คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 ผู้บุกรุก (Re-Write)
‘ข้ารอเวลานี้มานานเหลือเกิน ในที่สุด ในที่สุด’
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงสลัวของคบเพลิงในมือเท่านั้นที่ทำให้ร่างของผู้มาใหม่มองเห็นภาพเบื้องหน้า
โลงศพสีดำสนิทสลักลวดลายประหลาดที่ตั้งอยู่บนแท่นยกระดับใจกลางห้องใต้ดินของวิหารร้างแห่งหนึ่งฉายชัดในดวงตา มันราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่างให้ร่างของเขาขยับเข้าใกล้ที่ละนิดจนสองเท้าก้าวมาหยุดยืนอยู่ที่ขั้นบันไดตรงหน้าที่ทำหน้าที่ยกพื้นห้องตรงกลางให้สูงขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เสียงแหบพร่าจะดังเข้าสู่โสตประสาท
‘เข้ามาสิ มาหาข้า ปลดปล่อยข้าจากความทรมาน’
ถ้อยคำเชื้อเชิญดังก้อง ชวนให้ผู้บุกรุกขยับเท้าก้าวไปตามขั้นบันไดก่อนจะมาหยุดยืนที่หน้าโลงศพ มือหยาบกร้านลูบไล้ลายสลักที่ปรากฏอยู่บนฝาโลงอย่าเผลอไผล
ต้องเปิดมันออก ต้องเปิดมันออก ต้องเปิดมันออก
ความคิดดังวนเวียนในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ก่อนจะตัดสินใจใช้มีดสั้นที่ตนเองพกติดตัวมากะเทาะฝาโลงออกเพื่อทำตามความตั้งใจของตน
ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือร่างโครงกระดูกขาวโพลน ไร้ซึ่งเนื้อหนังปุกคลุมของใครบางคนนอนหลับใหลอยู่ในนั้น กับหมุดเงินแสนประหลาดเล่มโตที่ปักอยู่กลางอกในตำแหน่งของหัวใจจนแทบจะมิดด้าม กลิ่นสาปสางโชยแตะจมูกชวนให้สะอิดสะเอียด แต่ภาพเบื้องหน้ากลับทำให้หยาดน้ำตาของมาเยือนต้องไหลริน
ภาพที่ชวนให้คนมองต้องใจหายวาบ แทบจะผวาเข้าไปโอบกอดร่างโครงกระดูกที่นอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้า น้ำตานองหน้าพร้อมกับปลดปล่อยเสียงร้องอันสุดแสนทรมานให้สะท้อนสะท้านดังก้องไปทั่วทั้งความมืดมิด
“โอ้ ราชา ราชาของข้า ราชาของพวกเราผู้หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิด” ร่างภายใต้ชุดคลุมสีดำพูดด้วยน้ำเสียงพร่ำเพ้อ หยาดน้ำตานองหน้า
‘ดึงมันออกสิ’
เสียงกระซิบดังก้องเพียงข้างหู ให้คนถูกสั่งเอื้อมมือหมายจะหยิบมุดเงินออกตามคำสั่ง ก่อนจะต้องหยุดชะงักด้วยความลังเล
‘ไม่ มันไม่มีผล ฤทธิ์ของมันสิ้นตั้งแต่ที่เจ้าของมันหมดลมหายใจ’
คำบอกเล่าที่ทำให้เขาไม่รอช้าที่จะดึงมันออก
‘เลือด ขอเลือดให้ข้า สาวกของข้า’
เจ้าของเสียงยังเรียกร้อง คนถูกเรียกว่าสาวกพยักหน้าอย่างรับรู้ คว้ามีดเล่มเล็กออกมาเฉือนข้อมือก่อนจะปล่อยให้เลือดสีสดหยดลงบนตำแหน่งที่เคยเป็นริมฝีปากของร่างโครงกระดูก
“ได้โปรด ได้โปรด ฟื้นคืนมา คืนสู่โลกแห่งความมืดมิด เหล่าสาวกกำลังรอรับใช้ท่าน” ร่างนั่นพึมพร่ำราวกับสวดอ้อนวอน
เลือดสีสดหยดแล้วหยดเล่าไหล่ลงสู่ริมฝีปาก พร้อมกันกับที่ปฏิกิริยาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับซากโครงกระดูกตรงหน้าจะทำให้ตาของคนมองเบิกกว้าง
เมื่อร่างที่เคยหลงเหลือเพียงโครงกระดูกแต่บัดนี้กลับค่อยๆถูกแทนที่ด้วยอวัยวะภายใน หลอดเลือด น้ำเหลือง ตามมาด้วยกล้ามเนื้อสีสด ชั้นไขมัน ก่อนจะถูกหุ้มทับด้วยผิวหนังขาวซีดเป็นอย่างสุดท้าย ภาพตรงหน้าช่างชวนให้สยดสยองเป็นยิ่งนัก
ฉับพลันนัยน์ตาสีโลหิตของราชาแห่งรัตติกาลที่ควรจะมีชีวิตอยู่แค่บนหน้ากระดาษในหนังสือนิยายเท่านั้นกลับเบิกโพลง ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความทรมาน มือขาวซีดเอื้อมไปข้างหน้าหมายจะไขว่คว้าในบางสิ่งที่ไม่อาจเอื้อมถึง
หยาดโลหิตพร่างพรูไหลรินจากนัยน์ตาคู่สีแดงที่ทอประกายโรจน์อยู่ท่ามกลางความมืด นัยน์ตาที่สะท้อนภาพร่างของใครบางคนและเสียงกรีดร้องของใครคนนั้นที่ดังก้องอยู่ท่ามกลางเปลวเพลง
‘ดวงใจของข้า!’
ภาพในความทรงจำฉายชัดอยู่บนนัยน์ตาสีแดงฉานราวกับสัตว์ร้าย รสชาติของโลหิตที่รับรู้ผ่านปลายลิ้นและไหลผ่านลงสู่ลำคอราวทำให้ร่างกายของเขาร้อนลุ่ม แม้เสียงกรีดร้องและถ้อยคำอ้อนวอนขอชีวิตอย่างหวาดผวาที่เคยดังอยู่ข้างหูจะเงียบหายไปแล้วแต่ร่างสูงกลับยังพอใจที่จะดื่มกินหยาดโลหิตจากร่างไร้ล้มหายใจในอ้อมแขนก่อนจะปล่อยร่างไร้วิญญาณร่วงลงไปกองกับพื้นพรมสีสดอย่างไม่ใยดียามเมื่อตนหมดสิ้นความพอใจ
ชายหนุ่มยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดริมฝีปากที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ร่างไร้วิญญาณของหญิง สาวผู้ตกเป็นเหยื่อของอสูรกายแห่งความมืดนอนร่างแข็งทื่อ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว ดวงตาเบิกโพลง มีเพียงร่องรอยแห่งการสังหารบนลำคอที่เด่นชัด คมเขี้ยวของมัจจุราชผู้ปลิดชีวิต
เขากลับมาแล้ว หวนคืนสู่ความมืดมิด
หนึ่งร้อยปีที่ต้องทนกับความข่มขื่น
หนึ่งร้อยปีที่ต้องทนทรมาน
หนึ่งร้อยปีกับความแค้นที่ฝังรากลึกลงในจิตใจ
และบัดนี้เป็นทีของเขาที่จะทำลาย ‘พวกมัน’ ให้ย่อยยับ!
“เขาลือกันให้ทั่วเมืองว่าท่านชายที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ที่คฤหาสน์ผีสิงนั่น หล่อราวกับเทพบุตร!” น้ำเสียงใส่อารมณ์อย่างตื่นเต้นของเพื่อนสาวดังขึ้นกลางร้านตัดเสื้อชื่อดังย่านใจกลางเมือง ซากุระหัวเราะน้อยๆ ใบหน้าสวยล้ำเคลิบเคลิ้มไปกับการบรรยายคุณลักษณะของบุรุษผู้ไม่เคยแม้แต่จะพบหน้า นัยน์ตากลมโตสีฟ้าฉายแววตื่นเต้นยามที่ริมฝีปากเอื้อนเอ่ยถึงชายหนุ่มปริศนา
“เหลวไหลน่าอิโนะ คนปกติที่ไหนจะอุตริเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น” เธอกำลังพูดถึงคฤหาสน์ที่ชวนสยองมากว่าชวนมองทุกครั้งที่เธอนั่งรถม้าผ่าน ตั้งแต่จำความได้คฤหาสน์หลังนั้นก็ร้างคนมาตลอด และเพราะความน่ากลัวและเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกที่เล่าผ่านปากต่อปากกันมาทำให้ผู้คนในเมืองพร้อมใจกันเรียกมันว่าคฤหาสน์ผีสิง
“หล่อนนี่ชอบขัดความฝันของฉันอยู่เรื่อย” อิโนะเบ้ปาก กรอกตาไปมา ถอนหายใจพรืดแบบที่ถ้ามารดาของหล่อนมาเห็นเข้า ซากุระพนันได้เลยว่าเจ้าหล่อนคงต้องโดนบ่นหูชาไปทั้งวันข้อหาทำตัวไม่สมเป็นกุลสตรีที่ดี
“ยังจะมาหัวเราะ” เจ้าหล่อนโวยวายเอื้อมมือหมายจะสำเร็จโทษคนชอบทำลายความฝันแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาดุๆของช่างตัดเสื้อที่กำลังวัดตัวที่ส่งมาให้ แต่ปากก็ยังไม่วายหันมาชวนคุย
“นี่ ช่วงนี้มีข่าวการตายประหลาดเกิดขึ้นด้วยล่ะ” หัวข้อสนทนาที่ถูกเปลี่ยนกะทันหันให้คนฟังเปลี่ยนอารมณ์ตามแทบไม่ทัน “เห็นเขาว่าทุกศพที่เจอไม่มีร่อยรอยบาดแผลอะไรเลยนะ” ซากุระขมวดคิ้วมุ่น เริ่มคิดตามคนพูด
“ผู้เคราะห์ร้ายก็มีแต่ผู้หญิงด้วยค่ะ” ประโยคสมทบดังมาจากช่างตัดเสื้อที่กำลังจดอะไรหยุกหยิกในกระดาษบนโต๊ะข้างตัว “ท่านหญิงทั้งสองเองก็ต้องระวังตัวให้ดีนะคะ อย่าไปไหนมาไหนลำพัง” หญิงสาวเจ้าของร้านอดเตือนเสียไม่ได้เพราะความคุ้ยเคยที่มีให้กันมานาน
“แต่ฉันได้ยินท่านพ่อคุยกับนายตำรวจคนหนึ่งตอนที่มาที่บ้าน ไม่ใช่ว่าบนตัวศพจะไม่มีร่อยรอยอะไรเลยหรอกนะ” หล่อนหันมากระซิบกระซาบเสียงเบาคล้อยหลังคนตัดเสื้อราวกลับไม่อยากให้ใครได้ยิน
“เจออะไรหรือ” ซากุระถามด้วยความอยากรู้ คนถูกถามทำหน้าตาพิลึกจิ้มนิ้วเรียวยานั่นไปที่ลำคอระหง ให้คนมองต้องคิ้วขมวดตีความการแสดงออกทางร่างกายของเพื่อนยกใหญ่
“รอยมีดหรอ” ซากุระเดาส่ง
อิโนะส่ายหน้าอย่างขัดใจ ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้เอามือป้องปากแล้วกระซิบที่ข้างหูเธอ “รอยเขี้ยวย่ะ”
คำเฉลยที่ทำเอาคนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจ “โดนสัตว์ฆ่าตายหรอนั่น” บางทีเพื่อนของเธอคนนี้ก็ซื่อบื้อกว่าที่คิด อิโนะคิดในใจ ถอนหายใจ
“ใช่ที่ไหนละยะ” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าว่าอย่างเริ่มจะหมดความอดทน “นี่เธอไม่เคยอ่านนิยายสยองขวัญหรอ” หล่อนถามให้คนถูกถามงงมากไปกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัวว่ามันจะโยงไปเกี่ยวกับของพรรค์นั้นได้อย่างไร
“บุรุษรูปงามผู้มาจากความมืดมิด ดื่มกินเลือดเป็นอาหาร และที่สำคัญเป็นอมตะ แวมไพร์หนะ แวมไพร์ รู้จักไหม” คำตอบที่สาธยายออกมาทำเอาซากุระหลุดขำพรืดไปกับความช่างคิดช่างฝันของคนตรงหน้า ส่วนคนโดนขำหน้าเริ่มบูด
“เหลวไหลน่าอิโนะ ของพรรค์นั้นจะไปมีได้อย่างไร” ซากุระว่า ฉับพลันใบหน้าของใครบางคนกลับปรากฏวูบในความคิด ดวงตาสีแดงฉานที่จับจ้องมาที่เธอ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าแสนคุ้นเคยในความฝันจะแย้มร้อยยิ้มเผยให้เห็นคมเขี้ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ริมฝีปากนั่น รอยยิ้มที่ทำให้ความกลัวพุ่งเข้ากอบกุมหัวใจคนมอง ก่อนจะสะดุ้งอย่างสุดตัวเมื่อเสียงเรียกของเพื่อนสาวดังขึ้นข้างหู ฉุดกระชากเธอให้หลุดออกจากภวังค์
“เป็นอะไรของเธอ ซากุระ อาการกำเริบอีกแล้วหรอ” อิโนะถามด้วยความเป็นห่วงเมื่ออยู่ๆเพื่อนสาวข้างตัวก็หน้าซีด เหงื่อตก ก่อนจะยกมือขึ้นกำที่ตำแหน่งของหัวใจ
“ไม่เป็นไร” ซากุระว่าแต่คนฟังชักจะเริ่มไม่เห็นด้วยเมื่อเห็นอาการหน้าซีดตัวสั่นของเพื่อน
“ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า อาการเธอดูไม่ดีเลย” อิโนะว่า เพราะความผูกพันกันมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัยทำให้ท่านหญิงแห่งตระกูลยามานากะอดเป็นห่วงเสียไม่ได้ แม้ว่าจะเคยมีประสบการณ์เห็นความทรมานจากอาการเจ็บป่วยของเพื่อนมาแล้ว แม้จะรู้ว่าไม่เป็นอะไรแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะใจเสีย
ท่านหญิงยามานากะตัดสินใจส่งเพื่อนสาวขึ้นรถม้าคันหรูที่จอดเทียบรออยู่หน้าร้านพร้อมกับโบกมือลาอย่างจำใจ ก่อนจะถอนหายใจอย่างคนคิดไม่ตกกับอาการป่วยประหลาดของเพื่อนพร้อมกับก้าวเท้าขึ้นรถม้าของตนที่จอดรออยู่ถัดไปเพื่อเดินทางกลับสู่คฤหาสน์ของตน
นัยน์ตารีรัตติกาลของราชาแห่งความมืดมิดจับจ้องไปที่ตัวคฤหาสน์หลังโตที่ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่าร้อยไร่ผ่านหน้าต่างบานเล็กในตัวรถม้าคันหรูสีดำสนิท ก่อนที่น้ำเสียงของชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำสนิท ใบหน้าทั้งหน้าถูกทาบทับด้วยหน้ากากลวดลายแปลกตาที่นั่งอยู่ฟังตรงข้ามจะดังเข้ามาในโสตประสาท
“พื้นที่ตรงนี้และคฤหาสน์หลังนี้เป็นของตระกูลฮารุโนะ” เขาว่าในขณะที่ราชาแห่งรัตติกาลยังคงจับจ้องไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอย่างไม่วางตา “ปัจจุบัน ‘พวกมัน’ แยกตัวออกเป็นเจ็ดตระกูลใหญ่ที่เป็นเสมือนมหาอำนาจของเมืองนี้ หนึ่งในนั้นถูกยกให้เป็นผู้นำของพวกมันทำหน้าที่ปกครองประเทศ คือ ตระกูล อุซึมากิ และฮารุโนะที่ท่านกำลังจับตามองอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น” ชายหนุ่มละสายออกมา ให้ความสนใจกับคนพูดมาขึ้น แต่ท่าทางนั้นยังคงสงบนิ่ง
“อย่างที่ท่านทราบมา หลังจากที่ ‘พวกมัน’ กวาดล้างพวกเราจนแทบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเมื่อร้อยปีก่อนนั้น พวกมันก็ได้อาศัยช่วงเวลาเหล่านั้นสร้างประเทศ แบ่งอำนาจกันเพื่อปกครองผู้คน เผ่าพันธุ์ของเราที่เหลือรอดต้องอยู่อย่างหลบซ่อน บ้างก็หนีหายออกไปจากประเทศนี้ บ้างก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่กลมกลืนไปกับพวกมนุษย์” คนพูดยังคงพูดต่อ แต่น้ำเสียงเริ่มฟังดูต่างไปจากเดิม เมื่อมันเริ่มเจือรอยแห่งความโกรธแค้นแฝงไว้ข้างใน
“พวกเขาอยู่เพื่อรอวันนี้ วันที่ท่านหวนกลับคืนมาอีกครั้ง พลังของท่านจะช่วยให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อวันนั้นมาถึง จะเป็นทีของเราที่จะทำลายพวกมันให้สูญสิ้น” ร่างในชุดคลุมกำมือเข้าหากันแน่นในขณะที่ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังมานานกลับเอ่ยขึ้น
“บอกข้ามาว่าเก้าตระกูลที่เจ้าว่ามานั่น มีนามว่าอะไรบ้าง” ผู้เป็นใหญ่แห่งห้วงรัตติกาลว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ คนฟังพยักหน้ารับเริ่มพูดอีกครั้ง
“นอกเหนือจากอุซึมากิและฮารุโนะแล้ว ยังมีตระกูลนารา ยามานากะ อาคิมิจิ ฮิวงะ ซารุโทบิ ในบรรดาพวกนี้พวกฮารูโนะอ่อนแอมากที่สุด และอุซึมากิแข็งแกร่งมากที่สุดพวกมันสืบสายเลือดมากจากคนที่ผนึกท่านด้วยมุดเงินและทำให้ท่านเน่าเปื่อยอยู่ในโลงศพใต้วิหารนั่น”
ฉับพลันบรรยากาศรอบข้างเขากลับเปลี่ยนไป เมื่อมวลอากาศรอบตัวเริ่มเจือไปด้วยความอึดอัด ความหนักอึ้งถาโถมเข้าใส่ร่างใต้ผ้าคลุมจนร่างทั้งร่างของเขาแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น ความดำมืดที่แผ่ขยายมาจากร่างของราชาแห่งรัตติกาล ที่บัดนี้ถูกทาบทับไปด้วยความอาฆาตแค้น พร้อมกับนัยน์ตาที่ถูกเจ้าของแปรเปลี่ยนให้เป็นสีแดง
ราชาของเขากำลังเกี๊ยวโกรธ
แต่ทว่าร่างภายใต้ชุดคลุมกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่นิด เมื่อความดีใจจนเนื้อแทบเต้นที่เห็นชายหนุ่มสำแดงฤทธิ์เข้ามาแทนที่ หัวใจของเขากำลังเต้นระรัว เลือดในกายร้อนลุ่มชวนให้กระหายในพลังนั่น นัยน์ตาสีโลหิตที่กำลังวาวโรจน์ เปลวเพลิงที่มองไม่เห็นกำลังหล่อหลอมให้ราชาแห่งห้วงรัตติกาลจมลงสู่ห้วงของความโกรธแค้นยามเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา น้ำเสียงเยียบเย็นทว่าทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้คนฟังต้องลอบแสยะยิ้มอยู่ภายใต้หน้ากากนั่นด้วยความสมใจ
“คืนนี้ข้าจะจัดการกับฮารุโนะเป็นพวกแรก ให้พวกมันได้ทุกข์ทรมานอย่างสาสมกับสิ่งที่พวกมันเคยก่อ”
ตุบ!
เสียงร่างไร้วิญญาณของพ่อบ้านผู้ตกเป็นเหยื่อรายแรกของการบุกรุกคฤหาสน์ตระกูลฮารุโนะในยามวิการณ์ดังกระแทบพื้นอย่างที่ผู้ปลิดชีวิตไม่เคยคิดจะปราณีกับมนุษย์หน้าไหน
กลิ่นคาวเลือดของสิ่งมีชีวิตที่แสนอ่อนแอและต่ำต้อยในสายตาของราชาผู้ดำรงชีพอยู่ในความมืดส่งกลิ่นเชื้อเชิญให้เหล่าลูกสมุนอีกสองคนที่ปรากฏกายตามมาติดๆต้องก้มลงลิ้มลองอย่างไม่อาจหักห้ามใจ ก่อนที่เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของเหยื่อรายใหม่ที่ปรากฏตัวอยู่ที่บานประตูอย่างไม่ทันคาดคิดจะเรียกความสนใจ
“จูโกะ” น้ำเสียงสงบเอ่ยเรียกหนึ่งในผู้ติดตาม ราวกับรับรู้ในหน้าที่ทันทีที่สิ้นเสียงเรียกชื่อของตน ร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์ก็หายวูบไปจากสายตาก่อนจะไปปรากฏประชิดกายของสาวใช้ที่กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับภาพสยดสยองเบื้องหน้า ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง ร่างทั้งร่างก็ต้องลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมกับวิญญาณที่ถูกมือของมัจจุราชผู้อาศัยอยู่ในความมืดพรากหายไป เหลือเพียงร่างไร้ลมหายใจกับอวัยวะภายในที่ถูกควักออกมาเต้นตุบๆนอกร่างพร้อมกับเลือดสีสดที่หยดลงบนพื้นพรมชั้นดี
“จะอ่อนโยนกับผู้หญิงหน่อยไม่ได้หรือไง” เจ้าของเส้นผมสีฟ้าแปลกตาพูดขึ้นราวกับไม่สบอารมณ์ที่ผู้ร่วมงานมีท่าทีไม่สมกับเป็นสุภาพบุรุษ เพราะมันดันเล่นล้วงควักเอาเครื่องในสาวออกมาแบบนั้น คนมองอย่างเขารับไม่ได้เอาเสียเลย “ผู้หญิงน่ะจะตายไม่ว่าแต่ต้องขอให้ศพสวยไว้ก่อนแกไม่รู้หรือไง”
“เงียบน่า เพราะเสียงร้องของแม่นี้จะทำให้คนทั้งบ้านตื่นหมด” เขาหันมาเถียง เหนื่อยหน่ายกับท่าทางราวกับเป็นสุภาพบุรุษเสียเต็มประดาของเจ้าของนัยน์ตาสีม่วง
“จัดการพวกมดปลวกให้เรียบร้อย ฉันจะขึ้นไปจัดการพวกข้างบน อย่าให้พวกมันเหลือรอดแม้แต่คนเดียว” เขากำชับด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบผิดจากนิสัยของลูกสมุนทั้งสอง ให้คนสองคนที่ตั้งท่าจะก่อสงครามกันเองต้องหุบปากฉับด้วยความเกรง ก่อนที่ร่างของผู้เป็นใหญ่ในห้วงรัตติกาลจะหายไป
เจ้าของร่างสูงก้าวเดินไปตามทางเดินชั้นสองของชั้นบนคฤหาสน์หลังโตที่ค่ำคืนนี้ตกเป็นเหยื่อแห่งไฟแค้นของเขาอย่างไม่รู้ตัว ทุกฝีเก้าไร้ซึ่งเสียง มันแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในทุกย่างก้าวที่ราชาแห่งความมืดย่ำเดิน
เพราะเสียงกรีดร้องของใครบางคนในบ้านดังขึ้นปลุกให้ร่างบางในชุดนอนสีขาวบางเบาต้องตื่นจากห้วงนิทรา ความตื่นตกใจปรากฏวูบในดวงหน้างดงามเมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่ไม่เคยมีมาก่อนในคฤหาสน์หลังนี้
เจ้าของดวงหน้าสวยครุ่นคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดพรวดลงจากเตียงนอนสี่เสาหลังโต จัดแจงสวมเสื้อคลุมเพื่อความมิดชิดไม่ลืมที่จะหยิบอาวุธสีดำมันปราบขนาดเหมาะมือที่ซ่อนอยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียงออกมาเพื่อป้องกันตัว ในใจคิดเป็นห่วงไปถึงผู้เป็นบิดา
ร่างบางเดินไปตามทางเดินที่มีเพียงแสงไปจากโคมไปติดผนังเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่างแม้ว่าในยามมืดมิดเช่นนี้แสงสลัวๆของมันจะไม่ได้ช่วยให้เธออุ่นใจเลยก็ตามเมื่อสมองกำลังจินตนาการถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆนานาที่กำลังเกิดขึ้นที่ชั้นล่างนั่น
แม้สองเท้าที่ก้าวเดินจะเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นหัวใจดวงน้อยจะเต้นแรงด้วยความกลัวที่ตรงเข้ารึงรัดจนร่างทั้งร่างรู้สึกอึดอัดไปเสียหมด เหงื่อในกายพลันซึมชื้น แต่ถึงกระนั้นสัญชาติญาณกลับเร่งให้เธอออกมาอยู่นอกห้องด้วยเพราะนึกเป็นห่วงชายสูงวัยผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียวว่าจะมีอันตราย แต่ร่างทั้งร่างก็ต้องหยุดชะงัก ยกปืนกระบอกเล็กขนาดเหมาะมือขึ้นเล็งป้องกันตัวอัตโนมัติเมื่อใครบางคนปรากฏกายออกมาจากหัวมุมทางเดิน
เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตจ้องมองร่างของผู้บุกรุกด้วยดวงตาที่ไม่กระพริบ แต่มันหาใช่เพราะความกลัวในผู้บุกรุก แต่ภาพของใครบางคนในห้วงความฝันกำลังปรากฏอยู่ในแววตาก่อนที่ภาพนั้นจะซ้อนทับลงบนใบหน้าแสนคมคายนั่นจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน!
*******************************************************
ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ไม่ได้มาอัพซะนาน แถมมาอัพครั้งนี้ก็เล่นลบเนื้อเรื่องเดิมออก เอาของใหม่มาใส่แทนซะงั้น
ที่ Re-Write นี่เพราะตอนกลับมาจะเขียนเนื้อเรื่องเดิมต่อแต่เรารู้สึกว่าบทมันอ่อนเหลือเกิน แถมจะให้เขียนแต่เรื่องรักๆนี่คงยากสำหรับเราด้วย เพราะไม่ถนัดเขียนบทรักเลย (ให้ตายสิ) เลย Re-Write ให้เนื้อเรื่องมันดูเข้มข้นมีปมมากขึ้น ส่วนบทรัก ฉากหวาน โรงแมนติก ฟรุ้งฟริ้ง ก็ไม่รู้จักเขียนได้อินขนาดไหน แต่จะพยายามนะคะ
พอเปลี่ยนเนื้อเรื่องมาแนวนี้ พ่อพระเอกซาสึเกะของเราเลยดูจะมีบทโหดขึ้นมาพอสมควรเลย แต่กับนางเอกเค้าก็ยังเป็นพระเอกแสนดีแล้วก็อ่อนหวานนะคะ ไม่มีการทำร้ายนางเอกของเค้าแน่นอน แหม่แต่ผูกปมไว้ซะแน่น เลยไม่รู้จะคลายยังไงเลย (แหะๆ) โดยเฉพาะปมของเหล่าตัวหลักเนี่ย
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
ความคิดเห็น