ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [iKON] The Ship That I'm Sailing [SF,Drabble]

    ลำดับตอนที่ #18 : [SF] Paper Lamp [Yunhyeong x Junhoe]

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 58


    14/03/2015

    Title : Paper Lamp

    Status: SF

    Pairing: Yunhyeong X Junhoe

     
     
     
     

     

     
     
     

    เหงื่อไหลจากทุกส่วนของร่างกาย ตรงไรผมไหลลงมายังสันกราม ช่วงคอลงมาถึงกลางหลัง รักแร้ ข้อพับแขน ข้อพับขา ความเปียกชื้นแทบทุกส่วนที่มือสัมผัสได้ เผยอปากระบายไอร้อนจากภายใน

     

    ...ทำไมวันนี้มันร้อนขนาดนี้วะ...

     
     

    ใช้มือกร้านถือใบปลิวได้มาจากตุ๊กตามาสคอตซึ่งแค่เห็นเขาจะเป็นลมแทนคนข้างในพัดเพิ่มความเย็นให้ตัวเองมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดินไปตามถนนพื้นหิน มองผ่านกระจกโชว์หน้าร้านค้าเก่าแก่ตามสองข้างทาง มีทั้งร้านขายตุ๊กตาไม้หลายชนิด ร้านพัดทำมือวาดลายอย่างปราณี แผงลอยขายกระดิ่งทองเหลืองประดับด้วยหินสีสวยและของทำมืออีกมากมาย

     

    การเดินหาของขวัญวันเกิดให้แม่ของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตเขาสำหรับอีกฝ่าย เขารู้ดีแม้ว่าจะซื้ออะไรให้ แม่ของเขาคงดีใจอยู่แล้ว แน่ล่ะ ของขวัญจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียว แต่อย่างน้อยอายุครบห้าสิบปีเขาเองอยากให้อะไรเป็นพิเศษสักหน่อย หลังจากที่เธอดูแลเขามาคนเดียวตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเขาเริ่มทำงานและรับเงินเดือนเดือนนี้เป็นเดือนแรก

     

    ...หรือว่าจะปันเงินเดือนบางส่วนให้แทน แต่ของขวัญเลือกให้จากใจยังไงก็ดีกว่า

     
     

    ตอนแรกเขาคิดว่าเทียนหอมกลีบดอกไม้กลิ่นกุหลาบในกล่องไม้คงเพียงพอ ถึงอยากซื้อผ้าพันคอถักผืนบางให้อีกสักผืนกลับไม่พบที่ถูกใจเลยสักร้าน เขาตัดสินใจเดินทางกลับบ้านอย่างเสียดาย สายตาของเขาหยุดอยู่หน้าร้านค้าแบบจีนโบราณ กระจกหน้าร้านฝ้าจนแทบมองไม่เห็นด้านในพอแค่เห็นแสงวูบไหวสีนวลผ่านออกมา ประตูแขวนป้าย เปิดคงเป็นร้านขายของเก่า อาจจะได้อย่างอื่นมาแทนผ้าพันคอก็ได้ สองขาพาเดินไปยังหน้าประตู สองมือผลักประตูไม้เข้าไปอย่างไม่รอช้า

     

    กลิ่นกำยานลอยเตะจมูกเขาเป็นอย่างแรก เขายู่จมูกอย่างไม่ชินกับกลิ่น อากาศภายในร้านเย็นราวกับเป็นตู้เย็นแต่ข้างนอกร้อนอย่างกับเตาอบจนเขาแอบขนลุก ดวงตาคมมองไปทั่วร้าน โคมไฟหลากหลายขนาดและหลายรูปร่างถูกแขวนไว้ทั่วร้าน บ้างเป็นวงกลมลูกใหญ่เท่าลูกฟุตบอล บ้างเป็นสี่เหลี่ยมเล็กเท่าลูกเต๋าแขวนรวมกัน บ้างเป็นทรงกระบอกยาวเท่าแขน บางลูกส่องสว่างเหมือนมีไฟอยู่ภายใน สีสันของไฟต่างกันไป มีทั้งสีเหลืองนวล สีแดงอมส้มจนถึงสีเขียวปนน้ำเงิน ทำให้สีภายในร้านออกโทนประหลาดอยู่

     

    ...อีกอย่างโคมไฟในร้านนี้ทุกอันล้วนทำจากกระดาษ...

     
     

    เขาเดินชมโคมไฟแต่ล่ะดวงอย่างสนใจ จนมาหยุดตรงโคมไฟดวงกลมสีเขียวสดขนาดเท่ากระดิ่งลม แสงสีแดงนวลเปล่งออกมาจากภายใน เขามองเข้าไปเป็นเปลวไฟสีแดงกำลังไหวอย่างสงบ มือของเขายกขึ้นมาตั้งใจจ่อลงไปตรงเปลวไฟนั้น 

     

     
     

    "ยินดีต้อนรับครับ"

     

     
     

    มือของเขาสะดุดอย่างกับเด็กถูกจับได้ตอนหยิบของโดยไม่ได้รับอนุญาติ คนมาใหม่เดินมาอยู่ด้านหลังของเขา ส่วนสูงเตี้ยกว่าเขาเล็กน้อย ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปลายในชุดสีขาวทั้งตัว เสื้อแขนยาวแบบจีนกับกางเกงขายาวและเสื้อคลุมผ้าลื่นตัดกับสีผิวออกเหลืองใบหน้าคมออกหวาน ดวงตาคู่โตส่งสายตาเป็นมิตรแต่ไม่เท่ากับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า เขามือยกข้างที่สะดุดขึ้นมาเกาท้ายทอยอย่างประม่า

     
     

    "เจ้ามาหาของขวัญหรือ?

     

    ทำไมถึงรู้ได้ล่ะ? สงสัยพวกลูกค้าคนอื่นคงเข้ามาเพื่อซื้อเป็นของขวัญล่ะมั้ง ถึงได้ถามอย่างกับรู้ใจ

     

    “ครับ”

     

    “ที่นี่ขายเฉพาะผู้ที่มาเอง ไม่สามารถซื้อไปฝากผู้อื่นได้ โคมไฟแต่ล่ะดวงต้องเลือกด้วยวิญญาณของตัวเองเท่านั้น"

     
     

    คิ้วของเขาขมวดขึ้น นี่อีกฝ่ายคิดว่าเขาอยู่ในโลกแฟนตาซีหรือไง ถึงเขาจะอ่านนิยายพ่อมดมีเวทมนตร์จนมีไม้กายสิทธิ์เป็นของตัวเองเถอนะ แต่เรื่องวิญง วิญาญาณ ในยุทดิจิตอลแบบนี้มันตลกเกินไป

     

    “คุณคิดว่าผมเชื่อเรื่องวิญญาณงั้นหรอ?”

     
     

    "ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองซื้อไปดู เหล่าโคมไฟเฝ้ารอเจ้าของมันอยู่ พวกมันอยากส่องสว่างด้วยพลังวิญญาณ...”

     

     
     

    “...โดยเฉพาะคนอย่างเจ้าพลังวิญญาณแข็งแกร่งทีเดียว"

     
     
     
     

    น้ำเสียงของอีกฝ่ายเน้นคำมาที่ตัวเขา เอาวะ ไหนๆพูดมาซะขนาดนี้ ลองดูสักหน่อยก็ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น แค่เอาโคมไฟมาปาใส่อีกฝ่ายแล้วขอเงินคืนก็สิ้นเรื่อง เดินดูโคมไฟหลายรูปแบบและสีสันรอบร้านเพื่อหาดวงที่ถูกใจที่สุด จนมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานไม้ซึ่งน่าจะเป็นโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายเมื่อบนโต๊ะมีพู่กัน ขวดหมึก และปึกกระดาษตั้งอยู่ 

     

    "ถ้าอย่างนั้นผมขอดวงนี้"

     

    หยิบโคมไฟกลมขนาดโอบได้ด้วยสองมือสีน้ำเงินสดเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนจากบนโต๊ะ อีกฝ่ายยกยิ้มให้กับสิ่งที่เขาเลือก

     
     

    "ชื่อของเจ้า?"

     
     

    "กูจุนฮเว"

     

    สิ้นเสียงของเขาเปลวไฟสีน้ำเงินถูกจุดขึ้นในโคมไฟที่เขาเลือก เขาร้อง เฮ้ยอย่างตกใจ มองโคมไฟด้วยความสงสัยว่าไฟถูกจุดขึ้นมาได้ยังไง

     
     

    "เป็นชื่อที่ดี หวังว่าโคมไฟดวงนี้จะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี"

     
     

    รอยยิ้มละไมของอีกฝ่ายส่งมาให้เขา ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นอย่างไร้เหตุผล

     

    "ในเมื่อชะตาเราต้องกัน คงได้พบกันในเร็ววันนี้

     

    ...ขอบคุณที่เข้ามาใช้บริการร้านโคมไฟของ ซงยุนฮยอง "

     

     
     
     

    +++++++++++++++++++++++++++

     

     
     

    วันเสาร์วันหยุดหลังจากโหมงานหนักมาทั้งอาทิตย์ ควรจะเป็นวันที่เขาได้นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ไม่ใช่หอบสังขารฝ่าอากาศร้อนมายังร้านโคมไฟด้วยอารมณ์อันขุ่นมัว

     

    หลังจากซื้อโคมไฟ เปลวไฟสีน้ำเงินยังคงติดอยู่แม้ว่าเขาจะเป่าหรือหยดน้ำลงไป รู้สึกประหลาดใจกับมันแล้ว แต่มีสิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่าและสิ่งนั้นทำให้เขาหงุดหงิด ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเขารู้สึกอ่อนเพลียมากแถมหิวกว่าปกติ รวมถึงบางวันนอนหลับแล้วไม่ยอมตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกทั้งที่เขาเป็นคนตื่นง่ายส่งผลให้เขาไปทำงานสาย ซึ่งวันไหนเขาตื่นสายเปลวไฟสีน้ำเงินจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงและกลับมาเป็นเหมือนเดิมในตอนเย็น

     

    งานนี้กูจุนฮเวกับซงยุนฮยองมีเคลียร์กันยาวครับ เขาไม่ยอมให้เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเพราะโคมไฟที่ประหลาดกว่าโดยไม่ได้รับค่าเสียหายแน่นอน


    "สวัสดีตอนบ่าย เจ้ามาช้ากว่าที่คิดไว้"

     

    ใบหน้าคมที่เขาเจอเมื่ออาทิตย์ก่อนลดพู่กันในมือวางไว้บนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองเขาผ่านกรอบแว่นสีดำส่งรอยยิ้มกว้างให้ แต่จุนฮเวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ดีถึงขั้นยิ้มตอบอีกฝ่ายตามมารยาท ใบหน้านิ่งวางโคมไฟของตัวเองบนโต๊ะ

     

    ...เรียกว่าโยนลงไปถึงจะถูก...

     
     

    "ผมขอคืนและเอาเงินของผมคืนมาด้วย"

     
     

    "ไม่รับคืนหลังจากจุดไฟไปแล้ว ถึงเจ้านำมาคืนแต่ตราบใดเจ้ายังมีชีวิตอยู่มันจะกลับไปหาเจ้าอยู่ดี"

     
     

    "แล้วจะทำยังไงให้มันหายไป"

     
     

    "วันนี้คงทำได้แค่ตอบคำถามที่อยู่ในใจเจ้าเท่านั้น เชิญนั่งก่อนสิ"

     

    เจ้าของรอยยิ้มละไม ผายมือยังเก้าอี้ตรงข้ามกับตัวเอง เขาฮึดฮัดด้วยความหงุดหงิดแต่ก็นั่งลงไปโดยดี พร้อมรัวคำถามใส่อีกฝ่ายไม่ยั้ง

     
     

    "โคมไฟนี่มันอะไร ทำไมมันถึงมีแต่เรื่องประหลาดกับผมมาทั้งอาทิตย์ แล้ว..."

     
     

    "ใจเย็นนะ ดื่มชาแล้วค่อยถามทีละคำถาม"

     

    ยุนฮยองรินชาลงแก้วตะไลดินเผาใบเล็กตรงหน้าเขาอย่างสงบ จุนฮเวมันยกขึ้นมาจิบ สัมผัสของกลิ่นมะลิและรสหวานอ่อนจากชาทำให้เขาผ่อนคลายลง

     
     

    "โคมไฟนี่คืออะไร?"

     
     

    "มันคือผลงานสุดแสนตั้งใจ ต่อโครงด้วยไม้แล้วใช้กระดาษสาอย่างดี..."

     
     

    "ผมไม่ได้ถามถึงวิธีการทำ"

     

    น้ำเสียงนิ่งพูดตัดบทอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเมื่อดูท่าทางจะร่ายยาวจนลืมจุดประสงค์ ยุนฮยองส่ายหัวให้กับความใจร้อนของจุนฮเว

     
     

    "ใจร้อนจริงเลย ว่าตามตรงโคมไฟเหล่านี้เป็นเครื่องบอกเหตุของเจ้าของ เปลวไฟส่องสว่างด้วยพลังวิญญาณซึ่งมันจะอ่อนลงหรือแรงขึ้นต่อเมื่อจะเกิดเหตุการณ์ร้ายหรือมีผู้ไม่หวังดีกับเจ้าของ ช่วงอาทิตย์ก่อนเอกสารงานของเจ้าหายไปใช่หรือไม่?"

     
     

    "คุณรู้ได้ไง?" 

     

    "เอกสารของเจ้าถูกคนเอาไปเพราะมีคนประสงค์ร้าย"

     

    คิ้วของเขาขมวดขึ้นด้วยความสงสัย ยุนฮยองรู้ได้ไงว่าอาทิตย์ก่อนมีเหตุการณ์นี้ ใช่ เขาหัวเสียมาก เมื่อเอกสารที่เขาตั้งใจทำส่งวางไว้บนโต๊ะของหัวหน้าแผนกก่อนเวลาหายไป เกือบเถียงกับหัวหน้าแล้ว แต่โชคดีที่ได้คืนเมื่อเอกสารตั้งใหญ่ปลิวมาจากโต๊ะของเพื่อนของเขาแล้วหนึ่งในนั้นมีเอกสารของเขาอยู่ด้วย

     

    "ใช่...เพื่อนของผมเอามันไป แต่สุดท้ายผมหามันเจอ"

     
     

    "เจ้าต้องขอบคุณพี่ เจ้าได้เอกสารคืนเพราะพี่ด้วยซ้ำ"

     
     

    "ห่ะ? คุณเกี่ยวอะไรด้วย"

     
     

    "โคมไฟดวงที่เจ้าเลือกไปมันมีพลังวิญญาณของพี่อยู่ด้วย วิญญาณของพี่มีความสามารถในการปัดเป่าเรื่องร้ายและอุบัติเหตุ เจ้าได้เอกสารคืนเพราะพลังของพี่เอง รวมถึงการหลับลึกในบางวันเพราะความจริงแล้วคืนเหล่านั้นเจ้าฝันร้าย พลังวิญญาณของพี่ช่วยให้เจ้าหลับสบายขึ้น”

     

    “หลับสบายจนไปทำงานสายเลยล่ะ แล้วทำไมเปลวไฟของผมถึงกลายเป็นสีม่วง?”

     

    “การที่เปลวไฟกลายเป็นสีม่วงเพราะวิญญาณของพี่สีแดงผสมกับของเจ้าสีน้ำเงินเลยกลายเป็นสีม่วง"
               

    กลอกตาให้กับคำตอบ นี่เขากำลังเรียนทฤษฏีสีในวิชาศิลปะอยู่ใช่ไหม? แค่พลังวิญญาณมีพลังทำโน่นทำนี่ได้ยังไม่พอ มีพลังสามารถผสมกันได้ด้วย ยิ่งกว่านิยายแฟนตาซีหลอกเด็ก แต่มันกำลังหลอกหลอนเขาอยู่

     

    "ถ้าเปลวไฟติดด้วยพลังวิญญาณอย่างนี้ชีวิตผมจะสั้นลงไหม?"

     
     

    "พลังวิญญาณไม่เกี่ยวกับความสั้นยาวของชีวิต ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้ เปลวไฟมีผลต่อวิญญาณอย่างแย่ก็แค่ทำให้อ่อนเพลีย"

     
     

    "นั้นหมายถึงผมการที่อ่อนเพลียกว่าปกติในอาทิตย์นี้?"

     
     

    "การที่เจ้าอ่อนเพลียมาจากงานของเจ้าทั้งนั้น อย่างที่พี่เคยบอกพลังวิญญาณเจ้าแข็งแรงมาก เรื่องหิวกว่าปกติก็จากตัวเจ้าเองทั้งนั้น มีคำถามอีกไหม?"

     

    อีกฝ่ายจิบชาอย่างสบายอารมณ์ ต่างจากเขาซึ่งทำสีหน้าคิดหนัก ยังมีอะไรต้องถามอีก เออ ใช่ ลืมไปเลย

     
     

    "คุณเป็นใครกันแน่?"

     
     

    "นามของพี่คือซงยุนฮยองเป็นช่างทำโคมไฟมาจากเมืองจีน พี่จะดีใจมากถ้าเจ้าเรียกว่าพี่ไม่ใช่คุณถึงแม้อายุพี่จะเยอะมาแล้วก็ตาม"

     
     

    "พี่อายุเท่าไรกัน?"

     
     

    "ปีนี้เกือบร้อยห้าสิบปี พวกช่างฝีมือคนจีนมักอายุยืนกันทั้งนั้น"

     

    อยากจะรู้สึกแปลกใจเหมือนกัน แต่เรื่องที่รู้ในวันนี้มันแปลกไปทุกเรื่องจนจุนฮเวทำได้แค่นวดขมับตัวเอง ชาถูกรินมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง

     
     

    "เห็นได้ชัดว่าเจ้าถามเพียงพอแล้ว รู้มากเกินไปกว่านี้หัวเจ้าอาจจะระเบิดได้ ไว้ค่อยมาพูดคุยกันใหม่เรายังมีเวลาให้ทำความรู้จักกันอีกเยอะ ดื่มชาอีกสักถ้วยแล้วเจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”

     

    “ผมไม่คิดว่าจะมาเจอพี่อีกหรอกนะ”

     

    รอยยิ้มละไมจากคนตรงหน้า ทำให้มือของจุนฮเวยกถ้วยชาขึ้นมาหยุดชะงัก

     

    “เดี๋ยวเราได้รู้กันในเร็ววันนี้”

     

     
     
     

    +++++++++++++++++++++++++++

     

     
     
     

    "ทำไมทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบแตกสลายเช่นนั้น"  

     

    ยุนฮยองเดินออกมาจากห้องด้านในพบเจ้าของโคมไฟคนล่าสุดของตัวเองนั่งเท้าคางกับโต๊ะด้วยสีหน้าบึ้งตึงหมุนโคมไฟของเจ้าตัวบนโต๊ะ

     
     

    "แน่ล่ะ โลกทั้งใบผมแตกสลายไปแล้ว แม่ผมจะแต่งงานใหม่และเขาจะไปมีชีวิตใหม่ในต่างเมืองซึ่งผมคงไปอยู่กับเขาไม่ได้"

     

    จุนฮเวได้ให้ของขวัญวันเกิดกับแม่ของเขาหลังจากอีกฝ่ายกลับมาจากการทำงานในต่างเมืองพร้อมแจ้งข่าวดีซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับเขา แม่ของเขาจะแต่งงานใหม่และตั้งใจว่าจะย้ายไปอยู่บ้านของสามีใหม่ แต่จุนฮเวคงไม่ย้ายตามด้วยเพราะพึ่งเริ่มทำงานและไม่อยากไปหางานใหม่ที่โน่น โอเค ถึงแม้อายุเขามากพอที่จะดูแลตัวเองได้และปกติเขาไม่ได้อยู่กับแม่ของเขาบ่อยนัก แต่เขาพูดได้ว่าโลกของเขามีแค่คนนี้ที่คอยเป็นห่วงและรักเขาอย่างจริงใจ ถึงเขาเห็นว่าเป็นความสุขของอีกฝ่ายแต่กลับรู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน

         
    "โลกของเจ้าอยู่กับตัวเจ้านั่นล่ะ ถึงแม้คนในนั้นจะจากไป เจ้ายังคงต้องอยู่กับตัวเองต่อไป"

     
     

    "ไหนว่า พี่ปัดเป่าเรื่องร้ายได้ไง แถมโคมไฟไม่เห็นมีเตือนว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น" 

     

    “การที่เจ้านำโคมไฟมาด้วย เพราะเจ้าคิดว่าโคมไฟของเจ้าใช้ไม่ได้ผลใช่หรือไม่?”

     

    “หรือว่าไม่จริง?”

     

    ยกคิ้วขึ้นราวกับกวนประสาท แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันมั่นคง

     
     

    "เรื่องของคนอันเป็นที่รักเป็นสุขแต่ทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายหรอก จริงอยู่มันทำให้เราเสียใจแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มและหัวใจอันเบิกบานของอีกฝ่าย เราควรมีความสุขไปกับมันหรือไม่จริง?"

     
     

    "ความจริงเจ้าควรใช้เวลากับแม่ของเจ้าจนกว่าจะจากกัน ใช้เวลาให้มีความสุขที่สุดเพราะชะตาต้องจากกันไปตลอดกาลนั้นเมื่อใดไม่อาจรู้ได้"

     
     

    "พี่เหมือนรู้เลยว่าคนเราชะตาจะขาดตอนไหน"

     
     

    "พี่รู้เฉพาะเจ้าของโคมไฟที่พี่ทำเท่านั้น”

     

    "อย่างนี้พี่ต้องรู้ของผมด้วยสิ"

     
     

    "พี่รู้แต่พี่ไม่บอกเจ้าหรอก รู้ชะตาตัวเองใช่ว่าจะสนุกนัก มีแต่ต้องระหวาดระแวงกลัวยามใกล้เวลาตาย พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและคุ้มค่าในทุกวันเถอะ"

     
     

    ยุนฮยองหยิบโคมไฟดวงหนึ่งจากตรงชั้นส่งให้จุนฮเว โคมไฟสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากสีชมพูอ่อนเขียนลายดอกไม้เปล่งแสงสีนวลจากเปลวไฟสีเหลืองอ่อนอย่างมั่นคง

     

    “อย่างเจ้าของโคมไฟดวงนั้น เจ้าของชื่อชานอู เป็นเด็กดี มาหาพี่บ่อย พูดคุยกันถูกคอมาก เสียดายชะตาเจ้าเด็กนั่นสั้นนัก เสียไปเพียงอายุสิบแปด เจ้าเด็กนี่ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า เปลวไฟสีเหลืองอ่อนแต่มั่นคงแสดงถึงช่วงชีวิตสุดท้ายใช้ชีวิตอย่างมีความสุข"

     

    มือหยิบโคมไฟอีกดวงจากด้านในชั้น โคมไฟทรงกระบอกขนาดเท่าขวดน้ำสีเทาเขียนตัวอักษรจีน เปล่งแสงสีเขียวติดๆดับๆ

     

    “แต่อย่างเจ้าของโคมไฟดวงนี้ เจ้านี้ชื่อคิมจีวอน ไม่ได้พูดคุยกับเขาเท่าไร แต่มารับรู้เรื่องราวหลังจากโคมไฟกลับมาหาพี่ คิมจีวอนใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าในแบบของเขา เสเพล สุราเมรัย แต่สุดท้ายเสียด้วยการปองร้ายจากผู้อื่นทั้งที่มีเป้าหมายอยากใช้ชีวิตอย่างสงบช่วงบั่นปลาย เปลวไฟสีเขียวในช่วงสุดท้ายของชีวิตอ่อนกว่าพลังวิญญาณของตัวเองเสียอีก”

     

    “ลองคิดดูว่าอยากให้เปลวไฟสีน้ำเงินของเจ้าตอนสุดท้ายเป็นแบบไหน”

     
     

    "งั้นผมควรกลับไปหาแม่ของผมใช่ไหม?" 

     
     

    รอยยิ้มกว้างของยุนฮยองส่งให้จุนฮเว

     

    "แล้วแต่จะคิดเด็กน้อย จงเลือกทางของตัวเองและใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเถอะ วันหลังเจ้าเหงาเมื่อใดเจ้าสามารถกลับมาพูดคุยกับพี่ได้ทุกเมื่อ"

     

     
     
     

    +++++++++++++++++++++++++++

     

     
     
     

    หลังจากแม่ของจุนฮเวแต่งงานใหม่ เขาย้ายจากบ้านมาอยู่หอพักใกล้บริษัท วันเสาร์หรือวันอาทิตย์ยังคงแวะมาร้านของยุนฮยอง ตอนแรกเขาเองไม่ค่อยเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายว่าเขาจะกลับมาอีก แต่กลายเป็นว่าพอมีเวลาว่างสองขาของเขาพาตัวเองมายังหน้าร้านแบบจีนโบราณด้านหน้าร้านกระจกฝ้าจนมองแทบไม่เห็นด้านใน ดมกลิ่นกำยานจนชิน จิบชามะลิรสหวานอ่อน พูดคุยเรื่องราวตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาของเขา

     

    ...ต้องเรียกว่าบ่นให้อีกฝ่ายฟังมากกว่า

     

    ตลอดสองเดือนหลังจากได้โคมไฟมา ถึงแม้ไม่ได้เจอหน้าทุกวัน อาจจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันทั้งวันในบางอาทิตย์ด้วยหน้าที่ของแต่ละคน แต่ยามได้พูดคุยกันทำให้เขาสบายใจได้เสมอ โลกของเขามีอีกฝ่ายเข้ามาอยู่โดยไม่รู้ตัว

     

     
     

    ...เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีความสุขกับการใช้เวลาร่วมกับยุนฮยอง...

     

     
     

    วันนี้ถนนด้านหน้าร้านโคมไฟจัดงานขายของกลางคืน ของกินและขนมรวมถึงของทำมือตามแผงลอย ทั้งสองคนเดินชมโคมไฟแขวนบนเสาไฟซึ่งเจ้าของย่านมาจ้างวานให้ยุนฮยองทำไปเรื่อยๆพร้อมสายไหมในมือ แน่นอนจุนฮเวให้อีกฝ่ายเลี้ยงเขาอยู่แล้ว

     

    “โคมไฟของพี่สวยกว่าที่คิดไว้นะ มีดวงที่มีวิญญาณอยู่ในนั้นด้วยไหม?”

     

      “น่าจะมีสักดวงสองดวงนะ...ล้อเล่นน่า เด็กน้อยทำหน้าถูกหลอกง่ายไปได้”

     
     

    ใบหน้านิ่งบึ้งตึงลงหลังจากก่อนหน้านี้ทำหน้าเหรอหราทั้งที่มีสายไหมเต็มปากเมื่อยุนฮยองบอกว่ามีวิญญาณอยู่ในโคมไฟ ทำไมอีกฝ่ายถึงชอบเรียกเขาว่าเด็กน้อยก็ไม่รู้ ทั้งที่เขาโตซะขนาดนี้ ความจริงเขาต้องเรียกยุนฮยองว่าปู่ด้วยซ้ำไม่ใช่พี่ แต่ไม่อยากโดนสาปอะไรใส่ตัวซะก่อน

     

    "ผมไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย เออใช่! แม่ผมส่งรูปมาให้ดู ในรูปแม่ผมยิ้มกว้างมาก เขาเขียนว่าเขามีความสุขดี"

     
     

    "นั่นทำให้เจ้ามีความสุขใช่หรือไม่?"

     
     

    "อืม! ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องที่บ้านทุกอย่างดูลงตัวไปหมดเลย ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลย"

     
     
     
     

    "แต่การมีเจ้าอยู่กับพี่ตอนนี้ทำให้พี่มีความสุขรู้ไหม?"

     

     
     

    หันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่กินสายไหมอย่างสบายอารมณ์ รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรชวนให้ขนลุกออกมา แล้วทำไมรู้สึกร้อนๆบนหน้าหว่า

     
     

    "อยู่ดีๆมาพูดอะไรแบบนี้เนี่ย..."

     
     

    "อย่างที่พี่เคยบอกชะตากรรมคนเรามันจะสิ้นสุดเมื่อไรไม่รู้ พี่อยากบอกอะไรพี่จะพูดออกตามตรง"

     
     

    "พี่รู้ชะตาของตัวเองด้วยหรือเปล่า?"

     
     

    "ต้องบอกว่าทำเป็นไม่รู้ถึงจะถูก"

     

    รอยยิ้มละไมบนหน้าอีกฝ่ายทำให้จุนฮเวกล้าไม่ถามอะไรต่อ ทั้งคู่เดินไปเรื่อยๆโดยไม่มีเสียงจากทั้งสองฝ่าย ปล่อยให้เสียงรอบข้างเข้ามาแทนความเงียบ จุนฮเวจัดการสายไหมในมือของตัวเองจนหมด ไล่ลิ้นเลียไปตามรอยเลอะจากน้ำตาล นิ้วโป้งของยุนฮยองปาดลงมาตรงข้างมุมปากของเขา                        

     
     

    "แค่ว่าตอนนี้พี่ไม่เสียดายว่าจะจากไปเมื่อใดก็ได้" 

     
     

    "พี่ยังต้องอยู่ไปอีกนานเลยเถอะ คอยฟังผมบ่นไปเรื่อยๆ จนหูชาเลย"

     

    “แค่นี้ยังบ่นไม่พออีกหรือ?”

     

    ยุนฮยองหัวเราะร่าให้กับใบหน้าบึ้งของเขา สองมือยกขึ้นมาจับแก้มดึงเบาๆให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

     

    “อย่าทำหน้าแบบนี้สิเด็กน้อย ยิ้มเร็ว มีความสุขต้องยิ้มสิ อยากให้พี่มีความสุขก็ยิ้มให้พี่หน่อย”

     

    “ผมยอมยิ้มให้พี่เลยรู้ไหม ผมอยากให้พี่มีความสุขเพราะมันทำให้ผมเองมีความสุขเหมือนกัน”

     

     
     
     

    +++++++++++++++++++++++++++

     

     
     
     

    ขณะรอข้ามถนนตรงสี่แยกเพื่อไปทำงานในตอนเช้า จุนฮเวรู้สึกร้อนรนอย่างประหลาด ใจเต้นจังหวะแปลกไปตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมาดูโคมไฟของตัวเองอย่างเคยชินแล้วพบว่าเปลวไฟเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มดวงใหญ่ อยากให้วันนี้เวลารีบผ่านไป ตอนเย็นจะได้กลับมาเอาโคมไฟที่ห้องแล้วแวะไปหายุนฮยอง

     
     

    สัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว จุนฮเวรีบเดินข้ามทางม้าลาย เสียงแตรรถดังสนั่นมาจากด้านข้าง

     

     
     

    ...ทุกอย่างเร็วจนเขาหลบไม่ทัน...

     

     
     

    แต่รถคันนั้นกลับถูกรถซึ่งตัดมากจากสี่แยกชนท้ายจนปัดออกไปจากจุดที่จุนฮเวอยู่ เขาลงไปนั่งนิ่งกองอยู่กับพื้น หน้าซืดเผือก หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก กว่าจะรู้สึกตัวเมื่อคนมาสะกิดถามว่าเขาเป็นอะไรไหม หลังจากให้การกับตำรวจ เขาโทรลางานบริษัทกลับมาที่ห้อง ยังคงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา สายตาเหลือบเห็นเปลวไฟจากเมื่อเช้าเป็นสีน้ำเงินเข้มเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมแดง

     

     
     

    ...เขารอดมาได้เพราะพลังของยุนฮยองงั้นหรอ?...

     

     
     

    ตั้งสติรีบหยิบโคมไฟตรงไปยังร้านอย่างไม่รอช้า เปิดประตูเข้าไปในร้าน รู้สึกบรรยากาศในร้านเปลี่ยนไปทั้งที่ยังมีกลิ่นกำยานเหมือนเดิม อากาศยังคงเย็นเหมือนเดิม แต่บางอย่างมันแปลกไป

     

    "พี่ยุนฮยอง?"

     

    มองไปทั่วร้านไม่พบอีกฝ่าย เรียกก็ไม่มีเสียงตอบรับ เดินตรงเข้าไปในห้องด้านในของร้าน หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อพบร่างของยุนฮยองนอนอยู่บนพื้น

     
     

    "พี่! ตื่นสิ โถ่โว้ย!"

     

    เช็กดูว่ายังคงหายใจ แต่พยายามปลุก อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา พยุงคนหมดสติขึ้นไปนอนบนเตียง คุมสติของตัวเองทั้งที่ยังทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ จะพาไปโรงพยาบาลแต่เจ้าตัวเคยบอกว่าที่แห่งนั้นรักษาอะไรเขาไม่ได้ จุนฮเวได้แต่จับมืออีกฝ่ายภาวนาให้รีบลืมตาขึ้นมา

     
     
     
     

    "อ่า..."

     
     
     
     

    "พี่! พี่เป็นไงบ้าง? ดื่มน้ำก่อนไหม"

     
     

    เจ้าของดวงตาคู่โตลืมตาขึ้นช้าๆหลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พยายามลุกขึ้นนั่งจนเขาต้องรีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายก่อนหยิบแก้วน้ำส่งให้

     

    “พี่แค่อ่อนเพลีย แต่ไม่เป็นไรแล้ว”

     

    "พี่....วันนี้ผมเกือบถูกรถชน...ที่ผมรอดมาได้เพราะพลังของพี่ใช่ไหม?"

     
     

    "นั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ถึงหมดสติ การปัดเป่าอุบัติเหตุต้องใช้พลังวิญญาณจำนวนมาก พี่เองอายุมากแล้ว"

     
     

    เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายเป็นแบบนี้จุนฮเวถึงกับหน้าเสีย เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกจะสร้างความเดือดร้อนให้

     

    "ทำลายโคมไฟเถอะ ผมไม่อยากให้พี่ต้องมาใช้พลังเพื่อผม"

     
     

    "โคมไฟทำลายได้ก็จริง กับเจ้าคงไม่มีผลอะไร แต่กับผู้สร้างพี่ทำลายมันแล้วพี่จะตื่นขึ้นมาอีกหรือเปล่าไม่อาจรู้ได้"

     
     

    สีหน้าของจุนฮเวแย่ลงกว่าเดิม ยุนฮยองยกมือขึ้นมาลูบหัวเด็กน้อยของเขาเบาๆ

     

    "มีทางอื่นอีกไหม?

     

    “คาดว่าคงไม่มี แต่ไม่เป็นไรหรอก”

     

     
     

    “แล้ว...ถ้าผมสร้างโคมไฟโดยใส่พลังวิญญาณของผมเข้าไป พี่บอกว่าพลังวิญญาณของผมแข็งแรงมากใช่ไหม? ถ้าพี่จุดมันพลังของผมอาจจะช่วยเสริมพลังให้พี่ได้"

     
     
     
     

    "อืม...อันนี้พี่เองไม่เคยลองเช่นกัน"

     

    จุนฮเวรู้สึกมีความหวังมากขึ้น ถึงไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า แต่ในเวลานี้ต้องของลองทุกวิธี ถ้ามันทำให้คนตรงหน้ายังสามารถอยู่กับเขา รับฟังทุกสิ่งที่เขาพูด พร้อมหัวเราะไปกับเขา


    "งั้นลองดูกันเถอะ"

     

    “ความจริงพี่ไม่อยากให้เจ้ามาผูกมัดกับตัวพี่ แค่พี่ปัดเป่าให้เจ้า แค่นั้นเพียงพอแล้ว”

     

    “ถ้ามันทำให้พี่อยู่กับผมได้ ผมก็จะทำ”

     

    อีกฝ่ายพูดอย่างเชื่อมั่น ยุนฮยองยิ้มละไมให้กับเด็กน้อยของเขาแต่แววตาวูบไหวลงเล็กน้อย 

     

    "งั้นวันนี้เจ้ากลับไปก่อนได้หรือไม่? พี่อยากพักผ่อน"

     
     

    "แต่...ผมเป็นห่วง...."

     
     

    "ฝากโคมไฟเจ้าไว้กับพี่แล้วกัน แค่นี้พี่จะได้รู้สึกว่ามีเจ้าอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องห่วงนะเด็กน้อย พี่ไม่เป็นไรหรอก"

     
     

    "อีกอย่างพี่เองอยากให้เจ้าได้พักผ่อนด้วยจากเหตุการณ์ร้าย พรุ่งนี้เจ้ายังต้องไปทำงาน"

     
     

    "ขอผมนอนอยู่ที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานแต่เช้า แล้วตอนเย็นกลับมาทำโคมไฟกัน ขอให้ผมได้อยู่กับพี่นะ"

     
     

    รอยยิ้มกว้างของจุนฮเวทำให้ยุนฮยองไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงถอนหายใจให้กับความดื้อของอีกฝ่าย

     

    "เด็กดื้อเอ้ย ถึงเจ้าฝันร้ายพี่ไม่มีพลังเพียงพอช่วยปัดเป่าหรอก"

     

    “ผมฝันร้ายพี่แค่ปลุกผมขึ้นมาก็พอ แต่อยู่กับพี่ผมไม่มีทางฝันร้ายแน่นอน”

     

     
     
     

    +++++++++++++++++++++++++++

     

     

     

    ตอนเช้าจุนฮเวรีบกลับหอพักเพื่อเปลี่ยนชุดก่อนไปทำงาน ไม่ลืมเช็กดูว่าคนข้างตัวเขาว่ายังคงหายใจอยู่ ก่อนออกจากห้องได้ยินอีกฝ่ายอวยพรให้โชคดี รีบตรงดิ่งมาจากที่ทำงานหลังเลิกงาน พอผลักประตูร้านเข้ามากลิ่นกำยานแสนคุ้นเคยกลับถูกแทนด้วยกลิ่นเหม็นไหม้ อากาศเย็นกลายเป็นร้อน สำรวจรอบร้านไม่มีจุดไหนที่เป็นต้นกำเนิด จนกระทั่งมองเห็นกลุ่มควันสีเทาลอยมาจากในห้องด้านในของร้าน

     
     

    "พี่ยุนฮยอง!"

     

    ตะโกนเรียกอีกฝ่ายอย่างร้อนรน รีบวิ่งไปทางห้องนั้นแต่ยุนฮยองเดินออกมาจากห้องพร้อมโคมไฟสีน้ำเงินของตน 

     
     

    "อ้าว มาแล้วหรือ"

     

    รอยยิ้มกว้างถูกส่งให้ ก่อนอีกฝ่ายเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานอย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     
     

    "พี่ทำอะไรในห้อง"

     
     

    "ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเอง"

     

    จุนฮเวเดินตรงไปยังห้องด้านในเบนหน้าให้กับความไอร้อนและกลุ่มควันสีเทา ไฟในห้องลุกโชนเผาไหม้สิ่งต่างๆในห้องซึ่งอีกไม่นานคงลามออกมานอกห้องเผาไหม้ทุกอย่างในร้าน รวมถึงตัวเขาและยุนฮยอง

     
     

    "รีบออกไปกันเถอะ! พี่ยังจะนั่งดื่มชาอีกหรอ!"

     
     

    "ดื่มเป็นครั้งสุดท้ายที่นี่จะเป็นไรไป"

     
     

    "มันอันตรายนะพี่ ออกไปกันก่อนเถอะ ร้านเดี๋ยวค่อยสร้างใหม่ แล้วเรามาทำโคมไฟกัน"

     

    แผดเสียงตะโกนใส่อีกฝ่ายเมื่อรู้สึกถึงไอร้อนและกลิ่นเหม็นไหม้มากกว่าเดิม ยุนฮยองดื่มชาในถ้วยด้วยสีหน้าปกติ เงยหน้าขึ้นมองจุนฮเวด้วยสายตาละมุน

     

    "พี่รู้สึกขอบคุณในความหวังดีของเจ้านะจุนฮเว ยอมสละพลังวิญญาณของตัวเองให้กับพี่ แต่ถึงทำโคมไฟไปก็ไม่อาจจะฝืนชะตาของพี่ได้"

     

     
     
     

    ยกคิ้วอย่างสงสัยกับประโยคของอีกฝ่าย ‘ไม่อาจจะฝืนชะตาได้หรอ?’

     

     
     
     

    หรือว่า...

     

     

     

     
     
     

    "วันนี้เป็นวันตาย....ของพี่?

     

     

     
     
     
     
     
     

    "ถูกต้องแล้วเด็กน้อย"

     

     

     
     
     

    อีกฝ่ายส่งรอยยิ้มละไมให้ แต่นั้นกลับทำให้หัวใจจุนฮเวแทบหยุดเต้น

     

    "แต่...ตอนนี้พี่ยังหนีได้นะ...พี่อาจจะอยู่รอดไปอีกสิบปียี่สิบปีก็ได้"

     

    "ถึงไม่ตายด้วยไฟไหม้ พี่อาจจะตายด้วยสิ่งอื่น แต่ต้องเป็นในวันนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นขอให้พี่ตายในสถานที่อันเป็นที่รักของพี่เถอะ" 

     
     

    "แล้วผม...ผมจะอยู่กับใคร..."

     
     

    "อย่างที่พี่เคยบอก โลกของเจ้ายังไงก็เป็นของเจ้าเสมอ แม้ว่าคนในนั้นจะจากไป พี่แค่อยากให้เจ้ารู้อยู่ในใจว่าพี่ยังอยู่เคียงข้างเจ้า ถึงพี่ตายไปวิญญาณของพี่ยังอยู่ในโคมไฟของเรา พี่จะคอยปัดเป่าเรื่องร้ายให้เจ้าอยู่จากฝั่งโน้น"

     

    โคมไฟถูกวางบนโต๊ะ ยุนฮยองลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้ามาหาอีกฝ่ายซึ่งยังยืนกำมือแน่ ตัวสั่นเทาราวกับเด็กพึ่งตื่นจากฝันร้าย กอดปลอบโน้มหัวจุนฮเวให้ลงมาซบกับไหล่ตัวเอง มือลูบลงไปยังลุ่มผมสีดำช้าๆ

     
     
     
     

    "เด็กน้อยของพี่ ชะตาของเจ้าไม่ใช่วันนี้ เจ้ายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป..."

     
     
     
     

    "...ช่วงเวลาที่พี่ได้ใช้ร่วมเจ้าพี่มีความสุขมากรู้ไหม ขอบคุณที่มอบความสุขให้กับช่วงชีวิตสุดท้ายของพี่"

     
     
     
     

    "ผม...ขอบคุณพี่เหมือนกัน... ผมเองก็มีความสุขมาก และต่อไปผมจะมีความสุขให้มากกว่านี้ ทำทุกอย่างให้ดีจนพี่ไม่ต้องออกมาปัดเป่าเรื่องร้ายให้เลย"

     
     
     
     
     

    "แล้วพี่จะรอดู ขอให้เปลวไฟสุดท้ายของเจ้าส่องสว่างอย่างงดงามนะ"

     

     
     

    ยุนฮยองผละตัวจากอีกฝ่ายเมื่อในห้องเริ่มล้อมรอบไปด้วยกองไฟและกลุ่มควันสีเทา เขาไอออกมาเล็กน้อยหยิบโคมไฟสีน้ำเงินสดจากบนโต๊ะส่งให้จุนฮเว จ้องมองเปลวไฟสีน้ำเงินกำลังอ่อนลง

     

     

    ...ภาวนาในใจขอให้อีกฝ่ายพบแต่ความสุข… 

     

     
     

    "ไปซะก่อนที่ไฟจะลามไปมากกว่านี้"

     
     

    "ไหนๆ วันนี้ผมก็ไม่ตายขอให้ผมอยู่ดูพี่จนวินาทีสุดท้ายได้ไหม?"

     

    เขากอดโคมไฟไว้แน่นแนบอบ ยืนมองยุนฮยองที่กลับไปนั่งลงบนเก้าอีกครั้ง

     
     

    "จะเจ็บตัวไปทำไม?" 

     
     

    "เถอะน่า ยังไงเดี๋ยวก็หาย ผมแข็งแรงนิน่า"

     

    ยกคิ้วให้อีกฝ่ายอย่างท้าทายยุนฮยองได้แต่ถอนหายใจ กวักมือเรียกจุนฮเวเข้าเดินเข้ามาหา มือกดลงตรงไหล่ให้อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา ประทับริมฝีปากอวบอิ่มลงไปตรงหน้าผากเนียนของอีกฝ่าย

     

     

     
     
     

    "พี่รักนายนะเด็กน้อย มีความสุขมากๆ" 

     

     
     
     

    "ผมเองก็รักพี่เช่นกัน ผมจะมีความสุขไม่ต้องห่วง"
                                  

     

     

     

     

     
     
     
     
     
     
     
     
     

    พี่ยุนฮยอง ผมรอดมาได้ จริงด้วยที่พี่บอกว่าวันนั้นไม่ใช่วันตายของผมแต่ผมเจ็บหนักจนขยับตัวไม่ไปไปทั้งเดือน นี่พี่ไม่ได้ช่วยปัดเป่าอะไรเลยใช่ไหมเนี่ย? แต่โคมไฟพี่เจ๋งชะมัดไม่พังด้วย

     

     

     

    พี่ ผมจะแต่งงานแล้วนะ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากเลย ถ้าพี่รู้จักเธอพี่ต้องตกหลุมรักเธอแน่ๆ ถึงผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแต่ผมยังคิดถึงพี่มากนะ

     

     

     

     

    ลูกสาวผมชอบโคมไฟของเรามากเลยรู้ไหม พอผมไม่ให้แกจับเพราะกลัวอันตรายแกเลยชอบมาเกาะขอบโต๊ะจ้องดูเปลวไฟข้างในแทน ชมว่าไฟสีน้ำเงินของผมสวยมาก มันแน่ล่ะ แต่ยังไงตอนมันเป็นสีม่วงสวยกว่าอยู่แล้ว

     

     

     

     

     

    พี่ยุนฮยอง ผมคิดว่าใกล้ถึงชะตาของผมแล้ว เห็นไหมผมแทบไม่ต้องให้พี่มาปัดเป่าอะไรให้เลย ผมมีความสุขดีถ้าไม่นับเรื่องฝันร้ายบางครั้งนะ พวกเหตุร้ายสงสัยพี่จัดการไปหมดตั้งแต่พี่ยังมีชีวิตแล้วมั้ง พี่ยังรอผมอยู่ที่โน่นใช่ไหม?’

     

     

     

    ผมจะไปหาพี่แล้วนะ ใจนึงก็ดีใจแต่อีกใจนึงก็กลัวว่าจะไม่เจอพี่จัง แต่ผมต้องหาพี่เจอแน่นอน

     

     

     

    แล้ว...ตอนตายมันทรมาณไหม?...’

     

     

     

     

    พี่ยุนฮยอง...ผม...

     

     

     

     

     
     
     

    "คุณพ่อคะ โคมไฟของคุณพ่อเปลวไฟสีน้ำเงินกลายเป็นสีม่วงแล้ว อย่างที่คุณพ่อว่า มันสวยจริงๆ....

     

     

     

     
     
     

    ...คุณพ่อคะ หลับให้สบายนะคะ"

     

     

     

     

     

     
     
     

    Talk:  ตอนแรกไม่ได้กะว่าจะจบเศร้าแบบนี้ค่ะ แต่พอแต่งๆไป ยังไงมันต้องลงแบบนี้ถึงจะสมบูรณ์ แต่งจบหมดน้ำตาไปประมาณสามหลอด ฮ่าๆๆๆๆๆ มีใครสงสัยไหมว่าทำไมเปลวไฟพี่ยุนเป็นสีแดงเพราะความจริงแล้วพี่ยุนร้อนแรงค่ะ อุกรี๊ดดดดด *หยุดเพ้อ* ไว้เจอกันเรื่องหน้าค่าาา
     

     

    #ฟิคต่อเรือ

     

    Thanks For Sweet Lovely Theme : O W E N TM.





     
    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×