยตัวเองเบาๆ
เสตามองไปอีกทาง พูดออกมาตามตรงที่ตัวเองรู้สึกทำให้ยุนฮยองอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“งั้นก็ค่อยเพิ่มไปทีล่ะนิดละกัน
พี่ว่านายคงจะไม่รำคาญพี่ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ”
มือข้างที่ว่างอยู่ของยุนฮยองเอื้อมจับมือของจุนฮเวกุมไว้
พูดคุยกันเล็กน้อยจนถึงหน้าร้านน้ำชาถึงได้ปล่อยมือออกก่อนยุนฮยองยัดตุ๊กตาลิงใส่อกอีกฝ่ายพร้อมบอกลาโดยไม่ลืมขอให้ฝันดี
เจ้าของร้านน้ำชาไขกุญแจประตูร้าน วางตุ๊กตาลิงบนเคาเตอร์ จ้องตากับมันสักครู่ก่อนมองมือตัวเองที่ยังคงรู้สึกถึงไออุ่นและหัวใจที่ยังเต้นจังหวะแปลกไปตั้งได้สัมผัสมือของยุนฮยองเป็นครั้งแรก
กูจุนฮเวคิดว่าเขาคงโดนเวทมนตร์ของซงยุนฮยองในกลางคืนฤดูร้อนเข้าซะแล้ว
...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่กำลังดำเนินไปเช่นเดียวกับคาราเมลแคนดี้ของเราที่ใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน
เมื่อความร้อนถึงที่ 250 องศาฟาเรนไฮต์ยกหม้อลงจากเตา ใส่เนย
กลิ่นวานิลาและเกลือเล็กน้อยลงไปในหม้อใช้ทัพพีคนทุกอย่างให้เข้ากันและเทส่วนทั้งหมดลงไปในถาดสี่เหลี่ยมที่ปูไว้ด้วยกระดาษไขและทาเนยทับอีกชั้นเพื่อให้สามารถเอาออกมาได้โดยง่าย
ขั้นตอนที่ดูง่ายดายแต่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือรอ
รอจนกว่าคาราเมลแคนดี้จะแข็งตัวซึ่งต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงโดยที่เราต้องไม่ได้แตะมันหรือจิ้มลงไปให้เสียรูป
ช่างเหมือนกับความรู้สึกของเจ้าของร้านน้ำชาที่กำลังใช้เวลาและครุ่นคิดความรู้สึกแท้จริงของตัวเองอยู่ตอนนี้เลย
.
.
.
ฤดูฝนกับสายฝนที่กำลังโปรยปรายอยู่นอกร้าน
ช่วงปิดเทอมของเด็กมหาลัยทำให้ร้านน้ำชาตอนบ่ายวันอังคารค่อนข้างเงียบกับลูกค้าแค่คนสองคนที่เข้ามาหลบฝน
ดวงตาคมของจุนฮเวสบตากับกระดุมสีดำสองเม็ดของลูกตาตุ๊กตาลิงที่นั่งอยู่บนสตูไม้หน้าข้ามกับเขาเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน
ถอนหายใจอีกรอบก่อนใช้ดินสอขีดฆ่าหัวข้อที่คิดจะเขียนสำหรับคอลลัมน์ของเขาในเดือนนี้ทิ้งอีกครั้ง
มองกระดาษซึ่งเต็มไปด้วยรอยขีดของดินสอ ยกชาพีชของทไวท์นิ่งในแก้วใบโปรดของเขาขึ้นดื่มก่อนเบ้ปากและเทชาทั้งหมดลงอ่างเนื่องจากเย็นชืดแล้ว
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาจุนฮเวรู้สึกว่าภายในร้านน้ำชาของเขาเงียบลงและเย็นเฉียบเหมือนกับความเย็นจากสายฝนอาจจะเพราะไม่มีเสียงน่ารำคาญและความอบอุ่นของลูกค้าประจำในช่วงนี้เนื่องด้วยซงยุนฮยองอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ผู้โชคดีแบบไม่รู้ว่าจะดีได้กว่านี้อีกแล้วจะได้ไปทัวร์และดูงานที่ประเทศฝรั่งเศสกับอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์พร้อมกับนักศึกษาที่เรียนช่วงปิดเทอมไปเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทั้งที่ทำงานมาแค่ปีเดียว
น้ำเสียงตื่นเต้นและพูดจ้อไม่หยุดหลังจากได้รู้ว่าจะได้ออกนอกประเทศครั้งแรกและเป็นประเทศที่ตัวเองอยากไปมากที่สุด
ไล่รายการสถานที่ต่างๆ ทั้งพิพิธภัณฑ์ โบสถ์
รวมถึงสถานที่สำคัญอย่างหอไอเฟลและประตูชัย ถามถึงของฝากที่อยากได้
แถมมาฝึกพูดภาษาฝรั่งเศสกับเขาอย่างสนุกสนาน
พอเห็นสภาพกระดี้กระด้าของคนแก่กว่าเจ้าของร้านน้ำชาอดที่จะบ่นไม่ได้ว่าอย่าไปทำตัวซุ่มซ่ามหรือไม่ระวังคนจนโดนโจรจิ๊กกระเป๋าหาทางติดต่อไม่ได้และตายอยู่ที่โน่น
ซึ่งคุณอาจารย์เองตอบกลับมาด้วยสีหน้าและท่าทางน่าหมั่นไส้จนไม่น่าแสดงความเป็นห่วงออกไปเลย
‘ยังไงก็กลับมาน่า
พี่ยังไม่ได้จ่ายค่าชามะลิของคราวก่อนเลยรู้ไหม แล้วก็อย่าบ่นคิดถึงพี่ตอนพี่ไม่อยู่แล้วกัน’
เสียงโทรศัพท์รุ่นโบราณแต่ยังคงใช้งานได้แผดเสียงดังจากในห้องหนังสือด้านในจนจุนฮเวเกือบทำแก้วชาในมือตกลงอ่างล้างจาน
สองขายาวเดินตรงไปรับโทรศัพท์อย่างไม่รีบร้อน ไม่สนใจหรอกว่าจะวางสายไปก่อนในเมื่อคนที่โทรมาเป็นคนที่เขารู้จักดีและเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เบอร์นี้
[Bonjour ma petit frère! (สวัสดีตอนเช้า น้องชายตัวน้อยของพี่!)]
เสียงทักทุ้มต่ำอย่างร่าเริงดังมาจากปลายสาย
แต่ประโยคภาษาฝรั่งเศสติดสำเนียงเกาหลีและความหมายไม่ค่อยเข้าหูเท่าไรทำให้จุนฮเวเลือกที่จะเงียบใส่
[Allô? (ฮัลโหล) จุนฮเว?]
“อยู่ที่โน่นพูดภาษาเกาหลีไม่เป็นแล้วหรือไงกันพี่มิโน?
อีกอย่างที่นี่เป็นตอนบ่ายแล้ว ผมคงต้องพูดว่า Bonsoir (สวัสดีตอนบ่าย) และผมไม่ใช่ petit frère
(น้องชายตัวน้อย) ของพี่ด้วย”
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายและได้ยินเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายดังมาจากปลายสาย
เสียงหัวเราะอันคุ้นเคยที่แค่ได้ยินก็รู้ว่าทำหน้าแบบไหนลอยเด่นชัดมาในหัวของเจ้าของร้านน้ำชาทั้งที่ไม่ได้เจอกันเกือบครึ่งปีแล้ว
[เป็นไงบ้าง?
ร้านของพี่ยังคงอยู่ดีใช่ไหม? ไม่ใช่ไฟไหม้หรือกระจกหน้าร้านแตกแล้วเพราะนายไปมีเรื่องกับใครรึเปล่า?]
คำทักทายของคนแก่กว่าพร้อมกับคำพูดกวนประสาททำให้จุนฮเวอดเบ้ปากไม่ได้
ซงมินโฮเจ้าของร้านน้ำชาแห่งนี้คนก่อน ความจริงก็ยังเป็นเจ้าของร้านคนปัจจุบันด้วยเพราะเจ้าของร้านคนแรกจริงๆคือคุณลุงของมินโฮซึ่งเสียไปแล้วและยกร้านซึ่งเป็นบ้านของตัวเองด้วยให้กับหลานสุดที่รักผู้ชื่นชอบในศิลปะและวัฒนธรรมยุโรปเหมือนตัวเอง
ระหว่างมินโฮที่เปิดร้านน้ำชาของคุณลุงแก้เบื่อไปพลางๆ
ซึ่งจริงๆเขาเองไม่ต้องทำงานยังได้เพราะมรดกกองโตของคุณลุงที่ได้มาทำให้เขาใช้ชีวิตสบายๆได้ไปสักปีสองปีวาดรูปสีน้ำมันในห้องหนังสือด้านหลังไปเรื่อยๆยังได้
กูจุนฮเวนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ คณะและมหาลัยเดียวกับที่ยุนฮยองกำลังทำงานอยู่เดินดุ่มๆหาร้านนั่งเขียนเปเปอร์
เจอร้านน้ำชาไร้ผู้คนแห่งนี้ เหมือนกับโชคชะตาที่เขาได้พบกับมินโฮและได้มาทำงานพิเศษที่นี่เนื่องจากอยู่ใกล้มหาลัยนิดเดียว
“ทำมาเป็นพูดดี
พี่ต้องขอบคุณผมด้วยซ้ำที่มีคนมาเฝ้าร้านให้
พี่ถึงได้ไปเที่ยวยุโรปอย่างที่ต้องการสักที แล้วโทรมามีอะไร พึ่งนึกออกว่ามีน้องชายอย่างผมหรือไง
ครึ่งปีโทรมาอยู่สองครั้ง”
[ได้ข่าวจากจินฮวานว่ามีแฟนแล้วนิ]
เบ้ปากเป็นครั้งที่สองแถมกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายยิ่งกว่าเดิม
มินโฮกับจินฮวานอายุเท่ากันและเป็นเพื่อนสนิทกัน
พอจะรู้อยู่ที่ไม่ค่อยโทรมาหาเขาเพราะรับรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขาจากการโทรหาพี่ชายตัวเล็กจากร้านขนมเป็นหลักนั่นล่ะ
แต่เมื่อได้รู้เรื่องสนุกๆเกี่ยวกับตัวเขาเนี่ยล่ะโทรมาไวเชียว
“พี่จินฮวานมั่วเหอะ
ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”
[ที่ยังไม่ได้เป็นเนี่ย
เพราะว่านายไม่ยอมตอบตกลงกับเขาหรือว่ายังไง หืม?]
อาจจะเพราะสนิทกับมินโฮมากเกินไปจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพี่ชายเขาเลยก็ได้
หลายครั้งกับการคุยกับอีกฝ่ายโดยที่ยังไม่ต้องพูดอะไรมากมายแต่กลับสามารถถามเขาเข้าประเดนที่กำลังคิดอยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ผมเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน....”
ดวงตาคมเหม่อออกไปนอกห้องหนังสือ
แต่ตำแหน่งสายตากลับหยุดตรงสตูลไม้หน้าเคาเตอร์ที่ประจำของคนที่ทั้งคู่กำลังพูดถึง
ราวกับเห็นรอยยิ้มละมุนของยุนฮยองส่งให้จากตรงนั้นทั้งที่ไม่มีใครอยู่จนจุนฮเวต้องส่ายหัวกับความเพ้อของตัวเอง
[อืมม...ความรู้สึกรักใครสักคนมันเป็นสิ่งแปลกดีนะ
อาจจะเข้าใจยากและโคตรมั่วซั่วอย่างภาพสลัดสีของแจ๊กสัน โพลล๊อคหรือมันอาจจะง่าย ตรงไปตรงมาและสดใสอย่างภาพสไตล์
Pop Art นั่นล่ะมันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนนั้น...
...แต่สำหรับคนสองคน
บางทีไม่ต้องมีคำพูดมายืนยันความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ได้ แต่ความรู้สึกในใจที่เรียกหากันและกัน
คิดถึงกันและกัน มันตอบได้ดีกว่าทุกอย่างแล้วล่ะว่าทั้งคู่รู้สึกต่อกันแบบไหน]
คำตอบของศิลปินหนุ่มผิวเข้มที่ดูจะเข้าใจยากยิ่งกว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้
ไม่รู้จะโยงเรื่องภาพวาดเข้ามาทำไม แต่กลับทำให้เขาอมยิ้มได้ไม่ยาก
[ไม่ต้องมานินทาในใจด้วยว่าไอ้พี่นี่พูดบ้าอะไรออกมาพี่รู้
ไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวลูกค้าชิ่งหนีไม่จ่ายตังหรอก]
พอพูดถึงคนซิ่งไม่จ่ายเงินยิ่งทำให้เขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
อาจจะเพราะช่วงเวลากับระยะห่างของทั้งคู่และการคุยกับมิโนทั้งที่แค่เพียงเล็กน้อยแต่พอทำให้เขาเข้าใจหัวใจของตัวเองขึ้นบ้าง
...ในเมื่อพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรหรือจะไปทางไหนมันก็เห็นใบหน้าของอีกคนลอยมาตลอดนิน่า...
...ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่หัวใจขอกูจุนฮเวเอาแต่เรียกหาซงยุนฮยอง
โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ...
ค่ำคืนนี้ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
จุนฮเวละสายตาจากหนังสือที่อยู่ในมือมองเครื่องมือสื่อสารจอขาวดำที่ยังคงนิ่งเฉยอยู่ข้างตัวเขาบนโซฟา
นาฬิกาเรือนเก่าบนผนังส่งเสียงร้องเมื่อเข็มสั้นและเข็มยาวชี้เลขสิบสอง ทั้งที่ยุนฮยองบอกไว้แล้วว่ากลับวันนี้ช่วงเย็นๆและย้ำไม่ต้องไปรับที่สนามบินซึ่งเขาเองคงไม่คิดจะไปอยู่ดี
แต่ ณ เวลานี้แม้แต่เงาหรือเสียงไม่มีสัญญาณใดๆจากอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
เจ้าของร้านน้ำชาถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรของวันไม่รู้
ก่อนปิดหนังสือที่พยายามอ่านมาตั้งแต่ปิดร้านแต่ก็ไม่มีอะไรเข้าหัว มือขาวหยิบนาฬิกาพกที่อีกฝ่ายฝากเขาไว้เช่นเคย
ดูมองฟันเฟืองภายในด้วยสายตาเลื่อนลอย เสียงฟ้าร้องดังจากด้านนอกทำให้เขาสะดุ้งและเผลอปล่อยมันจากมือ วัตถุทองเหลืองกลิ้งไปบนพื้น
จุนฮเวสบถอย่างหัวเสียเอื้อมมือจะไปหยิบนาฬิกา
แต่แล้วทุกอย่างในห้องกลับมืดสนิท
เขานั่งเฉยสักครู่ปล่อยให้สายตาปรับตัวเข้ากับความมืดพร้อมกับความรู้สึกหน่วงในใจก่อนลุกขึ้นจากโซฟา
สองขายาวก้าวออกจากห้องหนังสือด้านหลังด้วยความเคยชิน เดินตรงไปยังเคาเตอร์และเปิดลิ้นชักหยิบไฟฉายออกมา
ส่องไฟไปทั่วห้องสังเกตุเห็นว่าข้างนอกก็มืดสนิทเช่นกัน ไฟแถวนี้คงดับทั้งหมดจึงตัดสันใจว่าจะเข้านอน
กำลังจะเดินกลับเข้าไปห้องด้านหลังแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูร้านอย่างบ้าคลั่ง
เลิกคิ้วด้วยความสงสัยใครมันจะมาที่นี่ตอนเที่ยงคืนกัน เดินตรงไปปลดล็อกประตู แง้มดูเผื่อเป็นคนสติไม่ได้หรือขโมย
....และดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่หลังประตู...
"เคาะตั้งนานแล้วรู้ไหม หนาวจะตายอยู่แล้วเนี่ย"
น้ำเสียงบ่นอันคุ้นเคยและใบหน้ายู่ลงของคนที่เขานึกถึงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา
รีบเดินแทรกตัวผ่านประตูเข้ามาในร้าน ยุนฮยองวางร่มพิงกับกำแพง สะบัดเสื้อคลุมตัวนอกเบาๆแขวนบนราวไม้ข้างร้าน
แต่ออกทุลักทุเลอยู่เมื่อแขนซ้ายอยู่ในเฝือกสีขาว
"แขนพี่ไปทำไรมา?"
"ซุ่มซ่ามเล็กน้อยตอนออกมาจากหอหลังจากเอาของไปเก็บแล้ว
ฝนตกปรอยๆพอให้พื้นลื่นรีบลงบันไดไปหน่อยถึงได้ตกบันไดเป็นโชคดีรับวันกลับบ้านทันที
เอาเถอะช่างมัน แต่ตอนนี้หนาวชะมัด"
ยุนฮยองบ่นพลางนั่งลงบนสตูลไม้ตัวที่นั่งประจำตรงเคาเตอร์มือขวาลูบแขนตัวเองเบาๆ
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มลู่ลงด้วยความชื้นของละอองฝน
"ไฟดับอยู่คงชงชาไม่ได้ เดี๋ยวหยิบผ้าห่มให้ รอแปป"
ถึงจุนฮเวอยากจจะบ่นใส่และยิงคำถามอีกหลายข้อในใจตอนนี้
แต่เห็นสภาพคล้ายลูกหมาตากฝนแถมแขนใส่เฝือกอยู่ รู้สึกอนาถแบบบอกไม่ถูกแต่เป็นห่วงอยู่ในใจเหมือนกัน
...สองขาที่กำลังจะก้าวกลับไปยังห้องด้านใน
กลับต้องหยุดชะงักเมื่อแขนถูกรั้งด้วยแรงดึงจากอีกคน..
"ไม่ต้องไปไหนหรอก แค่นี้ก็น่าจะอุ่นพอแล้ว"
แขนข้างที่ไม่เจ็บของยุนฮยองคว้าเอวของเจ้าของร้านน้ำชากอดเข้าไปเต็มวงแขนซุกหน้าลงไปตรงกลางหลังกว้าง
"คิดถึงชะมัด....คิดถึงนายชะมัดเลยกูจุนฮเว"
เสียงอ้อนที่ทำให้หัวใจของจุนฮเวเต้นรัวยิ่งกว่าตอนถูกจับมือครั้งแรก
เสียงหัวใจของเขาที่ดังก้องอยู่ในหูของตัวเองที่เขาเองไม่แน่ใจว่าอาจจะดังจนอีกฝ่ายจะได้ยินมันด้วย
เสียงสายฝนที่เข้ามาแทนเสียงพูดของคนทั้งคู่และปล่อยให้บรรยากาศตอนนี้เป็นแบบนี้ไปสักครู่
"ไหนว่าถึงเย็นๆไง" ถามกลับไปด้วยเสียงเรียบ
ทั้งที่หัวใจยังคงเต้นแรงอยู่
"เครื่องดีเลย์มาถึงก็สองทุ่มล่ะ กลับมาถึงหอแล้วก็ไปโรงพยาบาลอีก"
"แล้วไม่โทรมาบอกว่าถึงแล้วจะได้ไม่ต้องลำบากมา เจ็บตัวอยู่แล้วจะมาทำไม"
"ก็คิดถึงนายนินี่เลยรีบมาหาในวันนี้เลยนะ ความจริงอยากจะโทรมาบอกอยู่หรอกแต่ทำโทรศัพท์ตกตอนตกบันได
เครื่องตายสนิทเลย ต้องเสียตังซื้อเครื่องใหม่อีก เซ็งชะมัด"
เสียงอู้อี้เพราะซุกเข้าไปกับหลังเขามากกว่าเดิมแก้ตัวราวกับเด็กน้อยทำความผิดมา
ได้ยินแบบนั้นเจ้าของร้านน้ำชาได้แต่กลอกตาและพยายามขืนตัวหนี แต่ก็ล่ะคิดว่าคุณอาจารย์จะยอมปล่อยง่ายๆ
เล่นจับเสื้อของเขาไว้แน่ จุนฮเวถอนหายใจยอมแพ้ที่จะหนีและหันตัวมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายแทน
"พี่นี่จะซุ่มซ่ามให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่ไหม ดีนะไม่ไปโดนแทงตายอยู่ที่โน่น"
"ก็บอกแล้วว่ายังไม่จ่ายค่าน้ำชายังไงก็กลับมาน่า เห็นไหมยังกลับมากอดนายได้อยู่นะ
แล้วไม่คิดจะกอดพี่กลับบ้างหรอ?"
เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง
เป็นรอยยิ้มที่เขาอยากเห็นมาตลอดทั้งอาทิตย์ น้ำเสียงกวนนิดๆแอบอ้อนหน่อยๆ และแววตาในดวงตาคู่โตแวววาวเหมือนกับหมาน้อยอ้อนเจ้าของ
รู้สึกเขินอย่างประหลาด
แต่ไฟดับมีแค่แสงสลัวๆของไฟฉายแบบนี้ไม่เห็นหน้าเขาที่กำลังแดงอยู่แน่ๆ ดีแล้ว วางมาดนิ่งของตัวเองและเบ้ปากใส่เป็นคำตอบ
"ฝันไปเถอะ ยอมให้กอดแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แล้วนี่จะยังไง ฝนตกซะขนาดนี้คงกลับหอได้หรอก"
"ถ้าคุณกูจุนฮเวไม่ว่าอะไรวันนี้ให้ซงยุนฮยองนอนที่นี่ด้วยนะครับ
พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้ามหาลัยด้วย แล้วจะช่วยเปิดร้านตอนเช้านะครับ"
ก้มหัวทีเล่นทีจริงตามนิสัยกวนโอ๊ยของตนและฉีกยิ้มกว้างอีกครั้งอ้อนด้วยน้ำเสียงที่หวานมากกว่าเดิม
จุนฮเวถอนหายใจ ตีหน้านิ่งพูดด้วยเสียงเรียบ
“ความจริงตอนดึกยังมีแท๊กซี่อยู่
อยากจะไล่ให้กลับหอไปอยู่หรอก แต่ถ้าพี่จ่ายหนี้ทุกอย่างที่ติดไว้ผมอาจจะอนุญาตให้นอนที่โซฟาในห้องหนังสือ....
...แต่วันนี้ผมอารมณ์ดีและก็สงสารคนเจ็บสภาพน่าอนาถอุตสาห์ฝ่าฝนมาทั้งที่แขนเดี้ยง
ไว้จ่ายคราวหน้าก็ได้และจะแบ่งทีข้างเตียงให้ด้วย แต่พรุ่งนี้ต้องตื่นมาช่วยเปิดร้าน
ห้ามลืมล่ะ”
คนแก่กว่าได้ยินเช่นนั้นถึงกับเด้งตัวขึ้นจากสตูลไม้ทันทีโดยไม่สนใจสีหน้าแสร้งทำเป็นเป็นนิ่งของเขา
มือข้างที่ไม่เจ็บเอื้อมมือจับมือขาวของเขาจูงมือเขาเดินเข้าไปในห้องหนังสือด้านหลังเพื่อจะขึ้นบันไดไปชั้นสองราวกับเป็นบ้านของตัวเอง
ไฟในร้านสว่างขึ้นราวกับรู้จังหวะ
ในเมื่อทั้งคู่กำลังหันหน้าเข้าหากันและยกยิ้มกว้าง
"มีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะเยะเลย"
"ก็ดีผมกำลังนึกหัวข้อของเดือนนี้ไม่ออกพอดี"
...ในที่สุดคาราเมลแคนดี้ของเราก็แข็งตัวถึงเวลาตัดเป็นชิ้นขนาดพอคำและเอากระดาษไขห่อให้เรียบร้อย
เสร็จแล้วขนมหวานสีน้ำตาลเข้มแสนอร่อยที่เหลือก็แค่หยิบมันขึ้นมากินและถึงยามลิ้มรสคาราเมลแคนดี้ของเราจะเผลอกัดมันลงไปให้เสียรูปบ้างอะไรบ้าง
แต่แน่นอนรสชาติความหวานเข้มข้มยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป ยังคงติดอยู่บนลิ้นกับในกระพุ้งแก้ม
ให้เรารู้สึกอยากลิ้มลองความหวานของมันอีกครั้งและอีกครั้ง
.
.
.
"อยากไปฝรั่งเศสอีกรอบชะมัด"
"พี่จะบ่นเหมือนเดิมอีกกี่รอบ"
คนที่กำลังนอนหนุนตักเจ้าของร้านน้ำชาเงยหน้ามุ่ยขึ้นมาจากหนังสือที่ตัวเองนอนอ่านอยู่มองหน้าอีกฝ่ายที่ยังทำหน้านิ่งไม่ละสายตาจากหนังสือที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ด้วยซ้ำ
"ก็มันเจ๋งมากเลยนิน่า กลิ่นไอ วัฒนธรรม ศิลปะ
และความรักทุกอย่างซึมเข้ามาในรูขุมขน เสียดายตอนนี้หมดงบ ต้องทำงานเก็บเงินอีกกี่เดือนถึงจะได้ไปอีกก็ไม่รู้"
"อืมๆ พี่พูดเป็นรอบที่ร้อยแล้ว"
"ไว้คราวหน้าไปด้วยกันนะ พี่ว่าเราคงได้เถียงตั้งแต่ลงสนามบินยันในพิพิธภัณฑ์ลูฟ"
"มีแต่พี่คนเดียวนั่นล่ะที่จะเสียงดังโวยวาย"
"ไว้รอดูกันดีกว่าว่าจะมีใครร้องว้าวเมื่อไปถึงกัน"
เสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นทำให้ทั้งสองที่อยู่บนโซฟาห้องหนังสือด้านหลังหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัยเพราะวันนี้ร้านปิด
จุนฮเวลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อจะไปดูว่าใครกันเข้ามาในร้าน
"บองชูร์ My Bro!"
ร่างสูงผิวเข้มที่พุ่งตัวตัวเข้ามากอดจุนฮเวทั้งที่ของยังเต็มไม้เต็มมือ
เพราะโดนกอดโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว
เจ้าของร้านน้ำชาเกือบล้มหงายหลังในเมื่ออีกฝ่ายตัวใหญ่ไม่ใช่ย่อยแล้วดูท่าจะตัวใหญ่ขึ้นจากที่พบกันครั้งล่าสุดด้วยซ้ำ
สงสัยในยุโรปของกินจะอุดมสมบูรณ์เกินไปสินะ...
“ปล่อยเดี๋ยวนี่เลย
ไอ้พี่มิโน”
ทั้งผลักทั้งถีบก่อนอีกฝ่ายจะยอมปล่อยเขา
ถึงจะพูดน้ำเสียเบื่อหน่ายและทำท่าทางรังเกียจแต่มุมปากกำลังยกยิ้มกว้างบอกให้รู้เป็นอย่างดีว่าดีใจที่ได้พบอีกคนแค่ไหน
ฟังคำสาธยายหรือว่าคำโม้นั้นล่ะของพี่ชายซึ่งพูดไม่ยอมหยุดตั้งแต่วางของลงบนเคาเตอร์
หยิบโน่นหยิบนี่ส่งให้วุ่นวายไปหมด
“ใครน่ะจุนฮเว?”
“หืม?
นายมันซงยุนฮยอง ม.5 ห้อง 6 โรงเรียน XXX ใช่ไหม!”
โผล่หน้าออกมาจากห้องหนังสือด้านหลังไม่เพียงเท่าไรกลับถูกมือสีเข้มยกขึ้นชี้หน้าแถมด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตกใจออกไม่พอใจ
ยุนฮยองมองหน้าอีกฝ่ายยืนคิดสักครู่ก่อนจะนึกออก
“ไอ้พี่มิโนตัวดำนี่หว่า! อ้วนขึ้นจนจำไม่ได้ แต่สีตัวนี่เป๊ะเลย”
“เห้ย ไอ้นี่ ปา—“
“พี่สองคนรู้จักกันด้วยหรอ?”
รีบพูดขึ้นมาขัดจังหวะด้วยสีหน้างงงวยว่าทั้งคู่ไปรู้จักกันตอนไหนและดูท่าจะเป็นศัตรูกันด้วยซ้ำในเมื่ออีกสองคนเดินตรงเข้าหากันและเตรียมพร้อมจะเปิดสงครามน้ำลายกันแล้ว
“อย่าให้พูดไปกับไอ้เด็กนี้คดีเยอะ”
“ไรวะ พี่นั่นล่ะ แก่ก็แก่กว่าเป็นพี่สาขาแท้ๆแต่ทำตัวโคตรน่านับถือเลย”
“จะเอาหรอ ยังไม่ได้คิดบัญชีที่มาป่วนบูธงาน Open House ตอนม.6 เลยนะเฟ้ย”
“จะทะเลาะกันก็ไปทะเลาะกันที่อื่น อย่าม----“
ยังไม่ทันจะได้ห้ามทัพ เสียงกระดิ่งจากประตูร้านดังขึ้นพร้อมด้วยพี่ชายตัวเล็กจากร้านขนมที่มาได้ถูกเวลาเหลือเกิน
คิมจินฮวานรีบเดินเข้ามาในร้านและโวยวายเสียงดัง
“ย่าาาาาา ซงมินโฮ กลับมาไม่บอกกล่าว ไหนของฝากฉัน
เอามาครบหรือเปล่า ไม่ครบมีไล่กลับไปเอาที่ปารีสแน่”
ปวดหัวซะยิ่งกว่าปวดหัวจุนฮเวได้แต่นวดขมับตัวเองเบาๆ
มองภาพพี่ชายสองคนที่กำลังเถียงกันตรงหน้าและมีชายอีกหนึ่งคนผสมโรงเถียงด้วยเพลาๆ
ว่ามีซงยุนฮยองนี่ปวดหัว มีคิมจินฮวานเพิ่มเข้าไปแล้วยิ่งปวดหัวกว่า
เจอซงมินโฮเข้าไปอีกเรียกได้ว่าโวยวายกันจนแทบร้านแตก ดีนะวันนี้ร้านน้ำชาปิด
เขาไม่อยากคิดสภาพในระยะยาวจริงๆ
“หนีกันเถอะ”
จังหวะที่กำลังคำนวนความน่ารำคาญและความเสียหายในอนาคต
ไม่ทันได้พูดหรือตอบอะไรกลับไปมือของเขาถูกจับและดึงออกไปทางหน้าประตูร้านโดยยุนฮยอง
ดันตัวเขาออกไปนอกร้านก่อนและมิวายแล่บลิ้นส่งท้ายให้มินโฮ
จนมินโฮแทบจะวิ่งตามออกมาแต่ไม่ทันคนที่จับแขนตัวเองไว้ไม่ให้หนี
“กลับมานี่นะเฟ้ย ทั้งสองคนเลย” // “ซงมินโฮ
อย่ามาหนี ตอบคำถามฉันก่อนทำไมวานิลาที่ฉันสั่ง.....”
“ปวดหัวชะมัด แล้วนี่พี่มิโนกลับมาคงจะอยู่นี่อีกนาน
พี่มาที่ร้านคงจะทะเลาะกันอีกใช่ไหม?”
“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็จะมาหานายอยู่ดี ทะเลาะกันให้ตายไปข้าง”
กอดอกและทำเสียงฮึดฮัดเป็นเด็กทำให้จุนฮเวได้แต่ส่ายหัวเบาๆก่อนที่ยุนฮยองจะถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ว่าแต่พี่เขากลับมาแล้วเขาก็ต้องมาอยู่ที่ห้องนายสิ
ที่ร้านมีห้องนอนห้องเดียวนิ?”
“เออแหะ ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย
สงสัยต้องไปหาหอแถวนี้อยู่”
เริ่มครุ่นคิดเพราะมินโฮเองดูท่าจะกลับมาอยู่ยาวและตัวเขาเองก็ไม่มีที่อยู่ที่อื่นบริเวณนี้ต้องบอกว่าไม่มีบ้านในเกาหลีด้วยซ้ำ
ถ้าจะต้องหาหอใหม่แถวนี้คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
สงสัยจะได้นอนบนโซฟาในห้องหนังสือไปก่อน จะให้นอนกับพี่แกก็กระไรอยู่
“งั้นผมมีข้อเสนอดีๆให้กับคุณกูจุนฮเวนะครับ ห้อง 403 หอพักหลังมหาลัย ทำเลดีไม่ใกล้จากร้านน้ำชามาก เจ้าของห้องคือคุณซงยุนฮยอง
เตียงในห้องขนาดกว้างพอขนาดนอนสองคนถ้าเอาหนังสือทั้งหลายบนเตียงออก ถ้าคุณกูจุนฮเวย้ายไปในวันพรุ่งนี้ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้องแถมมีคนช่วยขนของด้วย
พร้อมสัญญาว่าจะไปที่ร้านน้ำชาน้อยลงไม่ให้ต้องปวดหัวเวลางาน
เป็นไงครับได้หนึ่งแถมอีกสิบ”
รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ประดับบนใบหน้าหวานหลังจากคำสาธยายาวเหยียดถึงทางเลือกของตัวเอง
เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อระหว่างทางเดินกันไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ตรงหน้ามหาลัย
มือขวาของตัวเองยังคงจับมือของจุนฮเวไว้ก่อนหันมาเผชิญหน้าและยกยิ้มกว้าง
“ว่าไงครับ? นี่ฝนก็ใกล้จะตกล่ะ
ไปเซอร์เวย์ห้องวันนี้เลยไหม ถึงจะลืมมือถือกับกระเป๋าเงินไว้ที่ร้านแต่กุญแจห้องยังอยู่กับตัว
เดี๋ยวจะชงชามะลิให้ดื่มแล้วพูดคุยเรื่องสัญญากันนะครับ”
ความจริงจุนฮเวก็พอจะมีคำตอบอยู่ในใจ อย่างน้อยเรื่องพฤติกรรมในการนอนแม้อีกฝ่ายจะนอนกรนเสียงดังนิดหน่อยพอรับได้อยู่
แต่ไม่ได้ล่ะของแบบนี้ต้องขอดูสถานที่จริงก่อนและต้องต่อรองสัญญาเพิ่มกันอีกนิดหน่อย
“ไปก็ได้ ขอดูหน่อยสิว่าจะดีแบบที่พูดไว้ไหม
แล้วจะพิจารณาข้อสัญญากันอีกที แล้วชาไม่ต้องชงก็ได้นะ พี่ชงรสชาติห่วยสิ้นดี”
“ถ้างั้นนายก็ชงแล้วกัน ชงให้ดื่มทุกเช้าเลยนะแถมกอดก่อนออกไปทำงานด้วย
ตกลงไหม?”
“ก็บอกแล้วว่าขึ้นอยู่กับสัญญา คงไม่รับปาก”
ยกยิ้มอย่างกวนประสาทที่สุดแทนคำตอบซึ่งอีกคนเองไม่รู้สึกหวั่นใจแม้แต่นิดมิหน่ำซ้ำในสายตายังมีความมั่นใจยังคงเต็มเปี่ยมขณะรีบเดินกันไปให้เร็วขึ้นตรงไปยังห้องรีบหนีสายฝนที่กำลังจะตกลงมา
ตลอดบ่ายนั้นระหว่างที่ฝนโปรยปรายทั้งคู่อาจจะดื่มชากับถกถึงข้อสัญญา อาจจะคุยถึงเรื่องราวอื่นๆทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มสองเล่มในห้องของยุนฮยอง หรืออาจจะแค่นอนฟังสายฝนอยู่ข้างกันจนหลับไปถึงฟ้ามืด
ก่อนตื่นขึ้นมาและมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มกว้างกันทั้งคู่
Talk: บอกได้เลยว่าเป็นฟิคที่เขียนไว้เมื่อนานมากกกกกกกกกก
ตั้งแต่เริ่มจะเขียนฟิคต่อเรือก็ว่าได้ ตอนแรกกะจะแต่งอันนี้เป็นเรื่องยาวห้าตอนจบค่ะ
แต่ไหนๆรวบๆมาแล้วก็เอาเถอะ ฮ่าๆๆๆ มีปัญหากับการจบไม่ลง+ขี้เกียจ
สุดท้ายมาต่อให้จบกันดีกว่า ชอบคาแรกเตอร์ของยุนฮยองฟิคนี้มากค่ะ เหมือนสลับกับจุนฮเวยังไงอย่างงั้น
มาแบบเด็กกวนประสาททั้งที่แก่แล้ว เอิ๊กๆๆ น่ารักดีค่ะ ไว้เจอกันเรื่องหน้าค่ะ
ความคิดเห็น