คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : [A] JUNHOE : Missing
29/11/2016
JUNHOE : MISSING
-------------------------------------------
…ซงยุนฮยอง เป็นคนที่มีความตั้งใจสูง…
มักมักมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำจนกว่าจะเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องเล็กน้อยอย่างเช่น
อ่านหนังสือ หรือต่อโมเดลโดยเฉพาะถ้าเป็นงานสำคัญหรือสิ่งที่ตัวเองกำลังสนใจในเวลานั้น
ซึ่งไม่ติดว่าหิวหรือรู้ถึงลิมิตของตัวเองว่าถึงเวลาต้องพักผ่อนจึงจะละมือออกมา ชาร์จพลังให้กับตัวเองพร้อมที่จะลุยมันต่อจนกว่าจะเสร็จเรียบร้อย
กูจุนฮเว รู้นิสัยนี้ของแฟนตัวเองดีตั้งแต่ก่อนคบกัน
หลายครั้งที่อีกฝ่ายปลีกตัวมาหาก่อนจะย้อนกลับไปทำงานต่อ
พอคบกันหลายหนที่วันเสาร์อาทิตย์อีกฝ่ายติดงานนอกทำให้ไม่ได้เจอกัน
พอย้ายมาอยู่ด้วยกันภาพของคนร่วมห้องนั่งทำงานจนดึกดื่นยันเช้าก็เห็นอยู่บ่อยครั้ง จริงๆเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับนิสัยนี้ของยุนฮยองเท่าไรเพราะตัวเขาเองก็มีงานต้องทำ มีเรื่องให้คิด
อีกอย่างกลับห้องมาก็เจอกันทุกวันตราบใดที่อีกฝ่ายยังไม่ทำงานหนักจนล้มป่วยไปก็ไม่เป็นไรหรอกซึ่งถึงจะเกิดขึ้นก็จะสมน้ำหน้าให้
…แค่คิดนะจะทำจริงหรือเปล่านี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง…
แต่เพราะว่ายังเจอหน้ากันทุกวันเนี่ยล่ะ ทำให้จุนฮเวลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวมานานแค่ไหนแล้ว…
"วันนี้แฟนยังไม่โทรตามอีกหรอ?"
ซงมินโฮ
หมุนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่หน้าโต๊ะแผงควบคุมเสียงและจอคอมขนาดใหญ่มายังโซฟาที่จุนฮเวนอนเหยียดตัวอยู่บนนั้น
ยกยิ้มมุมปากกับยักคิ้วให้เขาซึ่งเขาเองแค่ยักไหล่กลับให้โดยไม่ละสายตาจากเกมในหน้าจอมือถือตรงหน้า
"แค่ส่งข้อความมาตาม
อีกสองอาทิตย์พี่ยุนฮยองจะกลับดึกทุกวันเพราะไปช่วยเพื่อนสมัยมหาลัยที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศทำโปรเจคอะไรก็ไม่รู้หลังเลิกงาน"
"สบายเลยดิ
ไม่ต้องมีคนมาโทรตามกลับบ้าน"
"แน่นอน
นี่กะวางแผนแอบเที่ยวช่วงที่มีโอกาสเนี่ย"
"ยังไงเจ้านั่นก็จับได้อยู่แล้ว
สายสืบมันเยอะจะตาย"
"พี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้นไม่ใช่หรอไง?"
เบ้ปากใส่พี่ชายคนสนิทที่นั่งหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ยิ่งทำให้จุนฮเวเบ้ปากใส่มากกว่าเดิม หลายครั้งเมื่อยุนฮยองติดต่อหาเขาไม่ได้มินโฮมักเป็นคนแรกที่อีกฝ่ายโทรหาเสมอ พอมั่นใจว่าเขาอยู่กับมินโฮก็สบายใจแค่กำชับว่าอย่าให้กลับดึกมาเท่านั้น
ช่วงก่อนมินโฮจะเจอยุนฮยองพี่ชายคนสนิทล้อเขาอยู่บ่อยครั้งว่า 'สรุปทุกวันเป็นแฟนหรือเป็นแม่กันแน่เนี่ย?' แต่บ่อยครั้งก็ชินและหลังจากโดนยุนฮยองบุกมาที่ห้องอัดด้วยตัวเองแล้วคุยกันจนถูกคอทำให้เขาได้อารมณ์เสียไปอยู่ช่วงนึงเมื่อมินโฮให้ท้ายยุนฮยองอย่างกับอะไรดี
"เอาเป็นว่าระหว่างนี้เมื่อเหงาก็มาเข้าฮาเรมของพี่มินโฮได้ทุกเมื่อนะไอ้น้อง"
"แบบพี่แจวอนอ่ะนะ
พี่บ๊อบบี้รู้ไหมว่าพี่จู-"
"เงียบเลยจุนฮเว
สัญญากันไว้แล้วไงว่าจะเก็บเรื่องนี้ให้"
มินโฮรีบเอามือมาปิดปากเขาพร้อมกับหันหัวไปทางประตูทันทีว่ามีใครจะเปิดเข้ามาหรือเปล่า
สงสัยจะกลัวแฟนตัวเองอย่าง คิมจีวอน ที่หนีไปคุยกับเพื่อนอยู่ห้องอัดข้างๆมาได้ยินเข้า จุนฮเวลุกขึ้นมานั่งยกยิ้มอย่างมีชัย
"เก็บไว้ขู่พี่สนุกกว่าเยอะ"
"เออ ไว้นายบ่นคิดถึงยุนฮยองเมื่อไรจะรีบโทรบอกเจ้านั่นเลย"
"ไม่มีวันนั้นแน่ๆ"
"ใครจะรู้ล่ะ
พออยู่ด้วยกันเห็นหน้ากันทุกวันเวลาห่างกันแค่ไม่กี่วันก็อาจจะรู้สึกโหวงๆในใจก็ได้"
"แต่คงไม่ใช่พี่หรอกมั้ง?
พี่บ๊อบบี้กลับอเมริกาอาทิตย์นึงพี่ก็หนีไปปาร์ตี้แทบทุกวันไม่ใช่หรอไง?"
"โอ๊ย เลิกๆ
ไม่คุยกับนายล่ะ ไปเตรียมตัวเลยไป หมดเวลาพักแล้ว"
พอสู้ไม่ได้ก็เอางานมาขู่แถมมีเท้าถีบเอวให้ลุกอีก ได้แต่ลูบเอวตัวเองป้อยๆรวมถึงเบ้ปากใส่คนเป็นพี่ก่อนเดินเข้าห้องอัดไป
ใส่หูฟัง หลับตาลงทำสมาธิสักครู่ มองเนื้อเพลงท่อนที่ต้องอัดต่อพร้อมกับวอร์มเสียง
ลองเทสเสียงร้องของตัวเองให้มินโฮฟังจนอีกฝ่ายพอใจถึงได้อัดเสียงกันจริงๆ
ค่อยๆใช้เวลาแบบไม่ต้องรีบร้อนเพราะยังไงกลับห้องไปคนร่วมห้องก็ยังไม่กลับมาอยู่ดี
ถ้าเป็นปกติต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนว่าจะกลับกี่โมง อย่างเวลามีงานด่วนให้ได้ต้องอัดเสียงกันดึกดื่นยุนฮยองก็เข้าใจอยู่ แต่ยิ่งยืดเยื้อเกินเวลาข้อความที่ส่งมาถามว่า ‘ใกล้เสร็จหรือยัง’ กลับมาทุกชม.แบบที่ว่าอีกฝ่ายถึงเวลานอนแต่คงจะตั้งนาฬิกาปลุกขึ้นดูเป็นระยะให้แน่ใจว่าเขานอนอยู่ข้างๆตัวเองแล้ว
มันก็น่ารำคาญใจไม่น้อยเมื่อนึกถึงว่าทำไมต้องห่วงขนาดขนาดนั้น นี่เขาก็เป็นผู้ชายอกสามศอกสูงตั้งร้อยแปดสิบอายุเกินเบญจเพศแล้วด้วย
…ห่วงอย่างกับเขาเป็นเด็กสาว
ม.ปลายไปได้ เพราะฉะนั้นเวลาไม่มีใครมาคอยตามให้ต้องรำคาญใจแบบนี้ก็ต้องรีบตักตวงนิดนึง....
.
.
.
"มึงได้คุยกับพี่ยุนบ้างไหมเนี่ย?"
"เมื่อวานพึ่งคุย
แต่ไม่ได้เห็นหน้าเกินอาทิตย์ล่ะ"
จุนฮเวตอบกลับไปเสียงเรียบหลังจากกินข้าวคำสุดท้ายท่ามกลางเสียงเซ็งเซ่ไปทั่วห้องทานอาหารของโรงเรียนสอนร้องเพลงและเต้นที่เขาทำงานอยู่ก่อนคุณครูสอนเต้นประจำโรงเรียนอย่าง
คิมดงฮยอก
จะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้ามและเริ่มทานข้าวของตัวเองหลังจากได้ยินคำตอบ
"พี่เขาเองก็ทุ่มเทกับโปรเจคของเพื่อนหนักไปหรือเปล่าวะ
ทั้งที่ไม่ใช่งานตัวเองด้วย นี่พี่จินก็บ่นว่าพี่ยุนกลางวันรีบออกไปซื้อข้าวหน้าบริษัทรีบกลับมากินแล้วก็งีบที่โต๊ะ
ทำเหมือนว่าไม่มีผลกระทบอะไรกับงานแต่หน้าตาโทรมลงแบบเห็นได้ชัดเลย"
ฟังดงฮยอกบ่นไปเรื่อยตามประสาคนขี้บ่นในเรื่องที่เขารู้อยู่แล้วก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
ความจริง คิมจินฮวาน พี่ชายคนสนิทรวมถึงเป็นเพื่อนร่วมงานของยุนฮยองก็โทรมาบ่นกับเขาว่าช่วยเตือนอีกฝ่ายให้เพลาๆเรื่องงานนอกเหมือนกัน
แต่คิดว่าจะฟังเขาหรือไงให้เมื่อเจ้าตัวก็เป็นคนดื้อขนาดนี้แถมยังไม่เจอเจ้าตัวด้วยเนื่องจากยุนฮยองกลับถึงห้องเกือบตีสามตีสี่ซึ่งเขาก็หลับแล้ว
พอเขาตื่นตอนเก้าโมงอีกฝ่ายก็ออกไปทำงานและค่อยไปนอนสะสมเอาตอนเที่ยงกับตอนเย็นก่อนช่วยงานเพื่อน
...แค่คิดแล้วก็ได้แต่กลอกตากับถอนหายใจให้กับความฝืนตัวเองเกินไปของอีกคน...
"สักวันนึงคงจะได้ตายเพราะงานจริงๆ
พี่จินเองก็ด้วยเหมือนกัน"
"กูก็ว่างั้น
พี่จินเองก็-"
คำพูดของดงฮยองหยุดไปดื้อๆเมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะสังเกตุเห็นสายตาของเขาเหลือบมองมือถือของตัวเองอีกรอบราวกลับกำลังรออะไรอยู่ก่อนตัวเขาจะสะดุ้งเมื่อเห็นว่ามือถือของตัวเองสั่น
มือขวารีบคว้ามันขึ้นมาเปิดดูในทันทีและเผลอสบถอย่างไม่รู้ตัวพอรู้ว่าเป็นข้อความเตือนจากเกมเท่านั้น
"มึงคิดถึงหรืออยากเจอพี่ยุนฮยองก็บอกพี่เขาไปตามตรงดิ จะทำเป็นปากแข็งไปทำไมวะ? เป็นแฟนกันมาตั้งปีกว่าแล้วยังทำตัวเป็นเด็กรอให้พี่เขามาโอ๋อยู่ได้"
เลิกคิ้วและเงยหน้าขึ้นจากมือถือหลังจากกดปิดแจ้งเตือนข้อความจากเกม
เห็นสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยของคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังมีข้าวอยู่เต็มปากมันก็ตลกดีจนอยากจะพูดล้ออีกฝ่ายตามปกติเพียงแต่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะทำแบบนั้น และยิ่งคำถามของดงฮยอกที่แค่ดูการกระทำของเขาแต่ก็ดันรู้ไปหมดทุกอย่างกับคำแหนบจี้ใจดำเขาทำเอาซะอยากจะตบหัวเพื่อนสนิทตัวดีสักที
"กูไม่ได้คิดถึงเขาและกูไม่ใช่เด็ก
พี่เขานั่นล่ะที่มาโอ๋กูเอง กูไปเตรียมสอนก่อน"
เก็บขยะของตัวเองก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที่พูดจบ หนีคำถามและเสียงบ่นที่กำลังจะตามมาอีกระลอกของอีกฝ่าย
เห็นอยู่ตรงหางตาว่าเพื่อนสนิทของเขาส่ายหัวให้กับคำตอบของเขาแต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจหรอก
ความจริงเขาเองก็โตเกินกว่าจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแบบนี้
แล้วยิ่งเวลาปกติเป็นตัวเขาเองนั่นล่ะที่หลายครั้งลืมตอบข้อความหรือโทรหายุนฮยองจนอีกฝ่ายต้องโทรหาอีกรอบแทน
เขาคิดว่าไม่สิทธิที่จะบ่นเรื่องนี้ด้วยซ้ำ อีกอย่างยุนฮยองก็รู้ดีเกี่ยวกับนิสัยของเขา
ยังคงเป็นฝ่ายโทรหาและส่งข้อความมาถามเรื่องการกินการอยู่ของเขาก่อนตลอดทั้งอาทิตย์
พยายามติดต่อให้รู้ว่าไม่หายไปไหนไกลพูดถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่เป็นเวลาห้านาทีสิบนาทีแล้วขอตัวกลับไปทำงานต่อโดยไม่ลืมบอกคิดถึงและพูดขอโทษจนเป็นเขาเองที่บอกให้เลิกขอโทษสักที
มือถือในกระเป๋ากางเกงของจุนฮเวสั่นอีกครั้ง
คราวนี้เป็นข้อความจากยุนฮยองถามเหมือนทุกวันว่า กินข้าวหรือยัง
ตอบกลับเหมือนเดิมกับบอกสิ่งที่กินเมื่อกี้ก่อนจะโดนถามในข้อความต่อไป
อีกฝ่ายแค่ส่งสติกเกอร์กลับมาและบอกให้ตั้งใจทำงานเพราะตัวเองก็ถึงเวลาทำงานแล้วเหมือนกัน
ขมวดคิ้วใส่ข้อความสุดท้ายของอีกฝ่ายที่วันนี้คุยกันสั้นกว่าวันอื่นๆ
พ่นลมหายใจออกจากจมูกก่อนพิมพ์ตอบกลับไปสั้นว่า อืม
เก็บมือถือกลับใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง
ตั้งสติและอารมณ์ของตัวเองให้พร้อมก่อนสอนตลอดช่วงบ่าย
ช่างเหอะ
เดี๋ยวก็ครบสองอาทิตย์ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติแล้ว
ตอนนั้นล่ะคงจะได้กลับมาบ่นรำคาญมากกว่า...
.
.
.
.
"กลับมาแล้วครับ"
จุนฮเวเผลอพูดออกไปเหมือนกับทุกวันทั้งที่เปิดประตูห้องเข้ามาในห้องมืดสนิท
ถอนหายใจพร้อมกับเอื้อมมือกดสวิตส์เปิดไฟถอดรองเท้าออกเดินตรงไปยังโซฟาอย่างไม่รอช้า
ถอดเสื้อตัวนอกวางกระเป๋าอย่างไม่ใส่ใจก่อนทิ้งตัวลงไปบนหมอนอิงหลายใบอย่างไม่สนใจว่ามันจะวางขวางทั้งโซฟาอยู่
ช่วงกลางอาทิตย์เขามีสอนทั้งช่วงบ่ายกับเย็นและมีคืนหนึ่งไปช่วยงานด่วนไกด์เสียงให้มินโฮ
งานก็ไม่ได้หนักมากเหมือนกับช่วงเด็กปิดเทอมที่สอนลากตั้งแต่เช้าจนยันดึกก็มีแต่มันกลับสูบพลังงานเขาจนอยากจะนอนหลับมันไปซะตรงนี้และตอนนี้ให้ได้
"ทำไมแม่งเหนื่อยจังวะ...."
ถอนหายใจใส่หมอนอิงที่เขาทับอยู่ก่อนพลิกตัวนอนหงายบนโซฟา
สายตาคมจ้องมองเพดานห้องอย่างว่างเปล่ากอดหมอนในอ้อมกอด ใช้มือกดๆบีบๆมันไปเรื่อย
หัวสมองคิดอะไรไม่ออกสักอย่างได้แต่นอนอยู่เฉยๆไปกับความเงียบสนิทในห้องที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงเกือบสองอาทิตย์นี้รวมถึงหลายๆอย่างที่หายไปเช่นกัน
ไม่มีซึ่งเสียงของทีวีถูกเปิดทิ้งไว้จากยุนฮยองที่มักจะกลับบ้านก่อนเขาเสมอถ้าไม่ติดว่าต้องไปกินข้าวกับที่บริษัทหรือพวกเขากลับมาพร้อมกัน
ไม่มีการนั่งพิงกันให้เขาแกล้งทิ้งน้ำหนักตัวลงไปเต็มๆขณะรอให้อีกฝ่ายถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นๆ
ไม่มีมือที่คอยลูบหัวของเขาหรือเผลอตีมาเวลาเขาพูดล้ออะไรไป รวมถึงไม่มีอาหารอุ่นๆคอยรอเขาในคืนไหนที่เขากลับช้าเป็นพิเศษ
และที่สำคัญคือไม่ได้เห็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยนกับดวงตาคู่โตซึ่งมองเขาด้วยความเป็นห่วงอยู่เสมอ...
แค่คิดแล้วก็มือปาหมอนในมือออกไปเต็มแรงข้ามไปยังทางประตูเข้าห้องราวกับจะปาใส่คนที่หวังว่าจะได้เจอเปิดประตูเข้ามาแทนการระบายอารมณ์
ชูมือขึ้นสุดแขนอย่างสบายใจแต่สุดท้ายก็ต้องเดินย่ำเท้าไปเก็บหมอนกลับมาอยู่ดี
ปัดๆมันอยู่ทีสองทีแล้วค่อยวางไว้บนโซฟาเหมือนเดิม
หาวอ้าปากกว้างระหว่างเดินไปยังห้องนอนเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำและเข้านอนสักที ดวงตาคมสะดุกกับเตียงฝั่งตรงข้ามกับของตัวเอง พาลให้นึกถึงอีกคนจนได้
ทำได้แต่เบ้ปากกับบ่นไปตลอดเวลาช่วงอาบน้ำ
"ไอ้พี่บ้า...เจอหน้ากันเมื่อไรจะคิดบัญชีให้หมดเลย"
.
.
.
...มืด...
....ที่นี่ที่ไหน? ทำไมมันถึงมืดไปหมด...
ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วแต่ก็ไม่เจออะไรนอกจากสีดำสนิทกับตัวเอง สองขายาวก้าวไปอย่างเดียวดายในความมืด ได้แต่เดินต่อไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย
ก่อนจะสะดุดกับแผ่นหลังของใครสักคนอยู่ไกลลิบตา…
ภาพด้านหลังแสนคุ้นเคยเมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้น
ทั้งลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาว แผ่นหลังที่เห็นอยู่ทุกวัน ทำให้เขาไม่รอช้าที่จะเรียกชื่ออีกฝ่าย
'พี่ยุนฮยอง…'
เสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายถูกเปล่งออกมาจากลำคอแต่กลับไม่มีเสียงดังออกไป ยิ่งเรียกเท่าไรเสียงทั้งหมดก็มีแต่ถูกกลืนหาย พยายามตะโกนจนเจ็บคอไปหมดแต่ยังไม่มีเสียงส่งไปถึงคนตรงหน้าซึ่งกำลังเดินจากไปไกลขึ้นและไกลขึ้นทุกที
'ด....เดี๋ยวสิ พี่ยุนฮยอง
กลับมาก่อน.....พี่ยุน-'
"-ฮยอง....ฝัน...หรอ..."
ดวงตาคมเบิกโพลงในความมืด
จ้องมองเพดานอยู่แบบนั้นจนกระทั่งจังหวะหายใจเข้าออกของตัวเองกลับมาเป็นปกติ
หลับตาลงยกแขนขึ้นมาปิดหน้าพลางนึกถึงสิ่งที่ตัวเองฝัน
ความฝันน่ากลัวราวกับความเป็นจริง แม้เขาจะคิดว่าการไม่เจอยุนฮยองไม่มีผลกระทบอะไรกับตัวเองแต่กลับดันเก็บเป็นฝัน ทั้งที่ยังได้คุยกัน ได้ส่งข้อความหากันและพวกเขาก็ยังอยู่ด้วยกัน
มีโอกาสที่ดีกว่าคู่รักหลายคู่ที่อยู่ห่างไกลด้วยซ้ำ แต่เพราะอยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้เนี่ยล่ะพอไม่ได้เจอหน้ากันจริงๆทำให้จุนฮเวพึ่งได้รู้ว่าเขาคิดถึงยุนฮยองมากแค่ไหน
ทั้งสัมผัส…
ทั้งแววตา…
และรอยยิ้ม…
…ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่อีกฝ่ายกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา
ส่วนหนึ่งที่แค่หายไปเพียงระยะเวาสั้นๆแต่กลับรู้สึกมันช่างยาวนานเหลือเกิน...
ถอนหายใจยาวเหลือบมองนาฬิกาข้างหัวเตียง ตัวเลขสีแดงตัวหน้ากำลังจะเปลี่ยนเป็นเลขสี่ พยายามจะกลับไปนอนต่อแต่แสงไฟลอดผ่านใต้ประตูมาทำให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าตัวเองเปิดไฟทิ้งไว้หรือเปล่าก่อนแสงไฟดับลง
และประตูนอนถูกเปิดขึ้นโดยคนร่วมห้องที่เขาพึ่งได้เจอตัวในรอบเกือบสองอาทิตย์
กลับทำตัวไม่ถูกไปซะดื้อๆเลยแกล้งเป็นนอนหลับอยู่แบบนั้น
แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือตกกระทบใบหน้าของเขา
พร้อมกับสัมผัสเบาๆตรงแก้มและลมหายใจกลิ่นมินต์ของยาสีฟันที่พวกเขาใช้ด้วยกันดันทำให้เขานอนเกร็งหน้านิ่งเข้าไปใหญ่
"ขอโทษนะที่ปล่อยให้เข้านอนคนเดียวมาหลายวัน
เดี๋ยวก็จะกลับมาเป็นปกติแล้ว อดทนกับพี่อีกนิดนะ"
นอนนิ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงกระซิบคำสารภาพผิดตรงข้างหูกับความรู้สึกโดนจูบลงมาตรงลุ่มผม
ถึงได้ลืมตาขึ้นมาแต่ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เห็น แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือดับลงพร้อมกับเจ้าตัวนอนลงข้างตัวเขา จุนฮเวพลิกตัวไปทางอีกฝั่งได้เห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคย
แผ่นหลังที่เขาไล่ตามในความฝันเมื่อครู่ กัดปากตัวเองจ้องมองอยู่แบบนั้น
...ก่อนจะเข้าไปหายุนฮยองแบบในความฝันและครั้งนี้เขาสามารถคว้าไว้ได้...
สองแขนขาวสอดเข้าไปกอดเอวไว้ ส่วนหัวซุกเข้าไปตรงไหล่ของอีกฝ่ายจนใบหน้าชิดไปกับไหล่ลาดให้ได้รู้สึกถึงหัวของคนตรงหน้ายกขึ้นพยายามจะหันมาหาเขาแต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดหัวของเขาอยู่
สัมผัสของมือตรงลุ่มผมที่ลูบลงมาอย่างแผ่วเบาทำให้จุนฮเวได้แต่หลับตารับรู้ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากคนในอ้อมกอดให้ได้กระชับแขนกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้นไปอีก
"ฝันร้ายหรอ? พี่ปลุกนายหรือเปล่า? ขอโทษนะ"
"บอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดขอโทษได้แล้ว"
"งั้นอยากฟังคำว่าอะไรล่ะ
คำว่าคิดถึงไหม?"
คำถามที่ถามมาแบบไม่รอคำตอบเพราะเจ้าตัวคนถามพลิกตัวจากในอ้อมกอดมาจ้องหน้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่สามารถมองเห็นได้แม้ในห้องมืดเนื่องจากอยู่ใกล้กันจนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน ก่อนที่สองแขนจะโอบรอบคอของเขาไว้
มือหนึ่งสอดเข้าไปในลุ่มผมและกอดหัวของเขาให้มาซบตรงไหล่ตัวเอง
"พี่คิดถึงนายชะมัดเลยจุนฮเว"
เสียงกระซิบตรงหูข้างที่พอดีกับตรงปากของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกจักจี้จนย่นไหล่ขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามมาอีกระลอก อดเบ้ปากไม่ได้เลยขอหยิกเอวอีกฝ่ายแก้แค้นจนสะดุ้งตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา
"แค่ชวนไปกินข้าวตอนกลางวันมันพูดยากขนาดนั้นเลยหรือไง?
ทำตัวหายหน้าหายตาอย่างกับตายไปแล้วอย่างงั้น"
"จริงๆก็ใกล้ตายแล้วล่ะ
อยากจะชวนอยู่เหมือนกันแต่ให้มาเห็นสภาพคนอดนอนขนาดกินข้าวแล้วตาจะปิด เดินก็เป็นซอมบี้เลยไม่อยากให้มีคนต้องมาเป็นห่วง
เอาจริงๆแค่ตอนนี้ให้ลืมตาก็จะลืมไม่ขึ้นล่ะ"
รู้สึกถึงคางของอีกฝ่ายกดทับมาตรงไหล่เบาๆก็จริง
แต่ดูท่าทางคนในอ้อมกอดเขาจะหมดแรงแบบไม่เหลือในเมื่อเสียงที่พูดมาเริ่มยานอย่างกับคนอดนอนมาหลายวัน
…รู้สึกทั้งสมน้ำหน้าและก็ยังสงสาร(นิดหน่อย)…
"ใครจะเป็นห่วงพี่กัน
ฝันไปเหอะ ตัวเองทำตัวเองแท้ๆ"
"แต่เหมือนจะมีคนบ่นคิดถึงนะ
คิดถึงพี่ก็บอกมาตร-"
“เงียบไปเลย…”
ใช้แรงที่ยังมีเหลือมากกว่ายุนฮยองประคองใบหน้าอีกฝ่ายให้มารับจูบของตัวเองแทนการปิดปากไม่ให้พูดต่อ
แต่จากแค่ริมฝีปากแตะกันกะให้เงียบกลับมีแรงเพิ่มขึ้น ดึงและดันก่อนกลายเป็นสัมผัสแน่บแน่และชื้นแฉะ
ร่างกายทั้งสองคนเข้าหาใกล้ชิดมากขึ้นจากความต้องการที่ตลอดช่วงที่ห่างกัน
เสียงลมหายใจของทั้งคู่แรงขึ้นกับริมฝีปากไม่อยากจะละออกจากกัน
เพียงแต่ว่าเมื่อยุนฮยองรู้สึกถึงความเย็นของมือสอดเข้ามาในเสื้อและแตะแผ่นหลังของตัวเองจึงพยายามใช้แรงที่มีเฮือกสุดท้ายผละตัวออกและประคองใบหน้าของคนตรงหน้าที่กำลังตาปรือให้มามองประสานกับตาของตัวเอง
"...พรุ่งนี้นายมีงาน พี่เองก็มีงาน
หยุดไว้ก่อนจะมีศพชายหนุ่มสองคนเดินได้ไปทำงาน...ไว้เสาร์นี้จะทบต้นทบดอกให้ทั้งหมดเลยนะ
นอนกันเถอะ"
ยุนฮยองพยายามยกตัวเองขึ้นเพื่อเอาแขนของเขาข้างที่ตัวเองนอนทับอยู่ออก
เช่นเดียวกับตัวเองดึงแขนฝั่งที่หัวของเขาทับอยู่ออกเช่นกันเนื่องจากกันนอนทับแขนจนชาและว่าต้องตื่นก่อนจะได้ไม่ต้องมาดึงแขนตัวเองออกแล้วเป็นการปลุกอีกฝ่ายไป
ริมฝีปากอิ่มประทับตรงหน้าผากเขาเป็นอย่างสุดท้ายก่อนนอนลงโดยพวกเขาหันหน้าเข้าหากันและแขนของพวกเขาพาดกอดตรงเอวของอีกฝ่ายไว้
ทั้งความอบอุ่นและสบายใจทำให้จุนฮเวง่วงนอนได้เร็วกว่าปกติ
…ก่อนพากันเข้าสู่โลกแห่งความฝัน
โดยที่ความคิดถึงที่มีให้กันได้ถูกเติมเต็มแล้ว…
.
.
.
“เฮ้ยยยยยยยยยย แม่งงงง ไล่มาแล้ววววว แม่งงงงงง ไม่เอาแล้ว! ใครจะไปเล่นวะ!”
มือขาวรีบคว้าสิ่งซึ่งคาดอยู่รอบดวงตาทั้งสองข้างออกก่อนโยนไปลงบนโซฟาอย่างไม่ไยดี
โชคดีที่มีเบะนุ่มรอรับอยู่ไม่งั้นอุปกรณ์สำหรับ VR (Virtual
reality) แสนแพงมีหวังกลายเป็นชิ้นๆ จุนฮเวนั่งลงบนโซฟาหอบหายใจกับสิ่งที่พึ่งได้เห็น
หรี่ตามองคนที่กำลังหัวเราะร่าเก็บของที่เขาพึ่งโยนวางรวมกันไว้บนโต๊ะด้านหน้า
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอกอะไรสักอย่างแล้วเอาอุปกรณ์คล้ายกับกล่องมาคาดตาเขาเฉย
…เป็นไงล่ะ
บ้านผีสิงแบบชัดเจนอย่างกะจะจับต้องได้ก่อนผีทุกตัวจะวิ่งเข้าใส่อย่างกะซอบบี้ และให้คนกลัวผีมาดู
ไม่ตกใจปาใส่กำแพงก็ดีแค่ไหนแล้ว…
“หายไปสองอาทิตย์เพื่อไปทำเกมผีเนี่ยนะ”
“แต่มันเป็น VR เลยนะ หายยากที่จะได้ทำโปรเจคแบบนี้ มีโอกาสได้ลองอะไรใหม่ๆก็ต้องสักหน่อยสิ
แถมสนุกกว่าที่คิดด้วย เสียดายเพื่อนพี่กลับประเทศไปล่ะ กว่าจะได้เล่นอะไรแบบนี้อีกคงอีกนาน”
“อย่างงี้คราวหน้าไม่หายไปเป็นเดือนเลยหรือไง”
“ไม่หรอก VR ก็ดีนะ แต่ให้อยู่กับคนเป็นๆ ดีกว่าเยอะเลย”
พูดจบยิ้มกริ่มไม่พอยังทิ้งตัวทิ้งน้ำหนักมาหาเบียดไหล่เขาเข้าไปหาพนักโชฟาจนเขาเองจะตกโชฟาอยู่แล้วจึงพยายามพลิกตัวออกมาแต่กลายเป็นว่าหลังจากขยับตัวดันเข้าล็อกคนด้านบนซะงั้น
ในเมื่อตอนนี้ทั้งตัวเขานอนราบหัวหนุนพนักและซงยุนฮยองนอนทับตัวกูจุนฮเวอีกทีโดยที่หน้าผากของพวกเขาแตะกันอยู่
“ได้เวลาทบต้นทบดอกแล้วนะ
แถมใช้หนี้ให้หมดในคราวเดียวเลย”
“เย็นนี้ผมมีไปอัดเสียงให้พี่มินโฮ”
“อีกตั้งหลาย ชม. ถ้ายังไม่พอกลับมาต่อก็ได้นะ จะตื่นรอ”
ว่าจบริมผีปากของพวกเขาก็แนบชิดสนิทแบบไม่รอให้ได้เถียงอะไรออกมาและเขาเองก็ไม่อยากจะเสียเวลาเถียงหรอกนะ
ยิ่งมีเวลาจำกัดก่อนจะไปทำงานด้วย ตลอดสองอาทิตย์ที่หายไปของให้ได้ทดแทนทุกความรู้สึก
ทุกสัมผัส ทุกความคิดถึงแล้วก็ขอแก้แค้นสักนิด เช่น ฝากรอยกัดสักสองสามที
ไม่ก็ปั่นป่วนบางจังหวะให้อีกฝ่ายได้ขัดใจเล่น
ซึ่งถึงตลอดช่วงบ่ายนี้จะยังทดแทนส่วนที่หายไปยังไม่หมด ยังไงซะกลับมาก็ยังมีคนรอเขาพร้อมอ้อมกอดกับรอยยิ้มอยู่ดี…
…อ่อ และก็อย่าลืมต๊อกโบกี้ด้วยล่ะ
Talk: รู้สึกเป็นฟิคอีเว้นต์มาทีตอนช่วงวันสำคัญ กะจะแต่งให้เสร็จลงตอนวันเกิดตัวเองลากมาเกือบอาทิตย์เลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ จริงๆ ตอนนี้ยังคิดอยู่ว่ามันจะดูมีเหตุผลไหมนะกับเรื่องแค่นี้ แต่ก็ล่ะค่ะให้น้องเขาคิดถึงพี่เขาบ้างอะไรบ้าง น่ารักดี -3- แน่นอนวันช่วงวันครบรอบจะมีฟิคแน่นอนค่ะ เพราะเราหยุดดดดดดด ฝากติดตามกันถึงตอนนั้นด้วยนะคะ
#ฟิคเปื่อย
ความคิดเห็น